More Related Content
Similar to 2562 final-project 23-40
Similar to 2562 final-project 23-40 (20)
More from mearnfunTamonwan
More from mearnfunTamonwan (12)
2562 final-project 23-40
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5
ปีการศึกษา 2562
ชื่อโครงงาน โรคจิต
ชื่อผู้ทาโครงงาน
ชื่อ นายโยธิน จันทร์รังษี เลขที่ 23
นายอติวิชญ์บัวทอง เลขที่40 ชั้นม.6 ห้อง 12
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานร่วม เขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม .……
1.นาย โยธิน จันทร์รังษี เลขที่ 23
นาย อติวิชญ์บัวทอง เลขที่40
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน(ภาษาไทย) :โรคจิต
ชื่อโครงงาน(ภาษาอังกฤษ) : (Psychosis)
ประเภทโครงงาน การศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นาย โยธิน จันทร์รังษี เลขที่ 23
นาย อติวิชญ์ บัวทอง เลขที่40
ชื่อที่ปรึกษาครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ชื่อที่ปรึกษาร่วม ครูนภดล ขอดคำ
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่1 และภาคเรียนที่ 2
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน(อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
ทุกคนคงเคยได้ยินชื่อโรคชื่อนี้ เป็นโรคที่อยู่กับคนไทยมานานแสนนาน โรคจิต (Psychosis) คือ
ภาวะอาการทางจิตที่ผู้ป่วยมักมีอาการหลงผิดไปจากความเป็นจริง ประสาทหลอน หูแว่ว เห็นภาพหรือรับรู้ในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
อาการโรคจิตหรือวิกลจริตนี้เป็นปัญหาสุขภาพจิตที่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยภายในอย่างความผิดปกติทางจิตต่างๆ
อาการเจ็บป่วยทางร่างกาย และปัจจัยภายนอกอย่างการใช้ยาหรือสารเสพติด
แม้อาการบางอย่างของผู้ป่วยโรคจิตจะทาให้ครอบครัวและบุคคลรอบข้างเป็นกังวล แต่หากได้รับการรักษาและการดูแลสนับสนุนที่เหมาะสม
ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะอาการดีขึ้นจนกลับมาใช้ชีวิตประจาวันตามปกติได้
ขอบเขตโครงงาน(คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/12 และนักเรียนยุพราช
- 3. 3
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
โรคจิต (Psychosis) คือ ภาวะอาการทางจิตที่ผู้ป่วยมักมีอาการหลงผิดไปจากความเป็นจริง ประสาทหลอน หูแว่ว
เห็นภาพหรือรับรู้ในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง อาการโรคจิตหรือวิกลจริตนี้เป็นปัญหาสุขภาพจิตที่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ
ทั้งปัจจัยภายในอย่างความผิดปกติทางจิตต่างๆอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย และปัจจัยภายนอกอย่างการใช้ยาหรือสารเสพติด
แม้อาการบางอย่างของผู้ป่วยโรคจิตจะทาให้ครอบครัวและบุคคลรอบข้างเป็นกังวล แต่หากได้รับการรักษาและการดูแลสนับสนุนที่เหมาะสม
ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะอาการดีขึ้นจนกลับมาใช้ชีวิตประจาวันตามปกติได้
อาการโรคจิต
ผู้ป่วยโรคจิตแต่ละคนอาจมีลักษณะท่าทางและอาการที่ปรากฏแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้ว กลุ่มอาการหลัก ๆ ของโรคจิต ได้แก่
ประสาทหลอน ประสาทรับรู้ทั้ง 5 เปลี่ยนแปลงและผิดไปจากความเป็นจริง เช่น เห็นภาพหลอน มองเห็นสีหรือรูปร่างผิดแผกไป
ได้ยินเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยินรู้สึกถึงการสัมผัสทั้งที่ไม่มีใครแตะตัว ได้กลิ่นที่คนอื่นไม่รู้สึก และรับรู้ถึงรสชาติทั้ง ๆที่ไม่มีอะไรอยู่ในปากในขณะนั้น
เป็นต้น
หลงผิด มีความคิดหรือความเชื่ออย่างแน่วแน่ในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เช่น หลงผิดคิดว่าตนเองกาลังถูกปองร้ายหรือมีคนวางแผนฆ่าตนเอง
หลงผิดว่าตนเองเป็นบุคคลสาคัญที่มีอานาจ หรือมีพลังวิเศษ เป็นต้น
มีความคิดสับสนวุ่นวาย หรือมีรูปแบบกระบวนการคิดที่ไม่เป็นลาดับ ซึ่งส่งผลให้มีอาการต่าง ๆ เช่น พูดไม่คิด พูดออกมาในทันที พูดเร็ว
พูดแล้วฟังไม่ได้ศัพท์ จัดเรียงลาดับคาในประโยคไม่ถูกต้อง สื่อสารไม่เข้าใจ พูดขาด ๆหาย ๆ พูดไม่ต่อเนื่อง หยุดพูดเป็นระยะ เป็นต้น
ขาดการตระหนักรู้ ผู้ป่วยโรคจิตมักไม่รับรู้ว่าอาการหลงผิดและประสาทหลอนที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความจริง ทาให้ผู้ป่วยเกิดอาการอื่น ๆ
ที่เป็นปัญหาตามมา เช่น อาการตื่นตระหนก ตกใจกลัว ทุกข์ทรมาน เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคจิตอาจมีอาการอื่น ๆ ปรากฏด้วย เช่น
ซึมเศร้า เก็บตัว
แยกตัวจากเพื่อนและครอบครัว
นอนนานกว่าปกติ หรือนอนไม่พอ
หวาดระแวง ขี้สงสัย
วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่มีสมาธิ
อารมณ์แปรปรวน มีอาการซึมเศร้ามากหรือดีใจมากผิดปกติ
ไม่รักษาความสะอาด
ไม่สนใจทากิจกรรมใด ๆอย่างที่เคย
มีความคิดแปลก ๆ
มีการเคลื่อนไหวร่างกายที่ช้ากว่าปกติ แปลก หรือผิดปกติ
มีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น
มีความคิดหรือพยายามฆ่าตัวตาย
สาเหตุของโรคจิต
แม้ในทางการแพทย์จะยังไม่มีการระบุสาเหตุที่แน่ชัดของอาการโรคจิตได้
แต่มีความเชื่อมากมายเกี่ยวกับปัจจัยสาคัญที่อาจส่งผลกระทบให้ผู้ป่วยเผชิญภาวะโรคจิต ได้แก่
ปัจจัยภายใน
ความผิดปกติทางสมองและระดับสารเคมีในสมอง นักวิจัยหลายคนเชื่อว่า อาการโรคจิตอาจเกิดจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในสมอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสื่อประสาทโดปามีน (Dopamine) ที่ทาหน้าที่ควบคุมกระบวนการคิดและการรับรู้ที่นาไปสู่การเกิดพฤติกรรมต่าง ๆ
หากการทางานของสมองและสารสื่อประสาทได้รับความกระทบกระเทือน อาจส่งผลให้เกิดอาการโรคจิตได้
- 4. 4
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้สนับสนุนแนวคิดนี้ด้วยหลายงานค้นคว้าวิจัย ที่แสดงลักษณะทางกายภาพของสมองผ่านภาพสแกนสมอง
และการทดลองควบคุมระดับโดปามีน ซึ่งมีส่วนช่วยลดการเกิดอาการโรคจิตได้ด้วย
ความผิดปกติทางจิต โรคจิตอาจเกิดจากความผิดปกติทางจิตหรือทางบุคลิกภาพ เช่น ป่วยเป็นโรคจิตเภท (Schizophrenia)
ทาให้มีอาการหลงผิดและประสาทหลอน ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar) ที่ทาให้มีอาการซึมเศร้าหรืออารมณ์ดีสุดขีด
(Mania) มีความเครียด ความวิตกกังวลอย่างหนัก หรืออยู่ในภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง
ความเจ็บป่วยทางร่างกาย เมื่อผู้ป่วยเจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่างอาจส่งผลให้เกิดอาการโรคจิตได้ เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ
ภาวะน้าตาลในเลือดต่า โรคไข้จับสั่นหรือมาลาเรีย โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคพุ่มพวง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคปลอกประสาทอักเสบ
(Multiple Sclerosis) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ซิฟิลิส การติดเชื้อเอชไอวีและกลุ่มอาการเอดส์ มีเนื้องอกในสมอง เป็นต้น
กรรมพันธุ์ บางทฤษฎีเชื่อว่าอาการโรคจิตมีแนวโน้มถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากรุ่นสู่รุ่นได้
ปัจจัยภายนอก
การใช้ยาหรือการได้รับสารเคมีใด ๆเข้าสู่ร่างกายในทางที่ผิด หรือในปริมาณที่เกินพอดี อาจส่งผลกระทบทาให้เกิดอาการโรคจิตได้ เช่น
การดื่มแอลกอฮอล์ การเสพยาเสพติดอย่างโคเคน ยาบ้า (Amphetamine) ยาไอซ์(Methamphetamine) ยาอี(MDMA: Ecstasy)
ยาเค(Ketamine) หรือกัญชา เป็นต้น
อีกกรณีหนึ่ง หากผู้ป่วยหยุดใช้สารดังกล่าวข้างต้นหลังจากใช้ติดต่อกันมาเป็นเวลานาน อาจทาให้เกิดอาการโรคจิตได้
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในอาการถอนพิษยา
นอกจากนี้ แม้เป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก แต่ในบางครั้งอาการโรคจิตอาจเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาบางชนิดได้
หรืออาจเกิดจากการใช้ยาเกินขนาดได้เช่นกัน
การวินิจฉัยโรคจิต
หากผู้ป่วยเผชิญกับอาการต่าง ๆ ที่เป็นสัญญาณของโรคจิต ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาในทันที เพราะการบาบัดรักษาแต่เนิ่น ๆ
จะเป็นผลดีต่อตัวผู้ป่วย
แต่หากผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าป่วย ไม่รับรู้สถานการณ์ และไม่ยอมไปพบแพทย์ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยควรสังเกตอาการที่เกิดขึ้น แล้วปรึกษาแพทย์
ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หรือพาผู้ป่วยไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน
เมื่อไปพบแพทย์ ในเบื้องต้นแพทย์จะซักประวัติและสอบถามอาการ เพื่อหาสาเหตุของอาการโรคจิตที่เกิดขึ้น
โดยแพทย์อาจถามเกี่ยวกับอาการและภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นมีอาการหลงผิดหรือประสาทหลอนหรือไม่ อาการเป็นอย่างไร
การดาเนินชีวิตในแต่ละวันที่ผ่านมา ประวัติการใช้ยาและสารเสพติด และประวัติการป่วยด้วยปัญหาสุขภาพจิตภายในครอบครัว เป็นต้น
หากตรวจอาการในเบื้องต้นแล้วแพทย์มีความเห็นว่าผู้ป่วยอาจมีอาการโรคจิตจริง แพทย์จะส่งต่อผู้ป่วยให้ไปตรวจรักษากับจิตแพทย์
ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสุขภาพจิต จิตแพทย์จะทาหน้าที่ตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการโรคจิต
เพื่อวางแผนรักษาผู้ป่วยร่วมกับเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยทางจิตเวช เช่น นักจิตวิทยา และเจ้าหน้าที่พยาบาล
โดยกระบวนการทั้งหมดอาจเกี่ยวข้องกับการใช้เทคนิคและเครื่องมือประกอบการตรวจวินิจฉัย ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจของผู้ป่วยด้วย
การรักษาโรคจิต
โรคจิตรักษาและบรรเทาอาการได้ โดยปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจาวันต่าง ๆได้ดีขึ้น หรือได้ตามปกติ
โดยกระบวนการรักษาหลัก คือ การรักษาด้วยยา และการบาบัดทางจิต
การรักษาด้วยยา
อาการโรคจิตมักรักษาควบคุมอาการได้ด้วยการใช้ยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotics) ซึ่งเป็นยาตามคาสั่งแพทย์เท่านั้น
แพทย์อาจให้ยาแบบรับประทานหรือให้ผู้ป่วยมาพบเพื่อรับการฉีดยาเป็นระยะ
ยาต้านอาการทางจิตจะออกฤทธิ์ยับยั้งโดปามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมอง เป็นการช่วยลดการเกิดอาการประสาทหลอนและอาการหลงผิด
ช่วยให้ผู้ป่วยคิดและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน และอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงได้ดียิ่งขึ้น โดยยาต้านอาการทางจิตมีอยู่หลายชนิด
แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าควรจะใช้ยาชนิดใดและจะใช้เป็นเวลานานเท่าใด
- 5. 5
การรักษาทางยาเป็นการรักษาที่สาคัญมากวิธีหนึ่ง ดังนั้น
การดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างสม่าเสมอจึงมีความจาเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับยาต้านอาการทางจิตรักษาในช่วงสั้นๆ
ผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้ยานี้เพื่อรักษาควบคุมอาการโรคจิตไปตลอดชีวิต
เนื่องจากภาวะการเจ็บป่วยที่อาจทาให้อาการโรคจิตกาเริบกลับมาได้หากหยุดใช้ยา เช่น ผู้ป่วยโรคจิตเภท (Schizophrenia)
อย่างไรก็ตามการใช้ยาต้านอาการทางจิตอาจส่งผลข้างเคียงและไม่นาไปใช้กับการรักษาผู้ป่วยทุกรายเสมอไป
แพทย์อาจต้องดูแลอาการอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในผู้ป่วยบางราย เช่น ผู้ป่วยโรคลมชัก เพราะยาต้านอาการทางจิตอาจส่งผลทาให้การเกิดอาการชักได้
หรือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะยาอาจส่งผลต่อการทางานของหัวใจ หลอดเลือด และการหมุนเวียนเลือด
ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้ป่วยได้
ส่วนผลข้างเคียงทั่วไปที่อาจพบในผู้ป่วยบางรายหลังการใช้ยาต้านอาการทางจิต ได้แก่ อาการง่วงซึม ปากแห้ง เวียนหัว ท้องผูก ตัวสั่น ใจสั่น
กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข ความต้องการทางเพศลดลง น้าหนักตัวเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อกระตุกหรือหดเกร็งจนอาจทาให้เกิดความเจ็บปวด
ทัศนวิสัยในการมองเห็นไม่ชัดเจน เป็นต้น
ทั้งนี้ หากผู้ป่วยหรือผู้ดูแลผู้ป่วยพบอาการที่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทาการตรวจรักษาให้ทันท่วงทีต่อไป
การบาบัดทางจิต
การบาบัดทางจิตอาจช่วยคลายความตึงเครียดและความวิตกกังวลที่เกิดจากอาการโรคจิต เช่น
การบาบัดด้วยการปรับความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioural Therapy: CBT) เป็นวิธีการดูแลสนับสนุนให้ผู้ป่วยได้พูดคุย
บอกเล่าถึงสิ่งที่พวกเขากาลังเผชิญจนทาให้เกิดความทุกข์ นักบาบัดจะคอยกระตุ้นให้ผู้ป่วยทาความเข้าใจถึงสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย
เพื่อให้พวกเขาผ่อนคลายและหาทางออกจากความทุกข์เหล่านั้นได้ในที่สุด
วิธีการนี้มักได้ผลดีกับผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียวแล้วไม่เกิดประสิทธิผลมากเท่าที่ควร
อีกทั้งเป็นวิธีที่อาจส่งผลดีในระยะยาวได้จากการที่ผู้ป่วยเรียนรู้ที่จะปรับ จัดการ จัดระเบียบรูปแบบความคิดและพฤติกรรมของพวกเขาเอง
การบาบัดแบบครอบครัว เป็นวิธีการที่ให้ผู้ป่วยและสมาชิกในครอบครัวได้มาพูดคุยถึงความคิดความรู้สึก
และปรึกษาหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวผู้ป่วยที่ส่งผลกระทบกับสมาชิกคนอื่น ๆในครอบครัวไปด้วย
ช่วยทาให้ญาติจัดการกับปัญหาของผู้ป่วยได้ดีขึ้น มีความรู้สึกเครียดกับความเจ็บป่วยของผู้ป่วยน้อยลง
โดยขั้นตอนทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักบาบัดเช่นกัน วิธีการนี้มักเกิดประสิทธิผลที่ดีทั้งต่อตัวผู้ป่วยและบุคคลในครอบครัวในระยะยาวด้วย
เพราะนาไปสู่การเกิดความรักความเข้าใจ และความเห็นอกเห็นใจกันภายในครอบครัวมากยิ่งขึ้น
การเข้าร่วมกลุ่มช่วยเหลือตนเอง (Self-Help Goups)
นักบาบัดจะคอยดูแลสนับสนุนให้ผู้ป่วยที่เคยมีอาการโรคจิตได้พูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
เนื่องจากการได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ที่เคยเผชิญเหตุการณ์คล้าย ๆกัน อาจช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย
และเข้าใจสถานการณ์ได้ดีจนเกิดประสิทธิผลที่ดีในการบาบัดรักษาตามมา
ภาวะแทรกซ้อนของโรคจิต
การใช้ยาในทางที่ผิดและการใช้สารเสพติด ผู้ป่วยที่มีประวัติอาการโรคจิตมีแนวโน้มที่จะใช้ยาและสารเสพติดต่าง ๆ
อย่างผิดจุดประสงค์หรือเกินขนาด เพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น การใช้ยาหรือสารเสพติดในลักษณะนี้
อาจมีผลทาให้อาการโรคจิตกาเริบและทรุดหนักลง
การทาร้ายตนเองและการฆ่าตัวตาย ผู้ป่วยที่มีประวัติอาการโรคจิตมีแนวโน้มในการทาร้ายร่างกายตนเองหรือพยายามฆ่าตัวตาย
โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้มักสวมใส่เสื้อผ้าปกคลุมผิวหนังและร่างกายไว้แม้ในสภาพอากาศที่ร้อนมากก็ตาม
เพื่อไม่ให้คนภายนอกมองเห็นร่องรอยหรือบาดแผลที่เกิดจากการทาร้ายตนเอง บุคคลใกล้ชิดจึงควรสังเกตอาการของผู้ป่วย
หากพบเห็นสัญญาณของการทาร้ายตนเอง เช่น รอยแผลที่หาสาเหตุไม่ได้ รอยฟกช้า รอยไหม้จากการถูกบุหรี่จี้ ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที
การป้องกันการเกิดอาการโรคจิต
โรคจิตอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเตุ ซึ่งบางปัจจัยก็เป็นเหตุที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่ในบางกรณี
อาจป้องกันการเกิดอาการโรคจิตได้ด้วยการลดความเสี่ยงด้านต่าง ๆ เช่น
หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดให้โทษทุกชนิด ทั้งการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือการใช้ยาเสพติด
- 6. 6
หลีกเลี่ยงการใช้ยาอย่างผิดจุดประสงค์ หรือเกินปริมาณที่แพทย์กาหนด
ออกกาลังกายอย่างเหมาะสมสม่าเสมอเพื่อให้ร่างกายหลั่งสารเคมีในสมองเซโรโทนิน ซึ่งช่วยในการกระตุ้นอารมณ์ผ่อนคลายต่าง ๆ
เรียนรู้วิธีจัดการกับความเครียด สร้างความผ่อนคลายให้แก่ร่างกายแลจิตใจ โดยไม่ใช้วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจทาให้เกิดปัญหาอื่น ๆ
ตามมาได้อย่างการดื่มสุรา หรือการใช้ยาเสพติด
บริหารอารมณ์และความคิด มองโลกในแง่ดี และคิดแก้ไขจัดการปัญหาต่าง ๆอย่างสร้างสรรค์
หมั่นสังเกตอาการและความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนเองหรือบุคคลใกล้ชิด ทั้งทางร่างกายและจิตใจ หากพบความผิดปกติหรือมีข้อสงสัยใด ๆ
ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือไปพบแพทย์ตรวจรักษา
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
-เลือกหัวข้อโครงาน
-นาเสนอหัวข้อแก่ครูผู้สอน
-ศึกษารวบรวมข้อมูล
-จัดทารายงาน
-นาเสนอครูผู้สอน
-ปรับปรุงและแกไข
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
-คอมพิวเตอร์
-โทรศัพท์มือถือ
-อินเตอร์เน็ต
งบประมาณ
200-300บาท
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
- 7. 7
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
1.ผู้จัดทามีความเข้าใจในหัวข้อที่สนใจมากขึ้น
2.สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้จริง
3.สามารถนาความรู้ไปเผยแพร่ให้เพื่อนหรือบุคคลที่สนใจได้
4.ผู้จัดทามีการทางานเป็นระบบยิ่งขึ้น
สถานที่ดาเนินการ
ห้องคอมพิวเตอร์โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาสุขศึกษา
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆที่นามาใช้การทาโครงงาน)
https://www.phukethospital.com/th/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0
%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A
1%E0%B8%B9%E0%B9%88-en/cancer/
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9
%87%E0%B8%87