SlideShare a Scribd company logo
1 of 7
Download to read offline
1
การบาเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๑๘ มาตังคจริยา
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖
เกริ่นนา
ในกาลที่เราเป็นชฎิลมีนามว่ามาตังคะ ตามโคตร มีความเพียรทาลายกิเลสที่แรงกล้า มีศีล มีจิต
มั่นคงดี เราตามรักษาศีลของเรา มิใช่รักษาชีวิตของเรา เพราะในกาลนั้น เราเป็นผู้รักษาศีล เพราะเหตุแห่ง
พระโพธิญาณเท่านั้น ฉะนี้ แล
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
๗. มาตังคจริยา
ว่าด้วยจริยาของชฎิลชื่อมาตังคะ
[๖๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นชฎิลมีนามว่ามาตังคะ ตามโคตร มีความเพียรทาลายกิเลสที่
แรงกล้า มีศีล มีจิตมั่นคงดี
[๖๑] เราทั้ง ๒ คือ เราและพราหมณ์คนหนึ่ง อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้าคงคา เราอยู่ข้างเหนือ พราหมณ์
อยู่ข้างใต้
[๖๒] พราหมณ์เที่ยวไปตามริมฝั่งน้า เห็นอาศรมของเราข้างเหนือน้า บริภาษเราในที่นั้น แล้ว
แช่งให้เราศีรษะแตก
[๖๓] ถ้าเราพึงโกรธต่อพราหมณ์นั้น ถ้าเราไม่คุ้มครองศีล เราแลดูพราหมณ์นั้นแล้ว พึงทาให้
เป็นดังขี้เถ้าได้
[๖๔] ครั้งนั้น พราหมณ์นั้นโกรธ มีจิตคิดประทุษร้าย จึงแช่งเรา คาแช่งนั้นจะตกลงบนศีรษะ
ของเขาเอง เราได้ช่วยเปลื้องเขาให้พ้นโดยความพยายาม
[๖๕] เราตามรักษาศีลของเรา มิใช่รักษาชีวิตของเรา เพราะในกาลนั้น เราเป็นผู้รักษาศีล
เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น ฉะนี้ แล
มาตังคจริยาที่ ๗ จบ
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบาเพ็ญสีลบารมี
๗. มาตังคจริยา
อรรถกถามาตังคจริยาที่ ๗
2
ก็ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในกาเนิดคนจัณฑาล มีรูปร่างน่าเกลียดอยู่ในบ้านคนจัณฑาล
นอกพระนคร. มีชื่อตามประกาศว่า มาตังคบัณฑิต.
อยู่มาวันหนึ่ง ในพระนคร เมื่อประกาศเล่นนักขัตฤกษ์ ชาวเมืองโดยมากก็พากันไปเล่นนักขัต
ฤกษ์.
หญิงสาวของพราหมณ์มหาศาลคนหนึ่งมีอายุ ๑๕-๑๖ ปี มีรูปสวยน่าดูน่าเลื่อมใสดุจเทพ
กัญญา คิดว่าเราจักเล่นนักขัตฤกษ์ตามสมควรแก่สมบัติของตน จึงบรรทุกของเคี้ยวของบริโภคเป็นอันมาก
ลงในเกวียน ขึ้นรถเทียมด้วยแม่ม้าขาวตลอด พร้อมด้วยบริวารใหญ่ ไปที่พื้นอุทยาน.
หญิงสาวนี้ ชื่อว่า ทิฏฐมังคลิกา.
ได้ยินว่า นางไม่ปรารถนาจะเห็นรูปที่มีทรงชั่วเป็นอวมงคล. ด้วยเหตุนั้น นางจึงมีชื่อว่าทิฏฐมังค
ลิกา.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ตื่นขึ้นแต่เช้ามืด นุ่งห่มผ้าเก่าๆ ถือไม้เท้าไม้ไผ่ ทาเป็นรูปนกเป็ดน้า
ถือภาชนะเข้าไปยังพระนคร เห็นพวกมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เหล่านั้นออกไปให้ห่าง จึงเอาไม้เท้านั้นทา
สัญญา.
ลาดับนั้น นางทิฏฐมังคลิกาอันบุรุษทั้งหลายของตนที่นาไปทาเสียงเอะอะว่า พวกท่านจง
ออกไปๆ นางเห็นมาตังคบัณฑิตในท่ามกลางประตูพระนคร จึงถามว่า นั่นใคร? เมื่อบุรุษเหล่านั้นตอบว่า
มาตังคจัณฑาลจ้ะแม่ จึงสั่งให้ยานกลับด้วยคิดว่า เห็นคนเช่นนี้ แล้วจะหาความเจริญได้แต่ไหน.
พวกมนุษย์พากันโกรธว่า พวกเราไปสวนหวังจะได้ของเคี้ยวของบริโภคเป็นต้นมากมาย มาตัง
คะทาอันตรายแก่พวกเราเสียแล้ว จึงพูดว่า พวกท่านจงจับคนจัณฑาล แล้วเอาก้อนดินขว้างจนมาตังค
บัณฑิตสลบแล้วก็พากันกลับไป.
ไม่ช้ามาตังคบัณฑิตก็ได้สติลุกขึ้นถามพวกมนุษย์ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ธรรมดาประตูเป็นของ
ทั่วไปแก่ทุกคนหรือ หรือว่าทาไว้ให้แก่พวกพราหมณ์เท่านั้น?
พวกมนุษย์ตอบว่า ทั่วไปแก่ทุกคน.
มาตังคบัณฑิตคิดว่า พวกมนุษย์ทาเราผู้ไม่หลีกออกไปยังสวนข้างหนึ่งในประตูที่เป็นสาธารณ์
แก่ชนทั้งปวง ให้ถึงความพินาศย่อยยับเพราะนางทิฏฐมังคลิกา จึงบอกแก่พวกมนุษย์ที่ถนนแล้วคิดว่า เอา
เถิดเราจักทาลายมานะของนางทิฏฐมังคลิกานี้ จึงไปยังประตูบ้านของนาง แล้วก็นอนด้วยตั้งใจว่า เราไม่ได้
นางทิฏฐมังคลิกาแล้วจะไม่ลุกขึ้น.
บิดาของนางทิฏฐมังคลิกาได้ยินว่า มาตังคะมานอนอยู่ที่ประตูเรือน จึงกล่าวว่า พวกท่านจงให้
กากณึกหนึ่งแก่มาตังคะ. มาตังคะเอาน้ามันลูบไล้สรีระแล้วจงไปเถิด.
มาตังคบัณฑิตกล่าวอยู่อย่างเดียวว่า เราไม่ได้นางทิฏฐมังคลิกาแล้วก็จักไม่ลุกขึ้น.
ลาดับนั้น แม้พราหมณ์จะพูดว่า พวกท่านจงให้สองกากณึก มาสกหนึ่ง บาทหนึ่ง กหาปณะหนึ่ง
สองสามกหาปณะ จนกระทั่ง ร้อยกหาปณะ พันกหาปณะ.
มาตังคบัณฑิตก็ไม่รับท่าเดียว.
3
เมื่อชนทั้งหลายปรึกษากันอยู่อย่างนั้น พระอาทิตย์ก็ตก.
ลาดับนั้น มารดาของนางทิฏฐมังคลิกาลงจากปราสาท ให้วงกาแพงม่านไปหามาตังคดาบส แม้
เมื่อนางกล่าวว่า พ่อคุณ พ่อมาตังคะจงยกโทษแก่นางทิฏฐมังคลิกาเถิด. ท่านจงเอาทรัพย์ ๒,๐๐๐ จนถึง
๑๐๐,๐๐๐.
มาตังคบัณฑิตก็ไม่รับ คงนอนอยู่นั่นเอง.
เมื่อมาตังคบัณฑิตนอนอยู่อย่างนั้นล่วงไป ๖ วัน.
ครั้นถึงวันที่ ๗ พวกมนุษย์ที่อยู่เรือนใกล้เคียงและผู้คุ้นเคยกันพากันลุกฮือ กล่าวว่า พวกท่านจง
ให้มาตังคะลุกขึ้น. หรือจงให้ลูกสาวไปเถิด. อย่าให้พวกเราต้องพินาศไปด้วยเลย.
นัยว่า ในครั้งนั้นมีธรรมเนียมในท้องถิ่นนั้นว่า คนจัณฑาลนอนตายอยู่ที่ประตูเรือนของผู้ใด ผู้ที่
อยู่ในเรือน ๗ ชั่วตระกูลต้องเป็นคนจัณฑาลไปพร้อมกับเรือนนั้น.
ลาดับนั้น มารดาบิดาของนางทิฏฐมังคลิกา จึงให้นางทิฏฐมังคลิกานุ่งห่มผ้าเก่าๆ ให้ของใช้อัน
จาเป็นของคนจัณฑาล แล้วนานางซึ่งร้องคร่าครวญอยู่ไปหามาตังคะกล่าวว่า เชิญท่านลุกขึ้นรับทาริกาใน
บัดนี้ เถิด แล้วก็ยกให้.
ส่วนนางทิฏฐมังคลิกายืนอยู่ข้างๆ กล่าวว่า ลุกขึ้นเถิด.
มาตังคบัณฑิตกล่าวว่า เราเมื่อยเหลือเกิน เจ้าจับมือให้เราลุกขึ้นเถิด.
นางได้กระทาอย่างนั้น.
มาตังคบัณฑิตกล่าวว่า เราจะอยู่ภายในพระนครไม่ได้ เจ้าจงมาเถิด. เราจักไปบ้านคนจัณฑาล
นอกพระนคร ได้ไปยังเรือนของตนเพื่อหลบหลีกผู้คน. ขี่หลังนางไป.
ก็ครั้นไปถึงเรือนแล้ว มาตังคบัณฑิตมิได้กระทาการล่วงเกินเพราะการแบ่งชาติ อยู่ในเรือนได้
๒-๓ วันจึงรวบรวมกาลัง คิดว่า เราจะให้หญิงสาวของพราหมณ์มหาศาลนี้ อยู่ในเรือนคนจัณฑาลของเรา.
เอาเถิด บัดนี้ เราจักทานางให้เป็นหญิงเลิศด้วยลาภ เลิศด้วยยศ.
มาตังคบัณฑิตจึงเข้าป่าบวชยังสมาบัติ ๘ อภิญญา ๕ ให้เกิดในภายใน ๗ วันนั่นเอง แล้วหยั่งลง
ที่ประตูบ้านของคนจัณฑาลด้วยฤทธิ์ ยืนอยู่ที่ประตูเรือน เรียกนางทิฏฐมังคลิกาซึ่งคร่าครวญอยู่ว่า สามีเจ้า
ขา เพราะเหตุไร ท่านจึงทาให้ดิฉันไร้ที่พึ่งแล้วไปบวชเสียเล่า.
มาตังคบัณฑิตกล่าวว่า น้องหญิงเจ้าอย่าคิดมากไปเลย. บัดนี้ เราจะเพิ่มยศให้ใหญ่กว่ายศเก่า
ของเจ้า. แต่เจ้าพึงกล่าวในชุมชน ว่า สามีของเราเป็นท้าวมหาพรหม. มิใช่มาตังคะดอก. สามีของเราไป
พรหมโลก. ต่อนี้ ไป ๗ วัน ในวันเพ็ญ สามีจักแหวกจันทรมณฑลกลับมาดังนี้ แล้ว กลับไปหิมวันตประเทศ
ตามเดิม.
แม้นางทิฏฐมังคลิกาก็ได้กล่าวอย่างนั้นในที่เหล่านั้นๆ ท่ามกลางมหาชน ในกรุงพาราณสี. จึง
ในวันเพ็ญ พระโพธิสัตว์ในเวลาที่ยืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าแห่งจันทรมณฑล เนรมิตอัตภาพเป็นพรหมแหวก
จันทรมณฑล ทากรุงพาราณสี ๑๒ โยชน์และแคว้นกาสีทั้งสิ้นให้มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกันแล้วลงจาก
อากาศ วนอยู่เบื้องบนกรุงพาราณสี ๓ ครั้ง.
มหาชนบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น บ่ายหน้าไปยังบ้านคนจัณฑาล.
4
พวกพรหมภัต (พวกนับถือพระพรหม) ประชุมกันไปบ้านคนจัณฑาลนั้นตกแต่งเรือนของนาง
ทิฏฐมังคลิกาด้วยผ้าขาว ของหอมและดอกไม้เป็นต้น ดุจเทพวิมาน.
ในครั้งนั้น นางทิฏฐมังคลิกามีระดู. พระมหาสัตว์ไป ณ ที่นั้นเอานิ้ วมือลูบคลานางทิฏฐมังคลิกา
ที่ท้องน้อยแล้วกล่าวว่า นางผู้เจริญ นางตั้งครรภ์แล้ว จักคลอดบุตร. ทั้งเจ้าทั้งบุตร จักเป็นผู้เลิศด้วยลาภ
เลิศด้วยยศ. น้าล้างศีรษะของเจ้าจักเป็นน้าอภิเษกพระราชาทั้งหลายทั่วชมพูทวีป. น้าอาบของเจ้าจักเป็นน้า
อมฤต ผู้ใดรดน้าที่ศีรษะผู้นั้นจักพ้นจากโรคทั้งมวล และจักพ้นจากกาลกิณี. คนทั้งหลายวางศีรษะบนหลัง
เท้าของเจ้าแล้วไหว้จักได้ทรัพย์ ๑,๐๐๐. ยืนไหว้ในที่ฟังคาพูด จักได้ทรัพย์ ๑๐๐ ยืนไหว้ในคลองจักษุ จักได้
คนละ ๑ กหาปณะ เจ้าจงอย่าประมาท.
พระมหาสัตว์ให้โอวาทนางแล้วออกจากเรือน เมื่อมหาชนมองดูอยู่ได้เข้าไปยังจันทรมณฑล.
พวกพรหมภัตประชุมกัน เชิญนางทิฏฐมังคลิกาเข้าพระนครด้วยสักการะใหญ่ ให้นางอยู่ในพระ
นครนั้นด้วยความงดงามอันเป็นสิริมงคลอย่างใหญ่. ได้สร้างที่อยู่ให้นางเช่นกับเทพวิมาน. น้อมนาลาภ
สักการะมากมายไปให้นาง ณ ที่อยู่นั้น.
ลาภทั้งปวงมีการได้บุตรเป็นต้น เป็นเช่นกับที่พระโพธิสัตว์กล่าวไว้ทุกประการ.
พราหมณ์ ๑๖,๐๐๐ บริโภคร่วมกับบุตรของนางทิฏฐมังคลิกาเป็นเนืองนิจ. พราหมณ์ประมาณ
๑,๐๐๐ แวดล้อมกุมารนั้น. กุมารให้ทานแก่พราหมณ์ ๑,๐๐๐.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ดาริว่า บุตรนี้ เลื่อมใสผิดที่เสียแล้ว. ช่างเถิด เราจักให้บุตรรู้จัก
ทักขิไณยบุคคล จึงเที่ยวภิกขาจารไปถึงเรือนของนางทิฏฐมังคลิกานั้น สนทนากับบุตรนั้นแล้วกลับไป.
ลาดับนั้น กุมารกล่าวคาถาว่า
ท่านผู้อยู่ป่าดงคนเข็ญใจ คล้ายปีศาจ สกปรกสวมผ้าขี้ริ้วที่ได้จากกองหยากเยื่อที่คอคนร้าย
ท่านเป็นใครไม่ใช่ทักขิไณยบุคคล.
ทวยเทพอดกลั้นด้วยคาอนาจารที่กุมารนั้นกล่าวไม่ได้ จึงบิดหน้าพราหมณ์ ๑๖,๐๐๐ เหล่านั้น
ของกุมารนั้น.
นางทิฏฐมังคลิกาเห็นดังนั้นจึงเข้าไปหาพระมหาสัตว์แจ้งความนั้นให้ทราบ.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ทวยเทพอดกลั้นคาอนาจารของกุมารนั้นไม่ได้ จึงทาให้ผิดปกติไป. ก็แต่
ว่าเจ้าจงเอาก้อนข้าวที่เป็นเดนนี้ ใส่ลงในปากของพราหมณ์เหล่านั้น แล้วความผิดปกตินั้นก็จะหายไป.
นางก็ได้ทาอย่างนั้น ความผิดปกติก็หายไป.
นางทิฏฐมังคลิกาจึงกล่าวกะบุตรว่า นี่แน่ะลูก ในโลกนี้ ขึ้นชื่อว่าทักขิไณยบุคคล ย่อมเป็นเช่นกับ
มาตังคบัณฑิต. พราหมณ์เหล่านี้ มิใช่ทักขิไณยบุคคลดอก เป็นผู้มีความกระด้าง ด้วยมานะโดยเหตุเพียงชาติ
ดุจพราหมณ์ทั้งหลาย หรือโดยเหตุเพียงสาธยายมนต์. ลูกจงทาความเลื่อมใสให้เกิดแก่ผู้ที่ประกอบด้วยคุณ
วิเศษมีศีลเป็นต้น ผู้ได้ฌานสมาบัติและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายในที่นั้นเถิด.
ในกาลนั้น พราหมณ์คนหนึ่งชื่อชาติมันตะ ในเมืองเวตตวดี แม้บวชแล้วก็ยังอาศัยชาติได้มี
มานะจัด. พระมหาสัตว์คิดว่า เราจักทาลายมานะของพราหมณ์นั้นให้ได้ จึงไปยังที่นั้นอาศัยอยู่เหนือ
กระแสน้า ใกล้พราหมณ์นั้น.
5
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
เราและพราหมณ์คนหนึ่ง อยู่ที่ใกล้ฝั่งแม่น้าคงคา เราอยู่ข้างเหนือ พราหมณ์อยู่ข้างใต้.
ลาดับนั้น วันหนึ่ง พระมหาสัตว์เคี้ยวไม้สีฟันแล้วบ้วนลงในแม่น้า อธิษฐานว่า ไม้สีฟันนี้ จงไป
ติดที่ชฎาของชาติมันตะเถิด. ไม้สีฟันนั้นติดที่ชฎาของชาติมันตะผู้กาลังอาบน้า.
ชาติมันตะเห็นไม้สีฟันนั้นจึงด่าว่า คนระยา แล้วไปเหนือกระแสน้าด้วยคิดว่าคนกาลกิณีนี้ มา
จากไหน เราจักไปค้นหาคนกาลกิณีนั้น ครั้นเห็นพระมหาสัตว์ จึงถามว่า ท่านเป็นชาติอะไร?
พระมหาสัตว์ตอบว่า เราเป็นคนจัณฑาล.
ถามว่า ท่านบ้วนไม้สีฟันลงในแม่น้าหรือ. ตอบว่า ใช่แล้ว เราบ้วนลงไปเอง.
กล่าวว่า คนระยา คนจัณฑาล คนกาลกิณี ท่านอย่าอยู่ที่นี้ เลย จงอยู่ใต้กระแสน้าเถิด. แม้เมื่อ
พระโพธิสัตว์อยู่ใต้กระแสน้าบ้วนไม้สีฟันลงไป ก็ทวนกระแสน้ามาติดที่ชฎาอีก.
ชาติมันตะจึงกล่าวว่า คนระยา หากท่านอยู่ ณ ที่นี้ ในวันที่ ๗ ศีรษะของท่านจักแตกออกเป็น ๗
เสี่ยง.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
พราหมณ์เที่ยวไปตามริมฝั่ง ได้เห็นอาศรมของเราข้างเหนือ บริภาษเราในที่นั้น แล้วแช่งให้เรา
ศีรษะแตก. ถ้าเราพึงโกรธต่อพราหมณ์นั้น ถ้าเราไม่คุ้มครองศีล เราดูพราหมณ์นั้นแล้ว พึงทาให้เป็นเถ้าได้.
อนึ่ง พระมหาสัตว์ถูกพราหมณ์นั้นแช่ง จึงคิดว่า หากเราโกรธพราหมณ์นี้ . ศีลของเราก็จะไม่
เป็นอันรักษา. เราจักทาลายมานะของพราหมณ์ด้วยอุบาย. ก็จักเป็นอันรักษาพราหมณ์นั้นด้วย. ในวันที่ ๗
จึงห้ามดวงอาทิตย์ขึ้น.
พวกมนุษย์พากันวุ่นวายเพราะดวงอาทิตย์ไม่ขึ้น จึงเข้าไปหาดาบสชาติมันตะ ถามว่า ข้าแต่พระ
คุณท่าน พระคุณท่านไม่ให้ดวงอาทิตย์ขึ้นหรือ.
ดาบสนั้นกล่าวว่า นั่นไม่ใช่เราทาดอก แต่ว่าที่ริมฝั่งแม่น้ามีดาบสจัณฑาลอยู่องค์หนึ่ง คงจะเป็น
ดาบสนั้นทากระมัง.
พวกมนุษย์จึงพากันไปหาพระมหาสัตว์ ถามว่า พระคุณท่านไม่ให้ดวงอาทิตย์ขึ้นหรือ.
ตอบว่า ถูกแล้ว. ถามว่า เพราะอะไร?
ตอบว่า ดาบสที่เป็นกุลูปกะของพวกท่านได้แช่งเราผู้ไม่มีความผิด. เมื่อดาบสนั้นมาหมอบลง
แทบเท้าของเรา เพื่อขอขมาเราจึงจักปล่อยพระอาทิตย์.
พวกมนุษย์พากันไปฉุดดาบสนั้นนามาให้หมอบลงแทบเท้าของพระมหาสัตว์ ให้ขอขมาแล้ว
กล่าวว่า ขอพระคุณท่านจงปล่อยดวงอาทิตย์เถิด.
พระมหาสัตว์กล่าวว่า เราไม่อาจปล่อยได้ หากเราปล่อย ศีรษะของดาบสนี้ จักแตก ๗ เสี่ยง.
ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พระคุณท่านจะทาอย่างไรเล่า?
พระมหาสัตว์กล่าวว่า พวกท่านจงเอาก้อนดินเหนียวมา ครั้นมนุษย์นามาแล้ว จึงกล่าวว่า พวก
ท่านจงวางดินเหนียวนี้ ไว้บนศีรษะของดาบส แล้วให้ดาบสลงไปอยู่ในน้า.
ดาบสจงดาลงในน้า ในเมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏแล้ว จึงปล่อยดวงอาทิตย์. ก้อนดินเหนียว พอ
6
รัศมีของดวงอาทิตย์สัมผัสเท่านั้นก็แตกออกเป็น ๗ เสี่ยง. ดาบสดาลงไปในน้า.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ครั้งนั้น พราหมณ์นั้นโกรธเคืองมีใจประทุษร้าย แช่งเรามุ่งหมายจะให้ศีรษะแตก คาแช่งนั้นจะ
ตกลงบนศีรษะของเขาเอง เราเปลื้องเขาให้พ้นโดยควร.
จริงอยู่ คาหยาบอันเป็นคาสาปแช่ง ซึ่งเป็นอริยูปวาทใด ซึ่งดาบสได้สาปแช่งพระมหาสัตว์ผู้
ตั้งอยู่ในมหากรุณา อันเป็นสันดานที่ได้อบรมมาแล้วเป็นอย่างดี ด้วยสีลสัมปทาและทิฏฐิอันเต็มเปี่ยมด้วย
สมาบัติวิหารธรรมนานาประการสาเร็จด้วยการอบรมบารมี. หากดาบสนั้นมิให้พระมหาสัตว์ยกโทษคา
หยาบนั้นอันเป็นผลให้ได้เสวยธรรมในปัจจุบัน เพราะพระมหาสัตว์เป็นเนื้ อนาบุญอันวิเศษ และเพราะคา
หยาบเป็นอัธยาศัยของดาบสนั้น.
ในวันที่ ๗ จะเกิดสภาพสุกงอม คือให้ผลแรง แต่เมื่อพระมหาสัตว์ยกโทษให้ การห้ามด้วยปโยค
สมบัติก็จะถึงความไม่มีวิบากเป็นธรรมดา เพราะเป็นอโหสิกรรม. นี่เป็นธรรมดาของบาปอันเกิดจากอริ
ยุปวาทซึ่งจะให้ผลในปัจจุบัน.
การที่พระโพธิสัตว์ห้ามดวงอาทิตย์ขึ้นในวันที่ ๗ นั้นเป็นอุบายที่ท่านประสงค์นี้ . ด้วยเหตุนั้น
พวกมนุษย์จึงวุ่นวายพากันนาดาบสไปหาพระโพธิสัตว์ให้ยกโทษ.
พึงทราบว่า แม้ดาบสนั้นก็รู้คุณของพระมหาสัตว์ ยังจิตให้เลื่อมใสในพระมหาสัตว์นั้น. การที่เอา
ก้อนดินเหนียววางบนศีรษะของดาบสนั้น และการที่พระมหาสัตว์ทาก้อนดินเหนียวนั้นให้แตก ๗ เสี่ยงก็เพื่อ
เอาใจพวกมนุษย์ เพราะแม้บรรพชิตเหล่านี้ ก็ย่อมเป็นไปในอานาจของจิตโดยประการอื่น. แต่ไม่ทาจิตให้
เป็นไปในอานาจของตนได้ เพราะเหตุนั้น พวกมนุษย์จึงยึดถือ แม้พระมหาสัตว์ทาให้เป็นเช่นกับดาบสนั้น.
การทาของดาบสนั้นย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์เพื่อความทุกข์แก่มนุษย์เหล่านั้นตลอดกาลนาน.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงถึงประโยชน์ที่พระมหาสัตว์ไม่ทาจิตให้ประทุษร้ายใน
ดาบสนั้น แล้วรักษาศีลให้บริสุทธิ์เท่านั้น จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า เราตามรักษาศีลของเราเป็นอาทิ.
มัณฑัพยะในครั้งนั้นได้เป็นพระเจ้าอุเทนในครั้งนี้ .
มาตังคบัณฑิตคือพระโลกนาถ.
อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพของพระมหาสัตว์มีอาทิอย่างนี้ คือ
การข่มมานะของนางทิฏฐมังคลิกาได้ตามความประสงค์ของมาตังคบัณฑิตผู้มีชาติตระกูลต่า.
การบวชแล้วมีจิตเกิดขึ้นว่า เราจักเป็นที่พึ่งของนางทิฏฐมังคลิกา ไปป่าบวช ยังฌานและ
อภิญญาให้เกิดตามความประสงค์ในภายใน ๗ วันนั่นเอง.
การกลับจากป่านั้นยังอุบายให้สาเร็จ ด้วยการให้นางทิฏฐมังคลิกาเลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศ.
การข่มมานะของมัณฑัพยกุมาร.
การข่มมานะของดาบสชาติมันตะ.
การช่วยชีวิตดาบสผู้ไม่รู้จัก.
การไม่โกรธดาบสผู้มีความผิดใหญ่หลวง แล้วตามรักษาศีลของตน.
การทาปาฏิหาริย์น่าอัศจรรย์ไม่เคยมี.
7
จบอรรถกถามาตังคจริยาที่ ๗
-----------------------------------------------------

More Related Content

More from maruay songtanin

100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...maruay songtanin
 
083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
 
083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 

18 มาตังคจริยา มจร.pdf

  • 1. 1 การบาเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๑๘ มาตังคจริยา พลตรี มารวย ส่งทานินทร์ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เกริ่นนา ในกาลที่เราเป็นชฎิลมีนามว่ามาตังคะ ตามโคตร มีความเพียรทาลายกิเลสที่แรงกล้า มีศีล มีจิต มั่นคงดี เราตามรักษาศีลของเรา มิใช่รักษาชีวิตของเรา เพราะในกาลนั้น เราเป็นผู้รักษาศีล เพราะเหตุแห่ง พระโพธิญาณเท่านั้น ฉะนี้ แล พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก ๗. มาตังคจริยา ว่าด้วยจริยาของชฎิลชื่อมาตังคะ [๖๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นชฎิลมีนามว่ามาตังคะ ตามโคตร มีความเพียรทาลายกิเลสที่ แรงกล้า มีศีล มีจิตมั่นคงดี [๖๑] เราทั้ง ๒ คือ เราและพราหมณ์คนหนึ่ง อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้าคงคา เราอยู่ข้างเหนือ พราหมณ์ อยู่ข้างใต้ [๖๒] พราหมณ์เที่ยวไปตามริมฝั่งน้า เห็นอาศรมของเราข้างเหนือน้า บริภาษเราในที่นั้น แล้ว แช่งให้เราศีรษะแตก [๖๓] ถ้าเราพึงโกรธต่อพราหมณ์นั้น ถ้าเราไม่คุ้มครองศีล เราแลดูพราหมณ์นั้นแล้ว พึงทาให้ เป็นดังขี้เถ้าได้ [๖๔] ครั้งนั้น พราหมณ์นั้นโกรธ มีจิตคิดประทุษร้าย จึงแช่งเรา คาแช่งนั้นจะตกลงบนศีรษะ ของเขาเอง เราได้ช่วยเปลื้องเขาให้พ้นโดยความพยายาม [๖๕] เราตามรักษาศีลของเรา มิใช่รักษาชีวิตของเรา เพราะในกาลนั้น เราเป็นผู้รักษาศีล เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น ฉะนี้ แล มาตังคจริยาที่ ๗ จบ คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบาเพ็ญสีลบารมี ๗. มาตังคจริยา อรรถกถามาตังคจริยาที่ ๗
  • 2. 2 ก็ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในกาเนิดคนจัณฑาล มีรูปร่างน่าเกลียดอยู่ในบ้านคนจัณฑาล นอกพระนคร. มีชื่อตามประกาศว่า มาตังคบัณฑิต. อยู่มาวันหนึ่ง ในพระนคร เมื่อประกาศเล่นนักขัตฤกษ์ ชาวเมืองโดยมากก็พากันไปเล่นนักขัต ฤกษ์. หญิงสาวของพราหมณ์มหาศาลคนหนึ่งมีอายุ ๑๕-๑๖ ปี มีรูปสวยน่าดูน่าเลื่อมใสดุจเทพ กัญญา คิดว่าเราจักเล่นนักขัตฤกษ์ตามสมควรแก่สมบัติของตน จึงบรรทุกของเคี้ยวของบริโภคเป็นอันมาก ลงในเกวียน ขึ้นรถเทียมด้วยแม่ม้าขาวตลอด พร้อมด้วยบริวารใหญ่ ไปที่พื้นอุทยาน. หญิงสาวนี้ ชื่อว่า ทิฏฐมังคลิกา. ได้ยินว่า นางไม่ปรารถนาจะเห็นรูปที่มีทรงชั่วเป็นอวมงคล. ด้วยเหตุนั้น นางจึงมีชื่อว่าทิฏฐมังค ลิกา. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ตื่นขึ้นแต่เช้ามืด นุ่งห่มผ้าเก่าๆ ถือไม้เท้าไม้ไผ่ ทาเป็นรูปนกเป็ดน้า ถือภาชนะเข้าไปยังพระนคร เห็นพวกมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เหล่านั้นออกไปให้ห่าง จึงเอาไม้เท้านั้นทา สัญญา. ลาดับนั้น นางทิฏฐมังคลิกาอันบุรุษทั้งหลายของตนที่นาไปทาเสียงเอะอะว่า พวกท่านจง ออกไปๆ นางเห็นมาตังคบัณฑิตในท่ามกลางประตูพระนคร จึงถามว่า นั่นใคร? เมื่อบุรุษเหล่านั้นตอบว่า มาตังคจัณฑาลจ้ะแม่ จึงสั่งให้ยานกลับด้วยคิดว่า เห็นคนเช่นนี้ แล้วจะหาความเจริญได้แต่ไหน. พวกมนุษย์พากันโกรธว่า พวกเราไปสวนหวังจะได้ของเคี้ยวของบริโภคเป็นต้นมากมาย มาตัง คะทาอันตรายแก่พวกเราเสียแล้ว จึงพูดว่า พวกท่านจงจับคนจัณฑาล แล้วเอาก้อนดินขว้างจนมาตังค บัณฑิตสลบแล้วก็พากันกลับไป. ไม่ช้ามาตังคบัณฑิตก็ได้สติลุกขึ้นถามพวกมนุษย์ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ธรรมดาประตูเป็นของ ทั่วไปแก่ทุกคนหรือ หรือว่าทาไว้ให้แก่พวกพราหมณ์เท่านั้น? พวกมนุษย์ตอบว่า ทั่วไปแก่ทุกคน. มาตังคบัณฑิตคิดว่า พวกมนุษย์ทาเราผู้ไม่หลีกออกไปยังสวนข้างหนึ่งในประตูที่เป็นสาธารณ์ แก่ชนทั้งปวง ให้ถึงความพินาศย่อยยับเพราะนางทิฏฐมังคลิกา จึงบอกแก่พวกมนุษย์ที่ถนนแล้วคิดว่า เอา เถิดเราจักทาลายมานะของนางทิฏฐมังคลิกานี้ จึงไปยังประตูบ้านของนาง แล้วก็นอนด้วยตั้งใจว่า เราไม่ได้ นางทิฏฐมังคลิกาแล้วจะไม่ลุกขึ้น. บิดาของนางทิฏฐมังคลิกาได้ยินว่า มาตังคะมานอนอยู่ที่ประตูเรือน จึงกล่าวว่า พวกท่านจงให้ กากณึกหนึ่งแก่มาตังคะ. มาตังคะเอาน้ามันลูบไล้สรีระแล้วจงไปเถิด. มาตังคบัณฑิตกล่าวอยู่อย่างเดียวว่า เราไม่ได้นางทิฏฐมังคลิกาแล้วก็จักไม่ลุกขึ้น. ลาดับนั้น แม้พราหมณ์จะพูดว่า พวกท่านจงให้สองกากณึก มาสกหนึ่ง บาทหนึ่ง กหาปณะหนึ่ง สองสามกหาปณะ จนกระทั่ง ร้อยกหาปณะ พันกหาปณะ. มาตังคบัณฑิตก็ไม่รับท่าเดียว.
  • 3. 3 เมื่อชนทั้งหลายปรึกษากันอยู่อย่างนั้น พระอาทิตย์ก็ตก. ลาดับนั้น มารดาของนางทิฏฐมังคลิกาลงจากปราสาท ให้วงกาแพงม่านไปหามาตังคดาบส แม้ เมื่อนางกล่าวว่า พ่อคุณ พ่อมาตังคะจงยกโทษแก่นางทิฏฐมังคลิกาเถิด. ท่านจงเอาทรัพย์ ๒,๐๐๐ จนถึง ๑๐๐,๐๐๐. มาตังคบัณฑิตก็ไม่รับ คงนอนอยู่นั่นเอง. เมื่อมาตังคบัณฑิตนอนอยู่อย่างนั้นล่วงไป ๖ วัน. ครั้นถึงวันที่ ๗ พวกมนุษย์ที่อยู่เรือนใกล้เคียงและผู้คุ้นเคยกันพากันลุกฮือ กล่าวว่า พวกท่านจง ให้มาตังคะลุกขึ้น. หรือจงให้ลูกสาวไปเถิด. อย่าให้พวกเราต้องพินาศไปด้วยเลย. นัยว่า ในครั้งนั้นมีธรรมเนียมในท้องถิ่นนั้นว่า คนจัณฑาลนอนตายอยู่ที่ประตูเรือนของผู้ใด ผู้ที่ อยู่ในเรือน ๗ ชั่วตระกูลต้องเป็นคนจัณฑาลไปพร้อมกับเรือนนั้น. ลาดับนั้น มารดาบิดาของนางทิฏฐมังคลิกา จึงให้นางทิฏฐมังคลิกานุ่งห่มผ้าเก่าๆ ให้ของใช้อัน จาเป็นของคนจัณฑาล แล้วนานางซึ่งร้องคร่าครวญอยู่ไปหามาตังคะกล่าวว่า เชิญท่านลุกขึ้นรับทาริกาใน บัดนี้ เถิด แล้วก็ยกให้. ส่วนนางทิฏฐมังคลิกายืนอยู่ข้างๆ กล่าวว่า ลุกขึ้นเถิด. มาตังคบัณฑิตกล่าวว่า เราเมื่อยเหลือเกิน เจ้าจับมือให้เราลุกขึ้นเถิด. นางได้กระทาอย่างนั้น. มาตังคบัณฑิตกล่าวว่า เราจะอยู่ภายในพระนครไม่ได้ เจ้าจงมาเถิด. เราจักไปบ้านคนจัณฑาล นอกพระนคร ได้ไปยังเรือนของตนเพื่อหลบหลีกผู้คน. ขี่หลังนางไป. ก็ครั้นไปถึงเรือนแล้ว มาตังคบัณฑิตมิได้กระทาการล่วงเกินเพราะการแบ่งชาติ อยู่ในเรือนได้ ๒-๓ วันจึงรวบรวมกาลัง คิดว่า เราจะให้หญิงสาวของพราหมณ์มหาศาลนี้ อยู่ในเรือนคนจัณฑาลของเรา. เอาเถิด บัดนี้ เราจักทานางให้เป็นหญิงเลิศด้วยลาภ เลิศด้วยยศ. มาตังคบัณฑิตจึงเข้าป่าบวชยังสมาบัติ ๘ อภิญญา ๕ ให้เกิดในภายใน ๗ วันนั่นเอง แล้วหยั่งลง ที่ประตูบ้านของคนจัณฑาลด้วยฤทธิ์ ยืนอยู่ที่ประตูเรือน เรียกนางทิฏฐมังคลิกาซึ่งคร่าครวญอยู่ว่า สามีเจ้า ขา เพราะเหตุไร ท่านจึงทาให้ดิฉันไร้ที่พึ่งแล้วไปบวชเสียเล่า. มาตังคบัณฑิตกล่าวว่า น้องหญิงเจ้าอย่าคิดมากไปเลย. บัดนี้ เราจะเพิ่มยศให้ใหญ่กว่ายศเก่า ของเจ้า. แต่เจ้าพึงกล่าวในชุมชน ว่า สามีของเราเป็นท้าวมหาพรหม. มิใช่มาตังคะดอก. สามีของเราไป พรหมโลก. ต่อนี้ ไป ๗ วัน ในวันเพ็ญ สามีจักแหวกจันทรมณฑลกลับมาดังนี้ แล้ว กลับไปหิมวันตประเทศ ตามเดิม. แม้นางทิฏฐมังคลิกาก็ได้กล่าวอย่างนั้นในที่เหล่านั้นๆ ท่ามกลางมหาชน ในกรุงพาราณสี. จึง ในวันเพ็ญ พระโพธิสัตว์ในเวลาที่ยืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าแห่งจันทรมณฑล เนรมิตอัตภาพเป็นพรหมแหวก จันทรมณฑล ทากรุงพาราณสี ๑๒ โยชน์และแคว้นกาสีทั้งสิ้นให้มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกันแล้วลงจาก อากาศ วนอยู่เบื้องบนกรุงพาราณสี ๓ ครั้ง. มหาชนบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น บ่ายหน้าไปยังบ้านคนจัณฑาล.
  • 4. 4 พวกพรหมภัต (พวกนับถือพระพรหม) ประชุมกันไปบ้านคนจัณฑาลนั้นตกแต่งเรือนของนาง ทิฏฐมังคลิกาด้วยผ้าขาว ของหอมและดอกไม้เป็นต้น ดุจเทพวิมาน. ในครั้งนั้น นางทิฏฐมังคลิกามีระดู. พระมหาสัตว์ไป ณ ที่นั้นเอานิ้ วมือลูบคลานางทิฏฐมังคลิกา ที่ท้องน้อยแล้วกล่าวว่า นางผู้เจริญ นางตั้งครรภ์แล้ว จักคลอดบุตร. ทั้งเจ้าทั้งบุตร จักเป็นผู้เลิศด้วยลาภ เลิศด้วยยศ. น้าล้างศีรษะของเจ้าจักเป็นน้าอภิเษกพระราชาทั้งหลายทั่วชมพูทวีป. น้าอาบของเจ้าจักเป็นน้า อมฤต ผู้ใดรดน้าที่ศีรษะผู้นั้นจักพ้นจากโรคทั้งมวล และจักพ้นจากกาลกิณี. คนทั้งหลายวางศีรษะบนหลัง เท้าของเจ้าแล้วไหว้จักได้ทรัพย์ ๑,๐๐๐. ยืนไหว้ในที่ฟังคาพูด จักได้ทรัพย์ ๑๐๐ ยืนไหว้ในคลองจักษุ จักได้ คนละ ๑ กหาปณะ เจ้าจงอย่าประมาท. พระมหาสัตว์ให้โอวาทนางแล้วออกจากเรือน เมื่อมหาชนมองดูอยู่ได้เข้าไปยังจันทรมณฑล. พวกพรหมภัตประชุมกัน เชิญนางทิฏฐมังคลิกาเข้าพระนครด้วยสักการะใหญ่ ให้นางอยู่ในพระ นครนั้นด้วยความงดงามอันเป็นสิริมงคลอย่างใหญ่. ได้สร้างที่อยู่ให้นางเช่นกับเทพวิมาน. น้อมนาลาภ สักการะมากมายไปให้นาง ณ ที่อยู่นั้น. ลาภทั้งปวงมีการได้บุตรเป็นต้น เป็นเช่นกับที่พระโพธิสัตว์กล่าวไว้ทุกประการ. พราหมณ์ ๑๖,๐๐๐ บริโภคร่วมกับบุตรของนางทิฏฐมังคลิกาเป็นเนืองนิจ. พราหมณ์ประมาณ ๑,๐๐๐ แวดล้อมกุมารนั้น. กุมารให้ทานแก่พราหมณ์ ๑,๐๐๐. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ดาริว่า บุตรนี้ เลื่อมใสผิดที่เสียแล้ว. ช่างเถิด เราจักให้บุตรรู้จัก ทักขิไณยบุคคล จึงเที่ยวภิกขาจารไปถึงเรือนของนางทิฏฐมังคลิกานั้น สนทนากับบุตรนั้นแล้วกลับไป. ลาดับนั้น กุมารกล่าวคาถาว่า ท่านผู้อยู่ป่าดงคนเข็ญใจ คล้ายปีศาจ สกปรกสวมผ้าขี้ริ้วที่ได้จากกองหยากเยื่อที่คอคนร้าย ท่านเป็นใครไม่ใช่ทักขิไณยบุคคล. ทวยเทพอดกลั้นด้วยคาอนาจารที่กุมารนั้นกล่าวไม่ได้ จึงบิดหน้าพราหมณ์ ๑๖,๐๐๐ เหล่านั้น ของกุมารนั้น. นางทิฏฐมังคลิกาเห็นดังนั้นจึงเข้าไปหาพระมหาสัตว์แจ้งความนั้นให้ทราบ. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ทวยเทพอดกลั้นคาอนาจารของกุมารนั้นไม่ได้ จึงทาให้ผิดปกติไป. ก็แต่ ว่าเจ้าจงเอาก้อนข้าวที่เป็นเดนนี้ ใส่ลงในปากของพราหมณ์เหล่านั้น แล้วความผิดปกตินั้นก็จะหายไป. นางก็ได้ทาอย่างนั้น ความผิดปกติก็หายไป. นางทิฏฐมังคลิกาจึงกล่าวกะบุตรว่า นี่แน่ะลูก ในโลกนี้ ขึ้นชื่อว่าทักขิไณยบุคคล ย่อมเป็นเช่นกับ มาตังคบัณฑิต. พราหมณ์เหล่านี้ มิใช่ทักขิไณยบุคคลดอก เป็นผู้มีความกระด้าง ด้วยมานะโดยเหตุเพียงชาติ ดุจพราหมณ์ทั้งหลาย หรือโดยเหตุเพียงสาธยายมนต์. ลูกจงทาความเลื่อมใสให้เกิดแก่ผู้ที่ประกอบด้วยคุณ วิเศษมีศีลเป็นต้น ผู้ได้ฌานสมาบัติและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายในที่นั้นเถิด. ในกาลนั้น พราหมณ์คนหนึ่งชื่อชาติมันตะ ในเมืองเวตตวดี แม้บวชแล้วก็ยังอาศัยชาติได้มี มานะจัด. พระมหาสัตว์คิดว่า เราจักทาลายมานะของพราหมณ์นั้นให้ได้ จึงไปยังที่นั้นอาศัยอยู่เหนือ กระแสน้า ใกล้พราหมณ์นั้น.
  • 5. 5 ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า เราและพราหมณ์คนหนึ่ง อยู่ที่ใกล้ฝั่งแม่น้าคงคา เราอยู่ข้างเหนือ พราหมณ์อยู่ข้างใต้. ลาดับนั้น วันหนึ่ง พระมหาสัตว์เคี้ยวไม้สีฟันแล้วบ้วนลงในแม่น้า อธิษฐานว่า ไม้สีฟันนี้ จงไป ติดที่ชฎาของชาติมันตะเถิด. ไม้สีฟันนั้นติดที่ชฎาของชาติมันตะผู้กาลังอาบน้า. ชาติมันตะเห็นไม้สีฟันนั้นจึงด่าว่า คนระยา แล้วไปเหนือกระแสน้าด้วยคิดว่าคนกาลกิณีนี้ มา จากไหน เราจักไปค้นหาคนกาลกิณีนั้น ครั้นเห็นพระมหาสัตว์ จึงถามว่า ท่านเป็นชาติอะไร? พระมหาสัตว์ตอบว่า เราเป็นคนจัณฑาล. ถามว่า ท่านบ้วนไม้สีฟันลงในแม่น้าหรือ. ตอบว่า ใช่แล้ว เราบ้วนลงไปเอง. กล่าวว่า คนระยา คนจัณฑาล คนกาลกิณี ท่านอย่าอยู่ที่นี้ เลย จงอยู่ใต้กระแสน้าเถิด. แม้เมื่อ พระโพธิสัตว์อยู่ใต้กระแสน้าบ้วนไม้สีฟันลงไป ก็ทวนกระแสน้ามาติดที่ชฎาอีก. ชาติมันตะจึงกล่าวว่า คนระยา หากท่านอยู่ ณ ที่นี้ ในวันที่ ๗ ศีรษะของท่านจักแตกออกเป็น ๗ เสี่ยง. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า พราหมณ์เที่ยวไปตามริมฝั่ง ได้เห็นอาศรมของเราข้างเหนือ บริภาษเราในที่นั้น แล้วแช่งให้เรา ศีรษะแตก. ถ้าเราพึงโกรธต่อพราหมณ์นั้น ถ้าเราไม่คุ้มครองศีล เราดูพราหมณ์นั้นแล้ว พึงทาให้เป็นเถ้าได้. อนึ่ง พระมหาสัตว์ถูกพราหมณ์นั้นแช่ง จึงคิดว่า หากเราโกรธพราหมณ์นี้ . ศีลของเราก็จะไม่ เป็นอันรักษา. เราจักทาลายมานะของพราหมณ์ด้วยอุบาย. ก็จักเป็นอันรักษาพราหมณ์นั้นด้วย. ในวันที่ ๗ จึงห้ามดวงอาทิตย์ขึ้น. พวกมนุษย์พากันวุ่นวายเพราะดวงอาทิตย์ไม่ขึ้น จึงเข้าไปหาดาบสชาติมันตะ ถามว่า ข้าแต่พระ คุณท่าน พระคุณท่านไม่ให้ดวงอาทิตย์ขึ้นหรือ. ดาบสนั้นกล่าวว่า นั่นไม่ใช่เราทาดอก แต่ว่าที่ริมฝั่งแม่น้ามีดาบสจัณฑาลอยู่องค์หนึ่ง คงจะเป็น ดาบสนั้นทากระมัง. พวกมนุษย์จึงพากันไปหาพระมหาสัตว์ ถามว่า พระคุณท่านไม่ให้ดวงอาทิตย์ขึ้นหรือ. ตอบว่า ถูกแล้ว. ถามว่า เพราะอะไร? ตอบว่า ดาบสที่เป็นกุลูปกะของพวกท่านได้แช่งเราผู้ไม่มีความผิด. เมื่อดาบสนั้นมาหมอบลง แทบเท้าของเรา เพื่อขอขมาเราจึงจักปล่อยพระอาทิตย์. พวกมนุษย์พากันไปฉุดดาบสนั้นนามาให้หมอบลงแทบเท้าของพระมหาสัตว์ ให้ขอขมาแล้ว กล่าวว่า ขอพระคุณท่านจงปล่อยดวงอาทิตย์เถิด. พระมหาสัตว์กล่าวว่า เราไม่อาจปล่อยได้ หากเราปล่อย ศีรษะของดาบสนี้ จักแตก ๗ เสี่ยง. ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พระคุณท่านจะทาอย่างไรเล่า? พระมหาสัตว์กล่าวว่า พวกท่านจงเอาก้อนดินเหนียวมา ครั้นมนุษย์นามาแล้ว จึงกล่าวว่า พวก ท่านจงวางดินเหนียวนี้ ไว้บนศีรษะของดาบส แล้วให้ดาบสลงไปอยู่ในน้า. ดาบสจงดาลงในน้า ในเมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏแล้ว จึงปล่อยดวงอาทิตย์. ก้อนดินเหนียว พอ
  • 6. 6 รัศมีของดวงอาทิตย์สัมผัสเท่านั้นก็แตกออกเป็น ๗ เสี่ยง. ดาบสดาลงไปในน้า. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ครั้งนั้น พราหมณ์นั้นโกรธเคืองมีใจประทุษร้าย แช่งเรามุ่งหมายจะให้ศีรษะแตก คาแช่งนั้นจะ ตกลงบนศีรษะของเขาเอง เราเปลื้องเขาให้พ้นโดยควร. จริงอยู่ คาหยาบอันเป็นคาสาปแช่ง ซึ่งเป็นอริยูปวาทใด ซึ่งดาบสได้สาปแช่งพระมหาสัตว์ผู้ ตั้งอยู่ในมหากรุณา อันเป็นสันดานที่ได้อบรมมาแล้วเป็นอย่างดี ด้วยสีลสัมปทาและทิฏฐิอันเต็มเปี่ยมด้วย สมาบัติวิหารธรรมนานาประการสาเร็จด้วยการอบรมบารมี. หากดาบสนั้นมิให้พระมหาสัตว์ยกโทษคา หยาบนั้นอันเป็นผลให้ได้เสวยธรรมในปัจจุบัน เพราะพระมหาสัตว์เป็นเนื้ อนาบุญอันวิเศษ และเพราะคา หยาบเป็นอัธยาศัยของดาบสนั้น. ในวันที่ ๗ จะเกิดสภาพสุกงอม คือให้ผลแรง แต่เมื่อพระมหาสัตว์ยกโทษให้ การห้ามด้วยปโยค สมบัติก็จะถึงความไม่มีวิบากเป็นธรรมดา เพราะเป็นอโหสิกรรม. นี่เป็นธรรมดาของบาปอันเกิดจากอริ ยุปวาทซึ่งจะให้ผลในปัจจุบัน. การที่พระโพธิสัตว์ห้ามดวงอาทิตย์ขึ้นในวันที่ ๗ นั้นเป็นอุบายที่ท่านประสงค์นี้ . ด้วยเหตุนั้น พวกมนุษย์จึงวุ่นวายพากันนาดาบสไปหาพระโพธิสัตว์ให้ยกโทษ. พึงทราบว่า แม้ดาบสนั้นก็รู้คุณของพระมหาสัตว์ ยังจิตให้เลื่อมใสในพระมหาสัตว์นั้น. การที่เอา ก้อนดินเหนียววางบนศีรษะของดาบสนั้น และการที่พระมหาสัตว์ทาก้อนดินเหนียวนั้นให้แตก ๗ เสี่ยงก็เพื่อ เอาใจพวกมนุษย์ เพราะแม้บรรพชิตเหล่านี้ ก็ย่อมเป็นไปในอานาจของจิตโดยประการอื่น. แต่ไม่ทาจิตให้ เป็นไปในอานาจของตนได้ เพราะเหตุนั้น พวกมนุษย์จึงยึดถือ แม้พระมหาสัตว์ทาให้เป็นเช่นกับดาบสนั้น. การทาของดาบสนั้นย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์เพื่อความทุกข์แก่มนุษย์เหล่านั้นตลอดกาลนาน. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงถึงประโยชน์ที่พระมหาสัตว์ไม่ทาจิตให้ประทุษร้ายใน ดาบสนั้น แล้วรักษาศีลให้บริสุทธิ์เท่านั้น จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า เราตามรักษาศีลของเราเป็นอาทิ. มัณฑัพยะในครั้งนั้นได้เป็นพระเจ้าอุเทนในครั้งนี้ . มาตังคบัณฑิตคือพระโลกนาถ. อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพของพระมหาสัตว์มีอาทิอย่างนี้ คือ การข่มมานะของนางทิฏฐมังคลิกาได้ตามความประสงค์ของมาตังคบัณฑิตผู้มีชาติตระกูลต่า. การบวชแล้วมีจิตเกิดขึ้นว่า เราจักเป็นที่พึ่งของนางทิฏฐมังคลิกา ไปป่าบวช ยังฌานและ อภิญญาให้เกิดตามความประสงค์ในภายใน ๗ วันนั่นเอง. การกลับจากป่านั้นยังอุบายให้สาเร็จ ด้วยการให้นางทิฏฐมังคลิกาเลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศ. การข่มมานะของมัณฑัพยกุมาร. การข่มมานะของดาบสชาติมันตะ. การช่วยชีวิตดาบสผู้ไม่รู้จัก. การไม่โกรธดาบสผู้มีความผิดใหญ่หลวง แล้วตามรักษาศีลของตน. การทาปาฏิหาริย์น่าอัศจรรย์ไม่เคยมี.