More Related Content
Similar to บทที่ ๒ ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
Similar to บทที่ ๒ ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู (20)
บทที่ ๒ ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
- 7. 1.2 ประวัติศาสตร์ ภาษา และวัฒนธรรม
- อินเดียนับเป็นแหล่งอารยธรรม
โบราณแห่งหนึ่ง
- อาณาจักรโมเฮ็นโจ ดาโร และ
ฮารัปปา เคยเจริญรุ่งเรืองอยู่เป็นเวลา
กว่า 2,000 ปี
- วัฒนธรรมอินเดียมีความผูกพันกับ
ศาสนา และยังรับเอาวัฒนธรรมจากต่าง
ถิ่น เข้ามาผสมผสานกันกับวัฒนธรรม
- 17. • ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เริ่มขึ้นจากลัทธิประจำา
เผ่า และพัฒนาขึ้นมาเป็นศาสนาประจำาเผ่า
อารยัน (Tribal Religion ) และกลายเป็น
ศาสนาระดับชาติในที่สุด กล่าวคือ เดิมเป็นลัทธิ
บูชาเทพเจ้าของเผ่าอารยัน
• ชนเผ่าอารยันที่อพยพลงมาจากตอนกลางของ
ทวีปเอเชีย มายังลุ่มแม่นำ้าสินธุ ได้รบชนะชาว
พื้นเมืองอินเดียที่เรียกว่า มิลักขะ หรือ ทัสยุ
• ได้ขับไล่พวกมิลักขะเจ้าของท้องถิ่นเดิมออกไป
แล้วตั้งถิ่นฐานที่อยู่ครอบครองลุ่มนำ้าสินธุและ
ประวัติ
ความเป็น
มา
- 21. ลำาดับชื่อของศาสนา
พราหมณ์-ฮินดู• “สนาตนธรรม” (Sanatana Dharma) แปล
ว่า ศาสนาที่ดำารงอยู่นิจนิรันดร ไม่มีวันเสื่อม
(Eternal or Universal Righteousness)
• ต่อมาเกิดคัมภีร์พระเวท เรียกว่า “ไวทิกธรรม”
แปลว่า ธรรมที่ได้จากพระเวท
• ภายหลังได้เปลี่ยนเป็น “อารยธรรม” แปลว่า
ธรรมอันดีงาม
• เมื่อพวกพราหมณ์มีอิทธิพลทางศาสนาจึงได้ชื่อ
ว่า “พราหมณธรรม” แปลว่า คำาสอนของ
พราหมณาจารย์
- 23. ๑. –ยุคดึกดำาบรรพ์ ก่อนมี
คัมภีร์พระเวท >> ความเชื่อ
ดั้งเดิมของชาวอารยัน
- ศาสนาพราหมณ์ เกิดในประเทศอินเดีย
ประมาณ 1,455-957 ปีก่อน พ.ศ. นับ
ตั้งแต่ชาวอารยันเข้ามาอยู่ในอินเดีย
• ชาวอารยันนับถือเทพเจ้าหลายองค์ เช่น
พระสาวิตรี พระวรุณ พระอัคนี พระรุทระ
เป็นต้นและได้นำาความเชื่อของตนไปผสม
ผสานกับของชาวพื้นเมืองมิลักขะ ที่นับถือ
เทพเจ้าประจำาโลกธาตุทั้ง 4 จึงก่อเกิด
คัมภีร์พระเวท และวิวัฒนาการเป็น
- 24. ๒. ยุคพระเวท
• ยุคพระเวท เป็นยุคที่นับตั้งแต่เริ่มเกิดมีพระเวท
ขึ้น คัมภีร์พระเวทเริ่มมีขึ้นประมาณ 1,000 ปี
ก่อนพุทธกาล หรือ ๑,๕๐๐ ปี ก่อน ค.ศ.
• เป็นปรัชญาอินเดียสมัยโบราณ เกิดจากการ
ผสมผสานความเชื่อของชนพื้นเมืองอินเดีย คือ
พวกทราวิท หรือ ดราวิเดียน กับ ความเชื่อของ
ผู้บุกรุก คือ พวกอารยัน กลายเป็นศาสนาและ
ปรัชญาตามแนวคำาสอนของคัมภีร์พระเวท
• ชาวอารยันได้รวบรวมบทสวดอ้อนวอนเทวะขึ้น
“ ”เป็นหมวดหมู่เป็นคัมภีร์ เรียกว่า เวท คือ วิทยา
- 26. 1) ฤคเวท เป็นคัมภีร์เก่าแก่ที่สุด เป็น
บทเพลงสวดหรือมนต์สรรเสริญ
อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าและเทวี มี
บทเพลงสวด 1,017 บท แสดงให้เห็น
ถึงการยกย่องอำานาจธรรมชาติในการ
ต่อสู้ระหว่างแสงสว่างกับความมืด
ความร้อนกับความหนาว อำานาจ
ธรรมชาติถูกยกฐานะเป็นเทพเจ้า มี
เทพเจ้าสำาคัญ ๆ คือ อัคนี อินทร์ สูรยะ
วรุณ อุษา อัศวิน มรุต รุทระ ยมะ
- 28. 3) สามเวท เป็นคัมภีร์ที่
รวบรวมบทสวด ซึ่งเป็นบท
ร้อยกรองมีทั้งหมดถึง
1,549 บท โดยนำามาจาก
ฤคเวทเป็นส่วนมาก ที่แต่ง
ขึ้นใหม่ มีประมาณ 78 บท
จะใช้สำาหรับสวดในพิธี
ถวายนำ้าโสมและขับกล่อม
- 30. • พระเวทแต่ละคัมภีร์ แบ่งออกเป็น 4 ตอน คือ
• 1. มันตระ : รวบรวมมนต์ร้อยกรอง สำาหรับ
ใช้สวดสรรเสริญ สดุดีเทพเจ้า เป็นคาถาใช้
ในพิธีบูชายัญ
• 2. พราหมณะ : เป็นร้อยแก้ว อธิบาย
ระเบียบการประกอบพิธีกรรม เป็นคู่มือของ
พราหมณ์
• 3. อารัณยกะ : เรียบเรียงในป่าที่เงียบสงัด
เกิดแนวคิดทางปรัชญา
เนื้อหาเป็นเรื่องลึกลับเกี่ยวกับการประกอบพิธี
บูชายัญ ต้องศึกษาคัมภีร์ในป่าเพื่อความ
- 31. • 4. อุปนิษัท : ประมวลแนวความ
คิดทางปรัชญาในคัมภีร์พระเวท
ไว้ทั้งหมด ว่าด้วยความรู้
ในเรื่องธรรมชาติอันแท้จริงของ
โลก , พรหม หรือ พรหมัน หรือ
อาตมัน
• อุปนิษัท เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
เวทานตะ แปลว่าที่สุดแห่ง
พระเวท เพราะเป็นตอนสุดท้าย
ของพระเวทอย่างหนึ่ง และเป็น
ประมวลส่วนที่สำาคัญที่สุดของ
พระเวทอย่างหนึ่ง
- 32. • “ ” –ชาวฮินดูเชื่อว่าคัมภีร์พระเวทเป็น ศรุติ
พระวจนะของพระเจ้าที่ทรงสั่งสอนถ่ายทอด
ให้แก่พวกฤาษีอินเดียในสมัยโบราณ ฤาษีทั้ง
หลายเมื่อได้เรียนรู้พระเวทจากพระเจ้าแล้วก็
สั่งสอนถ่ายทอดให้แก่สานุศิษย์ต่อๆ มา
• ในเตวิชชสูตร : ฤาษี 10 ตน ผู้เป็นบูรพาจารย์
ผู้สอนคัมภีร์พระเวทให้แก่พวกพราหมณ์
ได้แก่ ฤาษีอัฏฐกะ, ฤาษีวามกะ, ฤาษีวาม
เทวะ, ฤาษีเวสสามิตร,ฤาษียมตัคคี, ฤาษีอังคี
รส, ฤาษีภารทวาชะ, ฤาษีวาเสฎฐะ, ฤาษี
กัสสปะ และฤาษีภคุ
- 50. ๒. ยุคพราหมณะ
• ประมาณ ๓๐๐ ปีก่อนพุทธกาล เป็นสมัยที่
พราหมณ์เรืองอำานาจ มีอิทธิพลเหนือวรรณะอื่น
• เป็นยุคที่เกิดเทพองค์ใหม่ขึ้น คือ “พระ
”พรหม ยกย่องเป็นเทพผู้บริสุทธิ์ ผู้สร้าง
สรรพสิ่งรวมทั้งวรรณะ ๔ เพื่อความสงบ
และสันติของการอยู่ร่วมกันในสังคม
มนุษย์ โดยกำาหนดหน้าที่กำากับให้วรรณะ
ถือเป็นจริยธรรมของตนได้ เป็นแนวคิด
แบบ “ ”เอกเทวนิยม
• โลกจะต้องประกอบด้วยคุณลักษณะ สำาคัญ ๓
- 51. คุณสมบัติของพราหมณ์
• ๑) ศมะ >> มีความสุภาพภายในจิตใจ ไม่ปั่น
ป่วนด้วยความโลภ โกรธ หลง
• ๒) ทมะ >> ระงับจิตไว้ได้ รำาลึกในความเมตตา
อยู่เสมอ
• ๓) ตปะ >> ผจญต่อความลำาบาก
• ๔) เศาจะ >> ทำาตัวเองให้บริสุทธิ์ทั้งร่างกาย
และจิตใจ
• ๕) กษมา >> มีความอดทน มีเมตตา กรุณาเป็น
ที่ตั้ง
- 52. หน้าที่ของพราหมณ์
• ๑) ปฐนำ >> รับการศึกษา
ชั้นสูง
• ๒) ปาฐนำ >> ให้การศึกษา
แก่คนอื่น
• ๓) ยชนำ >> ทำาพิธีบูชา
ต่างๆ ของตนเอง
• ๔) ยาชนำ >> ทำาพิธีบูชา
ต่างๆ เพื่อคนอื่น
• ๕) ทานำ >> ทำาบุญให้ทาน
- 53. คุณสมบัติของศูทร
• ๑) นันรดา > มีความ
สงบเสงี่ยมเจียมตน
• ๒) นิษกปฎตา > ไม่มี
ความเฉื่อยชา ตลบตะแลง
คดโกง
• ๓) เศาจะ > ทำาตัวเองให้
บริสุทธิ์ทั้งร่างกายและจิตใจ
• ๔) อาสติกตา > จงรักภักดีต่อ
พรหม
• ๕) อสเตยยะ > ไม่ลักขโมย
- 79. อาศรม 4 (ในคัมภีร์มนู
ธรรมศาสตร์)
• –ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ได้แบ่งขั้นตอนของ
ชีวิตออกเป็น 4 ขั้น
• 1. พรหมจารี : ขั้นตอนของชีวิตที่ยังศึกษา
เล่าเรียนในสำานักของอาจารย์ (วรรณะ
พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ เมื่ออายุ
๘,๑๑,๑๒ปี) - ศึกษากาล
• 2. คฤหัสถ์ : การครองเรือนโดยการ
แต่งงานและตั้งครอบครัว ต้องบำาเพ็ญมหา
ยัญ 5 อย่าง -- บริวารกาล
• 3. วนปรัสถ์ : ขั้นตอนการแยกจาก
“ครอบครัว เพื่อไปปฏิบัติธรรมในป่า เมื่อผู้
- 80. อาศรม 4 (ต่อ)
• 4. สันยาสี : เป็นขั้นตอนสุดท้ายของชีวิต
เป็นผู้ครองเพศบรรพชิต สละชีวิตทางโลก
โดยสิ้นเชิง อุทิศตนในการแสวงหาความจริง
เกี่ยวกับชีวิต แสวงหาอาหารด้วยการ
ภิกขาจาร รักษาพรหมจรรย์ ควบคุมกาย
วาจา ใจ มุ่งปฏิบัติขัดเกลา โดยมีความหลุด
พ้นจากทุกข์หรือ โมกษะ เป็นจุดหมายปลาย
ทาง -- วิศวกาล
- 82. หลักปุรุษารถะ --
ประโยชน์ 4
• การดำาเนินชีวิตที่ดี ควรมุ่ง
ประโยชน์ตามลำาดับ ดังนี้
• 1. อรรถะ : ความสมบูรณ์
พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ
• 2. กามะ : การแสวงหา
ความสุขทางโลกตามควร
แก่ภาวะหรือวิสัยของผู้
ครองเรือน
• 3. ธรรมะ : การถึงพร้อม
ด้วยคุณธรรม
• 4. โมกษะ : การเข้าถึง
- 83. หลักธรรม ๑๐ ประการ
• ๑) ธฤติ >> ความพอใจ ความกล้าหาญ
ความมั่นคง การมีความสุข
• ๒) กษมา >> ความอดกลั้น หรือความ
อดทน
• ๓) ทมะ >> การระงับจิตใจของตนด้วย
ความสำานึกในเมตตา และมีสติอยู่เสมอ
• ๔) อัสเตยยะ >> การไม่ลักขโมย
• ๕) เศาจะ >> การทำาตนให้บริสุทธิ์ทั้ง
ร่างกายและจิตใจ
- 84. หลักธรรม ๑๐ ประการ (ต่อ)
• ๗) ธี >> ปัญญา สติ ความคิด
• ๘) วิทยา >> ความรู้ทางปรัชญา คือ มี
ความรู้เกี่ยวกับชีวะ มายา และพระพรหม
• ๙) สัตยะ >> ความจริง ความเห็นอันสุจริต
• ๑๐) อโกธะ >> ความไม่โกรธ
- 86. ปรัชญาอุปนิษัท
• อุปนิษัทเป็นตอนสุดท้ายของคัมภีร์พระเวท เรียกอีก
“ ”อย่างหนึ่งว่า เวทานตะ
• อุปนิษัท แปลว่า การนั่งลงใกล้อาจารย์ของผู้เป็น
ศิษย์ เพื่อรับคำาสอนอย่างตั้งใจ เกี่ยวกับเรื่องความ
จริง หรือสัจธรรม ที่จะบรรเทาความสงสัย หรือ ทำา
ลายอวิทยาให้หมดไป
• ยุคอุปนิษัท เริ่มต้นเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน
พุทธกาล และสิ้นสุดลงในราว พ.ศ. 700
• ความเชื่อแบบอติเทวนิยม เปลี่ยนเป็นความเชื่อแบบ
เอกเทวนิยม อย่างเต็มที่ คือ นับถือ พระประชาบดี
หรือ พระพรหม เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด
- 88. คัมภีร์อุปนิษัท
• เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยความคิดทางปรัชญา นั่น
คือ ความนึกคิดเกี่ยวกับปัญหาเรื่องความมี
อยู่ของ พรหมัน หรือ อาตมัน (Supream
Soul) มายา / อวิทยา/ การสร้างโลก /
โมกษะ หรือความหลุดพ้น ความรู้ที่เป็นความ
จริง หรือทางนำาไปสู่ความเป็นเสรี
• ถือกันว่าอุปนิษัทเป็นคัมภีร์เล่มสุดท้ายของ
การศึกษา เป็นบทสนทนาโต้ตอบ ได้อธิบาย
ถึงธรรมชาติและจักรวาล วิญญาณของ
มนุษย์ การเวียนว่ายตายเกิด กฎแห่งกรรม
- 89. สาระแห่งปรัชญาอุปนิษัทสาระแห่งปรัชญาอุปนิษัท
• 1.) เรื่องปรมาตมัน - ปรมาตมัน คือ
วิญญาณดั้งเดิม หรือ ความจริงสูงสุดของ
โลกและชีวิต หรือ จักรวาล ซึ่งเรียกว่า
พรหมัน สรรพสิ่งมาจากพรหมัน และใน
ที่สุดก็จะกลับคืนสู่ความเป็นเอกภาพกับพร
หมัน มีลักษณะเป็นอัตตา อมตะนิรันดร
• 2.) เรื่องอาตมัน หรือ ชีวาตมัน - ซึ่ง
เป็นส่วนอัตตาย่อยหรือวิญญาณย่อยที่
ปรากฏแยกออกมาอยู่ในแต่ละคน ดังนั้นการ
ที่อาตมันหรือชีวาตมันย่อยนี้เข้าไปรวมกับ
- 90. สาระแห่งปรัชญาอุปนิษัทสาระแห่งปรัชญาอุปนิษัท
• 3.) เรื่องกรรม – การที่ชีวาตมันจะกลับคืน
สู่พรหมันเป็นเอกภาพอมตะได้นั้น ผู้นั้นจะ
ต้องบำาเพ็ญเพียร ทำาความดี และประกอบ
พิธีกรรมต่างๆ ที่เรียกว่า โยคะ คือ
• กรรมโยคะ ทำากรรมดี ภักติโยคะ มี
ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า และชญาน
โยคะ หรือการศึกษาจนเข้าใจคัมภีร์
พระเวทอย่างถูกต้อง
• คำาสอนในคัมภีร์อุปนิษัท ทำาให้ศาสนา
พราหมณ์เป็น เอกนิยม (Monism) เชื่อว่า
- 92. คำาสอนในคัมภีร์อุปนิษัท
• 3. อาศัยกรรมดี กรรมชั่ว เป็นปัจจัยให้มี
การเวียนว่ายตายเกิด ถ้าใครสามารถหา
อุบายไม่ทำากรรมได้ ก็จะรอดพ้นจาก
ความเกิดกรรม เช่น ออกป่าถือเพศเป็น
ดาบสหรือนักพรตเข้าสู่ความเป็นผู้ไม่
ประกอบกรรม เพื่อให้วิญญาณเข้าใกล้
ชิดกับพรหมัน
• 4. เมื่อถึงกำาหนดสิ้นกัลป์หนึ่งซึ่งเป็น
คราวล้างโลก วิญญาณและโลกธาตุจะ
ต้องพินาศลงและเข้าสู่สภาวะเดิมคือ พร
หมัน เมื่อถึงเวลาของพรหมันสร้างโลก
ขึ้นมาใหม่ ธาตุนานาชนิดก็จะชุมนุมกัน
- 96. ปรัชญาภควัทคีตา
• ปรากฏอยู่ในมหากาพย์ เรื่อง มหาภาร
ตะ เป็นเรื่องว่าด้วย กษัตริย์ 2 วงศ์ คือ
วงศ์เการพ และวงศ์ปาณฑบ ซึ่งเป็น
ญาติกัน แต่ต้องมารบกัน พระกฤษณะ
ซึ่งเป็นพระนารายณ์อวตารปางที่ 8 ผู้
ทำาหน้าที่สารถีขับรถให้อรชุนซึ่งอยู่ใน
วงศ์ปาณฑบ ได้แสดงหลักปรัชญา
เรื่อง อาตมัน กับพรหมัน ไว้อย่าง
ชัดเจน จนทำาให้อรชุนมีกำาลังใจใน
การรบจนกระทั่งชนะฝ่ายศัตรู โดย
สอนเน้นเรื่องการทำาหน้าที่เพื่อหน้าที่
- 97. • “........พระอรชุนทรงยืนในท่าทรง
ศร ท่ามกลางสนามรบ คอยให้
สัญญาณให้ทหารลงมือรบ ขณะ
นั้น พระอรชุนมองเห็นกองทัพ
ฝ่ายตรงข้ามปรากฏอยู่ตรงหน้า
ซึ่งเป็นกองทัพของพวกที่เป็นญาติ
ของพระองค์เอง บรรดาแม่ทัพ
นายกอง ล้วนเป็นญาติใกล้ชิด
ของพระองค์อยู่หลายคน และส่วน
ใหญ่ก็เป็นบุคคลที่ตนนับถือยิ่ง
ส่วนคนในกองทัพของพระอรชุน
เองก็มีพระภาดา และญาติของ
พระองค์รวมอยู่ด้วย ทันใดนั้น
พระอรชุนก็ตกอยู่ในอาการ
ประหวั่นพรั่นพรึง ด้วยความสลด
พระทัยอย่างยิ่ง จึงถามตนเองว่า
จะมีประโยชน์อันใดกับราช
อาณาจักร เมื่อเรารบชนะก็จะได้
มา แต่จะต้องสูญเสียชีวิตและ
เลือดเนื้อของผู้คนเป็นอันมาก
เป็นการสมควรแล้วหรือที่จะ
- 99. • คัมภีร์ภควัทคีตา สอนจริยธรม คือ
โยคะ ๓ ประการ
• หรือ ทางแห่งการบรรลุความเป็น
เอกภาพกับพรหมัน 3 ทาง คือ
• 1.) การกระทำากรรมดี โดยการปฏิบัติ
หน้าที่ของตนในแต่ละวรรณะให้ถูก
ต้อง และละความยึดมั่นถือมั่นในการก
ระทำากรรม เรียกว่า “กรรมโยคะ”
• 2.) การภักดี หรือ อุทิศตนหรือการ
มอบตนด้วยศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า
เรียก “ภักติโยคะ”
• 3.) ความรู้ เริ่มต้นด้วยการศึกษา
พระเวท จนสามารถเข้าใจถึงธรรมชาติ
- 105. โ
อ
ม1. เครื่องหมาย “โอม” เป็นสัญลักษณ์กลาง ๆ ที่
ทุกนิกายยอมรับ สัญลักษณ์นี้เป็นอักษรเทวนาค
รี คำาว่า “โอม” เป็นคำาศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศาสนา
พราหมณ์-ฮินดู อันหมายถึง พระเป็นเจ้าทั้ง 3
องค์ คือ “อ” อักษร หมายถึง พระศิวะหรือ
พระอิศวร “อุ” อักษร หมายถึง พระวิษณุ
หรือพระนารายณ์ และ “ม” อักษร หมายถึง
พระพรหม เพราะฉะนั้น อ+อุ+ม เท่ากับ
“โอม” สัญลักษณ์ของ โอม (AUM) เป็น
ตัวแทนธรรมชาติแห่งพรหมัน ทำาให้เห็นเป็นรูป
- 106. สวัสดิก
ะ
2. เครื่องหมาย สวัสดิกะ เป็น
สัญลักษณ์มงคล เป็นตัวแทนความ
บริสุทธิ์ของวิญญาณ ความจริง
ความมั่งคง หรือหมายถึง
พระอาทิตย์ แฉกทั้งสี่ที่แยกออก
อาจหมายถึงทิศทั้ง 4 หรือพระเวท
- 110. พิธี
ศราท
ธ์ พิธีทำาบุญอุทิศให้มารดาบิดา หรือบรรพบุรุษผู้
ล่วงลับไปแล้ว ในเดือน 10 ตั้งแต่วันแรม 1 คำ่า
ถึงวันแรม 15 คำ่า โดยมีลักษณะและขั้นตอน ดัง
ต่อไปนี้
การบูชากระทำาด้วยข้าวบิณฑ์ คือก้อน
ข้าวสุก โดยให้บุตรชายของผู้ตายเป็นผู้กระทำา
พิธีบวงสรวงบูชา เพราะมีความเชื่อว่าบุตรชาย
ช่วยให้ผู้ที่ล่วงลับพ้นจากนรกขุม “ปุตตะ” โดย
กระทำาก่อนวันนำาศพไปเผา และกระทำาตลอดไป
10 วัน หรือ 11 วัน และวันที่ 11 นั้นเป็นการ
รวมญาติ โดยญาติฝ่ายบิดา-มารดาซึ่งนับขึ้นไป
- 117. –นิกายในศาสนาพราหมณ์
ฮินดู 1) นิกายไวษณพ
• – นับถือพระวิษณุ หรือพระนารายณ์
ยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าสูงสุด เป็นผู้สร้าง
โลก และสรรพสิ่ง
• เชื่อในการอวตารของพระนารายณ์ว่า
พระนารายณ์อวตาร ๒๔ ครั้ง เพื่อช่วย
มนุษย์ในคราวทุกข์เข็ญ
• อวตาร (Incarnation) หมายถึง การแบ่งภาค
ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ของเทพเจ้า เพื่อ
ทำาหน้าที่อย่างหนึ่งอย่างใด
• ในลัทธิไวษณพ ถือว่าเมื่อศีลธรรมของมนุษย์
- 119. นิกายไศวะ
• เชื่อว่า พระอิศวร หรือพระศิวะเป็นเทพ
สูงสุดกว่าเทพเจ้าอื่นๆ เป็นเทพผู้สร้างโลก
และสรรพสิ่ง
• มีความหวังว่าในอนาคต พระศิวะจะ
อวตารลงมาเป็นบุรุษชื่อ ลกุลิศะ เพื่อ
โปรดปรานมนุษย์และสอนมนุษย์ถึงวิธีเข้า
ถึงพระศิวะ
• นิกายนี้ประพฤติตนตามแบบลัทธิอัตตกิลม
ถานุโยค (ทรมานตนเอง) ใช้ขี้เถ้าทาตาม
ร่างกาย และทำาเครื่องหมายที่หน้าผาก
- 121. นิกายย่อย อีกว่า ๕๗ นิกาย
• นิกายศักติ >> เป็นนิกายที่นับถือพระเทวี
หรือชายาของมหาเทพ เช่น พระสรัสวดี
พระแม่ลักษมี พระแม่อุมาเทวี ซึ่งชายา
ของมหาเทพเป็นผู้ทรงกำาลังหรืออำานาจ
“ ”ของเทพสามีไว้ จึงเรียกว่า ศักติ
• นิกายตันตระ >> เป็นนิกายลึกลับ เน้นหนัก
เรื่องเวทมนตร์คาถา ไสยศาสตร์ และ
กามารมณ์
• มีพิธีกรรมตามกฎ ๕ อย่าง เรียกว่า
“ ”ปัญจมการ แปล่าส่วนพิเศษขึ้นต้นด้วย