More Related Content
Similar to เธเธ—เธ—เธตเน 2
Similar to เธเธ—เธ—เธตเน 2 (20)
More from Gawewat Dechaapinun
More from Gawewat Dechaapinun (20)
เธเธ—เธ—เธตเน 2
- 5. เนื้อเยื่อป้องกัน (protective tissue)
• เนื้อเยื่อที่เรียงตัวกันอยู่ชั้นนอกสุด
• คิวติเคิลประกอบด้วยสารประเภทไข ได้แก่ wax และ cutin ซึ่งมี
คุณสมบัติไม่ชอบนำ้า (hydrophobic)
• wax ยังให้ความมันเงาแก่ผลไม้ การขัดขวางการเคลื่อนย้ายของนำ้า
• cutin มักจะมีสารประกอบฟีนอลอยู่ด้วย ช่วยทำาหน้าที่ป้องกันเชื้อโรค
และแมลงที่จะเข้าทำาลายผลได้
- 8. 1.1.2 เนื้อเยื่อพาเรนไคมา
• มี 3 ใน 4 ของเซลล์ทั้งหมดของเนื้อเยื่อพืช
• ภายในเนื้อเยื่อจะมีช่องว่างภายในเซลล์ คือแวคคิวโอล
(vacuole) ที่เป็นที่เก็บสารต่างๆ เช่น กรด นำ้าตาล รงควัตถุ รวม
ทั้งสารที่ละลายนำ้า ละลายไขมัน และโปรตีน
• เซลล์แต่ละเซลล์จะไม่ชิดกันและมีช่องว่างแทรกอยู่
• มันฝรั่งจะมีช่องว่างน้อยกว่า 1% ของปริมาตรเนื้อเยื่อ แต่ใน
แอปเปิ้ลจะมีช่องว่างถึง 25%
- 11. 1.1.3 เนื้อเยื่อคำ้าจุน (supporting
tissue)
• แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ คอเลนไคมา (collenchyma) และ
สเคอเลนไคมา (sclerenchyma)
1. คอเลนไคมา (collenchyma) ทำาให้เนื้อเยื่อมีความแข็งแรง
พบมากที่ก้าน ลำาต้น ใบ ผนังเซลล์ ซึ่งประกอบไปด้วยเพคติน
และเฮมิเซลลูโลสเป็นส่วนใหญ่
- 12. 2. สเคอเรนไคมา (sclerenchyma)
• เป็นเซลล์เนื้อเยื่อที่มีผนังหนาและมักเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว
• ประกอบด้วยเซลลูโลส (cellulose) และ/หรือ ลิกนิน (lignin)
• สเคอเรนไคมาแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ เส้นใย (fiber) และ
สเคอรีด (sclereid)
- 15. 1.2 การสูญเสียนำ้า
• ผลผลิตสดจะต้องคายนำ้าอยู่ตลอดเวลา เพื่อระบายความร้อนที่
เกิดจากการหายใจ
• โครงสร้างต่างๆ ที่ป้องกันการระเหยของนำ้า เช่น ไข (wax) และ
คิวติน (cutin)
• พืชก็มีช่องเปิดต่างๆ เช่น ปากใบ (stomata) และ lenticel
เพื่อถ่ายเทอากาศนำาเข้าออกซิเจนเข้าไปสำาหรับการหายใจและ
ระบายคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา (รูปที่ 2.5)
- 19. 2. คุณสมบัติทางชีววิทยา
• 2.1 การหายใจ (respiration)
การหายใจแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
1) การหายใจที่ใช้ออกซิเจน (aerobic respiration)
2) การหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic respiration)
- 23. • 1) กระบวนการไกลโคไลซีส เป็นการเปลี่ยนนำ้าตาลกลูโคส
ให้เป็นนำ้าตาลกลูโคสหรือฟรุคโตสเป็นกรดไพรูวิค (pyruvic
acid) กระบวนการนี้เกิดขึ้นในไซโตพลาสซึมของเซลล์ ซึ่ง
เป็นกระบวนการที่ไม่ต้องการออกซิเจน ผลที่ได้คือพลังงานใน
รูป ATP และ NADH
- 24. • 2) วัฏจักรเครบส์ เป็นการเปลี่ยนกรดไพรูวิคให้เป็น
คาร์บอนไดออกไซด์ นำ้าและพลังงาน ซึ่งปฏิกิริยาทั้งหมดเกิดใน
ไมโตคอนเดรียของเซลล์ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ออกซิเจน
- 25. • 3) ขั้นการถ่ายทอดอิเลคตรอน (Electron
Transportation system)
• พลังงานที่ได้จากกลูโคส 1 โมเลกุลผ่านเข้าวิถีไกลโคไลซีส สู่
วัฏจักรเครบส์จนถึงการถ่ายทอดอิเลคตรอนจะได้พลังงานทั้งสิ้น
38 ATP
- 26. 2.1.2 การหายใจที่ไม่ใช้ออกซิเจน
• การหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจนหรือการหมัก (fermentation)
• เกิดขึ้นเมื่อปริมาณออกซิเจนไม่เพียงพอ ปฏิกิริยานี้จะผ่านวิถี
ไกลโคไลซีสเท่านั้น
• ถ้าอยู่ในเซลล์สิ่งมีชีวิตหรือมีเชื้อจุลินทรีย์กลุ่มแลกติก (lactic
acid bacteria) ในกระบวนการหมักจะทำาให้ได้ผลิตภัณฑ์คือ
กรดแลกติก
• แต่ถ้ามีเชื้อจุลินทรีย์เช่น ยีสต์ Saccharomyces cerevisiae
จะทำาให้ได้แอลกอฮอล์
- 33. Climacteric-Non climacteric
• ผลไม้ประเภท climacteric มีอัตราการหายใจ และการสร้าง
เอทธีลีนเพิ่มมากขึ้นพร้อมๆ กับการสุก
• ในขณะที่พวก non-climacteric ซึ่งโดยทั่วไปมีการหายใจ
และการผลิตเอทธีลีนในอัตราที่ตำ่า และไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่การสุก แต่ทั้งนี้อัตราการหายใจของ
ผลิตผลเกษตรนั้นยังขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ทั้งปัจจัยภายในและ
ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม
- 35. ลักษณะของผลไม้ Climacteric และ Non-
climactericClimacteric
1. มักจะสุกและมี
คุณภาพดีเมื่อ นำามา
บ่ม2. สังเคราะห์เอทธิลีน
เป็นจำานวนมากใน
ระหว่างกระบวนการสุก3. ใช้เอทธิลีนกระตุ้น
ให้เกิดการหายใจแบบ
climacteric ใน
ปริมาณตำ่า4. มีการเพิ่มอัตราการ
หายใจเพียง 1 ครั้ง
Non-climacteric
1. สุกอยู่กับต้น
2. สังเคราะห์เอทธิลีน
ได้น้อย
3. เอทธิลีนกระตุ้
นการหายใจ ให้สูง
ขึ้นได้โดยอัตราจะ
ผันแปร ไปตาม
ปริมาณเอทธิลีน
4. การหายใจเพิ่มขึ้น
ได้มากกว่า 1 ครั้งเมื่อ
- 37. การหายใจของผลไม้ แบบ Climacteric
สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ขั้น
1. Pre-Climacteric เป็นช่วงที่มีการ
หายใจในอัตราที่ตำ่าก่อนที่จะมีการหายใจเพิ่มขึ้น
2. Climacteric rise เป็นช่วงที่การหายใจ
เพิ่มอัตราขึ้นอย่างมาก
3. Climacteric Peak เป็นจุดที่มีอัตรา
การหายใจสูงที่สุด ช่วงนี้ผลไม้จะมีคุณภาพที่
เหมาะสมต่อการบริโภค
4. Post-Climacteric เป็นช่วงหลังจากที่
อัตราการหายใจเพิ่มขึ้นสูงที่สุดแล้วอัตราการ
หายใจจะลดลง
- 45. 2.3 ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการหายใจ
• อุณหภูมิ : อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอัตราการหายใจสูงขึ้น
ลดอุณหภูมิลดอัตราการหายใจ
• ความบอบชำ้า พืชที่ชำ้ามีอัตราการหายใจสูงขึ้น
พบว่าแครอทที่ชำ้าจะมีอัตราการหายใจ
สูงขึ้นถึง 5 เท่า
แต่มีข้อยกเว้นกับผลไม้บางชนิด เช่น
แอปเปิล แม้ว่าจะชำ้าแต่ก็ไม่มีผลต่ออัตรา
การหายใจมากนัก
• การปอกเปลือก พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วลันเตาที่แกะจากฝักแล้ว
พบว่ามีอัตราการหายใจสูงขึ้น แต่ถั่วบางชนิดไม่เป็นเช่นนี้
- 48. 3.2 การผลิตก๊าซเอทิลีน (ethylene
production)
• เอทธิลีนเป็นก๊าซอินทรีย์ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสรีรวิทยา
ของพืช
• ความเข้มข้นตำ่า มีผลต่อการเสื่อมสลาย (senescence)และการ
สุก
• อัตราการสังเคราะห์เอทธิลีนจะเพิ่มขึ้นเมื่ออยู่ในช่วงสุก ผลิตผล
ที่เกิดบาดแผล ชำ้าและเป็นโรค
- 52. 3.4 ความผิดปกติทางสรีรวิทยา
(physiological disorder)
• Chilling injury หรือ อาการสะท้านหนาว มักเกิดกับพืชเมือง
ร้อนที่ได้รับอุณหภูมิตำ่า (แต่สูงกว่าจุดเยือกแข็ง) โดยทั่วไปพบที่
อุณหภูมิตำ่ากว่า 5-15 องศาเซลเซียส
• อาการที่พบคือ สีที่เปลือกนอกและภายในเปลี่ยนแปลงคือ ฉำ่านำ้า
บ่มไม่สุก รสชาติผิดปกติ อ่อนแอต่อการเข้าทำาลายของเชื้อ
จุลินทรีย์
- 54. 3.4 ความผิดปกติทางสรีรวิทยา
(physiological disorder)
• Heat injury การสะสมของความร้อน เช่นได้รับแสงอาทิตย์ที่แรง
เกินไป หรืออุณหภูมิสูงมาก จะทำาให้ผลผลิตมีผิวมีสีซีด ผิวเกิดรอย
ไหม้ หรือลวก สุกไม่สมำ่าเสมอ อ่อนนิ่ม ผิวแห้ง เป็นต้น
• สับปะรดจะพบอาการฉำ่านำ้า (water soaked) และใสเป็นแก้ว
(glassy) อาจมีนำ้าเยิ้มออกมา
• กล้วยจะมีลักษณะนิ่ม เป็นสีนำ้าตาล และนำ้าเยิ้ม
• มะเขือเทศจะเกิดเป็นรอยที่ใสเป็นแก้วและอ่อนนิ่มมาก