Work1.1
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5
ปีการศึกษา 2562
ชื่อโครงงาน : ปัญหาสมองเสื่อม
ชื่อผู้ทาโครงงาน
ชื่อ นางสาวขรัสวรา คาปวน เลขที่ 40 ชั้น ม.6 ห้อง 6
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
นางสาวขรัสวรา คาปวน เลขที่ 40
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
ปัญหาสมองเสื่อม
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Dementia Problem
ประเภทโครงงาน ประเภทสื่อเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวขรัสวรา คาปวน
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
จากปัจจุบันปัญหาความจาเสื่อมเป็นโรคที่คนไทยในปัจจุบันเมื่อก้าวสู่วัยผู้สูงอายุ หรืออายุเริ่มเพิ่มมากขึ้น
แล้วมีแนวโน้มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้สูง ซึ่งสาเหตุของโรคสมองเสื่อมนี้มีที่มา ได้แก่ เรื่องของอายุและพันธุกรรม
จานวนผู้ป่วยที่พบว่าเป็นโรคสมองเสื่อมนั้นเพิ่มมากขึ้นทุกปี ๆ โดยผู้ป่วยในวัยตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป มีอัตราการป่วยสูงถึง
ร้อยละ 5 - 8 และยิ่งทวีสูงขึ้น เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ในผู้ที่อายุ 90 ปีขึ้นไป พบอัตราการเกิดโรคสูงถึงร้อยละ 50
และภาวะสมองเสื่อมแบ่งได้เป็นสองประเภท ได้แก่ โรคสมองเสื่อมที่รักษาให้หายขาดได้ และโรคสมองเสื่อมที่รักษา
ไม่หายขาด ซึ่งมีสาเหตุแตกต่างกันออกไป ภาวะสมองเสื่อมชนิดที่รักษาได้นั้น ส่วนมากมักมาจากโรคทางกายซึ่งหลาย
ครั้งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ เช่น กลุ่มที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบตัน (Vascular dementia) ซึ่งมีสาเหตุ
จากความดันไขมันหรือน้าตาลในเลือดสูง สาหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถรักษาได้โดยการรับประทานยาควบคู่ไปกับการ
ควบคุมอาหาร และดูแลร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกาลังกาย อาการคล้ายโรคสมองเสื่อมก็จะดีขึ้นหรือหายไป ใน
การวินิจฉัยโรคสมองเสื่อม แพทย์จะมีการซักประวัติจากผู้ป่วย ญาติ หรือผู้ดูแลที่สามารถให้ข้อมูลที่สาคัญเกี่ยวกับ
ความสามารถในชีวิตประจาวัน และพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงความถดถอยด้านการทางานของสมอง โยเริ่มจากการซัก
ประวัติ ความเห็นหรือมุมมองของผู้ดูแลมีความสาคัญมาก หากผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์นั้นไม่สามารถรับรู้ถึงความ
เจ็บป่วยของตนเอง อย่างไรก็ตาม มีบ้างบางครั้งที่ครอบครัวอาจไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติ ด้านความจาจึงไม่
สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยาแก่แพทย์ได้ ดังนั้นเมื่อได้ข้อมูลบางส่วนแล้ว แพทย์ก็จะเริ่มการทดสอบทางสมอง
เพื่อวัดสมรรถภาพการทางานประเมินความบกพร่องในการรับรู้เพื่อใช้วินิจฉัยโรค เช่น ให้ทาแบบทดสอบกระดาษ
หน้าเดียวที่มีคาถามเกี่ยวกับความรู้ทั่วไป ทักษะสมอง คิดเลข จากนั้นตรวจคัดกรองหาสาเหตุของโรคที่รักษาได้ แนว
ทางการรักษามี 2 รูปแบบ คือ การรักษาด้วยการใช้ยาและการรักษาโดยไม่ใช้ยา จากที่กล่าวมาข้างต้นทาให้ผู้จัดทา
อยากทราบเหตุผล สาเหตุ ปัจจัย หรือสิ่งเร้ากระตุ้นต่างๆที่ทาให้เกิดโรคความจาเสื่อมนี้ขึ้นมาให้มากขึ้นและหา
แนวทางในการรักษาโรคความจาเสื่อมนี้เพื่อที่จะได้ดูแลรักษาผู้ที่เป็นโรคนี้ได้ต่อไป
- 3. 3
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1.เพื่อให้ทราบสาเหตุ ปัจจัย หรือสิ่งเร้ากระตุ้นต่างๆที่ทาให้เกิดโรคความจาเสื่อม
2.เพื่อให้ทราบแนวทางในการรักษาโรคความจาเสื่อม
3.เพื่อที่จะได้นาความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้ดูแลกับผู้ป่วยโรคนี้
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
1.สาเหตุของโรค
2.ปัจจัย หรือสิ่งเร้ากระตุ้นต่างๆที่ทาให้เกิดโรคความจาเสื่อม
3.แนวทางในการรักษาโรคความจาเสื่อม
4.วิธีดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
5.วิธีป้องกันโรคความจาเสื่อม
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
สาเหตุของภาวะสมองเสื่อม
โรคสมองเสื่อมกับอัลไซเมอร์ไม่เหมือนกัน โรคอัลไซเมอร์เป็นหนึ่งในสาเหตุของภาวะสมองเสื่อม
60-80% ของคนที่มีภาวะสมองเสื่อมจะเป็นโรคอัลไซเมอร์มาก่อนและมีความเสื่อมถอยของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส
ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมความจา
ซึ่งสาเหตุโรคสมองเสื่อม ได้แก่ เรื่องของอายุและพันธุกรรม จานวนผู้ป่วยที่พบว่าเป็นโรคสมองเสื่อมนั้นเพิ่ม
มากขึ้นทุกปี ๆ โดยผู้ป่วยในวัยตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป มีอัตราการป่วยสูงถึงร้อยละ 5 - 8 และยิ่งทวีสูงขึ้น เมื่ออายุเพิ่มมาก
ขึ้น ในผู้ที่อายุ 90 ปีขึ้นไป พบอัตราการเกิดโรคสูงถึงร้อยละ 50
สาเหตุของสมองเสื่อมชนิดที่อาจรักษาให้กลับคืนเป็นปกติได้ ที่พบบ่อยมีดังนี้
ได้รับสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว
การขาดวิตามิน บี 12
ภาวะขาดไทรอยด์ (Hypothyroidism)
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา
เนื้องอกในสมองบางชนิด
ภาวะโพรงสมองคั่งน้า (Hydrocephalus)
สมองอักเสบ
ราเรื้อรัง
เอดส์ เอชไอวี (HIV)
โรคอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับสมองเสื่อม
โรคฮันติงตัน (Huntington's Disease) เป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่ทาให้เกิดความเสื่อมกับ
ระบบประสาทและส่งผลนาไปสู่ภาวะสมองเสื่อม มักจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยมีอายุประมาณ 30-40 ปี
สมองบาดเจ็บ (Traumatic Brain Injury) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นจากการที่สมองได้รับบาดเจ็บซ้า ๆ กัน
หลายครั้ง เช่น เกิดกับนักมวยหรือนักฟุตบอล ซึ่งเป็นภาวะที่สามารถนาไปสู่ สมองเสื่อมได้ เช่น เสียความทรงจา หรือ
เกิดภาวะซึมเศร้า
โรควัวบ้า (Creutzfeldt-Jakob Disease) มักเป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ เกิดขึ้นได้จาก
กรรมพันธุ์หรือการสัมผัสกับโรคสมองหรือเนื้อเยื่อระบบประสาทที่เป็นโรค เช่น เนื้อสมองจากวัวที่เป็นโรค
- 4. 4
ภาวะสมองเสื่อมแบ่งได้เป็นสองประเภท ได้แก่ โรคสมองเสื่อมที่รักษาให้หายขาดได้ และโรคสมองเสื่อมที่
รักษาไม่หายขาด ซึ่งมีสาเหตุแตกต่างกันออกไป” นายแพทย์อิทธิพลกล่าว “ภาวะสมองเสื่อมชนิดที่รักษาได้นั้น
ส่วนมากมักมาจากโรคทางกายซึ่งหลายครั้งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ เช่น กลุ่มที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ
ตัน (Vascular dementia) ซึ่งมีสาเหตุจากความดันไขมันหรือน้าตาลในเลือดสูง สาหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถรักษาได้
โดยการรับประทานยาควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร และดูแลร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกาลังกาย อาการคล้าย
โรคสมองเสื่อมก็จะดีขึ้นหรือหายไป”
ส่วนภาวะสมองเสื่อมอีกแบบที่ไม่สามารถรักษาได้ มักเกิดจากพยาธิสภาพบางประการในสมอง “มีทฤษฎี
หนึ่งที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าความผิดปกติของสมองดังกล่าว เกิดจากการก่อตัวอย่างผิดปกติของ
โปรตีนอะไมลอยด์ในเนื้อสมองซึ่งในสมองคนสูงอายุทั่วไป สามารถพบโปรตีนดังกล่าวได้ แต่จะมีปริมาณไม่มากเท่ากับ
ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์”
ปัจจัยส่งเสริมให้เกิดโรคสมองเสื่อม
อายุและพันธุกรรม : จานวนผู้ป่วยที่พบว่าเป็นโรคสมองเสื่อมนั้นเพิ่มมากขึ้นทุกปี ๆ โดยผู้ป่วยในวัยตั้งแต่
65 ปีขึ้นไป มีอัตราการป่วยสูงถึงร้อยละ 5 – 8 และยิ่งทวีสูงขึ้น เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ในผู้ที่อายุ 90 ปีขึ้นไป พบอัตรา
การเกิดโรคสูงถึงร้อยละ 50
ความบกพร่องของสมรรถนะทางสมอง เกี่ยวข้องหรือมีปัญหาเกี่ยวกับความทรงจา แต่จะไม่รวมถึงส่วนที่
เกี่ยวข้องกับการใช้ในชีวิตประจาวัน โดยความบกพร่องดังกล่าวมีโอกาสสูงที่จะทาให้เกิดสมองเสื่อมได้
ดาวน์ซินโดรม การพัฒนาเป็นโรคอัลไซเมอร์จะพบบ่อยในผู้ที่เป็นดาวน์ซินโดรมในวัยกลางคน
เบาหวาน ความดัน เป็นส่วนทาให้ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะสมองขาดเลือดได้ (Vascular dementia)
การวินิจฉัยสมองเสื่อม
การวินิจฉัยสมองเสื่อม จะอาศัยการตรวจร่างกายและตรวจสอบประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย หากสงสัย
ว่ามีภาวะสมองเสื่อม แพทย์จะตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ ตรวจสอบระบบประสาท ตรวจสอบสุขภาพทางจิต หรือการตรวจ
อื่น ๆ เช่น การตรวจเลือดและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตัวอย่างการตรวจของแพทย์ที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคสมองเสื่อม ได้แก่
การตรวจสุขภาวะทางจิตแบบย่อ (MMSE) เป็นการทาแบบสอบถามเพื่อวัดความบกพร่องของสมรรถนะทาง
สมอง (Cognitive Impairment) ซึ่งอาจเป็นการประเมินเกี่ยวกับปัญหาเรื่องความจาเบื้องต้น การใช้ภาษา ความ
เข้าใจ หรือทักษะเกี่ยวกับเครื่องยนต์ หากได้ค่าที่ต่ากว่า 23 จาก 30 คะแนน ถือว่ามีความผิดปกติทางสุขภาพจิต
การตรวจ Mini-Cog เป็นการตรวจเพื่อช่วยให้แพทย์วินิจฉัยสมองเสื่อมได้ โดยมี 3 ขั้นตอน คือ
ขั้นแรกแพทย์จะให้คา 3 คา ผู้ป่วยต้องจาและตอบกลับแพทย์ในภายหลัง
ต่อมาแพทย์จะให้ผู้ป่วยวาดหน้าปัดนาฬิกาเพื่อบอกเวลาที่ถูกต้อง
ขั้นสุดท้ายแพทย์จะให้ผู้ป่วยบอกคาที่แพทย์ให้ไว้ในตอนแรก
การตรวจ Clinical Dementia Rating: CDR หากแพทย์วินิจัยว่ามีภาวะสมองเสื่อม แพทย์จะประเมิน CDR
ซึ่งหมายถึงการประเมินความสามารถทางด้านความจา การรู้จักบุคคล เวลา สถานที่ การตัดสินใจและการแก้ปัญหา
การใช้ชีวิตและงานอดิเรก การเข้าสังคมและการดูแลตัวเอง โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้
หากได้ค่าเป็น 0 แสดงว่าปกติ
หากได้ค่าเป็น 0.5 แสดงว่ามีภาวะสมองเสื่อมน้อยมาก
หากได้ค่าเป็น 1 แสดงว่ามีภาวะสมองเสื่อมเล็กน้อย
หากได้ค่าเป็น 2 แสดงว่ามีภาวะสมองเสื่อมปานกลาง
หากได้ค่าเป็น 3 แสดงว่ามีภาวะสมองเสื่อมรุนแรง
- 5. 5
การสแกนสมอง
เพทสแกน (PET Scan) การถ่ายภาพทางรังสี ที่สามารถแสดงภาพรูปแบบการทางานของสมอง เพื่อหาความผิดปกติ
ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือ MRI Scan เพื่อตรวจสอบโรคหลอดเลือดในสมอง เลือดออกใน
สมอง เนื้องอก หรือภาวะโพรงสมองคั่งน้า
แนวทางในการรักษา
แบบการรักษาให้กับผู้ป่วย ซึ่งจะมี 2 รูปแบบ คือ การรักษาด้วยการใช้ยาและการการบาบัด
การรักษาด้วยยา
⭆ ยากลุ่ม Cholinesterase Inhibitors ได้แก่ ยากาแลนตามีน (Galantamine) ยาไรวาสติกมีน (Rivastigmine)
ยาโดนีพีซิล (Donepezil) ซึ่งมีกลไกการทางานไปกระตุ้นการรับรู้ที่เกี่ยวกับความทรงจาและการตัดสินใจ แม้ยา
เหล่านี้จะใช้ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์เป็นหลัก แต่แพทย์มักสั่งยาให้กับผู้ป่วยสมองเสื่อมเช่นกัน โดยอาจมี
ผลข้างเคียง คือ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย
⭆ ยาเมแมนทีน (Memantine) ในบางกรณีแพทย์จะจ่ายยานี้ให้พร้อมกับยากลุ่ม Cholinesterase Inhibitors
โดยกลไกการทางานของยาเมแมนทีนจะเป็นการทางานของสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งในสมอง ซึ่งเกี่ยวกับการทางาน
ของสมอง เช่น ความทรงจาและการเรียนรู้ อาจมีผลข้างเคียงคือทาให้เวียนศีรษะได้
ในส่วนของยาชนิดอื่น ๆ แพทย์อาจจ่ายยาที่รักษาอาการและภาวะอื่น ๆ เช่น นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หรือเกิด
ภาวะซึมเศร้า
การบาบัด
⭆ ปรับเปลี่ยนการทางาน เช่น มีการวางแผนและจัดเตรียมขั้นตอนการทางานให้เรียบร้อย จะช่วยให้ผู้ป่วยสมองมี
ความสับสนน้อยลง
⭆ ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม จัดข้าวของให้เป็นระเบียบและตัดเสียงรบกวน จะช่วยให้ผู้ป่วยสมองเสื่อมจดจ่อกับ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ดีขึ้น
⭆ บาบัดกับนักกิจกรรมบาบัด มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ เช่น การตกจากที่สูง หรือการควบคุม
อารมณ์ โดยนักกิจกรรมบาบัดจะสอนวิธีทางด้านความปลอดภัยและการจัดการกับอารมณ์หรือพฤติกรรมต่าง ๆ
วิธีดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
ทาความเข้าใจ ผู้ดูแลต้องทาความเข้าใจและยอมรับกับภาวะสมองเสื่อมของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ เนื่องจาก
ผู้ป่วยจะมีปัญหาเรื่องความจา และการใช้ความคิดด้านต่าง ๆ ตลอดจนการสูญเสียความสามารถในการแก้ไขปัญหา
หรือการควบคุมตนเองของผู้ป่วย จนทาให้มีการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิกภาพ พฤติกรรม ไปจนถึงไม่สามารถช่วยเหลือ
ตนเองในการดาเนินชีวิตประจาวันได้ และที่สาคัญต้องเข้าใจว่าอาการเหล่านั้นเกิดขึ้นสืบเนื่องจากโรคที่ผู้ป่วยเป็น
ไม่ใช่แกล้งทา
ให้ความรัก การดูแลด้วยความรักและความเข้าใจ เมื่อผู้ดูแลตระหนักว่ายังมีความรักให้กับผู้ป่วยแล้ว ผู้ดูแลก็
จะสรรหาวิธีการรักษาการดูแลด้านจิตใจ และอื่น ๆ ผู้ดูแลสามารถช่วยเหลือด้านจิตใจของผู้ป่วยได้ โดยการให้กาลังใจ
แก่ผู้ป่วย รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือในการทากิจวัตรประจาวันต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การ
ขับถ่ายอย่างถูกสุขอนามัย การอาบน้า สวมใส่เสื้อผ้า รวมไปถึงการดูแลผู้ป่วยเมื่อจาเป็นต้องออกนอกบ้านเพื่อไม่ให้
เกิดการพลัดหลงกัน
- 6. 6
รู้ขีดจากัดของตนเอง นอกจากการดูแลผู้ป่วยแล้ว ตัวผู้ดูแลเองก็ควรจะดูแลร่างกายและจิตใจของตนเองด้วย
รู้ขีดความอดทน สภาพทางอารมณ์ของตัวเอง เนื่องจากการดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ตลอดเวลาอาจก่อให้เกิด
ความเครียดหรือปัญหาด้านอารมณ์ บางครั้งผู้ดูแลอาจรู้สึกผิด ไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนเองทาว่าถูกต้องหรือไม่ ดังนั้น
นอกจากผู้ดูแลจะมีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์แล้ว ต้องดูแลสุขภาพจิตของตนเองด้วย หากรู้สึกเหนื่อยก็ควรหยุด
พักให้ผู้อื่นมาดูแลแทน เมื่อสภาพร่างกายและจิตใจพร้อมแล้วก็ค่อยกลับมาทาหน้าที่ผู้ดูแลใหม่
วิธีป้องกันโรคความจาเสื่อม
แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีข้อมูลเพียงพอสาหรับการป้องกันโรคสมองเสื่อม แต่อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติ
ตัวบางอย่างอาจช่วยให้สมองมีความจาที่ดีได้ เช่นข้อวิธีป้องกันโรคความจาเสื่อมดังต่อไปนี้
1. หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่จะทาให้เกิดอันตรายแก่สมอง เช่น การดื่มเหล้าจัด การรับประทานยาโดยไม่จาเป็น
สูบบุหรี่ หรืออยู่ในที่ที่มีควันบุหรี่
2. การฝึกฝนสมอง ได้แก่ การพยายามฝึกให้สมองได้คิดบ่อย ๆ เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือบ่อย ๆ คิดเลข
เล่นเกมตอบปัญหา ฝึกหัดการใช้อุปกรณ์ใหม่ ๆ เป็นต้น
3. ออกกาลังกายสม่าเสมอ สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง โดยอาจเลือกกิจกรรมเดินเล่น แอโรบิก หรือรามวยจีน เป็น
ต้น
4. พยายามพูดคุย พบปะผู้อื่นบ่อย ๆ เช่น ไปวัด ไปงานเลี้ยงต่าง ๆ หรือเข้าชมรมผู้สูงอายุ (ถ้ามี)
5. ตรวจสุขภาพประจาปี หรือถ้ามีโรคประจาตัวก็ต้องติดตามการรักษาเป็นระยะ เช่น การตรวจหาความเสี่ยง
โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และหมั่นดูแลตัวเองอย่าให้ขาด
6. ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุต่อสมอง ระวังการหกล้ม เป็นต้น
7. พยายามมีสติในสิ่งต่าง ๆ ที่กาลังทาและฝึกสมาธิอยู่ตลอดเวลา
8. พยายามไม่คิดมาก ไม่เครียด หากิจกรรมต่าง ๆ ทาเพื่อคลายเครียด หรือออกไปท่องเที่ยว เนื่องจาก
ความเครียดและอาการซึมเศร้าอาจทาให้จาอะไรได้ไม่ดี
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
-ปรึกษาเลือกหัวข้อ
-นาเสนอหัวข้อกับครูผู้สอน
-ศึกษารวบรวมข้อมูล
-จัดทารายงาน
-นาเสนอครู
-ปรับปรุงและแก้ไข
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
-อินเตอร์เน็ต
-หนังสือที่เกี่ยวข้อง
-คอมพิวเตอร์
-โทรศัพท์
งบประมาณ
-100 บาท
- 8. 8
พบแพทย์(2557).สมองเสื่อม, สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2562. (ออนไลน์)จาก
https://www.pobpad.com/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%
B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1
Utai Sukviwatsirikul(2557).คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมสาหรับญาติและผู้ดูแล, สืบค้น
เมื่อ 20 กันยายน 2562. (ออนไลน์)จาก https://www.slideshare.net/UtaiSukviwatsirikul/ss-46733002
Sattra Rattanopas (2557).สมองเสื่อม เรื่องใกล้ตัวของผู้สูงอายุที่ไม่ควรมองข้าม, สืบค้นเมื่อ 17 กันยายน
2562.(ออนไลน์)จาก.
https://healthathome.in.th/blog/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B
%E0%B9%87%E0%B8%99-
%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B
9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1/?fbclid=IwAR3WLK5IKVKFB
AVk52UtgbKqqGjVr4ePubXfiPhGU3tz_ZoPUfDwITdud-I