More Related Content
Similar to 04 กุรุธรรมจริยา มจร.pdf (20)
More from maruay songtanin (20)
04 กุรุธรรมจริยา มจร.pdf
- 1. 1
การบาเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๔ กุรุธรรมจริยา
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖
เกริ่นนา
เราคิดว่าการห้ามยาจกที่มาถึงแล้ว เป็นการไม่สมควรแก่เราเลย กุศลสมาทานของเราอย่าได้
เสียหายเลย เราจักให้คชสารตัวประเสริฐ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
๓. กุรุธรรมจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระเจ้าธนัญชัยกุรุราช
[๒๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพระราชานามว่าธนัญชัย อยู่ในกรุงอินทปัตถ์ที่อุดม
ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ
[๒๑] ครั้งนั้น พวกพราหมณ์ชาวแคว้นกาลิงคะได้มาหาเรา ขอพญาคชสาร ซึ่งประกอบด้วย
ธัญญลักษณะ สมบูรณ์ด้วยมงคลกับเราว่า
[๒๒] ชนบทฝนไม่ตกเลย เกิดทุพภิกขภัย อดอยากมาก ขอพระองค์โปรดพระราชทานพญาคช
สาร ตัวประเสริฐมีกายสีเขียวชื่อว่าอัญชันด้วยเถิด
[๒๓] เราคิดว่าการห้ามยาจกที่มาถึงแล้ว เป็นการไม่สมควรแก่เราเลย กุศลสมาทานของเรา
อย่าได้เสียหายเลย เราจักให้คชสารตัวประเสริฐ
[๒๔] เราได้จับงวงพญาคชสารวางลงบนมือพราหมณ์แล้ว จึงหลั่งน้าในเต้าทองลงบนมือของ
พวกพราหมณ์ ได้ให้พญาคชสารไป
[๒๕] เมื่อเราได้ให้พญาคชสารนั้นไป พวกอามาตย์ได้กล่าวคานี้ ว่า “เหตุไรหนอ พระองค์จึง
พระราชทานพญาคชสารตัวประเสริฐของพระองค์แก่พวกยาจก
[๒๖] เมื่อพระองค์พระราชทานพญาคชสาร ซึ่งประกอบด้วยธัญลักษณะ สมบูรณ์ด้วยมงคล
ชนะสงครามอันสูงสุดนั้นแล้ว พระองค์เป็นพระราชาจักทาอะไรได้”
[๒๗] เราได้ตอบว่า แม้ราชสมบัติทั้งหมดเราก็ควรให้ ถึงสรีระของตนเราก็ควรให้ แต่พระ
สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้พญาคชสาร ฉะนี้ แล
กุรุธรรมจริยาที่ ๓ จบ
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
- 2. 2
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบาเพ็ญทานบารมี
๓. กุรุธรรมจริยา
อรรถกถากุรุธรรมจริยาที่ ๓
เมืองประเสริฐแห่งแคว้นกุรุ ชื่อว่าอินทปัตถะ. ราชา คือยังบริษัทให้ยินดีด้วยสังคหวัตถุ ๔ โดย
ธรรม โดยเสมอ. คือ ประกอบด้วยกุสลกรรมบถ ๑๐ ประการ หรือด้วยบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ มีทานมัยเป็นต้น.
พวกพราหมณ์ ๘ คน ชาวกาลิงครัฐ. อันพระเจ้ากาลิงคะส่งมาได้มาหาเรา. เข้าไปหาแล้วได้ขอ
พระยาคชสารกะเรา. ชื่อว่าอัญชนะ คือพระยาคชสารสมบูรณ์ด้วยลักษณะอันสิริโสภาคย์สมควรเป็นคชสาร
ทรง. อันชนทั้งหลายเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นมงคลหัตถี เป็นเหตุแห่งความเจริญยิ่งด้วยลักษณะสมบัติ
นั้นนั่นแล.
แคว้นกาลิงคะของข้าพระพุทธเจ้า ฝนไม่ตก. ด้วยเหตุนั้น บัดนี้ เกิดทุพภิกขภัยใหญ่ ฉาตกภัย
ใหญ่ในแคว้นนั้น. เพื่อสงบภัยนั้น ขอพระองค์จงทรงพระราชทานมงคลหัตถี ชื่อว่าอัญชนะของพระองค์
คล้ายอัญชนคิรีนี้ เถิด เพราะว่าเมื่อนาพระยาคชสารนี้ ไป ณ แคว้นนั้นแล้วฝนก็จะตก. สรรพภัยนั้นจักสงบไป
ด้วยพระยาคชสารนั้นเป็นแน่.
ในอดีตกาล ในนครอินทปัตถะแคว้นกุรุ พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัคร
มเหสีของพระเจ้ากุรุราช ถึงความเจริญวัยโดยลาดับไปยังเมืองตักกสิลา เรียนศิลปศาสตร์อันเป็นประโยชน์
ในการปกครองและวิชาหลัก ครั้นเรียนจบกลับพระนครพระชนกให้ดารงตาแหน่งอุปราช.
ครั้นต่อมาเมื่อพระชนกสวรรคต ได้รับราชสมบัติยังทศพิธราชธรรมไม่ให้กาเริบ ครองราช
สมบัติโดยธรรมมีพระนามว่าธนญชัย พระเจ้าธนญชัยทรงให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือที่ประตูพระนคร ๔
แห่ง กลางพระนคร ๑ แห่ง ประตูราชนิเวศน์ ๑ แห่ง ทรงสละทรัพย์วันละ ๖๐๐,๐๐๐ ทุกวัน ทรงกระทา
ชมพูทวีปทั้งสิ้นเจริญรุ่งเรืองแล้วทรงบริจาคทาน เพราะพระองค์มีพระอัธยาศัยในการทรงบริจาค ความ
ยินดีในทานแผ่ไปทั่วชมพูทวีป.
ในกาลนั้น แคว้นกาลิงคะเกิดภัย ๓ อย่าง คือทุพภิกขภัย ฉาตกภัย โรคภัย.
ชาวแคว้นทั้งสิ้นพากันไปทันตบุรี กราบทูลร้องเรียนส่งเสียงอึงคะนึงที่ประตูพระราชวังว่า ข้าแต่
เทวะ ขอพระองค์จงทรงให้ฝนตกเถิดพระเจ้าข้า.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้วตรัสถามพวกอามาตย์ว่า พวกประชาชนร้องเรียนเรื่องอะไรกัน.
พวกอามาตย์กราบทูลความนั้นแด่พระราชา.
พระราชามีพระดารัสถามว่า พระราชาแต่ก่อน เมื่อฝนไม่ตกทรงทาอย่างไร. กราบทูลว่า ทรงให้
ทาน ทรงอธิษฐานอุโบสถ ทรงสมาทานศีลเสด็จเข้าห้องสิริบรรทมตลอด ๗ วัน ณ พระที่ทรงธรรม ขอให้ฝน
ตก.
พระราชาสดับดังนั้นก็ได้ทรงกระทาอย่างนั้น ฝนก็ไม่ตก.
พระราชาตรัสว่า เราได้กระทากิจที่ควรทาแล้ว ฝนก็ไม่ตก เราจะทาอย่างไรต่อไป. กราบทูลว่า
ขอเดชะเมื่อนาพระยาคชสารมงคลหัตถีของพระเจ้าธนญชัยกุรุราชในอินทปัตถนครมา ฝนจึงจักตกพระเจ้า
- 3. 3
ข้า.
พระราชารับสั่งว่า พระราชาพระองค์นั้นมีพลพาหนะเข้มแข็ง ปราบปรามได้ยาก เราจักนาพระ
ยาคชสารของพระองค์มาได้อย่างไรเล่า. กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่มหาราชเจ้ามิได้มีการรบพุ่งกับพระราชา
นั้นเลย พระเจ้าข้า. พระราชาพระองค์นั้นมีพระอัธยาศัยในการบริจาค ทรงยินดีในทาน เมื่อมีผู้ทูลขอแล้ว
แม้พระเศียรที่ตกแต่งแล้วก็ตัดให้ได้ แม้พระเนตรที่มีประสาทบริบูรณ์ก็ทรงควักให้ได้ แม้ราชสมบัติทั้งสิ้นก็
ทรงมอบให้ได้ ไม่ต้องพูดถึงพระยาคชสารเลย เมื่อทูลขอแล้วจักพระราชทานเป็นแน่แท้ พระเจ้าข้า.
ตรัสถามว่า ก็ใครจะเป็นผู้สามารถทูลขอได้เล่า.
กราบทูลว่า ขอเดชะข้าแต่มหาราช พราหมณ์ พระเจ้าข้า.
พระราชารับสั่งให้เรียกพราหมณ์ ๘ คนเข้าเฝ้าทาสักการะสัมมานะแล้ว ทรงให้เสบียงส่งไปเพื่อ
ขอพระยาคชสาร. พราหมณ์เหล่านั้นรีบไปคืนเดียว บริโภคอาหารที่โรงทานใกล้ประตูพระนครอยู่ชั่วเวลา
เล็กน้อย ครั้นอิ่มหนาสาราญแล้วก็ยืนอยู่ที่ประตูด้านตะวันออก รอเวลาพระราชาเสด็จมายังโรงทาน.
แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงสรงสนานแต่เช้าตรู่ ทรงประดับด้วยเครื่องสรรพาลังการเสร็จขึ้นคอพระ
ยาคชสารตัวประเสริฐที่ตกแต่งแล้ว เสด็จไปยังโรงทานด้วยราชานุภาพอันใหญ่หลวง เสด็จลงพระราชทาน
แก่ชน ๗-๘ คน ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์แล้วตรัสว่า พวกท่านจงให้ทานองนี้ แหละ เสด็จขึ้นสู่พระยาคช
สารแล้วเสด็จไปทางประตูด้านทิศใต้.
พวกพราหมณ์ไม่ได้โอกาสเพราะทางทิศตะวันออกจัดอารักขาเข้มแข็งมาก จึงไปประตูด้านทิศ
ใต้ คอยดูพระราชาเสด็จมายืนอยู่ในที่เนินไม่ไกลจากประตู เมื่อพระราชาเสด็จมาถึงต่างก็ยกมือถวายชัย
มงคล.
พระราชาทรงบังคับช้างให้กลับด้วยพระขอเพชรเสด็จไปหาพราหมณ์เหล่านั้น ตรัสถามพวก
พราหมณ์ว่า พวกท่านต้องการอะไร.
พวกพราหมณ์กราบทูลว่า ขอเดชะ แคว้นกาลิงคะถูกทุพภิกขภัย ฉาตกภัยและโรคภัยรบกวน
ความรบกวนนั้นจักสงบลงได้ เมื่อนาพระยามงคลหัตถีของพระองค์เชือกนี้ ไป เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จง
ทรงโปรดพระราชทานพระยาคชสารสีดอกอัญชันเชือกนี้ เถิด พระเจ้าข้า.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า พวกพราหมณ์ชาวกาลิงครัฐได้มาหาเรา ขอ
พระยาคชสาร ทรง ฯลฯ ขอพระองค์จงทรงพระราชทานพระยาคชสารตัวประเสริฐมีสีกายเขียวชื่ออัญชนะ
เถิด.
ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงตรัสว่า การที่เราจะทาลายความต้องการของยาจกทั้งหลายไม่เป็น
การสมควรแก่เรา และจะพึงเป็นการทาลายกุสลสมาทานของเราอีกด้วย จึงเสด็จลงจากคอคชสารมีพระ
ดารัสว่า หากที่มิได้ตกแต่งไว้มีอยู่ เราจักตกแต่งแล้วจักให้ จึงทรงตรวจดูรอบๆ มิได้ทรงเห็นที่มิได้ตกแต่ง
จึงทรงจับพระยาคชสารที่งวงแล้ววางไว้บนมือของพราหมณ์ ทรงหลั่งน้าที่อบด้วยดอกไม้และของหอมด้วย
พระเต้าทอง แล้วพระราชทานแก่พราหมณ์.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
การห้ามยาจกทั้งหลายที่มาถึงแล้ว ไม่สมควรแก่เราเลย กุสลสมาทานของเราอย่าทาลาย
- 4. 4
เสียเลย เราจักให้คชสารตัวประเสริฐ เราได้จับงวงคชสารวางบนมือพราหมณ์แล้ว จึงหลั่งน้าในเต้าทองลง
บนมือ ได้ให้พระยาคชสารแก่พราหมณ์.
เมื่อพระราชทานพระยาคชสารแล้ว พวกอามาตย์พากันกราบทูลพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่มหาราช
เจ้า เพราะเหตุไร พระองค์จึงพระราชทานมงคลหัตถี ควรพระราชทานช้างเชือกอื่นมิใช่หรือ. มงคลหัตถีฝึก
ไว้สาหรับเป็นช้างทรงเห็นปานนี้ อันพระราชาผู้ทรงหวังความเป็นใหญ่และชัยชนะไม่ควรพระราชทานเลย
พระเจ้าข้า.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า เราจะให้สิ่งที่ยาจกทั้งหลายขอกะเรา หากขอราชสมบัติกะเรา เราก็จะให้
ราชสมบัติแก่พวกเขา. พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้นเป็นที่รักยิ่ง แม้กว่าราชสมบัติ แม้กว่าชีวิตของเรา
เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้คชสารนั้น.
ท่านแสดงว่า เพราะพระสัพพัญญุตญาณและความเป็นพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเราอันผู้
ไม่บาเพ็ญบารมีทั้งปวงมีทานบารมีเป็นต้นไม่สามารถจะให้ได้ ฉะนั้น เราจึงได้ให้พระยาคชสาร.
แม้เมื่อนาพระยาคชสารมาในแคว้นกาลิงคะ ฝนก็ยังไม่ตกอยู่นั่นเอง.
พระเจ้ากาลิงคะตรัสถามว่า แม้บัดนี้ ฝนก็ยังไม่ตก อะไรหนอเป็นเหตุ. ทรงทราบว่า พระเจ้ากุรุ
ทรงรักษาครุธรรม ด้วยเหตุนั้นในแคว้นของพระองค์ ฝนจึงตกทุกกึ่งเดือน ทุก ๑๐ วันตามลาดับ นั้นเป็น
คุณานุภาพของพระราชามิใช่อานุภาพของสัตว์เดียรัจฉานนี้ จึงทรงส่งอามาตย์ไปด้วยมีพระดารัสว่า เราจัก
รักษาครุธรรมด้วยตนเอง พวกท่านจงไปเขียนครุธรรมเหล่านั้นในราชสานักของพระเจ้าธนญชัยโกรพยะ ลง
ในสุพรรณบัฏแล้วนามา.
ท่านเรียกศีล ๕ ว่า ครุธรรม.
พระโพธิสัตว์ทรงรักษาศีล ๕ เหล่านั้นกระทาให้บริสุทธิ์เป็นอย่างดี.
อนึ่ง พระมารดา พระอัครมเหสี พระกนิษฐา อุปราช ปุโรหิต พราหมณ์ พนักงานรังวัด อามาตย์
สารถี เศรษฐี พนักงานเก็บภาษีอากร คนเฝ้าประตู นครโสเภณีวรรณทาสีก็รักษาครุธรรมเช่นเดียวกับพระ
โพธิสัตว์.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
คน ๑๑ คน คือ พระราชา ๑ พระชนนี ๑ พระมเหสี ๑ อุปราช ๑ ปุโรหิต ๑ พนักงานรังวัด
๑ สารถี ๑ เศรษฐี ๑ พนักงานเก็บภาษีอากร ๑ คนเฝ้าประตู ๑ หญิงงามเมือง ๑ ตั้งอยู่ในครุธรรม.
พวกอามาตย์เหล่านั้นเข้าไปเฝ้าพระโพธิสัตว์ ถวายบังคมแล้วกราบทูลความนั้น.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า เรายังมีความเคลือบแคลงในครุธรรมอยู่, แต่พระชนนีของเรารักษาไว้เป็น
อย่างดีแล้ว พวกท่านจงรับในสานักของพระชนนีนั้นเถิด.
พวกอามาตย์ทูลวิงวอนว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ชื่อว่าความเคลือบแคลงย่อมมีแก่ผู้ยังต้องการ
อาหาร มีความประพฤติขัดเกลากิเลส ขอพระองค์ทรงโปรดพระราชทานแก่พวกข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า.
แล้วรับสั่งให้เขียนลงในสุพรรณบัฏว่า ไม่ควรฆ่าสัตว์ ๑ ไม่ควรลักทรัพย์ ๑ ไม่ควรประพฤติผิดในกาม ๑ ไม่
ควรพูดปด ๑ ไม่ควรดื่มน้าเมา ๑ แล้วตรัสว่า พวกท่านจงไปรับในสานักของพระชนนีเถิด.
พวกทูตถวายบังคมพระราชาแล้วไปยังสานักของพระชนนีนั้น กราบทูลว่า ข้าแต่พระเทวี ได้ยิน
- 5. 5
ว่า พระนางเจ้าทรงรักษาครุธรรม ขอพระนางเจ้าทรงโปรดพระราชทานครุธรรมนั้นแก่พวกข้าพระพุทธเจ้า
เถิด.
แม้พระชนนีของพระโพธิสัตว์ ก็ทรงทราบว่าพระองค์ยังมีความเคลือบแคลงอยู่เหมือนกัน แต่
เมื่อพวกพราหมณ์วิงวอนขอก็ได้พระราชทานให้. แม้พระมเหสีเป็นต้นก็เหมือนกัน.
พวกพราหมณ์ได้เขียนครุธรรมลงในสุพรรณบัฏในสานักของชนทั้งหมด แล้วกลับทันตบุรี ถวาย
แด่พระเจ้ากาลิงคะ แล้วกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ.
พระราชาทรงปฏิบัติในธรรมนั้นทรงบาเพ็ญศีล ๕ ให้บริบูรณ์. แต่นั้นฝนก็ตกทั่วแคว้นกาลิงคะ
ภัย ๓ ประการก็สงบ แคว้นก็ได้เป็นแดนเกษม หาภิกษาได้ง่าย.
พระโพธิสัตว์ทรงบาเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น ตลอดพระชนมายุ พร้อมด้วยบริษัทก็ไปอุบัติในเมือง
สวรรค์.
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
หญิงงามเมืองคืออุบลวรรณา
คนเฝ้าประตูคือปุณณะ
พนักงานรังวัดคือกัจจานะ
พนักงานภาษีอากรคือโกลิตะ
เศรษฐีคือสารีบุตร
สารถีคืออนุรุทธะ
พราหมณ์คือกัสสปเถระ
อุปราชคือนันทบัณฑิต
พระมเหสีคือมารดาพระราหุล
พระชนนีคือพระมหามายาเทวี
พระโพธิสัตว์ผู้เป็นราชาในแคว้นกุรุ คือเราตถาคต.
พวกท่านจงทรงจาชาดกไว้ด้วยประการฉะนี้ .
จบอรรถกถากุรุธรรมจริยาที่ ๓
-----------------------------------------------------