More Related Content
Similar to เครื่องดนตรีไทย ประเภท เครื่องดนตรีไทยพื้นเมือง (10)
More from leemeanshun minzstar (20)
เครื่องดนตรีไทย ประเภท เครื่องดนตรีไทยพื้นเมือง
- 1. เครื่องดนตรีไทยพื้นเมืองหมายถึงเครื่องดนตรีที่ใช้เล่นกันเพื่อความบันเทิงหรือเล่นประกอบการแสดงพื้นเมือง
ตามท้องถิ่นต่างๆเครื่องดนตรีพื้นเมืองจะมีลักษณะแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคทั้งนี้เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม
เศรษฐกิจและลักษณะนิสัยของประชาชนในแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกันเครื่องดนตรีพื้นเมืองของไทย
จาแนกตามภูมิภาคได้เป็น3 ภูมิภาค คือ
เครื่องดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือ
เครื่องดนตรีพื้นเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เครื่องดนตรีพื้นเมืองภาคใต้
เครื่องดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือได้แก่
ซึง เป็นเครื่องดีด มี 4 สายสันนิษฐานว่าน่าจะดัดแปลงแก้ไขวิวัฒนาการมาจากพิณเทียะลักษณะของซึงตัวกะโหลก
และคันทวนทาด้วยไม้เนื้อแข็งเช่นไม้ประดู่หรือ ไม้สักชิ้นเดียวกันชาวไทยภาคเหนือนิยมเล่นซึงกันมาช้านาน
ตามปกติใช้เล่นร่วมกับปี่ซอหรือพวกหนุ่มๆใช้ดีดเล่นขณะไป"แอ่วสาว"
สะล้อเป็นเครื่องสีลักษณะคลายซออู้ แต่ทาไม่ค่อยประณีตนักคันทวนยาวประมาณ 64ซม.
กะโหลกซอทาด้วยกะลามะพร้าวใช้แผ่นไม้บางๆปิดหน้ากระโหลกแทนการใช้หนังลูกบิดมี 2 อันเจาะเสียบทแยงกัน
มีสายเป็นสายลวดทั้ง2สายคันชักแยกต่างหากจากตัวซอสะล้อใช้เล่นผสมกับซึงและปี่ซอ
ประกอบการขับร้องเพลงพื้นเมืองทางเหนือ
ตะโล้ดโป๊ ดเป็นกลองขึ้นหนังสองหน้ามีรูปร่างลักษณะและขนาดเช่นเดียวกับ"เปิงมาง"และ"สองหน้า"
แต่ตัวกลองยาวกว่าเปิงมางและสองหน้าตามลาดับหน้ากลองข้างหนึ่งใหญ่ ข้างหนึ่งเล็กตีทางหน้าเล็ก
กลองชนิดนี้ใช้ตีคู่กับกลองแอว์ในขบวนแห่ต่างๆและใช้ตีประกอบการฟ้ อนกับใช้ตีร่วมกับเครื่องดนตรีอื่นๆ
ในการเล่นเพลงพื้นเมืองภาคเหนือ
กลองแอว์เป็นกลองขึ้นหนังหน้าเดียวเช่นเดียวกับกลองยาวของภาคกลางแต่มีขนาดยาวและใหญ่กว่าหลายเท่า
เหตุที่เรียกว่ากลองแอว์ก็หมายความว่ากลองมีสะเอวนั่นเอง(แอว์คือเอว)ตัวกลองกว้างใหญ่ เอวคอดตอนท้ายเรียว
และปลายบานคล้ายดอกลาโพงกลองชนิดนี้มีประจาตามวัดต่างๆในภาคเหนือเกือบทุกวัด
สาหรับใช้ตีเป็นสัญญาณประจาวัดนอกจากนี้ยังใช้ตีร่วมกับเครื่องดนตรีอื่นๆประกอบการเล่นพื้นเมือง
และใช้ตีเข้าขบวนแห่ในงานพิธี"ปอยหลวง"งานแห่ครัวทานและงาน"ปอยลูกแก้ว"(บวชเณร)
ปี่ซอ ตัวปี่ทาด้วยไม้รวกปล้องยาวมีหลายขนาดความยาวตั้งแต่45- 80 ซม. สารับหนึ่งมีจานวน3 เล่ม5 เล่มหรือ7 เล่ม
ปี่ซอถ้าใช้ 3 เล่มมี 3 ขนาด เล่มเล็กเป็นปี่เอกเรียกว่าปี่ต้อยเล่มกลางเรียกว่าปี่กลางและเล่มใหญ่เรียกว่าปี่ใหญ่
ลักณะการใช้ปี่ ซอ
ใช้กับทานองเพลงเชียงใหม่มักมีซึงร่วมบรรเลงด้วย
ใช้กับทานองเพลงเงี้ยวตามปกติใช้ปี่เอกหรือปี่ต้อยอย่างเดียวเล่นร่วมกับซึงหรือบางครั้งอาจใช้ปี่ทั้ง 3 เล่มล้วนก็ได้
ใช้กับเพลงจ๊อยซึ่งเป็นเพลงราพันรักของคนหนุ่มในขณะไปแอ่วสาว(เกี้ยวสาว)ในเวลาค่าโดยใช้ปี่เอกเป่าคลอกับการสีสะล้อ
ใช้กับทานองเพระลอคือใช้เป่าประกอบการขับเรื่องพระลอ
ใช้กับทานองเพลงพม่าที่มีสร้องเพลงว่า"เซเลเมา"
- 2. เครื่องดนตรีพื้นเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่
พิณพิณพื้นเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีชื่อเรียกแตกต่างกันเช่นซุง หมากจับปี่ หมากต้องโต่งและหมากตับแต่ง
มีสายตั้งแต่2 - 4 สายชนิดที่มี 4 สายก็คล้ายกับซึงของภาคเหนือแต่ปลายกะโหลกพิณป้ านกว่าพิณพื้นเมืองภาคนี้
ทาด้วยไม้เนื้อแข็งประดิษฐ์ขึ้นอย่างง่ายๆไม่สู้จะประณีตนักใช่เล่นเดี่ยวหรือเล่นร่วมกับวงแคนและโปงลาง
โปงลางเป็นเครื่องตี ทาด้วยไม้ร้อยต่อกันจานวน12 ท่อนด้วยเชือกเป็นผืนแต่ละท่อนมีขนาด
และความยาวลดหลั่นกันตามลาดับจากใหญ่ลงมาเล็กเวลาเล่นใช้ด้านใหญ่ (ด้านบน)แขวนกับกิ่งไม้ หรือไม้ขาตั้งด้านเล็ก
(ด้านล่าง)ใช้เท้าผู้เล่นหรือทาที่เกี่ยวยึดไว้ มักใช้ผู้เล่น2คนคนหนึ่งเล่นทานองเพลงเรียก"หมอเคาะ"
อีกคนหนึ่งทาหน้าที่เคาะประสานเสียงทาจังหวะเรียก"หมอเสิร์ฟ"โปงมีเสียง 5 เสียงคือโด เร มี ซอล ลาไม่มีเสียง ฟาและที
แคนเป็นเครื่องเป่า ทาด้วยไม้ซางขนาดต่างๆนามาเรียงลาดับผูกติดกันเป็น2 แถวๆ ละ6 ลาบ้าง7 ลาบ้างหรือ8 ลาบ้าง
สุดแท้แต่ว่าจะเป็นแคนหกแคนเจ็ดหรือแคนแปด โดยเรียงลาใหญ่ไว้คู่หน้าและลาเล็กๆเป็นคู่ถัดไปตามลาดับ
และต้องเรียงให้กลางลาตรงที่ใส่ลิ้นอยู่ในระดับเดียวกันแล้วเอาไม้จริงมาถากเจาะรูสาหรับเป่า (เรียกส่วนนี้ว่า"เต้า")
เอาลาไม้ซางที่เรียงไว้สอดลงในเต้าให้พอดีกับตรงที่ใส่ลิ้นไว้ แล้วเอาชันหรือขี้ผึ้งพอกกันลมรั่วเหนือเต้าขึ้นไปประมาณ 4- 5
ซม. เจาะรูด้านข้างของลาไม้ซางตั้งแต่คู่ที่2เป็นต้นไปลาละ1 รู สาหรับนิ้วปิดเปิดเปลี่ยนเสียงส่วนคู่แรก
เจาะรูด้านหน้าเหนือเต้าขึ้นไปประมาณ 2- 3 ซม. สาหรับนิ้วหัวแม่มือปิดเปิดการเป่าแคนต้องใช้ทั้งเป่าลมเข้า
และดูดลมออกโดยเป่าตรงหัวเต้าด้านที่เจาะรูไว้ อาจกล่าวได้ว่าแคนเป็นเครื่องดนตรีสัญลักษณ์ของภาคอีสาน
ประชาชนแถบนี้นิยมเป่าเล่นสืบต่อกันมาช้านานทั้งเล่นเดี่ยวคลอการร้องและเล่นเป็นวงโดยผสมกับเครื่องดนตรีอื่นเช่นพิณ
โปงลางกลอง ฯลฯประกอบการแสดงพื้นบ้านภาคอีสานต่างๆ
โหวดเป็นเครื่องเป่าไม่มีลิ้นตัวโหวดทาด้วยไม้ไผ่รวก(หรือไม้เฮี้ย)ลาเล็กๆสั้นยาวต่างกันจานวน
6 - 9 ลา มัดติดกับกระบอกไม้ไผ่ที่เป็นแกนกลางโดยใช้ขี้สุดติดแต่ละลาจะมีระดับเสียงแตกต่างกันตามขนาดสั้นยาว
ตามปกติโหวดมีเสียง5เสียงแต่เดิมใช้เชือกผูกปลายด้านหนึ่งแล้วเหวี่ยงหมุนกลั
จ้องหน่อง หึนหรือหุน เป็นเครื่องดีดทาด้วยไม้ไผ่เหลาบางๆยาว12 - 15 ซม. กว้าง11/2 ซม. หนา 1/2 ซม.
ตรงกลางเซาะร่องเป็นลิ้นในตัวปลายด้านหนึ่งสาหรับจับอีกด้านหนึ่งใช้ดีดด้วยนิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วชี้
เวลาเล่นประกบลิ้นจ้องหน่องเข้ากับปากโดยเฉพาะกระพุ้งแก้มใช้เป็นกล่องเสียงสามารถทาเสียงได้ 2- 3 เสียงเท่านั้น
ดีดเป็นทานองได้เล็กน้อยเครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้เล่นกันมาแต่โบราณโดยมากใช้เล่นคนเดียวยามว่าง
เป็นที่นิยมกันทางแถบอีกสานเหนือ
พิณไหเป็นเครื่องประกอบจังหวะทาด้วยไหซองหรือไหกระเทียมใช้ยางเส้นหนาๆขึงที่ปากไห
เวลาเล่นใช้มือดึงเส้นยางให้สั่นเกิดเสียงสูง-ต่า อย่างไรขึ้นอยู่กับขนาดของไหและการขึงเส้นยางให้ตึงหย่อนต่างกัน
พิณไหใช้เล่นประกอบจังหวะในวงโปงลางแคนพิณปกติชุดหนึ่งมี 2 - 3 ลูกหรืออาจมากกว่าก็ได้
โดยมากมักให้หญิงสาวแต่งตัวพื้นเมืองสวยงามยืนเล่นด้วยลีลาอ่อนช้อยตามจังหวะเป็นที่สะดุดตาในวง
ซอกระดองเต่าหรือซอเขาควายเป็นเครื่องสีกระโหลกซอทาด้วยกระดองเต่าตัดส่วนหน้าออกหรือทา
ด้วยเขาควายตัดขนาดตามต้องการแล้วขึงด้วยหนังงูคันซอทาด้วยไม้เนื้อแข็งยาวประมาณ 40ซม. มีลูกบิดสาหรับขึงสาย2
- 3. อัน สายซอเป็นสายลวดคันชักอยู่ระหว่างสายซอทั้ง2สายซอชนิดนี้เป็น ที่นิยมในแถบอีสานใต้
ชาวบ้านทาเล่นกันมานานแล้วใช้บรรเลงเยวในวงกันตรึมและบรรเลงเพลงพื้นบ้านอีสานใต้
ซอบั้ง เป็นซอของชาวภูไท ทาจากกระบอกไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง(ชาวบ้านเรียกไม้โกะ)โดยใช้กระบอกไม้ไผ่ชิ้นเดียวกัน
เป็นทั้งกะโหลกซอและคันซอไปในตัว โดยช่างทาซอจะเหลากระบอกให้บางทาหน้าที่คล้ายหนังหุ้มกะโหลกซอซอบั้งมี 2
สายเป็นสายลวดคันชักอยู่นอกสายเวลาสีต้องสีให้ถูกสายทั้ง 2สายตลอดเวลาเพื่อให้ได้เสียงที่เป็นทานอง
และเสียงประสานควบคู่กันไปซอชนิดนี้นิยมใช้สีประสานเสียงกับเครื่องดนตรีอื่นๆประกอบการฟ้ อนภูไท
ซอปี๊บ เป็นซอ 2 สายเป็นสายลวดกะโหลกทาจากปี๊บน้ามันก๊าดหรือปี๊บขนมคันชักอาจจะอยู่ระหว่างสายทั้งสอง
หรืออยู่ข้างนอกก็ได้ แต่ส่วนมากนิยมให้คันชักอยู่ข้างนอกซอปี๊บใช้สีเดี่ยวหรือสีคลอเสียงหมอลา
ซอกระป๋ อง เป็นซอ 2 สายเช่นเดียวกับซอปี๊บเพียงแต่กระโหลกทาด้วยกระป๋ องและคันชักอยู่ระหว่างสายทั้งสอง
นิยมใช้สีประกอบการขับร้องหรือสีเพลงลายพื้นเมืองของแคน
ทับ หรือโทนชาตรี เป็นกลองชนิดหุ้มหนังหน้าเดียวหุ่นกลองนิยมใช้แก่นไม้ขนุนทาหน้ากลองนิยมใช้ หนังบางๆเช่นหนังค่าง
หรือหนังแมวขึงขึ้นหน้าโดยใช้เชือกหรือหวายผูกตรึงไว้กับหุ่นทับใช้ตีให้ ้จังหวะควบคุมกรเปลี่ยนจังหวะ
เสริมลีลาท่าทางการแสดงละครชาตรี โนราและหนังตะลุงตามปกติใช้ทับ2 ลูก ตีประกอบกับกลองชาตรี
ตานานโนราเรียกทับลูกหนึ่งว่า"น้าตาตก"และอีกลูกหนึ่งว่า"นกเขาขัน"
ปี่กาหลอหรือปี่ห้อ เป็นเครื่องเป่าชนิดหนึ่งเลาปี่ทาด้วยไม้ยาวประมาณ 13นิ้ว มีรูบังคับเสียง7 รู
และด้านล่างมีรูนิ้วหัวแม่มือ1 รู ลิ้นปี่ทาด้วยใบตาลมีบังลมทาด้วยไม้ หรือเปลือกหอยมุกด้านล่าง
เป็นลาโพงปี่ทาด้วยไม้ปากบานเพื่อขยายเสียง(เช่นเดียวกับปี่ชวา)นิยมใช้ลูกปัดสีต่างๆร้อยห้อยที่เลาปี่เพื่อตกแต่งด้วย
ปี่กาหลอใช้เป่าบรรเลงในงานศพหรืองานบวชที่ผู้บวชจะไม่สึก
ปี่ไหน เป็นเครื่องเป่าที่มีรูปร่างเหมือนปี่ในหรือปี่นอกของภาคกลางแต่เล็กกว่าปี่นอกระดับเสียงสูงกว่าปี่รูบังคับเสียง 6 รู
ลิ้นทาด้วยใบตาลผูกติดกับท่อลมเล็กๆ(กาพวด)ปี่ไหนนิยมใช้เป่าประสมในวงดนตรีประกอบการแสดงโนราและหนังตะลุง
กลองชาตรี หรือกลองดตุ๊กมีรูปร่างเช่นเดียวกับ"กลองทัด"แต่มีขนาดเล็กกว่าหลายเท่ามีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10"-
12" สูงประมาณ18 " หุ่นกลองนิยมใช้ไม้ขนุนทาเพราะทาให้เสียงดังดีหน้ากลองขึงด้วยหนังวัวหรือหนังควาย
โดยใช้หมุดไม้ (ชาวใต้เรียก"ลูกสัก")ตอกยึดไว้กับตัวหุ่นกลองชาตรีใช้ตีประกอบการแสดงละครชาตรี โนราและหนังตะลุง
(โดยใช้เป็นจังหวะเสริมลีลาท่าทางการแสดง)ตานานโนราเรียกกลองชนิดนี้ว่า"กลองสุวรรณเภรีโลก"
โนรารุ่นเก่าใช้ตีเวลาผ่านชุมชนหรือสถานที่ๆควรเคารพบูชาตีเป็นสัญญาณบอกคนหรือเรียกคนให้มาดูการแสดง
กราวหรือกรับชักทาด้วยไม้เนื้อแข็งเหลาบางๆกว้างประมาณ11/2นิ้วยาวประมาณ9นิ้ว จานวน
6 -10 อัน นามาร้อยติดกันเป็นพวง(เช่นเดียวกับกรับพวง)โดยเจาะรูตรงกลางสวมกับหลักซึ่งตรึงกับฐานไม้หนาๆ
อันบนสุดมีมือจับ กราวหรือกรับชักนิยมใช้เล่นประกอบจังหวะการแสดงโนราอย่างเดียวเพราะเสียงดังหนักแน่นมาก
- 4. ฆ้องคู่ เป็นฆ้อง 2 ใบ ใบหนึ่งเสียงสูงอีกใบหนึ่งเสียงต่าแขวนขึงอยู่กับรางไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า(สมัยโบราณใช้โหม่งฟาก
ซึ่งทาด้วยแผ่นเหล็ก2อัน) ฆ้องคู่ใช้ตีประกอบการเล่นละครชาตรี โนราและหนังตะลุงโดยประสมกับกลองชาตรี ทับฉิ่ง และ
ปี่