More Related Content
Similar to โครงงานคอมพิวเตอร์ (20)
More from charintip0204 (15)
โครงงานคอมพิวเตอร์
- 1. 1
โครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202
ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน การศึกษาไทย 4.0 เป็นยิ่งกว่าการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นางสาวพิจิตรา สิทธิคา เลขที่ 24 ชั้น ม.6 ห้อง 10
นางสาวยุวพร จุ้ยพุทธา เลขที่ 32 ชั้น ม.6 ห้อง 10
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1.นางสาวพิจิตรา สิทธิคา เลขที่ 24
2.นางสาวยุวพร จุ้ยพุทธา เลขที่ 32
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
การศึกษาไทย 4.0 เป็นยิ่งกว่าการศึกษา
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Education 4.0
ประเภทโครงงาน โครงงานเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวพิจิตรา สิทธิคา , นางสาวยุวพร จุ้ยพุทธา
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
คนส่วนใหญ่ได้ยินคาว่า “ไทยแลนด์ 4.0” บ่อยมาก หลายคนก็ติดตามดูว่ามันคืออะไร และก็มีหลาย
หน่วยงานนาไปขยายความในองค์กรของตัวเองแล้วต่อด้วย 4.0 เช่น เกษตร 4.0 อุตสาหกรรมอาหาร 4.0 การ
ท่องเที่ยว 4.0 อื่นๆ อีกหลาย 4.0 ดูเหมือนว่าอะไรๆ ก็ 4.0 มันทันสมัยดี การศึกษาก็เช่นเดียวกัน ไม่น้อยหน้ากว่า
หน่วยงานอื่นๆ ก็ประกาศการศึกษา 4.0 หลายคนก็ให้ความเห็นไปต่างๆ นานาตามความรู้สึกของตนเอง ก่อนที่จะ
พูดถึงการศึกษา 4.0 ต้องทาความเข้าใจก่อนว่าไทยแลนด์ 4.0 คืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร ไทยแลนด์ 4.0 เป็น
โมเดลในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ที่มีมาไม่น้อยกว่า 50 ปี โดยในปี พ.ศ. 2504 เริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติฉบับแรก ยุคนั้นน่าจะเป็นไทยแลนด์ 1.0 สังคมเกษตรกรรมที่เน้นการเกษตรเป็นหลัก ซึ่งในสมัยนั้น
จะมีเพลงลูกทุ่งที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยให้ประชาชนรู้จัก
ประกอบอาชีพด้านการเกษตร ดังเนื้อเพลง “พ.ศ. สองพันห้าร้อยสี่ ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มา
ประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าวถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา ทางการเขาสั่งมาว่า ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ด
และสุกร” นับว่าเป็นความพยายามของรัฐบาลที่จะส่งเสริมให้ประชาชนมีรายได้ยุคไทยแลนด์ 1.0 เป็นยุคที่ยาวนาน
พอสมควร ข้าพระเจ้าจึงสนใจที่จะศึกษาเพิ่มเติมในเรื่อง การศึกษาไทย 4.0 เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้ผู้ที่สนใจศึกษาต่อไป
วัตถุประสงค์
1. ต้องกาหนดนโยบายหรือออกกฎกระทรวงนักเรียนต่อห้องต้องไม่เกิน 36 คน
2. การจัดความพร้อมของโรงเรียน หมายถึงโรงเรียนทั้งประเทศอย่างน้อยในทุกตาบล หรืออาเภอ หรือจังหวัด
3. หลักสูตรต้องมีการปรับปรุง อาจจะหลักสูตรรายวิชา มีการยกระดับวิชาคอมพิวเตอร์ วิชาเทคโนโลยี มาเป็นวิชา
หลัก
4. ต้องนาสะเต็มศึกษา (STEM EDUCATION) และ Active Learning เข้ามาจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน
- 3. 3
5. ต้องสร้างตัวชี้วัดระดับบุคคลในการประเมินผลการปฏิบัติงานของครู เพื่อจะทาให้ทราบจุดเด่นจุดด้อย ต้อง
พัฒนาครูเป็นรายบุคคล
ขอบเขตโครงงาน
ศึกษาค้นคว้าผลงานstemภายในยุค 4.0 ของโรงเรียนต่างๆ
หลักการและทฤษฎี
การศึกษา 4.0 จากปัญหาต่างๆ ของประเทศไทย เช่น เศรษฐกิจล้มเหลว การเมืองล้มแล้ว สังคมล้มเหลว
หรือทุกๆ ปัญหาที่ล้มเหลวต่างก็โทษการศึกษาล้มเหลว ไทยแลนด์ 4.0 เป้าหมายต้องการให้ประเทศไทยมีนวัตกรรม
เป็นของตนเอง แต่หลักสูตรการศึกษาและการจัดการเรียนการสอนของครูตอบสนองเป้าหมายของไทยแลนด์ 4.0
แล้วหรือยัง ทั้งๆ ที่มีการเปลี่ยนและปรับหลักสูตรมาตลอดกว่า 50 ปี ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการจัด
การศึกษาของประเทศ เพื่อตอบสนองการสร้างนวัตกรรมของประเทศ โดยกระทรวงศึกษาต้องเป็นผู้นาที่ต้องเดิน
พร้อมไปกับโรงเรียนที่เป็นหน่วยปฏิบัติโดยตรง ดังนี้
1. ต้องกาหนดนโยบายหรือออกกฎกระทรวงนักเรียนต่อห้องต้องไม่เกิน 36 คน เพื่อให้เกิดประสิทธิการใน
การสอนอย่างจริงจัง ครูสามารถดูแลนักเรียนในการจัดกิจกรรมการสอนได้อย่างทั่วถึง จะออกข้อสอบอัตนัย ครูก็
สามารถที่จะตรวจข้อสอบได้ในเวลาที่พอเหมาะ ไม่ใช่นักเรียนห้องละ 50 ครูดูแลไม่ทั่วถึง ใครไม่สนใจครูจาเป็นต้อง
ปล่อย ปัจจุบันอัตราการเกิดของประชากรน้อยมาก นักเรียนก็ลดลงทุกโรงเรียน ฉะนั้น โรงเรียนสามารถรับนักเรียนได้
อย่างเพียงพอ
2. การจัดความพร้อมของโรงเรียน หมายถึงโรงเรียนทั้งประเทศอย่างน้อยในทุกตาบล หรืออาเภอ หรือ
จังหวัด ต้องมีความพร้อมเท่าเทียมกัน ทั้งสื่อ อุปกรณ์ ครู อาคารสถานที่ ต้องมีความพร้อมเท่ากัน ไม่ให้เกิดการ
เปรียบเทียบถึงความแตกต่าง
3. หลักสูตรต้องมีการปรับปรุง อาจจะหลักสูตรรายวิชา มีการยกระดับวิชาคอมพิวเตอร์ วิชาเทคโนโลยี มา
เป็นวิชาหลัก ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการงานอาชีพ การเรียนเป็นรายวิชาจะมีข้อดี คือสามารถจะเปลี่ยนรายวิชาได้
ทุกปี เป็นวิชาที่โรงเรียนสามารถจัดให้นักเรียนเรียนวิชาที่ทันยุคทันสมัยได้เลย ไม่กาหนดตายตัว
4. ต้องนาสะเต็มศึกษา (STEM EDUCATION) และ Active Learning เข้ามาจัดการเรียนการสอนใน
โรงเรียน คาว่า “สะเต็ม” หรือ “STEM” เป็นคาย่อจากภาษาอังกฤษของศาสตร์ 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์
(Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) หมายถึง
องค์ความรู้ วิชาการของศาสตร์ทั้งสี่ที่มีความเชื่อมโยงกันในโลกของความเป็นจริงที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ต่างๆ มา
บูรณาการเข้าด้วยกันในการดาเนินชีวิตและการทางาน การจัดการเรียนการสอนของไทยเรา ครูผู้สอนจะสอนแยก
ส่วน เช่น สอนเคมี ก็เคมีล้วนๆ ฟิสิกส์ ก็ฟิสิกส์ล้วนๆ หรือคณิตศาสตร์ก็คณิตศาสตร์ล้วนๆ ไม่เคยนามาบูรณาการใน
ชิ้นงาน หลักของวัตกรรมทั้งหมดเกิดจากการบูรณาการของคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ แล้วจึงเกิด
นวัตกรรมจนกลายเป็นเทคโนโลยี ต่อมามีนาการนาเทคโนโลยีมาบูรณาการกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จึงเกิด
นวัตกรรมใหม่ต่อยอดไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ โดยใช้กระบวนการทางวิศวกรรมในการสร้างนวัตกรรม
การสอนให้นักเรียนสร้างนวัตกรรมนั้น ต้องสอนให้นักเรียนรู้แบบโครงงาน หรือการสร้างชิ้นงาน โดยใน
โครงงานหรือชิ้นงานนั้น นักเรียนต้องตอบได้ว่ามีคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไร ใน
อดีตการสร้างชิ้นงานของนักเรียน เราไม่เคยนาวิชา STEM เข้ามาบูรณาการ ตัวอย่างเช่น อดีตการหุงข้าวเป็นวิถี
ชีวิตประจาวัน แม่บอกให้กรอกข้าว 1 หรือ 2 กระป๋อง ใส่น้าให้สูงจากข้าวสาร 1 ข้อ หรือแล้วแต่บางคนให้ท่วมหลัง
มือ การหุงข้าวใช้ไม้ฟืนหรือถ่าน หุงข้าวสุกไม่ดิบสามารถรับประทานได้เสร็จก็จบ แต่เราไม่เคยนาหลักคณิตศาสตร์
เรื่องการตวง เรื่องปริมาตร หลักวิทยาศาสตร์ เรื่องความร้อน เข้ามาคิดในเรื่องการหุงข้าว ญี่ปุ่นนาหลักของ STEM
มาใช้ในการหุงข้าว โดยใช้หลักของคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เช่น เรื่องของปริมาตร การตวง เรื่องของความร้อน
- 4. 4
เรื่องของเวลา จนสามารถสร้างหม้อหุงข้าวไฟฟ้าได้สาเร็จ และมีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ เช่น กาหนดเวลาในการหุง
ข้าว การอุ่นข้าว การต้มข้าว ฯลฯ
หรือขอยกตัวอย่างในชีวิตจริง คนไทยมีการปรุงอาหารต่างๆ มากมาย เช่น แกงบ้าง ทาขนมบ้าง บ้างคนทา
อร่อย บางคนไม่อร่อย ขึ้นอยู่กับฝีมือ การปรุงอาหาร หรือขนม ก็ใช้ความเคยชินในการปรุง เช่น การเหยาะน้าปลา
ใส่น้าตาล ใส่เกลือ เป็นฝีมือเฉพาะคน แต่ถ้าเรานาหลัก STEM เข้ามาจับ ก็จะทาเกิดแฟรนไชส์ (Franchise) เป็นของ
ตนเอง ฉะนั้นหลักสูตรต้องกาหนดให้นักเรียนต้องมีโครงงาน หรือชิ้นงานที่ตอบโจทย์ STEM ได้ ครูผู้สอนในกลุ่มวิชา
คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการงานอาชีพ ต้องมีความรู้ในนา STEM มาบูรณาการในโครงงาน หรือ
ชิ้นงานของนักเรียนได้ ส่วน Active Learning เป็นการจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนลงมือปฏิบัติจริง สร้างชิ้นงาน
เป็นของตนเองได้จริง โดยงานเดี่ยวหรืองานกลุ่ม ซึ่งสอดคล้องกับ STEM ถ้าเป็นวิชาที่เป็นเนื้อหา นักเรียนสามารถที่
จะสรุปนาเสนอผลงานของตนเองได้
5. ต้องสร้างตัวชี้วัดระดับบุคคลในการประเมินผลการปฏิบัติงานของครู เพื่อจะทาให้ทราบจุดเด่นจุดด้อย
ต้องพัฒนาครูเป็นรายบุคคล กระทรวงต้องการให้ครูเป็นอย่างไรก็กาหนดตัวชี้วัดมาประเมินในสิ่งที่ต้องการให้เป็น
ปัจจุบันตอบไม่ได้ว่าครูแต่ละคนมีสิ่งที่จะต้องพัฒนาอะไรบ้าง จุดเด่นของครูมีอะไรบ้าง เช่น ต้องการให้ครูนา
เทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอน ก็ต้องสร้างตัวชี้วัดเพื่อประเมินครูว่ามีการใช้ได้หรือเปล่า เช่น กระทรวงมี
นโยบายอย่างไร นโยบายจะสาเร็จหรือไม่ต้องกาหนดตัวชี้วัดของนโยบายนั้นๆ ระดับโรงเรียน และระดับตัวบุคคลของ
แต่ละนโยบาย ถึงจะตอบโจทย์แห่งความสาเร็จนั้นได้
แหล่งที่ : http://www.manager.co.th/qol/viewnews.aspx?NewsID=9600000025195
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
ศึกษาการจัดทาโครงงานคอมพิวเตอร์ การพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา เรื่อง การศึกษาไทย 4.0 เป็นยิ่ง
กว่าการศึกษา
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
เครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ต
เว็บไซส์ที่ใช้ในการค้นหาข้อมูล www.facebook.com , www.google.com
Flash Drive เพื่อการบันทึกข้อมูล
แผ่นซีดีเพื่อการบันทึกขั้นตอนต่าง ๆ ในการนาเสนอโครงงานต่ออาจารย์ที่ปรึกษา
งบประมาณ
ค่าแผ่นซีดี 10 บาท
ค่ากล่องซีดี 30 บาท
- 5. 5
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ส่วนนี้จะเป็นการบอกถึงว่าเมื่อโครงการที่ทาสิ้นสุดลง จะมีผลกระทบในทางที่ดีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นโดยตรง
และโดยอ้อม โดยระบุให้ชัดเจนว่าใครจะได้รับผลประโยชน์และผลกระทบนั้นได้รับในลักษณะอย่างไร ทั้งในเชิง
ปริมาณและเชิงคุณภาพ นอกจากส่วนประกอบทั้ง 11 รายการที่ได้กล่าวแล้ว การเขียนโครงการแบบประเพณีนิยมยัง
อาจมีส่วนประกอบอื่นๆ อีกเช่น
1. หน่วยงานที่ให้การสนับสนุน หมายถึง หน่วยงานที่ให้ความร่วมมือ หรือให้งบประมาณสนับสนุนในการดาเนินงาน
เพื่อให้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้
2. ผู้เสนอร่างโครงการ หมายถึงผู้เขียนและทาโครงการขึ้นเสนอให้ผู้มีอานาจในการพิจารณาอนุมัติโครงการ ใช้ใน
กรณีที่ผู้ทาโครงการไม่ได้เป็นผู้เขียนโครงการเอง
3. เอกสารอ้างอิง หมายถึง เอกสารที่เป็นแหล่งค้นคว้าอ้างอิงในการทาโครงการในเรื่องนั้น และใช้สาหรับศึกษา
ค้นคว้าเพิ่มเติมเมื่อผู้ปฏิบัติโครงการเกิดข้อสงสัย
จากรูปแบบการเขียนโครงการที่กลาวมาทั้งหมด เปนเพียงรูปแบบที่ใชกันโดยทั่วไป จึงอาจจะมีลักษณะอยาง
อื่นที่แตกตางกันออกไปในสวนของรายละเอียด ขึ้นอยูกับแตละหนวยงานจะเปนผูกาหนดไวเพื่อเปนแนวทางสาหรับผู
เขียนโครงการการเขียนโครงการ
สถานที่ดาเนินการ
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
การงานอาชีพและเทคโนโลยี
แหล่งอ้างอิง
Dr.Borworn. (2560). ประเทศไทย 4.0 .สืบค้นเมื่อ 1 ธันวาคม 2560, จาก
http://www.drborworn.com/articledetail.asp?id=16223
ETDA Thailand. (2560). Thailand 4.0 คืออะไร ศัพท์ใหม่ที่คนไทยควรรู้. สืบค้นเมื่อ 1 ธันวาคม
2560, จาก https://www.facebook.com/ETDA. Thailand/posts/1335382059808700:0