More Related Content
Similar to 9789740335467 (13)
9789740335467
- 1. “สรางความคิดความเห็นใหกลมกลืนกับธรรมะไมใชอยูในโลก
จะเอาแตโลกอยางเดียว เราพึ่งไดแคไหน พอทุกขขึ้นมาจริง ๆ พึ่งไมได
ซักอยาง เปนเหตุใหกระทบกระเทือนจิตใจซํ้าซาก”
ขอความขางตนเปนสวนหนึ่งของคําเทศนาของหลวงพอรูปหนึ่ง
ที่ตรงใจผูเขียนมากระหวางที่ลงมือเขียนหนังสือเลมนี้ผูเขียนตั้งใจจะให
“กาวทุกวันดวยจิตวิทยาและธรรมะ”ซึ่งมีเนื้อหาทางจิตวิทยาในหัวขอ
ที่ไดเจาะจงเลือกเปนหนังสือเพื่อใหผูอานเกิดความเขาใจในตัวเองและ
ผูอื่น มีชีวิต มีทาทีที่ถูกตองเกิดความเขาใจในตัวเองในเรื่องตาง ๆ สง
ผลใหกาวหนาทุกวันในภาระ (งาน) ที่รับผิดชอบ และกาวหนายิ่งขึ้น
ทางจิตวิญญาณซึ่งชวยใหมีความสุขที่สงบ โลกและธรรมตางพึ่งพิงกัน
การจัดการไดเหมาะสมในทางโลกดวยวิถีทางจิตวิทยา จะเอื้อใหเกิด
ความกาวหนากาวไดไกลในวิถีของธรรมะ (การปฏิบัติธรรม) ดวย
บทนํา
- 2. 2 กาวทุกวันดวยจิตวิทยาและธรรมะ
องคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาไดเปรียบชีวิตคนเราวาเหมือน
เทียนไขที่จุดแลวสวาง เปลวไฟจะลุกกินไขเทียนและไสไปเรื่อย ๆ
เทียนไขสวางไดเพราะอาศัยปจจัยคือไขเทียนและไส ชีวิตคนเราก็
เหมือนกันเรามีชีวิตไดเพราะอาศัยปจจัยสี่แตก็ไมพอเพียงเพราะวาเรา
อยูในโลกของวัตถุนิยม โลกที่ไรพรมแดน โลกของเทคโนโลยีที่ขาวสาร
สื่อถึงกันอยางรวดเร็ว เราจึงตองอาศัยปจจัยอื่นที่เปนสากล ไดแก
ปจจัยความรูสึกมั่นคงในที่อยูอาศัย ปจจัยความรูสึกไดรับความรักหรือ
เปนสวนหนึ่งของกลุมปจจัยความรูสึกภาคภูมิใจปจจัยความตองการมี
อํานาจและปจจัยความตองการใชศักยภาพอยางสูงสุด(Selfactualization)
บางครั้งใชคําวา ความตองการตระหนักรูในตน
เทียนไขสวางไดเพราะอาศัยปจจัยที่ไมซับซอนมากเหมือน
การดํารงชีวิตมนุษย ชีวิตมนุษยที่หลงอยูในทุกขเพราะติด “กับดัก”
ปจจัยที่ทําใหชีวิตสวางไสว พระพุทธเจาบอกวา เราตองอาศัยปจจัย
ชีวิตจึงจะเดินอยูได ทรงสอนใหอาศัยปจจัยอยางพอประมาณ ใหตั้งอยู
ในทางสายกลางไมใหหยอนไป หรือตึงเกินไป ชีวิตเราที่ทุกขอยูทุกวันนี้
เพราะวาเราตั้งความคิด ความเชื่อ ความเห็นไวผิดวา ตองอาศัยปจจัย
เหลานี้มาก ๆ ชีวิตจึงจะสวางไสวโชติชวง บานที่อยูอาศัยตองไมนอยหนา
เพื่อนบานคนอื่นๆยิ่งใหญยิ่งดีตองมีคนมารักมานิยมชมชอบในตัวของ
เราเราตองมีตําแหนงหนาที่การงานที่ทําใหเกิดภาคภูมิใจหรือเราตองมี
อํานาจ มีขาวของสมบัติเยอะ ๆ ตามที่คนรวยเขามีกัน เพราะคนอื่น ๆ
จะไดยอมรับในตัวเรา และเราตองเปนคนเกง เกงมาก ๆ ดวย
ที่ตรงกันขามกับการตั้งความเห็นที่ผิดวาตองอาศัยปจจัยใหมาก
คือการตั้งความเห็นที่หยอนเกินไปวาชีวิตคนเราไมตองอาศัยปจจัยเหลา
นี้ก็ไดความเห็นเชนนี้อาจจะสวนกระแสของโลกที่ทําใหทุกขแตก็ไมใช
- 3. บทนํา 3
วาการมีความเห็นผิดตรงกันขามจะทําใหสุขได เทียนไขถาไมมีไขเทียน
อยางพอเพียงและไมมีไสที่ดีก็ดับได ชีวิตคนเราก็เหมือนกัน ถาหยอน
เกินไปโดยไมตองอาศัยปจจัยอะไรเลย เชน ไมตองมีบานของตนเอง
ไมตองใหคนมารัก ไมตองมีความภาคภูมิใจกับงาน ชีวิตของคนผูนั้นก็
อยูไมได เกิดความซึมเศรา มองโลกในแงราย หอเหี่ยวและคอย ๆ ดับ
ไปเหมือนเทียนไขเชนกัน
การเอาแตธรรมะอยางเดียวเมื่อยังมีอยูในโลกของฆราวาสก็
ไมใชสิ่งที่พระพุทธเจาทรงสนับสนุน ความจริงแลวความผิดอยูที่การ
ตีความของคนเราเอง เชน ฆราวาสไปนําเอาขอปฏิบัติของพระภิกษุ
มาใช เมื่อไดโอกาสไปเขาคอรสปฏิบัติภาวนา รูสึกอิ่มเอิบในความสุข
ที่ไดรับเหมือนเพิ่งไดกินอาหารที่แสนอรอยจนมีความสุขมาก ก็นํามา
ปฏิบัติตอที่บานหรือที่ทํางาน จนละเลยภาระหนาความรับผิดชอบของ
ฆราวาสบางคน ลูก ๆ พาลเกลียดพระภิกษุ เพราะเขาใจผิดตามประสา
เด็กวา พระทําใหมารดาของตนไมอยูบาน ไปอยูที่วัดเปนสวนใหญ หรือ
บางคนลูกศิษยพากันหนีไมอยากลงเรียนดวยเพราะทุกครั้งที่ยกตัวอยาง
หรือพูดถึงเนื้อหาจะขามไปเอาเรื่องของธรรมะมาพูดจนนักศึกษาสับสน
ในวิชาที่ลงเรียน
การปฏิบัติภาวนาเปนสิ่งที่พระพุทธเจาทรงสรรเสริญใหกระทํา
ทั้งบริษัทสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา การไมกลมกลืนของ
การนําธรรมะมาใชในชีวิตโลก ทําใหแทนที่จะพนทุกข ก็กลับไปสราง
ทุกขใหคนอื่นอีก ซึ่งก็จะยอนกลับมาทําใหเราไมพนทุกขซักที ทั้งที่
อุตสาหเขาหาธรรมะแลว
จากการเปนผูสอนวิชาจิตวิทยาการใหการปรึกษา ซึ่งแนนอนวา
ผูเขียนยอมนําทฤษฎีที่เจาตัวมีความเชื่อและศรัทธามาปฏิบัติใชกับ
- 4. 4 กาวทุกวันดวยจิตวิทยาและธรรมะ
ตนเองทุกครั้งที่อานตําราจิตวิทยาไมวาจะเปนจิตวิทยาแขนงใดผูเขียน
จะเชื่อมโยงตัวอยางหรือทฤษฎีเขากับตัวเองหรือครอบครัวมีหลายเรื่อง
ที่ทําใหรูสึกดีและเชนกัน มีหลายเรื่องที่ทําใหเจ็บปวด เพราะเรื่องของ
ตัวเองตรงกับที่ทฤษฎีกลาวมา จิตวิทยาตะวันตกสอนใหคนเรายอมรับ
อารมณที่ผานเขามาไมควรปฏิเสธและอธิบายกระบวนการของอารมณ
ลบ (เชน อารมณเสียใจมาก) วามีขั้นตอนอยางไร จึงจะลดลงหรือดับ
ไป ตามคําที่ใชกันในธรรมะการนําจิตวิทยาตะวันตกมาใชในโลก เปน
ประโยชนกับผูเขียนมาก เพราะเมื่อไดตกลงใจที่จะนําเอาธรรมมาใชใน
ชีวิตมากขึ้น ผูเขียนพบวาจิตวิทยาตะวันตกและจิตวิทยาตะวันออกมี
รอยตอเนื่องกันอยางพอดี และที่เขียนหนังสือเลมนี้ เพราะตองการ
ถายทอดสิ่งกลาวมาอาจเปนแนวทางที่เกิดประโยชนตอผูสนใจ ที่จะใช
หลักคิดสําคัญของตะวันออกคือหลักธรรมคําสอนของพระพุทธศาสนา
และศาสตรทางตะวันตกคือศาสตรทางจิตวิทยา ทานจะเชื่อในสิ่งที่
ผูเขียนพูด ถาทานไดวิเคราะหตนเองไปดวย เมื่ออานในแตละหัวขอ
รวมทั้งมีการกระทําการอานไดความรูเปนแคสุตมยปญญาปญญาที่เกิด
จากการไดอาน ไดฟง การวิเคราะหตามเปนจินตามยปญญา ปญญาที่
เกิดจากการไดไตรตรอง สําหรับการพิสูจนตามสมมุติฐานของคนอื่น
และการลงมือปฏิบัติจนไดผลกับตนเองเปนภาวนามยปญญา ปญญา
ที่เกิดจากการปฏิบัติ และเปนปญญาที่พระพุทธเจาทรงสรรเสริญมาก
เมื่อผูเขียนไดตกลงใจที่จะไปเขาหลักสูตรอบรมกรรมฐานอยาง
เปนทางการ เพราะจิตใจมีความพรอมที่จะเรียนรู ผูเขียนไดสอบถาม
เพื่อนที่เคยไปปฏิบัติกรรมฐานเธอนุงหมขาววันถือศีล ไปศาลเจาคอนขาง
ประจํา วาจะไปที่ไหนดีระหวางสถานปฏิบัติธรรม 2 แหงที่ไดเลือกไว
- 5. บทนํา 5
แลวในใจ เธอแนะนําวาดีทั้ง 2 ที่ พรอมใหขอเสนอแนะซึ่งทําใหผูเขียน
ตัดสินใจเลือกไปที่กรุงเทพฯ แทนการไปยังสถานที่หนึ่ง ซึ่งอยูไกลไป
อีก จากประสบการณ 10 วันของการปฏิบัติภาวนาอยางเขมขน ผูเขียน
คอนขางประหลาดใจตนเองที่มีความกาวหนามากเพราะสามารถทําได
คอนขางดี ตั้งแตวันแรกที่อาจารยสอนใหใชจิตดูลมหายใจเขาออกตรง
รูจมูก ตลอด 3 วันเปนการฝกปฏิบัติสมถะภาวนา เฝาดูสัมผัสของ
ลมหายใจเทานั้น ถาจิตเผลอไปคิดเรื่องอื่น เมื่อรูตัวก็ใหดึงกลับมาอยู
กับลมหายใจ เมื่อเริ่มวันที่ 4 จนถึงวันที่ 10 เปนการฝกปฏิบัติวิปสสนา
รับรูเวทนาตามรางกาย ผูเขียนพบวาเวทนาที่รับรูตามกายมีกระแส
เหมือนคลื่นไหลลื่นตลอดกาย แทบไมไดติดขัดเลย เกิดขึ้นตั้งแตเริ่ม
ปฏิบัติวันที่ 4 แตก็ไมไดเลาใหผูใดฟง ในหลักสูตรนี้จะเขมงวดมาก
หามไมใหมีการสื่อสารทั้งภาษาพูดและภาษาทาทาง ไมมีการยิ้ม หรือ
สบตาทักทาย พูดงาย ๆ คือ ใหทําตนเหมือนอยูคนเดียว อนุญาตให
พูดกันไดเฉพาะวันสุดทาย การไปอวดอางประสบการณกับคนที่เพิ่งจะ
พูดกันไดเพียงวันเดียวก็กระไรอยู และปกติก็ไมใชนิสัยของผูเขียนที่จะ
โออวด เพื่อนสนิทจะรูนิสัยนี้ดีและผูเขียนไมกลาที่จะบอกกับอาจารย
ดวยเพราะเกรงวาจะเปนการแสดงตัวอะไรเนี่ยเพียงวันแรกก็สามารถ
รับรูสึกถึงกระแสสั่นสะเทือนไดทั่วรางกาย
จากประสบการณที่ผูเขียนสามารถปฏิบัติไดดี คิดวาตนเอง
กาวหนามาก ตลอด 10 วันของการปฏิบัติภาวนา วันละประมาณ
10 ชั่วโมง ผูเขียนจึงตั้งขอสันนิษฐานวา การมีความเขาใจในจิตวิทยา
ตะวันตกและนํามาประยุกตใชกับตนเองในชีวิตประจําวัน มีผลให
อารมณที่เกี่ยวกับโทสะ ราคะ โลภะ โมหะ ไมออกมาอาละวาดระหวาง
- 7. “ดูบานนั้นซิ ลูกแตละคนเรียนสูง ๆ กันทั้งนั้น ไมหยิ่งดวยนะ
มีนํ้าใจ และใจบุญกันทั้งบาน”
“พอเปนผอ.โรงเรียนดวยนะแตลูกไปกันคนละทิศละทางรูสึก
วาจะติดยาคนหนึ่ง”
ครอบครัวมีบทบาทตอพัฒนาการของเด็กที่จะเติบโตเปนวัยรุน
เปนผูใหญ ที่เปนทั้งคนดีและคนเกง พอแมควรเลี้ยงอบรมดูลูกอยางไร
นักจิตวิทยาแบงการอบรมเลี้ยงดูของพอแมออกเปน2มิติใหญ
คือมิติยอมรับ/ตอบสนองกลับ (Parental aceptance/responsive)
และมิติเรียกรอง/ควบคุม (Parental demandingness/control)
1.1 ทฤษฎีการอบรมเลี้ยงดู
(Parenting Theory)
บทที่ 1
ทฤษฎีทางจิตวิทยา
- 8. 8 กาวทุกวันดวยจิตวิทยาและธรรมะ
มิติการยอมรับ/การตอบสนองกลับ หมายถึง การใหการ
สนับสนุน การใหกําลังใจ การแสดงออกซึ่งความรัก พอแมที่จัดวาอยู
ในมิตินี้ จะมีพฤติกรรมดังตอไปนี้ ยิ้มใหลูกบอยมีการชมเชย ใหกําลังใจ
สนับสนุน แสดงความอบอุนอยางมากแมในยามที่ดูวากลาวเมื่อลูก
ทําความผิดสําหรับพอแมที่มีการยอมรับ/การตอบสนองกลับตํ่ามักเปน
พอแมที่ไวตอการวิจารณลูก ดูถูกดูแคลน ลงโทษและเพิกเฉยไมสนใจ
ไมรูจักสื่อสารใหลูกรับรูวา ลูกเปนเด็กที่พอแมรัก หรือรูสึกวามีคุณคา
ผลการวิจัยพบวาการยอมรับ/ตอบสนองกลับตอลูกสูงมีความ
สัมพันธกับผลในทางบวกหลายประการเชนลูกมีการผูกพันทางอารมณ
แบบมั่นคง มีพฤติกรรมเอื้อเฟอชวยเหลือ มีสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนฝูง
มีความภาคภูมิใจสูง รวมทั้งมีคุณธรรมที่เขมแข็ง ลูกมีความตองการ
ตอบแทนพอแมที่แสดงการยอมรับและตอบสนองกลับตอความตองการ
ของตนเอง ดังนั้นจึงมีแรงจูงใจทําใหสิ่งที่พอแมคาดหวังและพยายาม
เรียนรูในสิ่งที่พอแมสั่งสอนในทางกลับกันหากมิติทางดานนี้ตํ่าพอหรือ
แมหรือทั้งสองคนแสดงใหลูกรับรูวาเขาไมมีคุณคาที่จะไดรับความสนใจ
หรือความรักลูกมีแนวโนมที่จะมีความรูสึกซึมเศรามีปญหาการปรับตัว
มีความสัมพันธที่ไมดีกับเพื่อนฝูงและลูกจะไมพัฒนาตนใหงอกงามเมื่อ
เขาถูกปฏิเสธบอย ๆ หรือไมไดรับความสนใจ
มิติการเรียกรอง/การควบคุม หมายถึง การกําหนดกฎเกณฑ
รวมทั้งการสั่งสอนดูแลพฤติกรรม พอแมที่เรียกรองและควบคุมลูกเปน
ผูที่กําหนดปริมาณความมีอิสระในการแสดงออก โดยเรียกรองสิ่งที่
พอแมตองการใหลูกทําและมักตรวจตราดูวา ลูกไดทําตามกฎที่วางไว
หรือไมพอแมที่มีมิตินี้ตํ่าเปนผูที่วางกฎเกณฑนอยกวาไมคอยเรียกรอง
- 9. บทที่ 1 ทฤษฎีทางจิตวิทยา 9
สิ่งที่ตองทําหรือไมตองทําจากลูกมากเทาใด ยินยอมใหลูกมีอิสระทําใน
สิ่งที่ลูกมีความสนใจและตัดสินใจดวยตนเอง
นักจิตวิทยาสตรี Diana Baumrind ไดจัดรูปแบบการอบรม
เลี้ยงดูของพอแมตามมิติการยอมรับ/การตอบสนองกลับ และมิติเรียกรอง/
ควบคุม ระดับสูงและตํ่าได 3 แบบ จากการศึกษากลุมตัวอยางที่เปน
เด็กกอนเขาเรียนและผูปกครองเด็ก สถานรับฝากดูเด็กและที่บาน เธอ
ไดสัมภาษณพอแมรวมทั้งสังเกตปฏิสัมพันธที่มีกับลูก ขอมูลที่นํามา
สรุปผลการศึกษาคือ การวิเคราะหพฤติกรรมที่ไดจากการสังเกตเด็กใน
ดานการมีสังคม การพึ่งตนเอง ความสัมฤทธิ์ในงาน ภาวะอารมณและ
การควบคุมตนเอง และพบวาพอแมจะใชรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูแบบ
ใดแบบหนึ่ง จากผลการสรุปที่ได 3 แบบ คือ 1. การอบรมเลี้ยงดูแบบ
แสดงอํานาจ (Authoritarian parenting) 2. การอบรมเลี้ยงดูแบบ
แสดงกฎเกณฑ (Authoritative parenting) 3. การอบรมเลี้ยงดูแบบ
ปลอยตามใจ (Permissive parenting) กลุมตัวอยางของ Baumrind
ไมพบพอแมที่มีการอบรมเลี้ยงดูแบบไมยุงเกี่ยว(Uninvolvedparenting)
การอบรมเลี้ยงดูแบบแสดงอํานาจ เปนการเลี้ยงดูที่เขมงวด มี
กฎมากมายใหปฏิบัติตองเชื่อฟงอยางเขมงวดโดยนอยครั้งที่จะอธิบาย
เหตุผล ที่ตองทําตามกฎเกณฑที่วางไวและชอบใชวิธีการลงโทษ หรือ
ยุทธวิธีการบังคับ เชน ถอดถอนความรัก หรือใชอํานาจใหปฏิบัติตาม
พอแมแสดงอํานาจจะไมมีความไวรับรูมุมมองที่ลูกรูสึกวาขัดแยง และ
คาดหวังวาลูกตองยอมรับโลกของพอแมอยางเปนกฎและตองเคารพ
คําสั่ง
- 10. 10 กาวทุกวันดวยจิตวิทยาและธรรมะ
เด็กที่ไดรับการอบรมเลี้ยงดูแบบแสดงอํานาจมีคุณสมบัติของ
การเปนเด็กเจาอารมณ ดูเหมือนจะไมคอยมีความสุข หงุดหงิดงาย
ไมเปนมิตร ดูเหมือนไมมีเปาหมายและเมื่ออยูดวยไมรูสึกเพลิดเพลิน
การติดตามเด็กกลุมนี้ในชวงอายุ 8-9 ป พบวามีทักษะทางสังคมและมี
การรูคิดในระดับปานกลาง ถึงคอนขางตํ่ากวาปานกลาง
การอบรมเลี้ยงดูแบบแสดงกฎเกณฑ เปนการเลี้ยงดูที่ควบคุม
แตยืดหยุน โดยที่พอแมใหเหตุผลตอสิ่งที่พอแมเรียกรองคาดหวังจาก
ลูก พอแมรูจักใชเหตุผลอธิบายตอกฎเกณฑที่กําหนดกับลูก เพื่อใหลูก
คลอยตามและทําตามกฎที่กําหนดไว มีความไวตอการรับรูทัศนคติที่
แตกตางของลูก และยอมรับไดมากกวาพอแมประเภทแรก นอกจากนี้
ยังใหลูกมีสวนรวมในการตัดสินใจ เปนพอแมที่ใหความอบอุน ยอมรับ
ลูก โดยควบคุมใหคําแนะนําอยางใชเหตุผล
เด็กที่ไดรับการอบรมเลี้ยงดูแบบแสดงกฎเกณฑมีพัฒนาการ
คอนขางดี ราเริง มีความรับผิดชอบทางสังคม พึ่งตนเอง มุงสัมฤทธิ์และ
ใหความรวมมือกับเพื่อนและผูใหญในชวงอายุ 8-9 ปพบวาเด็กกลุมนี้
ยังมีความสามารถทางการคิด แรงจูงใจมุงสัมฤทธิ์ และทักษะทางสังคม
ในระดับสูง ซึ่งคุณลักษณะนี้ยังคงปรากฏเมื่อเด็กเขาสูวัยรุน และเปน
วัยรุนที่หางไกลจากยาเสพติด หรือพฤติกรรมที่เปนปญหา
การอบรมเลี้ยงดูแบบปลอยตามใจ เปนการเลี้ยงดูที่แสดง
การยอมรับ แตพอแมไมคอยมีกฎกับลูก หรือคาดหวังอะไรกับลูกมาก
ปลอยใหลูกแสดงความรูสึกและสัญชาตญาณ ไมควบคุมดูแลการเลน
การเรียน หรือการทํากิจกรรมของลูก แทบจะไมแสดงการควบคุมที่เอา
จริงกับพฤติกรรมตาง ๆ เด็กกลุมนี้มักทําอะไรตามอําเภอใจ ไมควบคุม
- 11. บทที่ 1 ทฤษฎีทางจิตวิทยา 11
ความตองการกาวราว โดยเฉพาะถาเปนเด็กผูชาย มีแนวโนมเอาตนเอง
เปนหลักและเจากี้เจาการขาดการควบคุมตนเองมีความเปนอิสระและ
แรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์คอนขางตํ่า
การอบรมเลี้ยงดูแบบไมยุงเกี่ยว เปนการเลี้ยงดูที่พอแมแสดง
ความหละหลวมกับลูกมาก ไมมีการเรียกรองอะไร พอแมที่เลี้ยงดูลูก
แบบนี้ มักเปนพอแมที่ปฏิเสธ ไมยอมรับในตัวลูก หรือไมก็เปนพอแม
ที่จมอยูกับความเครียดหรือปญหาของตนอยางมาก จนไมมีเวลาใหกับ
การเลี้ยงดู เด็กไดรับการเลี้ยงดูแบบไมยุงเกี่ยว เมื่อมีอายุ 3 ขวบ เด็ก
จะแสดงความกาวราวคอนขางสูง และมักระเบิดอารมณ เมื่อเขาเรียน
มักจะมีผลการเรียนที่ไมดี แสดงพฤติกรรมที่เปนปญหา เมื่อเติบโตเปน
วัยรุนบอยครั้งมีบุคลิกภาพมุงรายเปนศัตรูเห็นแกตัวมีลักษณะตอตาน
ขาดเปาหมายระยะยาวที่มีความหมายมีแนวโนมแสดงพฤติกรรมที่เปน
ปญหาเชน เกเร เสพยา มีเพศสัมพันธ หนีเรียน และทําผิดทางกฎหมาย
เด็กกลุมนี้ถูกทอดทิ้ง เสมือนกับไดยินพอแมกลาววา “ฉันไมสนใจใน
ตัวแก ไมสนใจวาแกจะทําอะไร” การรับรูในทํานองนี้ สรางความรูสึก
โกรธ และพรอมจะตอบโตกลับกับสิ่งแวดลอม หรือตัวแทนของอํานาจ
ที่ปฏิบัติกับเด็กอยางเหินหาง
- 13. บทที่ 1 ทฤษฎีทางจิตวิทยา 13
สําหรับผลการอบรมเลี้ยงดู สรุปเปนแผนผังดังนี้คือ (Baumrind,
1977, 1997)
ผลลัพธ
รูปแบบการเลี้ยงดู วัยเด็ก วัยรุน
ความสามารถทาง
สังคมและการรูคิด
สูง
ความสามารถทาง
สังคมและการรูคิด
ปานกลาง
ความสามารถทาง
สังคม และการรูคิด
ตํ่า
ความภาคภูมิใจสูง
ทักษะทางสังคมดี
ศีลธรรมเขมแข็ง
เอื้อเฟอเห็นใจ แรง
จูงใจใฝสัมฤทธิ์ทาง
การศึกษาสูง
การศึกษา ทักษะทาง
สังคมปานกลาง ยอม
ทําตามสังคม
การศึกษาตํ่า ใชสาร
เสพติดมากกวาวัยรุน
ที่เลี้ยงดูแบบอื่น ๆ
การแสดงกฎเกณฑ
การแสดงอํานาจ
การปลอยตามใจ
- 14. 14 กาวทุกวันดวยจิตวิทยาและธรรมะ
การอบรมเลี้ยงดูแบบแสดงอํานาจ เปนรูปแบบที่พอแมสวนมาก
เขาใจผิดวา จะสามารถควบคุมพฤติกรรมของลูกได การบังคับและ
กฎเกณฑที่เครงครัดมักลมเหลวตอการเลี้ยงดูบุตรใหเปนดั่งใจ เพราะ
อํานาจไมสามารถเอาชนะควบคุมจิตใจได
นิทานชาดกเรื่องหนึ่งเลาวา มีหญิงสาวคนหนึ่งเติบโตดวยการ
เลี้ยงดูของผูหญิงลวน ๆ บิดามารดาที่เปนเศรษฐีเลี้ยงดูอยางเขมงวด
เพราะกลัววาบุตรเมื่อเติบโตเปนสาวอาจชิงสุกกอนหามหรือไปชอบพอ
กับผูชายที่ชาติตระกูลไมเทาเทียมและอาจไปชอบพอกับคนรับใชที่เปน
บุรุษ ดังนั้น บานของเศรษฐีจึงมีแตบริวารที่เปนสตรีเมื่อนางเติบโตเปน
สาว เศรษฐีจึงใหแตงงานกับลูกชายของเพื่อน ที่รํ่ารวยเหมือนกับตน
นางไมไดมีความรักใครเพราะไมไดมีปฏิสัมพันธกันมากอนเลย ฝายสามี
ของนาง เมื่อไดนางเปนภรรยา ก็มีความรูสึกหึงหวงนาง ไมอยากใหนาง
ไดมีโอกาสพบปะกับบุรุษ เพราะนางอาจปนใจไปใหชายอื่นได เขาจึง
เลี้ยงดูนางเหมือนที่บิดาของนางกระทํา คือใหอยูคฤหาสนเจ็ดชั้น มี
ประตูเขาออกเจ็ดทาง และยามที่รักษาประตูลวนเปนสตรี แตในที่สุด
นางไมอาจทนตอสภาพที่ไดรับ และไดลอบหนีออกจากคฤหาสนดวย
ความรวมมือของบริวารนั้นเอง
ในทางพระพุทธศาสนา การเลี้ยงดูที่ดีของพอแม คือการทํา
หนาที่เปนปรโตโฆสะกับลูก ปรโตโฆสะ หมายถึงการบอกสิ่งที่ดี ไดแก
การบอกใหลูกหลีกเลี่ยงจากอบายมุข ชี้ใหลูกเห็นวาเพื่อนที่ดีคือเพื่อน
อยางไร ทําตัวเปนเยี่ยงอยางที่ดีกับลูก พอแมพึงเปนกัลยาณมิตรของ
ลูกดวย
ปญหาที่พบมากในสังคมปจจุบันสวนหนึ่งเปนผลจากการอบรม
เลี้ยงดูที่พอแมแสดงอํานาจ ปลอยตามใจ ไมยุงเกี่ยว ถาเราเปนพอแม
- 15. บทที่ 1 ทฤษฎีทางจิตวิทยา 15
เราคงตองการใหลูกเปนคนเกง และเปนคนดี ถาเรารูตัว และปรับการ
เลี้ยงดูแบบพอดีคือแสดงกฎเกณฑที่มีความรักความเขาใจเหตุผลและ
ความยืดหยุนประคับประคอง เราไดลูกที่เปนคนเกงและดีแนนอน อยา
ปลอยใหยีนเปนตัวกําหนดความเกงของลูก และอยาใหเปนเพียงหนาที่
ของครูหรือพระที่สอนใหลูกเปนคนดี คําดามักกลาวหาพอแมไมใชครู
หรือพระมันทําใหลูกผูถูกดาเจ็บใจบางรายบันดาลโทสะทํารายรางกาย
ถึงเสียชีวิต นี่แสดงวา แมลูกจะไมดี แตก็ยังรูจักเจ็บใจ ถาใครมาวา
กลาวพอแมของตนใหอภัยตนเองถาเราบังเอิญไมไดเลี้ยงลูกแบบพอดี
และใหอภัยลูก ถาไมไดดั่งใจเรา ปรับตนเองตอนนี้ก็ยังดีกวาไมปรับเลย
สําหรับผูที่เปนลูกอยานอยใจหรือโทษพอแมถาเราไมไดเกงหรือดีมาก
มาลมกระดาน เริ่มตนใหมเปนคนดี คนเกงตามวิถีเรา สําหรับ
คนที่ไมมีลูก หรือไมไดแตงงาน สามารถนํารูปแบบการอบรมเลี้ยงดู
ไปประยุกตใชในที่ทํางานกับลูกนอง คนงานและลูกศิษยลูกหาได
กาวทุกวันใหถูก จะดีไหม
- 16. 16 กาวทุกวันดวยจิตวิทยาและธรรมะ
1.2 ทฤษฎีสามเหลี่ยมของความรัก
(A Triangular Theory of Love)
“รัก เอย จริงหรือที่วาหวาน หรือทรมานใจคน
ความรัก รอยเลหกล รักเอยลวงลอใจคน
หลอกจนตายใจ รักนี่ มีสุขทุกขเคลาไป
ใครหยั่งถึงเจาได คงไมชํ้า ฤดี.................
ขืนหาม ความรักคงไมได
กลัว หมองไหม ใจสิ้นสุขเอย”
“เมื่อความรักรองเรียก เธอจงตามมันไป
แมวาทางของมันนั้น จะขรุขระและชันเพียงไร
- 17. บทที่ 1 ทฤษฎีทางจิตวิทยา 17
และเมื่อปกของมัน โอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แมวาหนามแหลมอันซอนอยูในปกนั้น จะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แมวาเสียงของมันจะทําลายความฝนของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหนํ่าสวนดอกไมใหแหลกลาญไป
ฉะนั้น”
เนื้อหาแรกเปนเพลง สําหรับเนื้อหาสวนที่สอง เปนทอนหนึ่ง
ของปรัชญาชีวิต ในเรื่องความรักโดยคาลิล ยิบราน ในสวนของเพลง
นี้มีคนโพสตในเว็บวา “สมัยชั้น ป.7 รุนสุดทายรองเพลงนี้เพราะไป
หลงรักเด็กรุนนองนารักชะมัดพอเราจะจบ เธอใหรูปมาดวย นั่งดูรูป
รองเพลงนี้บนรถสามลอถีบที่เขาจอดรอรับคนหนาสถานีรถไฟ และได
ไปรองเพลงนี้อีกครั้ง ตอนจะจบ ปวช. แตตอนนั้น รองไป นํ้าตาไหล
ไป อกหักอยางแรง นี้ก็กะจะรองเพลงนี้ในงานแตงหลานละ” อานแลว
พอจะบอกไดหรือไมวา เนื้อหาของความรักตาง ๆ ขางตน เปนความรัก
แบบใด มาไลเรียงทําความรูจักกับความรักประเภทตาง ๆ กัน
รักตัณหา (Passionate love) เปนความรักที่มีความตองการ
ความรูสึกอยางเขมขน ที่จะเขาใกลชิดสัมผัสทางกายในสมองเฝาคิดถึง
จินตนาการไปตาง ๆ ในคนที่รักในสัมพันธภาพมีความปรารถนาที่จะ
เขาใกล ปรารถนาที่จะรูเรื่องของคนที่รัก รางกายรูสึกถูกกระตุนเรา
ทางเพศ มีพฤติกรรมเขาหาชวยเหลือ
รักโรแมนติก(Romanticlove)เปนความรักคลายรักแรกพบ
รูสึกวาความรักนั้นปนความรักที่แท กลาเผชิญอุปสรรคทั้งหมด รับรูวา
- 18. 18 กาวทุกวันดวยจิตวิทยาและธรรมะ
ความรักของตนเกือบสมบูรณคิดวาตนและคนรักตางมีสารในรางกายที่
ดึงดูดระหวางกัน เผลอ ๆ คิดวาสัมพันธภาพของตนดีกวาผูอื่น
รักแบบเพื่อน (Companionate love)เปนความรักผูกพันที่
ใหความสําคัญกับการเอาใจใส ความไววางใจ ความอดทนตอจุดออน
ของแตละฝายอารมณรักใหความรูสึกอบอุนมากกวาเสนหาทางเพศมัก
เปนความรักที่คอย ๆ พัฒนาจากสัมพันธภาพแบบเพื่อน
คุณRobertSternbergเสนอวาความรักไมวาจะเปนแบบไหน
จะตองมีสวนขององคประกอบ 3 อยางที่เกิดขึ้นกับทั้งสองฝาย ไดแก
ความสนิทสนมใกลชิด (Intimacy) ความรูสึกเสนหาทางเพศ
(Passion) และการตกลงใจผูกมัด (Commitment)
ความสนิทสนมใกลชิด เปนความรูสึกใกลชิด เชื่อมโยง
ตอกัน แตละฝายตางมีความเขาใจอีกฝายหนึ่งแบบลึกซึ้ง ตางหวงใยใน
สวัสดิภาพและความสุขตอกัน แสดงความเอาใจใสแตละฝายเปดเผย
ตนเอง แลกเปลี่ยนความคิด ความรูสึกและปญหาของตน
ความรูสึกเสนหาทางเพศเปนความรูสึกดึงดูดใจแบบโรแมนติก
รางกายรูสึกกระตุนเราเมื่อเขาใกลหัวใจเตนแรงหรือขนลุกอยากสัมผัส
ถูกเนื้อตองตัว ความตองการทางเพศถูกเรา
การตกลงใจผูกมัดเปนการตัดสินใจที่จะมีสัมพันธภาพกับคนที่
ตนรักเพียงผูเดียวทั้งในปจจุบันและในระยะยาว ดังนั้นมีการตัดสินใจที่
จะแตงงานอยูรวมกัน
ทั้งนี้ องคประกอบทั้ง 3 อยางจะมีมากนอยตางกัน ในความรัก
ประเภทตาง ๆ ลองมาตรวจสอบกันดูหนอย คิดวาถูกไหม
ความรักแบบหวือหวา (Infatuated love) หรือ Puppy
love มีแตความรูสึกเสนหาทางเพศ สวนความสนิทสนมใกลชิดและ
- 19. บทที่ 1 ทฤษฎีทางจิตวิทยา 19
การตกลงใจผูกมัดเปนศูนย ตัวอยางเชน เด็กและวัยรุนที่หลงรักดารา
นักรองที่ตนชื่นชม
รักวางเปลา(Emptylove)มีการตกลงใจผูกมัดแตปราศจาก
ความสนิทสนมใกลชิด ความรูสึกเสนหาทางเพศเชนคูที่ตองอยูดวยกัน
ตามประเพณี นาน ๆ ไปไมไดมีอะไรตอกันทางเพศ และทั้งสองฝายไมมี
การแลกเปลี่ยนความคิดความรูสึกที่แทจริง
รักโรแมนติกมีความสนิทสนมใกลชิดความรูสึกเสนหาทางเพศ
แตปราศจากการตกลงใจผูกมัด เพราะวาไมไดแตงงานดวยกัน
รักแบบเพื่อน มีความสนิทสนมใกลชิด การตกลงใจผูกมัด
แตความรูสึกเสนหาทางเพศอาจเหลือศูนยเชนคูรักที่แตงงานกันมานาน
รักลวงตา (Fatuous love) มีความรูสึกเสนหาทางเพศ การ
ตกลงใจผูกมัด แตไมมีความสนิทสนมใกลชิด เชน คูที่แตงงานกันอยาง
จําใจ ฝายชายอาจมีเพศสัมพันธกับฝายหญิง แตทั้งคูไมสามารถพูดคุย
ถึงความคิด ความตองการของตนอยางแทจริง
นอกจากนี้ องคประกอบทั้ง 3 มีระดับสูงตํ่าที่แตกตางกัน
ตามเวลา นั่นคือ ความรูสึกเสนหาทางเพศ จะเกิดอยางรวดเร็วและ
คอยจางลง ขณะที่ความสนิทสนมใกลชิดคอย ๆ เกิดอยางชา ๆ และ
เพิ่มดีกรีมากขึ้นเมื่อเวลาผานไป สําหรับการตกลงใจผูกมัดมีปริมาณ
เทาเดิมและระยะยาว อาจลดลงในคูที่ความรักลมเหลว ความรักที่ทั้ง
คูอยูกันแกเฒาอยางมีความสุข คือความรักแบบเพื่อนหรือรักแท หรือ
ความรักที่พอแมมีตอลูก
ความรูสึกเสนหาทางเพศ เปนองคประกอบของความรักที่มี
อิทธิพลรุนแรงมาก ในสมัยพุทธกาล นางสิริมานองสาวหมอชีวกเปน
ชาวนครที่มีรูปรางงดงามและกริยาออนชอย นางเปนผูที่ชอบนิมนต
- 20. 20 กาวทุกวันดวยจิตวิทยาและธรรมะ
ภิกษุสงฆและถวายทานจํานวนมาก ภิกษุที่ไปรับนิมนตที่บานนางเมื่อ
กลับมาถึงที่พัก จะสาธยายคุณงามความดีและรูปรางงดงามของนางให
บรรดาภิกษุรูปอื่นฟงภิกษุรูปหนึ่งพอฟงก็เกิดความอยากที่จะเห็นตัวจริง
จึงบอกวา ตนจะไปรับภักษาที่บานนาง บังเอิญวันที่ภิกษุหนุมรูปนี้ไป
บานนาง พรอมภิกษุรูปอื่นนั้น นางสิริมาไดลมปวยนอนซม ไมสามารถ
ลุกมานิมนตภิกษุสงฆได นางจึงใหสาวใชมาถวายทานแทน เมื่อเหลา
ภิกษุฉันอาหารเสร็จนางใหสาวใชพยุงนางเพื่อไหวพระภิกษุทันทีที่เห็น
นางภิกษุหนุมคิดในใจวาขนาดปวยยังงามเลยถานางสบายดีไมรูจะงาม
อีกกี่เทา เมื่อกลับมาถึงที่พัก ภิกษุหนุมเฝาคิดถึงนาง ขนาดฉันอาหาร
ไมลง เพื่อนภิกษุมาออนวอนก็ไมยอมฉัน ในวันตอมานางสิริมาไดเสีย
ชีวิตจากการปวย พระพุทธเจาทรงทราบและทรงสั่งไมใหเผานางกอน
ใหเอาศพไปเก็บรอที่ปาชา ในสองสามวันศพยังไมมีอะไรเปลี่ยนแปลง
มากนัก พอเขาวันที่สี่ ศพก็เริ่มอืด สงกลิ่นเหม็นเนา พระพุทธองครับสั่ง
ใหพระภิกษุทั้งหมดเตรียมตัวไปที่ปาชาเมื่อเพื่อนภิกษุมาชวนภิกษุหนุม
มีเรี่ยวแรงลุกจากเตียงไปปาชาดวย ไดมีประกาศใหมารับรางนางสิริมา
ที่สงกลิ่นเหม็นไปทั่ว แตไมปรากฏวามีผูใดมารับศพไป พระพุทธองค
ทรงตรัสใหคติวา นางสิริมาเคยเปนที่รักใครของใคร ๆ มากอน มาบัดนี้
ใหนางเปลาโดยไมเสียอะไร ก็ไมมีใครอยากได สังขารเปนอยางนี้ ยอม
มีความสิ้นเสื่อมกันทุกคน
รักแมนี้ไมมีวันหมด ขาวคุณแมดูแลบุตรชายซึ่งพิการมาเปน
เวลา 20 ป นางใชเงินสงเคราะหเดือนละ 340 หยวนและปฏิเสธ
เงินบริจาคจํานวน 100,000 หยวนจากนักธุรกิจ ภาพที่นางจังในสภาพ
คนชราอายุ 96 ป ปอนขาวและเช็ดตัวลูกชายอายุ 59 ป ใหความรูสึก
ตื้นตัน และนํ้าตาซึมอีก
- 21. บทที่ 1 ทฤษฎีทางจิตวิทยา 21
คนที่ไมสมหวังในรัก บางคนยอมสละชีวิตและอธิษฐานใหตน
ไดสมหวังในรักในชาติหนา คนที่สมหวังแลวบางคูก็หวังวาชาติตอไป
จะไดเปนเนื้อคูกันอีก ในพระไตรปฎกแนะไววา สามีภรรยาที่จะเจอกัน
อีกในชาติหนานั้น ตองมีองคประกอบ 4 อยางเสมอกัน คือ ศรัทธา ศีล
ทาน และปญญา ใครที่รักหลงเขาขางเดียว ปรารถนาความรักที่สมหวัง
ในชาติหนา ขอแนะใหนําเอาองคประกอบทั้ง 4 ขอนี้ไปไตรตรอง สอง
กลองขยายใหเห็นกันชัด ๆ เราศรัทธาวา ทําดีไดดี ทําชั่วไดชั่ว คนที่เรา
รักเชื่อวาทําชั่วก็ไดดี เรามีศีลครบ แตเขามีศีลขาด ๆ วิ่น ๆ เราทําบุญ
เปนประจํา เขาทําเฉพาะเทศกาล เราบริจาคโลหิต เขาบริจาคของไมใช
แลว เราดูขาว เขาดูเกมส เออนะ ! แลวแบบนี้จะไดเจอกันชาติหนา ปะ
วันนี้ กาวดวยการเพิ่มองคประกอบของความรัก
กาวพรอมกับคนที่เรารักดวยศรัทธา ศีล ทาน และ
ปญญาที่เสมอกัน
กาวดวยความรักผูอื่น แตไมลืม
รักนี้ ที่ไมมีวันหมดของบิดามารดา