ว่าด้วย ต้องการคนที่เหมาะกับเหตุการณ์
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระอานันทเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
สมัยหนึ่ง เหล่าพระสนมของพระเจ้าโกศลคิดกันว่า ขึ้นชื่อว่า การเสด็จอุปบัติแห่งพระพุทธเจ้าเป็นสภาพหาได้ยาก การกลับได้เกิดเป็นมนุษย์ และความเป็นผู้มีอายตนะบริบูรณ์เล่า ก็หาได้ยากเหมือนกัน อนึ่ง พวกเราแม้จะได้พบความพร้อมมูลแห่งขณะซึ่งหาได้ยากนี้ ก็ไม่ได้เพื่อจะไปสู่พระวิหาร ฟังธรรม หรือกระทำการบูชา หรือให้ทานตามความพอใจของตนได้ ต้องอยู่กันเหมือนถูกเก็บเข้าไว้ในหีบ พวกเราจักกราบทูลพระราชาให้ทรงพระกรุณาโปรดนิมนต์พระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งสมควรแสดงธรรมโปรดพวกเรา จักพากันฟังธรรมในสำนักของท่าน ข้อใดที่พวกเราต้องศึกษา ก็จักพากันเรียนข้อนั้นจากท่าน พากันบำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้น ด้วยประการอย่างนี้ การได้เฉพาะซึ่งขณะนี้ของพวกเรา จักมีผล.
พระสนมเหล่านั้น แม้ทั้งหมดพากันเข้าเฝ้าพระราชา กราบทูลเหตุที่คบคิดกัน พระราชาทรงรับสั่งว่า ดีแล้ว. ครั้นวันหนึ่ง มีพระประสงค์จะทรงเล่นอุทยาน รับสั่งให้เรียกนายอุทยานบาลมาเฝ้า ตรัสว่า เจ้าจงชำระอุทยาน. นายอุทยานบาล เมื่อจะชำระอุทยาน พบพระศาสดาประทับนั่ง ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง รีบไปสู่ราชสำนัก กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ อุทยานสะอาดราบรื่นแล้ว ก็แต่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง ในอุทยานนั้น พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ดีแล้วสหาย เราจักไปฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา. เสด็จขึ้นราชรถทรงอันประดับแล้วเสด็จไปสู่พระอุทยาน ได้เสด็จไปสู่สำนักของพระศาสดา.
ก็ในสมัยนั้น อุบาสกผู้เป็นพระอนาคามีผู้หนึ่ง ชื่อว่า ฉัตตปาณี นั่งฟังธรรมอยู่ในสำนักของพระศาสดา. พระราชาเห็นฉัตตปาณีอุบาสก แล้วเกิดระแวง ประทับหยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทรงพระดำริว่า ถ้าบุรุษผู้นี้เป็นคนชั่วละ ก็คงไม่นั่งฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ชะรอยบุรุษผู้นี้จักไม่ใช่คนชั่ว แล้วเสด็จเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วเสด็จประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง อุบาสกมิได้กระทำการรับเสด็จ หรือการถวายบังคม ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนั้น พระราชาจึงไม่ทรงพอพระทัยฉัตตปาณีอุบาสก.
พระศาสดาทรงทราบความที่พระราชาไม่ทรงพอพระทัยอุบาสก จึงตรัสคุณของอุบาสกว่า มหาบพิตร ผู้นี้เป็นอุบาสก เป็นพหูสูต คงแก่เรียน ปราศจากความกำหนัดในกาม. พระราชาทรงพระดำริว่า พระศาสดาทรงทราบคุณของผู้ใด ต้องเป็นคนไม่ต่ำ จึงตรัสว่า อุบาสก ท่านต้องการสิ่งใด ก็ควรบอกได้. อุบาสกรับสนองพระดำรัสว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า. พระราชาทรงสดับพระธรรมในสำนักของพระศาสดาแล้ว ทรงกระทำประทักษิณพระศาสดา แล้วเสด็จกลับไป.
วันหนึ่ง พระราชาทรงเปิดพระแกล ประทับยืน ณ ปราสาทชั้นบน ทอดพระเนตรเห็นอุบาสกนั้น บริโภคอาหารเย็นแล้ว ถือร่มเดินไปสู่พระเชตวัน ก็รับสั่งให้ราชบุรุษไปเชิญมาเฝ้า แล้วตรัสอย่างนี้ว่า อุบาสก ได้ยินว่า ท่านเป็นพหูสูต พวกหญิงของเราต้องการจะฟังและต้องการจะเรียนธรรม พึงเป็นการดีหนอ. ธรรมดาคฤหัสถ์ทั้งหลายไม่เหมาะสมที่จะแสดงธรรม หรือบอกธรรมในพระราชสถานฝ่ายใน เรื่องนั้นเหมาะแก่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายเท่านั้น พระเจ้าข้า. พระราชาทรงพระดำริว่า อุบาสกนี้พูดจริง ทรงส่งท่านไป รับสั่งให้หาพระสนมมาเฝ้า มีพระดำรัสว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ เราจะไปสู่สำนักพระศาสดา กราบทูลขอภิกษุรูปหนึ่ง เพื่อแสดงธรรมและบอกธรรมแก่พวกเธอ ในพระมหาสาวกทั้ง ๘๐ องค์ เราจักทูลขอองค์ไหนดี. พระสนมทั้งหมดปรึกษากัน กราบทูลถึงพระอานนทเถระผู้เป็นคลังพระธรรมองค์เดียว.