SlideShare a Scribd company logo
1 of 8
1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5
ปีการศึกษา 2562
ชื่อโครงงาน 10 วิธีการเตรียมตัวสอบให้ได้คะแนนดี
ชื่อผู้ทาโครงงาน
ชื่อ นางสาวรักษิณา เมืองใจ เลขที่ 14 ชั้น ม.6 ห้อง 4
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1 นางสาวรักษิณา เมืองใจ เลขที่14
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
10 วิธีการเตรียมตัวสอบให้ได้คะแนนดี
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
How toget better score in your exam
ประเภทโครงงาน
โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นางสาวรักษิณา เมืองใจ เลขที่ 14ม.6/4
ชื่อที่ปรึกษา
คุณครูเขื่อนทอง มูลวรรณ
ระยะเวลาดาเนินงาน
ภาคเรียนที่1-ภาคเรียนที่2
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
การศึกษาเป็นสิ่งที่สาคัญสาหรับชีวิตของเราทุกคนและเป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหาองค์ความรู้เพื่อมาใช้ในการ
ดาเนินชีวิต การทางาน และการสร้างความสาเร็จให้กับชีวิตของเราทุกคน
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษามีอิทธิพลต่อสังคมโลกในปัจจุบัน ต่างคนต่างแสวงหาหลักสูตร สถาบัน
หรือสถานที่สาคัญเก็บเกี่ยวความรู้นั้นๆ อย่างจริงจัง
และเป็นที่คาดหวังว่าจะค้นพบตัวตนได้จากการศึกษาในสาขาหรือหลักสูตรนั้น ๆด้วยเช่นกัน
ระบบโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กระแสโลกาภิวัตน์ได้เข้ามาอิทธิพลต่อหลายๆประการในสังคม
ไม่เว้นแต่ระบบการศึกษาที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก
เพื่อก่อให้เกิดความทันสมัยในองค์ความรู้และสอดคล้องต่อผู้ศึกษาและยังมีส่วนช่วยดึงดูดให้ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษา
และนาองค์ความรู้ไปใช้เพื่อเกิดประโยชน์ต่อไป
ดังนั้นผู้คนที่มีความเพียรพยายามใฝ่ความความรู้เริ่มจากการตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ
จะส่งผลให้สอบได้คะแนนดีและจะประสบผลสาเร็จในชีวิต
3
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1. สร้างให้ตนเองเกิดความฉลาดและมีผลการเรียนที่ดีขึ้น
2. พยายามหมั่นฝึกฝนสมองให้ได้ขบคิดอยู่และค้นคว้าเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
3. รู้จักวิเคราะห์ข้อมูลรอบตัวเพื่อท้ายที่สุดจะได้นาข้อมูลเหล่านั้นมาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตนเอง
4. การเป็นคนเรียนดีมีผลการเรียนอยู่ในระดับสูงจะช่วยทาให้ชีวิตพบแต่ความสาเร็จมากมาย
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
เป็นโครงงานเพื่อคิดค้นเพื่อเป็นแนวทางต่อยอดจากการเรียนรู้จากในห้องเรียน 10 เทคนิควิธีการ
เตรียมพร้อมกับสนามสอบเพื่อคะแนนที่ดีจะส่งผลทาให้ติดมหาลัยที่เราคาดหวังหรือมีผลการเรียนที่ดี
เทคนิคเหล่านี้สามารถสร้างวินัยในตัวเองให้เป็นคนที่ขยันมั่นเพียร อดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคหรือปัญหาที่เผชิญ
ไม่มีอะไรเกินกว่าความพยายามของเราขอแค่เราคิดจะทาอย่างสุดความสามารถ
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
การเรียนรู้ (Learning) คือ กระบวนการของประสบการณ์ที่ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่าง
ค่อนข้างถาวร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ไม่ได้มาจากภาวะชั่วคราว วุฒิภาวะ หรือสัญชาตญาณ(Klein
1991:2)ความหมายของการเรียนรู้ การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร
โดยเป็นผลจากการฝึกฝนเมื่อได้รับการเสริมแรง มิใช่เป็นผลจากการตอบสนองตามธรรมชาติที่เรียกว่า
ปฏิกิริยาสะท้อน (Kimble and Garmezy)การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ทาให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
อันเป็นผลจากการฝึกฝนและประสบการณ์ แต่มิใช่ผลจากการตอบสนองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ (Hilgard and
Bower) การเรียนรู้เป็นการแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง
อันเป็นผลเนื่องมาจากประสบการณ์ที่แต่ละคนได้ประสบมา (Cronbach)
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่บุคคลได้พยายามปรับพฤติกรรมของตน
เพื่อเข้ากับสภาพแวดล้อมตามสถานการณ์ต่างๆ จนสามารถบรรลุถึงเป้าหมายตามที่แต่ละบุคคลได้ตั้งไว้ (Pressey,
Robinson andHorrock)
เทคนิคการอ่านหนังสือให้จาแม่น เรียนเก่ง สอบผ่าน ไม่ว่าใครก็อยากเป็นคนหัวดีกันทั้งนั้น
อ่านหนังสือวันละหลายชั่วโมงก็แล้ว แต่ทาไมเกรดถึงยังไม่พุ่ง คะแนนยังอยู่เท่าเดิม
แถมบางครั้งก็ลืมเนื้อหาที่เพิ่งอ่านไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะอ่านหนังสือผิดวิธีมาตลอดยังไงล่ะ
ลองมาดู เทคนิคการอ่านหนังสือ ในบทความนี้
ที่จะช่วยให้การสอบครั้งหน้าคะแนนพุ่งกระฉูดกว่าเดิมอย่างแน่นอน
เทคนิคการอ่านหนังสือที่ใครๆ ก็ทาได้!
อ่านทบทวนทุกครั้งหลังเรียนจบ : การจะทาให้มีนิสัยชอบอ่านหนังสือนั้น ควรเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ก่อน
เช่นการทบทวนสิ่งที่เรียนทันทีหลังจากจบคาบ บางคนเวลาเรียนเสร็จแล้วก็เก็บของลุกออกจากห้องทันที
4
ทาให้ไม่ได้ทบทวนสิ่งที่เรียนให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ลองเปรียบเทียบการอ่านหนังสือก่อนสอบหนึ่งวันเต็ม
กับการทบทวนบทเรียนห้านาทีหลังเรียนจบดูสิ ว่าอยากทาแบบไหนมากกว่ากัน
การทบทวนบทเรียนนอกจากจะทาให้จาแม่นยิ่งขึ้นแล้ว ยังทาให้รู้ว่าเรามีอะไรไม่เข้าใจในบทเรียนนี้อยู่บ้าง
จะได้นาเนื้อหาที่ไม่เข้าใจไปถามอาจารย์นอกรอบ
ห้ามอ่านหนังสือจนดึกดื่น : อย่าเสียแรงอ่านหนังสือจนดึกดื่นเลย เพราะเราต้องทนง่วง
อ่านหนังสือให้มันเสร็จๆ ได้รีบไปนอน
การอ่านหนังสือแบบนั้นนอกจากจะไม่ช่วยให้จาได้แล้วยังทาให้เสียสุขภาพด้วย วิธีที่ควรทาคือ ถ้าง่วงก็ไปนอน
รีบนอนตั้งแต่หัวค่า แล้วทดแทนด้วยการตื่นให้เช้าขึ้น ตอนเช้าตรู่เป็นช่วงเวลาที่จิตใจปลอดโปร่งที่สุด
การอ่านหนังสือตอนเช้าหนึ่งชั่วโมง มีประสิทธิภาพเทียบเท่าการอ่านหนังสือสองชั่วโมงช่วงค่า
ฉะนั้นการอ่านหนังสือแบบหามรุ่งหามค่าจึงเป็นวิธีที่ผิด หากคิดจะเรียนให้เก่งต้องนอนแต่หัวค่า
และตื่นมาอ่านหนังสือตอนเช้าตรู่
อ่านแล้วทดสอบด้วย : วิธีเรียนประเภทอ่านทวนเป็นที่นิยมมาก แต่การอ่านเฉยๆ
ไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพนัก คนในยุคนี้ชอบใช้วิธีอ่านๆ ท่องๆ ไปเรื่อยๆ แต่อยากให้ลองทดสอบตัวเองบ่อยด้วย
เช่น หากท่องศัพท์ก็ควรท่องและทดลองสอบเป็นระยะ อย่าแค่ท่องจาเฉยๆ
เพราะการทดสอบจะช่วยให้เรารู้ว่าพลาดหรือไม่เข้าใจตรงไหน
จะได้ทบทวนและทาความเข้าใจเพิ่มเติมก่อนจะทดสอบซ้า ย้อนกระบวนการเดิมไปเรื่อยๆ
วิธีการอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องน่าเบื่อ เพราะแทบจะไม่ได้ใช้สมองเลย
การรู้ว่าเราไม่เข้าใจตรงไหนต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนที่มีประสิทธิภาพ
อ่านแล้วจดไปด้วย :แนะนาให้ทุกคนเตรียมปากกาใส่กระเป๋ าเอาไว้ 3 สีด้วยกันคือสีน้าเงิน สีแดง และสีดา
ถ้าซื้อแบบมี 3 สีในแท่งเดียวก็จะดีมาก เพราะเป็นการประหยัดเวลาด้วย และสามารถแบ่งทั้ง 3สีออกเป็น 3
หน้าที่ดังนี้ ปากกาแดง : ใช้กับเนื้อหาสาคัญ เขียนด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่
ปากกาดา : เขียนเมื่อเจอเนื้อหาที่ไม่เข้าใจ
ปากกาน้าเงิน : ไว้จดเนื้อหาทั่วไป
เมื่อถึงเวลาสอบ เพียงแค่เปิดสมุดโน้ตแล้วอ่านเฉพาะสีแดงก็ช่วยเพิ่มคะแนนได้แล้ว
ส่วนสีดาก็อ่านเพื่อทาความเข้าใจจุดบกพร่องอีกรอบหนึ่งให้แม่นยายิ่งขึ้น
อ่าน พูด เขียน : เริ่มจากอ่านก่อน อย่าเพิ่งเขียน เนื้อหานั้นควรยาวพอที่จะเขียนได้สักหนึ่งหน้ากระดาษ
หรือครึ่งหน้ากระดาษก็ได้ ถ้าปริมาณเยอะเกินไปจะเบื่อเสียก่อน
หลังจากเลือกเนื้อหาที่ต้องการฝึกได้แล้วก็มาทาตาม 4 ข้อนี้กันเลย
1.อ่านหนังสืออย่างตั้งใจ ขีดเส้นใต้ข้อความสาคัญ
2.อธิบายปากเปล่าถึงสิ่งที่อ่านให้คนอื่นฟัง ห้ามดูหนังสือ
3.เขียนเนื้อหานั้นลงกระดาษ ห้ามดูหนังสือ
4.ถ้ายังจาไม่ได้ ให้กลับไปทาข้อ 1-3ใหม่อีกรอบ
5
***วิธีอ่าน พูด และเขียน จะทาให้เราได้ใช้ตา ปาก หูมือ และสมองทั้งสองก้อน
ประสิทธิภาพของการท่องวิธีนี้จึงได้ผลมากกว่าวิธีอื่น***
การรับทั้ง ข้อมูล และความรู้ ประกอบกันอย่างสมดุล จึงเป็นวิธีพัฒนาตัวเองที่ดีที่สุด
“การอ่านหนังสือ คือการซื้อประสบการณ์”
เวลาที่อยากเริ่มต้นทาอะไรใหม่เราไม่จาเป็นต้องเริ่มจากการลองผิดลองถูกด้วยตัวเองเสมอไป
การอ่านหนังสือคือการอ่านประสบการณ์หลายร้อยชั่วโมงของคนที่ลองผิดลองถูกมาก่อน
และสรุปผลให้เราเรียบร้อยแล้ว เวลาเป็นสิ่งมีค่า เมื่อมีเวลาก็จะมีความสุข
คนเก่งมักจะเป็นคนที่พร้อมอยู่เสมอ พวกเขาพร้อมคว้าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาอยู่ตลอดเวลา
การอ่านหนังสือเป็นทางลัดไปสู่ความรู้ ซึ่งจะช่วยให้เราพร้อมในทุกสถานการณ์
ยิ่งอ่านหนังสือมากก็จะยิ่งมีความพร้อมและทักษะมากขึ้น
ส่วนต่างที่เกิดขึ้นนี้จะทาให้ทิ้งห่างคู่แข่งไม่ว่าจะในด้านความรู้และข้อมูลที่รับเข้าไป
ผลงานที่ส่งออกหรือความรวดเร็วในการพัฒนาตัวเอง
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างคนที่อ่านหนังสือกับคนที่ไม่อย่างหนังสือคือ “ทักษะด้านภาษา”
การอ่านและเขียนให้มาก เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้เก่งเรื่องภาษาได้
ซึ่งทักษะด้านภาษานี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในยุคอินเตอร์เน็ต
นอกจากการอ่านหนังสือช่วยพัฒนาทักษะการทางานแล้วยังช่วยขจัดความเครียดและความกังวลได้อีกด้วย
โดยธรรมชาติแล้วเวลาเจอวิกฤตหรือความเครียด มนุษย์จะมีมุมมองที่แคบลง ทาให้เอาแต่คิดถึงแต่เรื่องตรงหน้า
จนนึกวิธีแก้ปัญหาที่ต่างออกไปจากเดิมไม่ออก และหลงลืมไปว่า การอ่านหนังสือสามารถช่วยแก้ปัญหาได้
แค่เรารู้วิธีจัดการหรือวิธีแก้ปัญหา และคิดว่าน่าจะผ่านมันไปได้ความเครียดก็จะลดลงจนสัมผัสได้
การอ่านหนังสือ ไม่เพียงช่วยให้เรารู้มากเท่านั้น แต่ยังทาให้สติปัญญาดีขึ้น ไหวพริบเฉียบคมขึ้น
เป็นการกระตุ้นสมองให้ทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย สมองของมนุษย์มีการพัฒนาตลอดชีวิต
เราสามารถฝึกให้สมองเราฉลาดขึ้นได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสติปัญญาอารมณ์ สังคม
หนังสือส่งผลอย่างมากต่อชีวิตของเราและบางครั้งมันอาจถึงกับช่วยเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเราได้เลยที
เดียว ตอนนี้เราหาหนังสือแห่งโชคชะตาพบหรือยัง?
ยิ่งมีตัวเลือกมาก ก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสาเร็จมาก การอ่านหนังสือเป็นประตูสู่เงินและความสาเร็จ
ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งมีรายได้มาก ผู้บริหารที่ประสบความสาเร็จส่วนใหญ่ชอบอ่านหนังสือ
การนาประสบการณ์ของคนอื่นมาใช้เป็นแนวทาง จะช่วยประหยัดเวลาทั้งยังเป็นทางลัดสู่ความสาเร็จอีกด้วย
6
หากคุณไม่สามารถอธิบายเนื้อหาของหนังสือที่เพิ่งอ่านจบไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้คนอื่นฟังได้
คุณจะไม่มีทางมีพัฒนาการได้เลย
จงสนุก ตื่นเต้นกับการอ่านหนังสือ
เมื่อโดปามีนซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความจาถูกหลั่งออกมา
จะทาให้เราจาเนื้อหาที่อ่านไปได้ดีขึ้น
กฎ 3 ข้อที่ช่วยให้จาเนื้อหาของหนังสือได้ไม่ลืม
1 เมื่อรับข้อมูลเข้าสู่สมองแล้ว ต้องทาการส่งข้อมูลออกให้ได้ 3-4ครั้งภายใน 7-10วัน วิธีการส่งข้อมูลออก:
อ่านหนังสือพร้อมกับจดโน๊ตหรือใช้ปากกาเน้นข้อความส่วนที่สาคัญไปด้วย
เล่าเนื้อหาในหนังสือให้คนอื่นฟังหรือแนะนาหนังสือให้คนอื่นอ่าน เขียนแบ่งปันความรู้สึก
สิ่งที่ฉุกคิดหรือคาคมจากหนังสือลงบน social media เขียนบทวิจารณ์หนังสือลงบน facebook
หรืออีเมลจดหมายข่าว
2 อ่านในขณะว่างช่วงสั้นๆ การเล่นสมาร์ทโฟนบนรถไฟ เป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
ยิ่งอ่านหนังสือได้มากก็ยิ่งแสดงว่าบริหารเวลาเก่ง ตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง เช่นวันนี้จะอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบ
เป็นการจากัดเวลาและสร้างความกดดันให้ตัวเอง ทาให้เรามีสมาธิมากขึ้น
ทั้งยังเป็นการกระตุ้นสารสื่อประสาทที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความจาให้หลั่งออกมา
สมองของเราจะจาเนื้อหาที่อ่านได้ดีขึ้นกว่าเดิม
3 ทาความเข้าใจเนื้อหา อ่านให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งจนสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือได้
ถ้าจาเนื้อหาไม่ได้ถึงอ่านเร็วแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย
เราควรให้ความสาคัญกับคุณภาพในการอ่านมากกว่าปริมาณในการอ่าน หัดอ่านตีความให้ได้ก่อนแล้วค่อยอ่านเร็ว
การส่งออกข้อมูล ด้วยการแนะนาหนังสืออย่างรอบด้าน จะทาได้ก็ต่อเมื่อ เราอ่านและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน
มันจึงช่วยพัฒนาทักษะการอ่านของเราให้ดียิ่งขึ้น
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลจริงและนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ว่าข้อมูลไหนที่เรียบเรียงแล้วเข้าใจง่ายและเกิดประ
โยชน์มากที่สุด
จากนั้นนาข้อมูลที่คัดมาแล้วมาทาแผนภาพสรุปให้เข้าใจได้ง่ายเพื่อจัดการกระบวนการทางความคิดที่ดีหรือเรียบเรี
7
ยงทาเป็นหนังสือเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ตัวเองได้รับให้แก่ผู้อื่นต่อไป
หรือจัดเป็นนิทรรศการที่ให้ความรู้ทั้งในรูปแบบของการบรรยายและให้ความรู้จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
1. คอมพิวเตอร์
2. แหล่งข้อมูลจากทางอินเทอร์เน็ตและหนังสือ
งบประมาณ
ประมาณ 500-1000[km (จัดพิมพ์เป็นหนังสือ)
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดั
บ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
1
6
1
7
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงา
น
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
คาดว่าจะได้รับความรู้และกระบวนการคิดที่เป็นระบบมากขึ้น
1 ทาให้เราประเมินพื้นฐานความรู้ของตัวเองได้ว่าอยู่ประมาณไหน ไม่ถนัดอะไร
8
2 เมื่อเราทดลองทาข้อสอบทาให้เรารู้แนวข้อสอบจริงว่าเป็นอย่างไร ยากหรือง่าย
หรือตัวเราเองถนัดข้อสอบแนวนี้หรือไม่
3 หลักการทดลองทาข้อสอบจะทราบผลสอบ ทาให้รู้จุดแข็งของตัวเองและนาไปวางแผน
การเตรียมตัวสอบจริงต่อไป
4 ทดลองทาข้อสอบบ่อยๆ ระหว่างที่ฝึกเรียนเพื่อทดสอบเรียนต่อหรือเตรียมตัวก่อนสอบ
ควรหาโอกาสทดลองทาข้อสอบหลายๆครั้งเพื่อดูพัฒนาการและความก้าวหน้าของตัวเอง
5 การทดลองทาข้อสอบหลายๆครั้ง จะทาให้นักเรียนไม่ตื่นเต้นเมื่อต้องเข้าสอบจริงและรู้จักบริหารเวลา
ในการทาข้อสอบแต่ละ part สามารถทาข้อสอบให้เสร็จทันเวลา
สถานที่ดาเนินการ
1 โรงเรียน
2 ห้องสมุด
3 งานนิทรรศการให้ความรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
2 การคิดออกแบบ
3 ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
https://sites.google.com/site/maykuntaphonetc/hlak-kar/hlak-kar-reiyn-ru
https://www.amarinbooks.com
https://medium.com/@priwziest/priwreadbooks

More Related Content

What's hot

2562 final-project
2562 final-project 2562 final-project
2562 final-project THXB
 
Project มหัศจรรย์โลมา
Project มหัศจรรย์โลมาProject มหัศจรรย์โลมา
Project มหัศจรรย์โลมาmind jirapan
 
ใบงานที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ไข้เลือดออก
ใบงานที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ไข้เลือดออกใบงานที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ไข้เลือดออก
ใบงานที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ไข้เลือดออกselenagomezz
 
2562 final-project -1
2562 final-project -12562 final-project -1
2562 final-project -1ffahar
 
2560 project .pdf1
2560 project .pdf12560 project .pdf1
2560 project .pdf1achirayaRchi
 
งานโครงงานจัดฟัน
งานโครงงานจัดฟันงานโครงงานจัดฟัน
งานโครงงานจัดฟันOporfunJubJub
 
โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์Panpreeya Kawturn
 
โปรแกรมทดสอบตาบอดสี
โปรแกรมทดสอบตาบอดสีโปรแกรมทดสอบตาบอดสี
โปรแกรมทดสอบตาบอดสีprominspiration13
 
2560 project ออกกำลังกาย2
2560 project ออกกำลังกาย22560 project ออกกำลังกาย2
2560 project ออกกำลังกาย2bank2808
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง เปรียบเทียบระหว่างคนถนัดมือซ้ายและคนถนัดมือขวา
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง เปรียบเทียบระหว่างคนถนัดมือซ้ายและคนถนัดมือขวาโครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง เปรียบเทียบระหว่างคนถนัดมือซ้ายและคนถนัดมือขวา
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง เปรียบเทียบระหว่างคนถนัดมือซ้ายและคนถนัดมือขวาJirarat Cherntongchai
 
โครงร่างโครงงาน
โครงร่างโครงงานโครงร่างโครงงาน
โครงร่างโครงงานKhajohnpong Kerdlap
 
ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์Krittapornn Chanasaen
 

What's hot (20)

Lin
LinLin
Lin
 
At1
At1At1
At1
 
2562 final-project
2562 final-project 2562 final-project
2562 final-project
 
Project มหัศจรรย์โลมา
Project มหัศจรรย์โลมาProject มหัศจรรย์โลมา
Project มหัศจรรย์โลมา
 
ใบงานที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ไข้เลือดออก
ใบงานที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ไข้เลือดออกใบงานที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ไข้เลือดออก
ใบงานที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ไข้เลือดออก
 
2562 final-project -1
2562 final-project -12562 final-project -1
2562 final-project -1
 
Suwadee22
Suwadee22Suwadee22
Suwadee22
 
2560 project .pdf1
2560 project .pdf12560 project .pdf1
2560 project .pdf1
 
งานโครงงานจัดฟัน
งานโครงงานจัดฟันงานโครงงานจัดฟัน
งานโครงงานจัดฟัน
 
โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์
 
Project1 604
Project1 604Project1 604
Project1 604
 
โปรแกรมทดสอบตาบอดสี
โปรแกรมทดสอบตาบอดสีโปรแกรมทดสอบตาบอดสี
โปรแกรมทดสอบตาบอดสี
 
5
55
5
 
Teera
TeeraTeera
Teera
 
2561 project 04
2561 project 042561 project 04
2561 project 04
 
2560 project ออกกำลังกาย2
2560 project ออกกำลังกาย22560 project ออกกำลังกาย2
2560 project ออกกำลังกาย2
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง เปรียบเทียบระหว่างคนถนัดมือซ้ายและคนถนัดมือขวา
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง เปรียบเทียบระหว่างคนถนัดมือซ้ายและคนถนัดมือขวาโครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง เปรียบเทียบระหว่างคนถนัดมือซ้ายและคนถนัดมือขวา
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง เปรียบเทียบระหว่างคนถนัดมือซ้ายและคนถนัดมือขวา
 
โครงร่างโครงงาน
โครงร่างโครงงานโครงร่างโครงงาน
โครงร่างโครงงาน
 
Project com 47
Project com 47Project com 47
Project com 47
 
ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 

Similar to 2562 final-project-14

2562 final-project -1 finally
2562 final-project -1 finally2562 final-project -1 finally
2562 final-project -1 finallyRungtiwaWongchai
 
2560 project งานชาเขียว
2560 project งานชาเขียว2560 project งานชาเขียว
2560 project งานชาเขียวNu Beer Yrc
 
2562 final-project 123 win
2562 final-project 123 win2562 final-project 123 win
2562 final-project 123 winmrpainaty
 
10ประเทศในอาเซียน
10ประเทศในอาเซียน10ประเทศในอาเซียน
10ประเทศในอาเซียนJa Palm
 
2562 final-project 04
2562 final-project 042562 final-project 04
2562 final-project 04ssuser287769
 
work 1 project com
work 1 project comwork 1 project com
work 1 project comNookNick8
 
2562 final-project 615 12
2562 final-project 615 122562 final-project 615 12
2562 final-project 615 12ssusera46be6
 
2562 final-project 615 12
2562 final-project 615 122562 final-project 615 12
2562 final-project 615 12ssusera46be6
 
พระกีสาโคตมีเถรี
พระกีสาโคตมีเถรีพระกีสาโคตมีเถรี
พระกีสาโคตมีเถรีPanichaya Charoenphol
 
โครงงานพระกีสาโคตมีเถรี
โครงงานพระกีสาโคตมีเถรีโครงงานพระกีสาโคตมีเถรี
โครงงานพระกีสาโคตมีเถรีPanichaya Charoenphol
 
2558 project
2558 project 2558 project
2558 project propsets
 
กิจกรรมที่1 โครงงานคอมพิวเตอร์
กิจกรรมที่1 โครงงานคอมพิวเตอร์กิจกรรมที่1 โครงงานคอมพิวเตอร์
กิจกรรมที่1 โครงงานคอมพิวเตอร์atipa49855
 
2562 final-project 612-44
2562 final-project 612-442562 final-project 612-44
2562 final-project 612-44fauunutcha
 

Similar to 2562 final-project-14 (20)

2562 final-project -1 finally
2562 final-project -1 finally2562 final-project -1 finally
2562 final-project -1 finally
 
2560 project งานชาเขียว
2560 project งานชาเขียว2560 project งานชาเขียว
2560 project งานชาเขียว
 
2562 final-project 123 win
2562 final-project 123 win2562 final-project 123 win
2562 final-project 123 win
 
10ประเทศในอาเซียน
10ประเทศในอาเซียน10ประเทศในอาเซียน
10ประเทศในอาเซียน
 
2562 final-project 04
2562 final-project 042562 final-project 04
2562 final-project 04
 
2562 final-project 07
2562 final-project 072562 final-project 07
2562 final-project 07
 
2562 final-project 612-42
2562 final-project 612-422562 final-project 612-42
2562 final-project 612-42
 
2562 final-project -1-1
2562 final-project -1-12562 final-project -1-1
2562 final-project -1-1
 
work 1 project com
work 1 project comwork 1 project com
work 1 project com
 
2562 final-project 615 12
2562 final-project 615 122562 final-project 615 12
2562 final-project 615 12
 
2562 final-project 615 12
2562 final-project 615 122562 final-project 615 12
2562 final-project 615 12
 
พระกีสาโคตมีเถรี
พระกีสาโคตมีเถรีพระกีสาโคตมีเถรี
พระกีสาโคตมีเถรี
 
2558 project
2558 project 2558 project
2558 project
 
2558
25582558
2558
 
โครงงานพระกีสาโคตมีเถรี
โครงงานพระกีสาโคตมีเถรีโครงงานพระกีสาโคตมีเถรี
โครงงานพระกีสาโคตมีเถรี
 
2558 project
2558 project 2558 project
2558 project
 
Final1
Final1Final1
Final1
 
กิจกรรมที่1 โครงงานคอมพิวเตอร์
กิจกรรมที่1 โครงงานคอมพิวเตอร์กิจกรรมที่1 โครงงานคอมพิวเตอร์
กิจกรรมที่1 โครงงานคอมพิวเตอร์
 
2562 final-project 612-44
2562 final-project 612-442562 final-project 612-44
2562 final-project 612-44
 
at1
at1at1
at1
 

2562 final-project-14

  • 1. 1 แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5 ปีการศึกษา 2562 ชื่อโครงงาน 10 วิธีการเตรียมตัวสอบให้ได้คะแนนดี ชื่อผู้ทาโครงงาน ชื่อ นางสาวรักษิณา เมืองใจ เลขที่ 14 ชั้น ม.6 ห้อง 4 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
  • 2. 2 ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ สมาชิกในกลุ่ม 1 นางสาวรักษิณา เมืองใจ เลขที่14 คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้ ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) 10 วิธีการเตรียมตัวสอบให้ได้คะแนนดี ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) How toget better score in your exam ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media) ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวรักษิณา เมืองใจ เลขที่ 14ม.6/4 ชื่อที่ปรึกษา คุณครูเขื่อนทอง มูลวรรณ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่1-ภาคเรียนที่2 ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน) การศึกษาเป็นสิ่งที่สาคัญสาหรับชีวิตของเราทุกคนและเป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหาองค์ความรู้เพื่อมาใช้ในการ ดาเนินชีวิต การทางาน และการสร้างความสาเร็จให้กับชีวิตของเราทุกคน เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษามีอิทธิพลต่อสังคมโลกในปัจจุบัน ต่างคนต่างแสวงหาหลักสูตร สถาบัน หรือสถานที่สาคัญเก็บเกี่ยวความรู้นั้นๆ อย่างจริงจัง และเป็นที่คาดหวังว่าจะค้นพบตัวตนได้จากการศึกษาในสาขาหรือหลักสูตรนั้น ๆด้วยเช่นกัน ระบบโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กระแสโลกาภิวัตน์ได้เข้ามาอิทธิพลต่อหลายๆประการในสังคม ไม่เว้นแต่ระบบการศึกษาที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก เพื่อก่อให้เกิดความทันสมัยในองค์ความรู้และสอดคล้องต่อผู้ศึกษาและยังมีส่วนช่วยดึงดูดให้ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษา และนาองค์ความรู้ไปใช้เพื่อเกิดประโยชน์ต่อไป ดังนั้นผู้คนที่มีความเพียรพยายามใฝ่ความความรู้เริ่มจากการตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ จะส่งผลให้สอบได้คะแนนดีและจะประสบผลสาเร็จในชีวิต
  • 3. 3 วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ) 1. สร้างให้ตนเองเกิดความฉลาดและมีผลการเรียนที่ดีขึ้น 2. พยายามหมั่นฝึกฝนสมองให้ได้ขบคิดอยู่และค้นคว้าเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา 3. รู้จักวิเคราะห์ข้อมูลรอบตัวเพื่อท้ายที่สุดจะได้นาข้อมูลเหล่านั้นมาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตนเอง 4. การเป็นคนเรียนดีมีผลการเรียนอยู่ในระดับสูงจะช่วยทาให้ชีวิตพบแต่ความสาเร็จมากมาย ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน) เป็นโครงงานเพื่อคิดค้นเพื่อเป็นแนวทางต่อยอดจากการเรียนรู้จากในห้องเรียน 10 เทคนิควิธีการ เตรียมพร้อมกับสนามสอบเพื่อคะแนนที่ดีจะส่งผลทาให้ติดมหาลัยที่เราคาดหวังหรือมีผลการเรียนที่ดี เทคนิคเหล่านี้สามารถสร้างวินัยในตัวเองให้เป็นคนที่ขยันมั่นเพียร อดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคหรือปัญหาที่เผชิญ ไม่มีอะไรเกินกว่าความพยายามของเราขอแค่เราคิดจะทาอย่างสุดความสามารถ หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน) การเรียนรู้ (Learning) คือ กระบวนการของประสบการณ์ที่ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่าง ค่อนข้างถาวร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ไม่ได้มาจากภาวะชั่วคราว วุฒิภาวะ หรือสัญชาตญาณ(Klein 1991:2)ความหมายของการเรียนรู้ การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร โดยเป็นผลจากการฝึกฝนเมื่อได้รับการเสริมแรง มิใช่เป็นผลจากการตอบสนองตามธรรมชาติที่เรียกว่า ปฏิกิริยาสะท้อน (Kimble and Garmezy)การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ทาให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อันเป็นผลจากการฝึกฝนและประสบการณ์ แต่มิใช่ผลจากการตอบสนองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ (Hilgard and Bower) การเรียนรู้เป็นการแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง อันเป็นผลเนื่องมาจากประสบการณ์ที่แต่ละคนได้ประสบมา (Cronbach) การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่บุคคลได้พยายามปรับพฤติกรรมของตน เพื่อเข้ากับสภาพแวดล้อมตามสถานการณ์ต่างๆ จนสามารถบรรลุถึงเป้าหมายตามที่แต่ละบุคคลได้ตั้งไว้ (Pressey, Robinson andHorrock) เทคนิคการอ่านหนังสือให้จาแม่น เรียนเก่ง สอบผ่าน ไม่ว่าใครก็อยากเป็นคนหัวดีกันทั้งนั้น อ่านหนังสือวันละหลายชั่วโมงก็แล้ว แต่ทาไมเกรดถึงยังไม่พุ่ง คะแนนยังอยู่เท่าเดิม แถมบางครั้งก็ลืมเนื้อหาที่เพิ่งอ่านไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะอ่านหนังสือผิดวิธีมาตลอดยังไงล่ะ ลองมาดู เทคนิคการอ่านหนังสือ ในบทความนี้ ที่จะช่วยให้การสอบครั้งหน้าคะแนนพุ่งกระฉูดกว่าเดิมอย่างแน่นอน เทคนิคการอ่านหนังสือที่ใครๆ ก็ทาได้! อ่านทบทวนทุกครั้งหลังเรียนจบ : การจะทาให้มีนิสัยชอบอ่านหนังสือนั้น ควรเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ก่อน เช่นการทบทวนสิ่งที่เรียนทันทีหลังจากจบคาบ บางคนเวลาเรียนเสร็จแล้วก็เก็บของลุกออกจากห้องทันที
  • 4. 4 ทาให้ไม่ได้ทบทวนสิ่งที่เรียนให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ลองเปรียบเทียบการอ่านหนังสือก่อนสอบหนึ่งวันเต็ม กับการทบทวนบทเรียนห้านาทีหลังเรียนจบดูสิ ว่าอยากทาแบบไหนมากกว่ากัน การทบทวนบทเรียนนอกจากจะทาให้จาแม่นยิ่งขึ้นแล้ว ยังทาให้รู้ว่าเรามีอะไรไม่เข้าใจในบทเรียนนี้อยู่บ้าง จะได้นาเนื้อหาที่ไม่เข้าใจไปถามอาจารย์นอกรอบ ห้ามอ่านหนังสือจนดึกดื่น : อย่าเสียแรงอ่านหนังสือจนดึกดื่นเลย เพราะเราต้องทนง่วง อ่านหนังสือให้มันเสร็จๆ ได้รีบไปนอน การอ่านหนังสือแบบนั้นนอกจากจะไม่ช่วยให้จาได้แล้วยังทาให้เสียสุขภาพด้วย วิธีที่ควรทาคือ ถ้าง่วงก็ไปนอน รีบนอนตั้งแต่หัวค่า แล้วทดแทนด้วยการตื่นให้เช้าขึ้น ตอนเช้าตรู่เป็นช่วงเวลาที่จิตใจปลอดโปร่งที่สุด การอ่านหนังสือตอนเช้าหนึ่งชั่วโมง มีประสิทธิภาพเทียบเท่าการอ่านหนังสือสองชั่วโมงช่วงค่า ฉะนั้นการอ่านหนังสือแบบหามรุ่งหามค่าจึงเป็นวิธีที่ผิด หากคิดจะเรียนให้เก่งต้องนอนแต่หัวค่า และตื่นมาอ่านหนังสือตอนเช้าตรู่ อ่านแล้วทดสอบด้วย : วิธีเรียนประเภทอ่านทวนเป็นที่นิยมมาก แต่การอ่านเฉยๆ ไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพนัก คนในยุคนี้ชอบใช้วิธีอ่านๆ ท่องๆ ไปเรื่อยๆ แต่อยากให้ลองทดสอบตัวเองบ่อยด้วย เช่น หากท่องศัพท์ก็ควรท่องและทดลองสอบเป็นระยะ อย่าแค่ท่องจาเฉยๆ เพราะการทดสอบจะช่วยให้เรารู้ว่าพลาดหรือไม่เข้าใจตรงไหน จะได้ทบทวนและทาความเข้าใจเพิ่มเติมก่อนจะทดสอบซ้า ย้อนกระบวนการเดิมไปเรื่อยๆ วิธีการอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องน่าเบื่อ เพราะแทบจะไม่ได้ใช้สมองเลย การรู้ว่าเราไม่เข้าใจตรงไหนต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนที่มีประสิทธิภาพ อ่านแล้วจดไปด้วย :แนะนาให้ทุกคนเตรียมปากกาใส่กระเป๋ าเอาไว้ 3 สีด้วยกันคือสีน้าเงิน สีแดง และสีดา ถ้าซื้อแบบมี 3 สีในแท่งเดียวก็จะดีมาก เพราะเป็นการประหยัดเวลาด้วย และสามารถแบ่งทั้ง 3สีออกเป็น 3 หน้าที่ดังนี้ ปากกาแดง : ใช้กับเนื้อหาสาคัญ เขียนด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่ ปากกาดา : เขียนเมื่อเจอเนื้อหาที่ไม่เข้าใจ ปากกาน้าเงิน : ไว้จดเนื้อหาทั่วไป เมื่อถึงเวลาสอบ เพียงแค่เปิดสมุดโน้ตแล้วอ่านเฉพาะสีแดงก็ช่วยเพิ่มคะแนนได้แล้ว ส่วนสีดาก็อ่านเพื่อทาความเข้าใจจุดบกพร่องอีกรอบหนึ่งให้แม่นยายิ่งขึ้น อ่าน พูด เขียน : เริ่มจากอ่านก่อน อย่าเพิ่งเขียน เนื้อหานั้นควรยาวพอที่จะเขียนได้สักหนึ่งหน้ากระดาษ หรือครึ่งหน้ากระดาษก็ได้ ถ้าปริมาณเยอะเกินไปจะเบื่อเสียก่อน หลังจากเลือกเนื้อหาที่ต้องการฝึกได้แล้วก็มาทาตาม 4 ข้อนี้กันเลย 1.อ่านหนังสืออย่างตั้งใจ ขีดเส้นใต้ข้อความสาคัญ 2.อธิบายปากเปล่าถึงสิ่งที่อ่านให้คนอื่นฟัง ห้ามดูหนังสือ 3.เขียนเนื้อหานั้นลงกระดาษ ห้ามดูหนังสือ 4.ถ้ายังจาไม่ได้ ให้กลับไปทาข้อ 1-3ใหม่อีกรอบ
  • 5. 5 ***วิธีอ่าน พูด และเขียน จะทาให้เราได้ใช้ตา ปาก หูมือ และสมองทั้งสองก้อน ประสิทธิภาพของการท่องวิธีนี้จึงได้ผลมากกว่าวิธีอื่น*** การรับทั้ง ข้อมูล และความรู้ ประกอบกันอย่างสมดุล จึงเป็นวิธีพัฒนาตัวเองที่ดีที่สุด “การอ่านหนังสือ คือการซื้อประสบการณ์” เวลาที่อยากเริ่มต้นทาอะไรใหม่เราไม่จาเป็นต้องเริ่มจากการลองผิดลองถูกด้วยตัวเองเสมอไป การอ่านหนังสือคือการอ่านประสบการณ์หลายร้อยชั่วโมงของคนที่ลองผิดลองถูกมาก่อน และสรุปผลให้เราเรียบร้อยแล้ว เวลาเป็นสิ่งมีค่า เมื่อมีเวลาก็จะมีความสุข คนเก่งมักจะเป็นคนที่พร้อมอยู่เสมอ พวกเขาพร้อมคว้าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาอยู่ตลอดเวลา การอ่านหนังสือเป็นทางลัดไปสู่ความรู้ ซึ่งจะช่วยให้เราพร้อมในทุกสถานการณ์ ยิ่งอ่านหนังสือมากก็จะยิ่งมีความพร้อมและทักษะมากขึ้น ส่วนต่างที่เกิดขึ้นนี้จะทาให้ทิ้งห่างคู่แข่งไม่ว่าจะในด้านความรู้และข้อมูลที่รับเข้าไป ผลงานที่ส่งออกหรือความรวดเร็วในการพัฒนาตัวเอง ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างคนที่อ่านหนังสือกับคนที่ไม่อย่างหนังสือคือ “ทักษะด้านภาษา” การอ่านและเขียนให้มาก เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้เก่งเรื่องภาษาได้ ซึ่งทักษะด้านภาษานี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในยุคอินเตอร์เน็ต นอกจากการอ่านหนังสือช่วยพัฒนาทักษะการทางานแล้วยังช่วยขจัดความเครียดและความกังวลได้อีกด้วย โดยธรรมชาติแล้วเวลาเจอวิกฤตหรือความเครียด มนุษย์จะมีมุมมองที่แคบลง ทาให้เอาแต่คิดถึงแต่เรื่องตรงหน้า จนนึกวิธีแก้ปัญหาที่ต่างออกไปจากเดิมไม่ออก และหลงลืมไปว่า การอ่านหนังสือสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ แค่เรารู้วิธีจัดการหรือวิธีแก้ปัญหา และคิดว่าน่าจะผ่านมันไปได้ความเครียดก็จะลดลงจนสัมผัสได้ การอ่านหนังสือ ไม่เพียงช่วยให้เรารู้มากเท่านั้น แต่ยังทาให้สติปัญญาดีขึ้น ไหวพริบเฉียบคมขึ้น เป็นการกระตุ้นสมองให้ทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย สมองของมนุษย์มีการพัฒนาตลอดชีวิต เราสามารถฝึกให้สมองเราฉลาดขึ้นได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสติปัญญาอารมณ์ สังคม หนังสือส่งผลอย่างมากต่อชีวิตของเราและบางครั้งมันอาจถึงกับช่วยเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเราได้เลยที เดียว ตอนนี้เราหาหนังสือแห่งโชคชะตาพบหรือยัง? ยิ่งมีตัวเลือกมาก ก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสาเร็จมาก การอ่านหนังสือเป็นประตูสู่เงินและความสาเร็จ ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งมีรายได้มาก ผู้บริหารที่ประสบความสาเร็จส่วนใหญ่ชอบอ่านหนังสือ การนาประสบการณ์ของคนอื่นมาใช้เป็นแนวทาง จะช่วยประหยัดเวลาทั้งยังเป็นทางลัดสู่ความสาเร็จอีกด้วย
  • 6. 6 หากคุณไม่สามารถอธิบายเนื้อหาของหนังสือที่เพิ่งอ่านจบไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้คนอื่นฟังได้ คุณจะไม่มีทางมีพัฒนาการได้เลย จงสนุก ตื่นเต้นกับการอ่านหนังสือ เมื่อโดปามีนซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความจาถูกหลั่งออกมา จะทาให้เราจาเนื้อหาที่อ่านไปได้ดีขึ้น กฎ 3 ข้อที่ช่วยให้จาเนื้อหาของหนังสือได้ไม่ลืม 1 เมื่อรับข้อมูลเข้าสู่สมองแล้ว ต้องทาการส่งข้อมูลออกให้ได้ 3-4ครั้งภายใน 7-10วัน วิธีการส่งข้อมูลออก: อ่านหนังสือพร้อมกับจดโน๊ตหรือใช้ปากกาเน้นข้อความส่วนที่สาคัญไปด้วย เล่าเนื้อหาในหนังสือให้คนอื่นฟังหรือแนะนาหนังสือให้คนอื่นอ่าน เขียนแบ่งปันความรู้สึก สิ่งที่ฉุกคิดหรือคาคมจากหนังสือลงบน social media เขียนบทวิจารณ์หนังสือลงบน facebook หรืออีเมลจดหมายข่าว 2 อ่านในขณะว่างช่วงสั้นๆ การเล่นสมาร์ทโฟนบนรถไฟ เป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ยิ่งอ่านหนังสือได้มากก็ยิ่งแสดงว่าบริหารเวลาเก่ง ตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง เช่นวันนี้จะอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบ เป็นการจากัดเวลาและสร้างความกดดันให้ตัวเอง ทาให้เรามีสมาธิมากขึ้น ทั้งยังเป็นการกระตุ้นสารสื่อประสาทที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความจาให้หลั่งออกมา สมองของเราจะจาเนื้อหาที่อ่านได้ดีขึ้นกว่าเดิม 3 ทาความเข้าใจเนื้อหา อ่านให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งจนสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือได้ ถ้าจาเนื้อหาไม่ได้ถึงอ่านเร็วแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย เราควรให้ความสาคัญกับคุณภาพในการอ่านมากกว่าปริมาณในการอ่าน หัดอ่านตีความให้ได้ก่อนแล้วค่อยอ่านเร็ว การส่งออกข้อมูล ด้วยการแนะนาหนังสืออย่างรอบด้าน จะทาได้ก็ต่อเมื่อ เราอ่านและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน มันจึงช่วยพัฒนาทักษะการอ่านของเราให้ดียิ่งขึ้น วิธีดาเนินงาน แนวทางการดาเนินงาน ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลจริงและนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ว่าข้อมูลไหนที่เรียบเรียงแล้วเข้าใจง่ายและเกิดประ โยชน์มากที่สุด จากนั้นนาข้อมูลที่คัดมาแล้วมาทาแผนภาพสรุปให้เข้าใจได้ง่ายเพื่อจัดการกระบวนการทางความคิดที่ดีหรือเรียบเรี
  • 7. 7 ยงทาเป็นหนังสือเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ตัวเองได้รับให้แก่ผู้อื่นต่อไป หรือจัดเป็นนิทรรศการที่ให้ความรู้ทั้งในรูปแบบของการบรรยายและให้ความรู้จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ 1. คอมพิวเตอร์ 2. แหล่งข้อมูลจากทางอินเทอร์เน็ตและหนังสือ งบประมาณ ประมาณ 500-1000[km (จัดพิมพ์เป็นหนังสือ) ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน ลาดั บ ที่ ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 1 0 1 1 12 1 3 1 4 1 5 1 6 1 7 1 คิดหัวข้อโครงงาน 2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล 3 จัดทาโครงร่างงาน 4 ปฏิบัติการสร้างโครงงา น 5 ปรับปรุงทดสอบ 6 การทาเอกสารรายงาน 7 ประเมินผลงาน 8 นาเสนอโครงงาน ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน) คาดว่าจะได้รับความรู้และกระบวนการคิดที่เป็นระบบมากขึ้น 1 ทาให้เราประเมินพื้นฐานความรู้ของตัวเองได้ว่าอยู่ประมาณไหน ไม่ถนัดอะไร
  • 8. 8 2 เมื่อเราทดลองทาข้อสอบทาให้เรารู้แนวข้อสอบจริงว่าเป็นอย่างไร ยากหรือง่าย หรือตัวเราเองถนัดข้อสอบแนวนี้หรือไม่ 3 หลักการทดลองทาข้อสอบจะทราบผลสอบ ทาให้รู้จุดแข็งของตัวเองและนาไปวางแผน การเตรียมตัวสอบจริงต่อไป 4 ทดลองทาข้อสอบบ่อยๆ ระหว่างที่ฝึกเรียนเพื่อทดสอบเรียนต่อหรือเตรียมตัวก่อนสอบ ควรหาโอกาสทดลองทาข้อสอบหลายๆครั้งเพื่อดูพัฒนาการและความก้าวหน้าของตัวเอง 5 การทดลองทาข้อสอบหลายๆครั้ง จะทาให้นักเรียนไม่ตื่นเต้นเมื่อต้องเข้าสอบจริงและรู้จักบริหารเวลา ในการทาข้อสอบแต่ละ part สามารถทาข้อสอบให้เสร็จทันเวลา สถานที่ดาเนินการ 1 โรงเรียน 2 ห้องสมุด 3 งานนิทรรศการให้ความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ 2 การคิดออกแบบ 3 ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน) https://sites.google.com/site/maykuntaphonetc/hlak-kar/hlak-kar-reiyn-ru https://www.amarinbooks.com https://medium.com/@priwziest/priwreadbooks