More Related Content
Similar to 2560 project fewnew22
Similar to 2560 project fewnew22 (20)
More from Aom Nachanok (16)
2560 project fewnew22
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน เตือนภัยวันรุ่นรับมือโรคเครียด
ชื่อผู้ทาโครงงาน
ชื่อ นางสาวสโรชา นาคแก้ว
เลขที่ 17 ชั้น 6/10
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
นางสาวสโรชา นาคแก้ว เลขที่17
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
เตือนภัยวัยรุ่นรับมือโรคเครียด
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Warning sign of chronic stress
ประเภทโครงงาน เพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวสโรชา นาคแก้ว
ชื่อที่ปรึกษา นางเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา2560
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
เด็กวัยรุ่นสมัยนี้มีความเครียดไม่น้อยเลย แม้จะมีหน้าที่เพียงศึกษาเล่าเรียนเท่านั้น แต่ด้วยสภาพแวดล้อม
ต่าง ๆ ของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป หากเด็ก ๆ ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างเหมาะสม ก็ย่อมมีผลเสียตามมาปัจจุบัน
พบว่า มีข่าวเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นแก้ปัญหาความเครียดของตนเองด้วยวิธีผิด ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์มากมาย เช่น
ทะเลาะทาร้ายร่างกายเพื่อน บางคนระบายความเครียดด้วยการหันไปสูบบุหรี่ ดื่มสุรา เสพสารเสพติด หรือหากไม่
สามารถแก้ปัญหาความเครียดของตนเองได้ ก็ลงท้ายด้วยการทาร้ายตนเอง และฆ่าตัวตาย นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มี
ใครอยากให้เกิดขึ้นกับสมาชิกในครอบครัวของตนเป็นแน่วัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทั้งร่างกาย
จิตใจและความสัมพันธ์กับครอบครัวรวมทั้งเพื่อนฝูง วัยรุ่นตอนต้น อายุราว 13 – 15 ปี เป็นวัยที่สนุกสนานร่าเริง
เปิดเผย ไม่ค่อยเก็บความรู้สึกไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ ผิดหวัง ก็แสดงออกมาให้เห็นได้ชัด อารมณ์ต่างๆ มักเป็นไปชั่ว
ประเดี๋ยวประด๋าวเพราะเป็นวัยที่อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย ทาให้วัยรุ่นไม่ค่อยมีความเครียดมากนัก ประกอบกับวัยรุ่น
ตอนต้นยังมีความรับผิดชอบในระยะสั้น เพราะผู้ใหญ่ไม่ค่อยไว้ใจปล่อยให้รับผิดชอบเต็มที่ แต่มักจะใช้วิธีสั่งให้ทาเป็น
เรื่องๆ ไปมากกว่า และความรับผิดชอบนี้เองเป็นสิ่งสาคัญที่จะทาให้เกิดความเครียด ดังนั้น หากวัยรุ่นจะเกิด
ความเครียดก็เป็นความเครียดในระยะสั้นๆ ไม่รุนแรงและยาวนานเหมือนผู้ใหญ่ ซึ่งต้องรับผิดชอบตนเองเต็มที่
รวมทั้งความสนใจและความต้องการของวัยรุ่นเปลี่ยนแปลงง่ายจนไม่สามารถจะคาดเดาได้ เรื่องสาคัญและทาให้เขา
เครียดในขณะหนึ่งอาจเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นได้อย่างรวดเร็วดังนั้นดิฉันจึงมีความสนใจที่จะนาเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับโรค
เครียดให้ผู้อื่นได้รู้และปรับใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่างเหมาะสม
- 3. 3
วัตถุประสงค์
1.เพื่อทราบช่วงใดของวัยรุ่นที่เกิดโรคเครียด
2.เพื่อทราบสาเหตุที่ทาให้เกิดโรคเครียด
3.เพื่อวิธีการจัดการกับความเครียด
ขอบเขตโครงงาน
วัยรุ่นจะจัดการกับความเครียดอย่างไร วัยรุ่นหญิงมักตึงเครียดจากสาเหตุความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
มากกว่าวัยรุ่นชาย ในเรื่องปัญหาการเรียนและปัญหาในโรงเรียน พบว่าวัยรุ่นตอนต้นมักตึงเครียดจากปัญหาการ
ปรับตัวในโรงเรียน ส่วนวัยรุ่นตอนกลางและตอนปลายตึงเครียดจากปัญหาการเรียนและการเลือกอาชีพมากกว่า
หลักการและทฤษฎี
Selye (1974 อ้างถึงใน ประณิตา ประสงค์จรรยา, 2542: 34) ได้กล่าวถึงทฤษฎีความเครียดของ selye
(Selye’Stress Theory) ว่า เมื่อร่างกายถูกสิ่งที่มาคุกคาม(Stressor) จะทาให้เกิดความเครียด ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ดีและ
ไม่ดี จะทาให้ความสมดุลของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป และจะเกิดการตอบสนองของบุคคลต่อตัวกระตุ้น (Stressor)
ซึ่งการตอบสนองนั้นจะแสดงออกไปในลักษณะของกลุ่มอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง (Nonspecific) ที่เรียกว่า กลุ่ม
อาการปรับตัวโดยทั่วไป (GAS : General Adaptation Syndrome) ซึ่งกลุ่มอาการนี้เกิดขึ้นเป็น 3 ระยะ คือ 1.
ระยะเตือน (Alarm Reaction) เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของบุคคลต่อสิ่งเร้าหรือตัวกระตุ้นที่ก่อให้เกิดภาวะเครียดใน
ระยะแรก ปฏิกิริยาในระยะนี้จะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นๆ ตั้งแต่เพียงไม่กี่นาที ถึง 48 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของ
ตัวกระตุ้น อาการแสดงนั้นเป็นผลเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเททิคและต่อมพิทูอิ
ทารี่ส่วนหน้า ระยะเตือนนี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ 1.1. ระยะช็อค (Shock Phase) เป็นระยะของการ
ตอบสนองต่อสิ่งเร้า ซึ่งบุคคลที่ถูกรบกวน จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงความสมดุลของร่างกาย ปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นเป็น
อันดับแรกที่ สมองส่วนคอร์เทกซ์ แล้วจึงส่งคลื่นประสาทมากระตุ้นต่อมพิทูอิทารี่ส่วนหน้า ประสาทอัตโนมัติซิมพา
เททิค และต่อมหมวกไตตามลาดับ ทาให้มีการผลิตฮอร์โมนแคทีโคลมีนคอร์ติคอยด์ โคโทรฟิค และโกนาโดรโทรฟิค
เข้าสู่กระแสเลือดเพิ่มขึ้น ในระยะนี้จะพบว่ามีการสลายโปรตีนของกล้ามเนื้อ ตัวที่ก่อให้เกิดความเครียด การ
ตอบสนอง โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของร่างกาย (Stressor) (Stress Response) (Stress – Related Dysfuction
Diseas) มีการหลั่งน้ําย่อยในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น และเซลล์ตับมีการหลั่งฮีสตามีนเพิ่มขึ้น มีน้ําและเกลือโซเดียมคั่ง
ระหว่างเซลล์ ระดับโปตัสเซียมในเลือดสูงขึ้น ซึ่งโปตัสเซียมที่สูงขึ้นนี้ จะมีผลกดสมองส่วนกลาง ทาให้การดึงตัวของ
กล้ามเนื้อหัวใจลดลง หลอดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อขยายตัว ในขณะที่หลอดเลือดฝอยส่วนปลายตามผิวหนัง และช่อง
ท้องหดตัว ถ้าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นรุนแรงมาก ความดันโลหิตจะลดต่าลงอาจมีอาการช็อคหรือหัวใจหยุดเต้นได้ การ
เปลี่ยนแปลงในระยะนี้ร่างกายไม่พร้อมที่จะปรับตัว และถ้ายังดาเนินต่อไป ร่างกาย จะถูกใช้พลังงาน จนหมดภายใน
24-48 ชั่วโมง นอกจากนี้จะมีกลไกการป้องกันตัวเอง ซึ่งจะเข้าสู่ระยะต้านช็อค 1.2 ระยะต้านช็อค (Countershock
Phase) เป็นระยะถัดจากระยะช็อค ซึ่งร่างกายเริ่มปรับตัวกลับเข้าสูํํภาวะสมดุล โดยจะมีการดึงเอากลไกการต่อสู้ของ
ร่างกายออกมาช่วยเหลือระบบต่างๆ ของร่างกาย เริ่มประสานกันอย่างมีระเบียบ ต่อมพิทูอิทารี่จะขับฮอร์โมนคอร์ติ
โคโทฟิคเพิ่มขึ้น ส่วนต่อมหมวกไตจะหลั่งฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์เพิ่มขึ้น ทาให้อัตราการเผาผลาญของร่างกาย
สูงขึ้นร่วมกับการเร่งขอประสาทอัตโนมัติซิมพาเททิค อาการแสดงที่ตรวจพบ คือ อัตราการเต้นของหัวใจจะแรงและ
เร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น หายใจเร็ว มีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียน ม่านตาขยาย และเหงื่อออกมากผิดปกติ 2. ระยะ
ต่อต้าน (Stage of Resistance) สิ่งมีชีวิตจะปรับตัวอย่างเต็มที่ต่อตัวกระตุ้นให้เกิดความเครียดและผลที่ตามมา คือ
อาการจะดีขึ้นหรือหายไป ลักษณะที่ปรากฏในระยะนี้จะแตกต่าง หรือมีลักษณะตรงกันข้ามกับระยะเตือน เช่น ใน
ระยะเตือนเซลคอร์เทกซ์ของต่อมหมวกไต ปล่อยฮอร์โมนเข้าสู๋กระแสเลือก เพราะฉะนั้น จะไม่มีฮอรGโมนคอรGติ
- 4. 4
คอยดGเก็บสะสมไว' แต่ในระยะต่อต้านคอร์เทกซ์จะมีฮอร์โมนเก็บไว้มาก ในระยะเตือนเลือดจะเข้มข้นและคลอไรด์
ต่า จะมีการทาลายของเนื้อเยื่อมาก แต/ในระยะต/อต'านเลือดจะเจือจาง คลอไรด์สูงและเซลล์มีการซ่อมแซมทาให้
น้ําหนักกลับเข้าสู่ปกติ แต่ถ้าสิ่งมีชีวิตนั้นยังได้รับการกระตุ้นจากสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียดอยู่ สิ่งมีชีวิตนั้นจะสูญเสีย
การปรับตัวอีกและจะเข้าสู่ระยะที่ 3 คือ ระยะหมดกาลัง 3. ระยะหมดกาลัง (Stage of Exhausion) เนื่องจาก
ความสามารถในการปรับตัวของสิ่งมีชิวิตต้องมีจุดจบ ถ้าตัวกระตุ้นก่อให้เกิดความเครียดรุนแรงและไม่สามารถจะ
ขจัดออกไปได้สิ่งมีชีวิตจะเกิดการหมดกาลัง อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระยะเตือนก็จะกลับมาอีก และถ้าหากไม่ได้รับ
ความช่วยเหลือหรือประคับประคองจากภายนอกอย่างเพียงพอ กลไกในการปรับตัวจะล้มเหลว เกิดโรคและเสียชีวิต
ได้ในที่สุดทฤษฎีเกี่ยวกับความเครียดมี 3 กลุ่ม ดังนี้ (อ้างถึงใน พรพรรณ ศรีเทพ, 2550:17X18)
https://boonkit54.blogspot.com/2013/08/blog-post_6180.html