More Related Content Similar to worldcivil (20) worldcivil5. 5
วัฒนธรรม คืออะไร
culture
13th century. Via
French from
Latin cultura
“tillage,” from
cult , the past
participle stem
of colere “to
inhabit, cultivate,
worship.”
Originally in
English “piece of
วัฒนธรรม
ค. ๑๓ คำาฝรั่งเศสจาก
ภาษาละติน
cultura “tillage =
การเพาะปลูก ไถ ”
จาก cult ซึ่งเป็น
รากของ colere
“to inhabit =
อาศัย, cultivate =
เพาะปลูก พัฒนา,
คำาภาษาอังกฤษ
6. 6
วัฒนธรรม Culture
• วัฒนธรรม ในทางมานุษยวิทยา
หมายถึง รูปแบบของพฤติกรรม
และการคิดซึ่งคนที่อาศัยอยู่ใน
กลุ่มสังคมได้เรียนรู้ สร้างสรรค์
และแบ่งบันร่วมกัน วัฒนธรรม
แยกความเด่นชัดมนุษย์กลุ่ม
หนึ่งออกจากกลุ่มอื่น และยัง
แยกความแตกต่างมนุษย์ออก
จากสัตว์ วัฒนธรรมมนุษย์รวม
12. 12
อารยธรรม civ·i·li·za·tion [sìvv’li záysh’n] นาม
1. สังคมที่ได้พัฒนาแล้วระดับสูงสังคมที่มี
วัฒนธรรมและการจัดระเบียบสังคมระดับสูง
(highly developed society: a society
that has a high level of culture and
social organization)
2. พัฒนาการที่ก้าวหน้าของสังคม ระดับ
พัฒนาการที่ก้าวหน้าของสังคมซึ่งสังเกตได้
จากความซับซ้อนในการจัดระเบียบทาง
สังคมและการเมือง และก้าวหน้าในทางวัตถุ
ธรรม วิทยาศาสตร์ และศิลปะ (advanced
development of society: an advanced
13. 13
อารยธรรม civ·i·li·za·tion [sìvv’li záysh’n] นาม
3. สังคมที่ก้าวหน้าทั่ว ๆ ไป ทุกสังคมซึ่ง
ระดับความก้าวหน้าของพัฒนาการได้
พิจารณาว่ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว
(advanced society in general: all
the societies at an advanced level
of development considered
collectively)
4. กระบวนสร้างความศิวิไลย์
กระบวนการสร้างสรรค์วัฒนธรรมระดับ
สูงในสังคมหรือภูมิภาคใด ๆ โดย
19. 19
ศัพท์จากคำาอารยธรรม
“CIVIO”
• Civis = citizen: CIT,
CIV
• Civio
• To civilize
• Civilization
• Uncivilized person
• Civil
• Incivility
• City (civitas)
• Citified
• Citizen
• Civility
• Civic
• Civics
• Citizenship (civis)
23. 23
วิธีแรก นำามาใช้โดยนัก
ปราชญ์ เช่น เอ แอล โครเบอร์
(A.L.Kroeber) และ โคลิน เรนฟ
ริว(Colin Renfrew) เน้นในความ
ซับซ้อนของการจัดระเบียบ การ
ตีความเช่นนี้ มองอารยธรรม
แตกต่างไปจากรูปแบบอื่นของ
สังคมมนุษย์ ไม่ใช่เป็นการแบ่ง
ประเภท แต่เป็นเพียงระดับความ
32. 32
ลักษณะของสังคมอารยะ
คาร์ลตัน เจ เอช ฮาเยส
(Carlton J.H. Hayes) ได้กล่าวถึง
ลักษณะสังคมอารยะไว้บาง
ประการ คือ เมืองที่มีระบบ
การเมือง สังคม เศรษฐกิจรวมอยู่
ในนั้นทั้งหมด คำาว่าอารยธรรม
ในภาษาอังกฤษ คือ คำาว่า
civilization มาจากคำาภาษาละติน
62. 62
• G.A. Maclean/Oxford Scientific Films
• เครื่องมือหินกะเทาะ มนุษย์ได้มีเครื่องใช้มาแล้วอย่างน้อย ๒.๕ ล้านปี
เทคโนโลยีเริ่มแรกสุดเป็นการใช้เครื่องมือสับ ตัด ทุบ รูปร่างตามก้อน
กรวด จากยุคหินสมัยต่อมา นักโบราณคดีได้แยกลักษณะออกมาถึง
๖๐ ถึง ๗๐ แบบมาตรฐานซึ่งเป็นเครื่องมือในใช้งานตามวัตถุประสงค์
เฉพาะ บางชิ้นใช้สำาหรับพิธีกรรม ในภาพนี้คือหัวขวาน หัวธนู หินทุบ
สว่าน และหินขูด ทำาด้วยหิน วัสดุ เช่น กระดูกและงาช้างก็มีการนำามา
ใช้เป็นเครื่องมือ เครื่องมือคล้ายกันนี้สามารถทำาจากการกะเทาะ
โดยตรงจากวัตถุดิบ หรือทางอ้อมจากการใช้หินทุบ
• Microsoft ® Encarta ® Reference Library 2003. © 1993-2002
78. 78
• 8000 BC - 6000 BC
• เริ่มต้นการเกษตรกรรม
• การเปลี่ยนจากการล่าสัตว์และการเก็บ
ของป่ามาขึ้นอยู่กับการผลิตอาหาร
เปลี่ยนแปลงไปอย่างสมำ่าเสมอ เริ้มต้น
เมื่ออย่างน้อย ๑๐,๐๐๐ ปีที่แล้ว
เกษตรกรรุ่นแรกเรียนรู้ในการเก็บ
รักษาเมล็ดพืชที่มี่ใช้ประโยชน์ได้และ
นำามาปลูกใหม่ และรู้จักการจับสัตว์มา
เลี้ยงเป็นเลี้ยงสัตว์ ศูนย์กลางของ
การเกษตรกรรมปรากฏขึ้นในหลาย
ส่วนของทวีปเอเชีย แอฟริกา ยุโรป
79. 79
ยุคหินเก่า (Paleo = old + lithic
= stone) เป็นยุคที่มีช่วงเวลา
ยาวนานที่สุด เริ่มต้นเมื่อ
ประมาณ ๒ ล้านปีมาแล้ว เครื่อง
มือหินนำามาใช้ครั้งแรกเมื่อ
ประมาณ ๑๓,๐๐๐ ปีก่อน
คริสตกาล บรรทัดฐานการดำารง
ชีวิตคือการล่าสัตว์และการเก็บ
อาหาร เริ่มแรกใช้เครื่องมือหิน
โดด ๆ เช่น กรวดหรือเครื่องมือ
80. 80
ในตอนปลายยุคหินเก่า มนุษย์
สมัยใหม่ (Modern human) คือ
Homo sapiens sapiens ได้ทำา
เครื่องมือเฉพาะขึ้นมาเป็นเข็ม
หรือเบ็ด ในถำ้าของยุโรป เช่น
ถำ้าโครมันยองในประเทศ
ฝรั่งเศส จิตรกรรม ฝาผนังและ
ประจักษ์หลักฐานแสดงให้เห็น
พิธีกรรมความเชื่อและการแบ่ง
ชั้นทางสังคม ที่มีความเป็นไปได้
81. 81
หลังจาก ๑๓,๐๐๐ ปีกอ่นคริส
ตกาล องค์ประกอบทางอากาศ
มีผลต่อสิ่งแวดล้อมและความ
สามารถในการแสวงหาอาหาร
ของมนุษย์มากขึ้น ในภูมิภาคป่า
เขตร้อนและเขตอบอุ่น เครื่องมือ
ต่าง ๆ ในยุคหินเก่า หินกระเทา
ะยังคงปรับมาใช้ในในเงื่อนไข
ใหม่ ช่วงนี้เป็นช่วงที่เรียกว่ายุค
หินกลาง (Mesolithic:meso =
83. 83
บทที่ ๓
อารยธรรมเมโสโปตาเมีย
•เมื่อประมาณ ๔๐๐๐ ก.ค. ผู้คน
จำานวนมากเริ่มเคลื่อนย้ายไปสู่
ที่ราบลุ่มนำ้าแถบเมโสโปเตเมีย
และอียิปต์ จากประมาณ ๓๐๐๐
ก.ค. เมื่อมีการประดิษฐ์ตัวอักษร
ขึ้นในประวัติศาสตร์ ชีวิตชาว
เมืองและการจัดระเบียบสังคมจัด
ตั้งรัฐเป็นศูนย์กลางขึ้นมาใน
88. 88
คำาว่า เมโสโปตาเมีย Mesopotamia มาจากคำา
ว่า meso=ระหว่าง กับคำาว่า potamus=แม่นำ้า รวม
กันแล้วมีความหมายว่า ดินแดนระหว่างแม่นำ้า
แม้ว่าส่วนนี้เป็นการอ้างถึงเฉพาะส่วนเหนือของ
ที่ราบของแม่นำ้า ในการใช้ โดยทั่ว ๆ ไป ใช้กับ
บริเวณที่เป็นรูปวงโค้งที่อยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอเร
เนียน กับอ่าวเปอรเซีย นักประวัติศาสตร์ บางคน
ได้เรียกบริเวณนี้ว่า ที่ราบพระจันทร์เสี้ยวอันอุดม
95. 95
๒. ๑๘๐๐ ปี ก่อน ค.ศ. ชาวสุเม
เรียนพ่ายต่อพวกอมอไรท์หรือบา
บิโลเนียน ซึ่งต่อมาได้สร้าง เมือง
บาบิโลเนีย กษัตริย์ที่มีชื่อเสียง
มากที่สุด คือ ฮัมมูราบี ชาวบาบิ
โลนได้ให้ สาระต่ออารยธรรม ไท
กริส-ยูเฟรติสมาก บาบิโลเนียถูก
โค่น อำานาจโดยพวกแคสไซท์
(Kassites) เมื่อประมาณ ๑๗๕๐
96. 96
๓. อัสซีเรียนได้ตั้งอาณาจักร
เล็ก ๆ เมื่อต้น ๓๐๐๐ ปีก่อน ค.ศ.
ประมาณ ๕๐๐ ไมล์ไปทางเหนือ
ของแม่นำ้าไทกริส ประมาณ
๑๓๐๐ ปีก่อน ค.ศ. อัสซีเรียนได้
ขยายมายังลุ่มนำ้าตอนเหนือ และ
๓๐๐ ปี ต่อมาได้ยึดอำานาจพวก
แคสไซท์ ผู้ปกครองที่มีชื่อเสียง
คือ ซาร์กอนที่ ๒ (Sargon II) เซน
97. 97
ในช่วง ๘-๙ ศตวรรตก่อน
ค.ศ. การเมืองของกษัตริย์เหล่านี้
คุมขยายไป เหนือดินแดนซีเรีย
โฟนีเชีย อิสราเอลและอีจิปต์ แต่
ชัยชนะอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ เป็นการ
รวมปึกแผ่นไม่ได้และ ผู้บริหารไม่
ดี พวกอัสสิเรียก็ตกอยู่ในอำานาจ
คาลเดีย
128. 128
๔. กฎหมาย ได้นำามาใช้เป็น
ระเบียบสังคม ภรรยาที่ซื่อสัตย์
กฎหมายยอมให้หย่าขาด จาก
สามีที่ทารุณ โหดร้ายได้ และ
พ่อแม่ของฝ่ายหญิงมีสิทธิเรียก
ร้องค่าเสียหายได้ ภรรยาที่
นอกใจ ไม่ซื่อสัตย์ต่อสามีจะถูก
ถ่วงนำ้า หญิงที่คบชู้จะถูก
ลงโทษอย่างทารุณ
๕. กฎหมายยอมรับการไต่สวนประวัติศาสตร์
131. 131
ศาสนา
ศาสนาของเมโสโปเตเมีย มีลักษณะเด่นจากองค์ประกอบ ๒
ประการ คือ
๑. เชื่อในเวทย์มนต์และสิ่งที่เหนือธรรมชาติ
๒. ไม่มีทัศนคติเกี่ยวกับชีวิตหลังตาย
ชาวสุเมเรียนมีเทพจำานวนหนึ่ง เทพเหล่านี้เป็นตัวแทน
ของอำานาจธรรมชาติและแสดงลักษณะ เป็นบุคคลจากองค์
ประกอบของมนุษย์ ชามาซ (Shamash) คือ สุริยเทพ เอนลิล
(Enlil) จ้าวแห่งฝนและลมและอิชตาร์ (Ishtar) เทพีของสตรี
เทพเหล่านี้และเทพอื่น ๆ เป็นทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ตัวอย่าง
เช่น สุริยเทพให้ความอบอุ่นและแสงสว่างในด้านหนึ่ง แต่อีก
ด้านหนึ่งเผาดินและทำาให้พืชเหี่ยวเฉา เทพที่น่ากลัวที่สุดใน
บรรดาเทพทั้งหมด คือ เนอกัล (Nergal) เชื่อกันว่าผู้ต้นเหตุ
ของโรคระบาด เทพเหล่านี้บางองค์ถูกชาวบาบิโลเนียนทอด
ทิ้ง แต่ทัศนคติทางศาสนาของชาวเมโสโปเตเมียนไม่ประวัติศ
172. 172
• ประมาณ 2330 BC บริเวณนี้
ต้องพ่ายต่อพวกอัคคาเดียน
(Akkadians) เป็นชาวเซมิติค
จากตอนกลางของเมโลโปเต
เมีย กษัตริย์ของอัคคาเดียน คือ
พระเจ้าซาร์กอนที่ ๑ มหาราช
(ครองราชย์ย์เมื่อประมาณ
2335-2279 BC)พระองได้
สถาปนาราชวงค์อัคคัดขึ้น และ
ในสมัยนี้ได้ใช้ภาษาอัคคาเดีย
นมาแทนที่ภาษาสุเมเรียน
• ชาวกูเตียน ชนเผ่าจากเนินเขา
ทางตะวันออก ได้เข้ามายุติการ
ปกครองของอัคคาเดียน เมื่อ
ประมาณ 2218 BC และ หลัง
จากการเข้ามาขัดจังหวะระยะ
หนึ่ง ราชวงค์ที่ ๓ แห่งเออร์ได้ประวัติศ
173. 173
• ในเมืองเออร์ ประเพณี
ชาวสุเมเรียนได้เบ่ง
บานในที่สุด การไหล
หลั่งเข้ามาของพวกอี
ลาไมท์จากทางตะวัน
ออกได้เข้ามาทำาลาย
เมืองเออร์เมื่อประมาณ
2000 BC. เผ่าเหล่านี้
ได้เข้ายึดเมืองโบราณ
และเข้าผสมปนเปกับ
ชนพื้นเมืองท้องถิ่น
และไม่มีเมืองในการ
ควบคุมปกครองเพิ่มจน
กระทั่งถึงสมัยพระเจ้าประวัติศ
174. 174
• ในขณะเดียวกัน ชาวอ
มอไรท์ (Amorite) ตระ
กูลหนี่งได้เข้ามายึด
อำานาจในเมืองอัสชูร์
(Ashur)ในทางเหนือ
อย่างไรก็ตาม ทั้งสอง
เทืองต่างเสื่องลงอย่าง
รวดเร็วหลังจากผู้มา
ใหม่เข้ามา การรุกไล่
เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ
1595 BC โดยชาวฮิต
ไทต์(Hittites)จากตุรกี
นำาบาบิโลนเสื่อมลง
และ และอยาภายใต้
การปกครองของพวก
แคสไซท์ (non-Semitic
Kassites) เป็นเวลา ๔
• อัสชูร์ได้ล่มสลายให้แก่
นครรัฐไมตันนี
(Mitanni state) เริ่มต้น
จากพวก เฮอเรียน
(Hurrians)จากเทือก
เขาคอเคซัส ซึ่งคาดว่า
เป็นเชื้อสายพวกอาร์มา
เนียน (the Armenians)
พวกเฮอเรียนได้อยู่ใน
เมโสโบตาเมียหลาย
ศตวรรษ แต่หลังจาก
1700 BC พวกนี้จำานวน
มากได้กระจายข้ามไป
ทางเหนือและที่ราบสู
งอนาโตเลียทั้งหมด
176. 176
• บาบิโลเนีย แคสไซท์
รุ่งเรืองขึ้นมา บนพื้นฐาน
ของเมืองไม่กี่เมืองกับ
หมู่บ้านจำานวนมากในรูป
แบบชนเผ่า กษัตริย์ของบา
บิโลเนียแคสไซท์ได้มีการ
เขียนไว้เท่ากับฟาโรห์ของ
อีจิปต์และมีการค้าอย่าง
กว้างขวาง
ประวัติศ
177. 177
อาณาจักรอัสสิเรียนและคาลเดีย
น
THE ASSYRIAN AND CHALDEAN EMPIRES
• การเริ่มต้นเมื่อประมาณ 1350
BC อัสสิเรีย อาณาจักรเมโสโป
ตาเมียตอนเหนือเริ่มต้นได้เข้า
มาอ้างสิทธิ์ กองทัพอัสสิเรียน
พ่ายต่อมิตันนี มีชัยต่อบาบิโลน
ระยะสั้น ๆ เมื่อประมาณ 1225
BC และขยายออกไปถึงทะเล
เมดิเตอเรเนียนเมื่อประมาณ
1100 BC. ชนเผ่าอรามา
เนียน(Aramaean tribes) จาก
ทุ่งหญ้าซีเรียได้เข้ามาขัดการ
ขยายอาณาเขตของอัสสิเรียน
เป็นเวลา 2 ศตวรรษ ด้วยการมี
Editor's Notes ระหว่างช่วง ๕ พันปีก่อนคริสตกาล ประชาชนพวกหนึ่งรู้จักกันในนามอูไบเดียน ได้ตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่รู้จักต่อมาว่าซูเมอร์ การตั้งถิ่นฐานเหล่านี้ได้พัฒนา เป็นเมืองสุเมเรียนที่สำคัญ ชื่อว่า Adab, Eridu, Isin, Kish, Kullab, Lagash, Larsa, Nippur, and Ur. หลายศตวรรษต่อมา เมื่อชาวอูไบเดียนได้ตั้งถิ่นฐาน มั่งคั่งแล้ว พวกเซไมท์ (Semites) จากทะเลทรายซีเรียนและอารเบียน ได้เริ่มแทรกซึมเข้ามา ทั้งสองเป็นพวกอพยพที่มีอำนาจและเป็นผู้รุกไล่ในการ แสวงหา quest of booty. หลังประมาณ 3250 BC, คนอีกพวกหนึ่งได้ย้ายถิ่น จากมาตุภูมิของตน ตั้งถิ่นฐาน บางทีอาจเป็นด้านตะวันออกเฉียงเหนือของ เมโสโปเตเมีย และเริ่มแต่งกับประชาชนพื้นเมือง พวกที่มาใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกัน ในนามสุเมเรียน พูดภาษา an agglutinative language ไม่สัมพันธ์โยงกับ ภาษาอื่นที่รู้จักกัน.
ในหลายศตวรรษซึ่งติดตามการอพยพของสุเมเรียน เมืองได้เจริญมั่งคั่งและมีอำนาจ ศิลปะและสถาปัตยกรรม หัตถกรรม และศาสนา และความคิดทางจริยธรรมได้เจริญขึ้น ภาษาสุเมเรียนได้ใช้เป็นภาษาที่ครอบคลุมทั่วดินแดน และประชาชนที่นี่ได้พัฒนาอักษร รูปลิ่ม ระบบหนึ่งในการเขียนบนดินเหนียว จารึกนี้ได้กลายเป็นความหมายพื้นฐานของ การสื่อสารด้วยการเขียนทั่วทั้งตะวันออกกลางเป็นเวลาประมาณ ๒๐๐๐ ปี
"Sumer," Microsoft (R) Encarta. Copyright (c) 1994 Microsoft Corporation. Copyright (c) 1994 Funk & Wagnall's Corporation.
ในหลายศตวรรษซึ่งติดตามการอพยพของสุเมเรียน เมืองได้เจริญมั่งคั่งและมีอำนาจ ศิลปะและสถาปัตยกรรม หัตถกรรม และศาสนา และความคิดทางจริยธรรมได้เจริญขึ้น ภาษาสุเมเรียนได้ใช้เป็นภาษาที่ครอบคลุมทั่วดินแดน และประชาชนที่นี่ได้พัฒนาอักษร รูปลิ่ม ระบบหนึ่งในการเขียนบนดินเหนียว จารึกนี้ได้กลายเป็นความหมายพื้นฐานของ การสื่อสารด้วยการเขียนทั่วทั้งตะวันออกกลางเป็นเวลาประมาณ ๒๐๐๐ ปี
"Sumer," Microsoft (R) Encarta. Copyright (c) 1994 Microsoft Corporation. Copyright (c) 1994 Funk & Wagnall's Corporation.
ผู้ปกครององค์แรกของบันทึกทางประวัติศาสตร์ คือ เอตานา (Etana) กษัตริย์แห่งเมืองกิส (Kish) (รุ่งเรืองเมื่อประมาณ ๒๘๐๐ BC) มีการบรรยายในหลักฐาน อ้างอิงที่เขียนไว้ในศตวรรษต่อมาว่าเป็น “บุรุษผู้สร้างความมั่นคงให้ดินแดนทั้งหมด“ “man who stabilized all the lands.” การปกครองของพระองค์สิ้นสุดหลังจากนั้น ไม่นาน กษัตริย์พระองค์หนึ่งพระนามว่าเมสกิอักกัสเชอร์ (Meskiaggasher) ได้ตั้ง ราชวงศ์แข่งขันขึ้นมาที่อูรุก (Uruk ในไบเบิลเรียกว่า Erech) อยู่ห่างไปทางใต้ของเมืองกิส เมสกิอักกัสเชอร์ ผู้ชนะการควบคุมบริเวณจากทะเลเมดิเตอเรเนียนไปจดภูเขาซากรอส (Zagros) ราชโอรสของพระองค์ เอนเมอร์การ์ (Enmerkar รุ่งเรืองเมื่อประมาณ ๒๗๕๐ BC) ได้สืบราชสมบัติต่อมา รัชสมัยต่อ ๆ มาเป็นที่น่าสังเกตในด้านการขยายไปยังเมือง อรัตตา (Aratta) นครรัฐที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมโสโปเตเมีย เอนเมอร์การ์ (Enmerkar) ได้มีผู้สืบราชสมบัติต่อมาโดยลูกัลบันดา (Lugalbanda) หนึ่งในบรรดาผู้นำทัพของพระองค์ การกระทำที่กล้าหาญและชัยชนะของเอนเมอร์การ์และ ลูกัลบันดา ก่อเป็นเรื่องกาพย์ที่เล่าวนซ้ำเป๋นการสร้างแหล่งเรื่องราวที่มาที่สำคัญที่สุด ในประวัติศาสตร์สุเมเรียนสมัยเริ่มแรก
จากศตวรรษที่ ๒๓ BC อำนาจของสุเมเรียนได้เสื่อมลงจนกระทั่งไม่สามารถป้องกัน ตัวเองจากการรุกรานของต่างชาติได ซาร์กอนที่ ๑ มหาราช (Sargon I ครองราชย์ ประมาณ ๒๓๒๕-๒๒๗๙ BC) ผู้ปกครองชาวเซมิติคได้ปกครองสืบต่อมา จากการมีชัย ทั้งประเทศ ซาร์กอนได้ตั้งเมืองหลวงใหม่มีชื่อว่าอากาเด (Agade) ไกลออกไปทางเหนือ ของซูเมอร์ และสร้างจนเป็นเมืองที่ร่ำรวยและมีอำนาจที่สุดในโลก ประชาชนซูเมอร์ตอน เหนือแและเป็นผู้รุกรานที่มีชัย ได้หล่อหลอมรวมกันทีละน้อย กลายเป็นเผ่าชนและภาษา ที่เรียกว่า อัคคาเดียน ดินแดนซูเมอร์จึงเป็นการหลอมรวมชื่อซูเมอร์และอัคคัด