8. สารประกอบทีÉมีธาตุออกซิเจนและ/หรือไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ
ประเภท หมู่ฟังก์ชัน การเรียกชืÉอ คุณสมบัติ/ประโยชน์
1.) สารประกอบทีÉมีธาตุออกซิเจนเป็นองค์ประกอบ
แอลกอฮอล์
(alcohols)
ไฮดรอกซี
(hydroxy)
(-OH)
ลงท้ายด้วย
: - านอล
1. จุดเดือดสูงกว่าแอลเคนทีÉมีจํานวนคาร์บอนเท่ากัน
(เกิดพันธะไฮโดรเจนเหมือนนํÊา)
2. เป็นกรดเล็กน้อย (ทําปฏิกิริยากับ Na ได้)
2 ROH + 2Na o 2RO-
Na+
+ H2(g)
อีเทอร์ (ether) ออกซี
(oxy)
(-O-)
เรียกหมู่แอลคิลตาม
ด้วย "อีเทอร์" ตัวอย่างเช่น ไดเอทิล อีเทอร์ ใช้เป็นตัวทําละลาย
กรดอินทรีย์
(carboxylic
acid)
คาร์บอกซิล
(carboxyl)
C OH
O
ลงท้ายด้วย
: - าโนอิก
1. จุดเดือดสูงกว่าแอลกอฮอล์ทีÉมีจํานวนคาร์บอน
เท่ากัน (เกิดพันธะไฮโดรเจนมากกว่า)
2. เป็นกรด (ทําปฏิกิริยากับ Na และ Na2HCO3 ได้)
R C OH
O
2 2 Na 2 R C O
-
Na
+
O
H2 (g)
R C OH
O
R C O
-
Na
+
O
CO2 (g)NaHCO3 H2O
3. ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน (esterification)
R C OH
O
R C OR'
O
H2OR'OH
H
+
เอสเทอร์
(ester)
ออกซีคาร์บอกซิล
(oxycarboxyl)
C O
O
* ส่วนทีÉมาจาก
แอลกอฮอล์เรียกเป็น
“แอลคิล”
* ส่วนทีÉมาจากกรด
เปลีÉยนคําลงท้ าย
จาก “อิก” เป็น “เ-ต”
1. ปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส
R C
O
OHH+
R C OR'
O
R'OH
แอลดีไฮด์
(aldehyde)
คาร์บอกซาลดีไฮด์
(carboxaldehyde)
C H
O
ลงท้ายด้วย : -
านาล
ตัวอย่างเช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ (เมทานาล) ถ้ามีความ
เข้มข้นเป็น 40 % จะเรียกฟอร์มาลิน ใช้ฉีดหรือดองศพ
2
9. คีโตน
(ketone)
คาร์บอนิล
(carbonyl)
C
O
ลงท้ายด้วย
: - าโนน
ตัวอย่างเช่น แอซีโตน (โพรพาโนน) ใช้เป็นตัวทําละลาย
2.) สารประกอบทีÉมีธาตุไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ
เอมีน
(amine)
อะมิโน (amino)
(--NH2)
นําหน้าด้วยคําว่า
"อะมิโน"
1. จุดเดือดสูงกว่าแอลเคนทีÉมีจํานวนคาร์บอนเท่ากัน
(เกิดพันธะไฮโดรเจน)
2. มีฤทธิÍเป็นเบส (เปลีÉยนลิสมัตแดงเป็นนํÊาเงิน)
R-NH2 + HCl o R-NH3
+
Cl-
3. การเกิดเอไมด์
R C
O
OH R'NH2 R C
O
NHR' H2O
3.) สารประกอบทีÉมีธาตุออกซิเจนและไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ
เอไมด์
(amide)
เอไมด์ (amide)
C N
O
ลงท้ายด้วย
: -านาไมด์
1. จุดเดือดสูงกว่าแอลเคนทีÉมีจํานวนคาร์บอน
เท่ากัน (เกิดพันธะไฮโดรเจน)
2. ยูเรีย ( H2N C
O
NH2 ) ใช้ทําปุ๋ ย
*** แนวโน้มจุดเดือด:
กรดอินทรีย์ > แอลกอฮอล์ > เอสเทอร์ t แอลดีไฮด์, ตีโตน > อีเทอร์ > ไฮโดรคาร์บอน
สารประกอบ CH3COOH CH3CH2OH CH3CHO HCOOCH3 CH3OCH3 CH3CH3
จุดเดือด (qq C) 118 78.5 21 31.5 -24.9 - 88.6
การทดสอบทีÉพบบ่อยๆ (ทดสอบความเป็นกรด)
สารทดสอบ Na(s) NaOH (aq) NaHCO3 (aq)
แอลกอฮอล์ 9 8 8
กรดอินทรีย์ 9 9 9
เอสเทอร์ 8 8 8
3
18. (C3H6O)
CnH2n + O
C C
C O
Alcohol
Ether
Aldehyde
Ketone
1 double bond
H2C
H
C
C
H2
OH
H2C
C
CH3
OH
C
H
H
C
CH3
HO
H2C
H
C
O
CH3
H3C
H2
C
C
O
H
H3C
C
CH3
O
25. จากกราฟเปรียบเทียบการละลายนํÊาและจุดเดือดของสารอินทรีย์ a, b และ c น่าจะเป็นสารใดตามลําดับ
a b c
1) CH3CH2CH2CH2OH, CH3CH2CH2CHO, CH3CH2CH2COOH
2) CH3CH2CH2COOH, CH3CH2CH2CH2OH, CH3CH2CH2CHO
3) CH3(CH2)3OH, CH3(CH2)4OH, CH3(CH2)5OH
4) CH3(CH2)5OH, CH3(CH2)4OH, CH3(CH2)4OH
ตอบ ข้อ 3 หลักการพิจารณา จุดเดือดเพิÉมช้าแสดงว่าเป็นสารประเภทเดียวกัน การละลายนํÊาลดลงแสดงว่ามีส่วน
HC เพิÉมขึÊน
26. (A-net’52) ในการทดสอบเพืÉอจําแนกสารประกอบอินทรีย์ทีÉมีหมู่ฟังก์ชันทีÉแตกต่างกัน ข้อใดถูก
1. แอลกอฮอล์และอีเทอร์ทดสอบด้วยสารละลาย NaHCO3
2. แอลเคนและแอลคีนทดสอบด้วยสารละลาย KMnO4
3. กรดอินทรีย์และกรดไขมันทดสอบด้วยโลหะ Na
4. มีคําตอบถูกมากกว่า 1 ข้อ
ตอบ ข้อ 2
จุดเดือด
อุณหภูมิ (o
C)
การละลายนํÊา
การละลาย
(g/řŘŘ cm3
)
12
19. 27. สาร A มีสูตรโมเลกุล C7H12 สาร A ฟอกสีโบรมีนได้อย่างรวดเร็วให้สาร B ทีÉมีสูตร C7H12Br2 สาร A ทําปฏิกิริยา
กับสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตให้สาร C ทีÉมีสูตร C7H14O2 สาร C ปฏิกิริยากับโลหะโซเดียมให้
แก๊สไฮโดรเจน แต่ไม่ทําปฏิกิริยากับสารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต สาร A ควรเป็นสารในข้อใด
ก. สารประกอบแอลคีนโซ่เปิดทีÉมีพันธะคู่ 2 พันธะ
ข. สารประกอบแอลคีนทีÉมีโครงสร้างเป็นวงและมีพันธะคู่ 1 พันธะ
ค. สารประกอบแอลไคน์
ง. สารประกอบอะโรมาติก
ข้อใดถูกต้อง
1) ก. และ ข. 2) ข. เท่านัÊน 3) ค. 4) ง.
ตอบ ข้อ 2 วิธีคิด โจทย์บอกว่าสาร A มีสูตรโมเลกุล C7H12 (CnH(2n+2) อาจเป็นแอลไคน์หรือไซโคลแอลคีน) สาร A
ฟอกสีโบรมีนได้อย่างรวดเร็วให้สาร B ทีÉมีสูตร C7H12Br2 หากพิจารณาสาร B จะเห็นว่ามี Br เข้าไป 2 อะตอม แสดง
ว่ามีพันธะคู่ ดังนัÊนสาร A จึงเป็นไซโคลแอลคีน
28. สาร A มีสูตรโมเลกุลเป็น CŠHřŜ ทําปฏิกิริยากับนํÊาโดยมีกรด HŚSOŜ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เกิดสารผลิตภัณฑ์ B
มีสูตรโมเลกุลเป็น CŠHřŞO เพียงชนิดเดียว เมืÉอนําสาร B ไปทําปฏิกิริยาออกซิเดชันต่อจะได้สาร C มีสูตร
โมเลกุลเป็น CŠHřŜO สูตรโครงสร้างทีÉเป็นไปได้ของสาร A คือ
1) 2) 3) 4)
ตอบ ข้อ 3 วิธีคิด ควรเขียนสมการการเกิดปฏิกิริยาก่อน
C8H14 + H2O C8H16O
H2SO4
A B
จากสมการเป็นปฏิกิริยาการเติมนํÊา (hydration) ซึÉงการเติมโมเลกุลนํÊา H2O จะเป็นการเติมหมู่ –H กับ –
OH เข้าไปทีÉตําแหน่งพันธะไม่อิÉมตัว ซึÉงการเติมหมู่ –H กับ –OH หมู่ใดจะเข้าไปทีÉ C ตัวใดของพันธะไม่อิÉมตัว (ในทีÉนีÊ
คือ C=C) ก็ได้ ผลิตภัณฑ์ทีÉได้คือแอลกอฮอล์จะมี 2 ชนิด เช่น
+ H2O
H2SO4 +
H
H
H
OH
H
HH
OH
H
H
13
20. จากทีÉโจทย์กําหนดให้ว่าเมืÉอเติมนํÊาแล้ว “ได้ผลิตภัณฑ์เพียงชนิดเดียว” แสดงว่าแอลคีนสารตัÊงต้นมี
“ระนาบสมมาตร” ผ่านพันธะคู่ ซึÉงเมืÉอเติมหมู่ –H กับ –OH หมู่ใดจะเข้าไปทีÉ C ตัวใดก็ไม่แตกต่างกัน (ได้ผลิตภัณฑ์
ชนิดเดียวกัน) ดังนัÊนคําตอบทีÉเป็นไปได้คือข้อ 2 กับข้อ 3
+ H2O
H2SO4 H
HO
+ H2O
H2SO4 H
H
H
HO
H
H
โจทย์กําหนดต่อว่า “เมืÉอนําสาร B ไปทําปฏิกิริยาออกซิเดชันต่อจะได้สาร C มีสูตรโมเลกุลเป็น CŠHřŜO” การ
เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันเป็นการดึง –H ออกจากหมู่ –OH และ C ทีÉหมู่ –OH ต่ออยู่ ในกรณีข้อ 2 สาร B คือ
H
HO
ส่วนข้อ 3 คือ
H
H
H
HO
จะเห็นได้ว่าสาร B ของข้อ 2 ไม่มี –H ต่ออยู่ทีÉ C ทีÉหมู่ –OH ต่ออยู่ ดังนัÊนจึงเกิดปฏิกิริยา
ออกซิเดชันไม่ได้
29. สาร X และ Y มีสูตรโมเลกุล C5H8O2 เหมือนกัน ทําการทดสอบได้ผลดังตาราง
สาร
รีเอเจนต์
โลหะ Na NaHCO3(aq) Br2/CCl4 สารละลายเบเนดิกต์
X ไม่เกิด ไม่เกิด ฟอกสีอย่างรวดเร็ว ไม่เกิด
Y ไม่เกิด ไม่เกิด ไม่เกิด เกิดตะกอนสีแดงอิฐ
ข้อใดควรเป็นสูตรโครงสร้างของสาร X และสาร Y ตามลําดับ
OH
O
O CHO
O OMe
O
O
O
OMe O
O
O OMe O CHO
1)
2)
3)
4)
14
21. ตอบ ข้อ 2 วิธีคิด สารละลายเบเนดิกต์ให้เกิดตะกอนสีแดงอิฐกับแอลดีไฮด์ Br2 ถูกฟอกสีด้วยคาร์บอนทีÉไม่อิÉมตัว
โลหะ Na ให้ฟองแก๊สกับ R-OH และ R-COOH ส่วน NaHCO3(aq) ให้ฟองแก๊สเฉพาะ R-COOH
30. พิจารณาสมบัติของสาร A, B, C และ D ดังต่อไปนีÊ
สาร
จุดเดือด
(q C)
การละลาย
ในนํÊา
การเผาไหม้
การทําปฏิกิริยา
กับ Na
การเปลีÉยนสี
กระดาษลิตมัส
การทําปฏิกิริยากับ
สารละลาย Br2 ในทีÉ
สว่าง
A 77 ละลายได้ดี ติดไฟ มีเขม่า ไม่เกิดปฏิกิริยา ไม่เปลีÉยนสี ไม่เปลีÉยนสี
B 78 ละลายได้ดี ติดไฟ ไม่มีเขม่า เกิดปฏิกิริยา ไม่เปลีÉยนสี ไม่เปลีÉยนสี
C 83 ไม่ละลาย ติดไฟ มีเขม่า ไม่เกิดปฏิกิริยา ไม่เปลีÉยนสี เปลีÉยนเป็นไม่มีสี
D 118 ละลายได้ดี ไม่ติดไฟ เกิดปฏิกิริยา เปลีÉยนสีจาก
นํÊาเงินเป็นแดง
ไม่เปลีÉยนสี
สาร A, B, C และ D อาจเป็นสารใดตามลําดับ
1. เอทานอล เอทิลแอซีเตต ไซโคลเฮกซีน กรดแอซีติก
2. เอทานอล เอทิลแอซีเตต กรดแอซีติก ไซโคลเฮกซีน
3. เอทิลแอซีเตต เอทานอล กรดแอซีติก ไซโคลเฮกซีน
4. เอทิลแอซีเตต เอทานอล ไซโคลเฮกซีน กรดแอซีติก
ตอบ ข้อ Ŝ วิธีคิด ดูการเปลีÉยนสีลิตมัสง่ายทีÉสุด สาร D เปลีÉยนสีลิตมัสจากนํÊาเงินเป็นแดงแสดงว่าเป็นกรด (ข้อ 1
และ 4 อาจถูก) เมืÉอพิจารณาสาร A ซึÉงไม่เกิดปฏิกิริยากับ Na แสดงว่าไม่ใช่แอลกอฮอล์
31. (PAT ’52) นําตัวยาพาราเซตามอล ซึÉงมีสูตรโมเลกุลเป็น C8H9O2N มาทําปฏิกิริยาต่างๆ เพืÉอวิเคราะห์หา
โครงสร้าง ได้ผลการทดลองดังต่อไปนีÊ
ก. สารละลายของพาราเซตามอลไม่มีฤทธิÍเป็นเบส
ข. นําพาราเซตามอลไปต้มกับสารละลายกรด HCl ได้ผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด คือ สาร A และ สาร B
ค. สาร A มีกลิÉนเหมือนนํÊาส้มสายชู และเมืÉอทําปฏิกิริยากับ NaHCO3 จะได้ฟองแก๊สเกิดขึÊน
ง. สาร B เป็นสารประกอบทีÉมีวงเบนซีน และสามารถละลายนํÊาได้ดี
จ. เมืÉอนําสาร B จํานวน 1 โมลมาทําปฏิกิริยากับกรด HCOOH จํานวน 2 โมล ได้ผลิตภัณฑ์ทีÉเป็นสาร C
ซึÉงมีสูตรโมเลกุลเป็น C8H7O3N
15
22. พาราเซตามอลควรมีโครสร้างดังข้อใด
OH
H2N
O
NH2
HO
O
OHHN
O
NH2O
O
1. 2.
4.3.
ตอบ ข้อ 3 เนืÉองจาก
ผลการทดสอบ การแปลผล หมายเหตุ
ก. สารละลายของพาราเซตามอลไม่มีฤทธิÍเป็น
เบส
แสดงว่าไม่มีหมู่ –NH2 ข้อ 2. และ ข้อ 4. ผิด
ข. นําพาราเซตามอลไปต้มกับสารละลายกรด
HCl ได้ผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด คือ สาร A และ สาร
B
เกิดไฮโดรลิซิส
พาราเซตามอลt A + B
แสดงว่าพาราเซตามอลเป็นเอส
เทอร์หรือเอไมด์ (ข้อ 2. ผิด)
ค. สาร A มีกลิÉนเหมือนนํÊาส้มสายชู และเมืÉอทํา
ปฏิกิริยากับ NaHCO3 จะได้ฟองแก๊สเกิดขึÊน
สาร A เป็นกรดแอซิติก เมืÉอไฮโดรลิซิสแล้วได้กรดแอซิติก
(ข้อ 3 ถูก)
ง. สาร B เป็นสารประกอบทีÉมีวงเบนซีน และ
สามารถละลายนํÊาได้ดี OHHN
O
HCl (aq)
OHH2N
O
OH
+
A B
จ. เมืÉอนําสาร B จํานวน 1 โมลมาทําปฏิกิริยากับ
กรด HCOOH จํานวน 2 โมล ได้ผลิตภัณฑ์ทีÉ
เป็นสาร C ซึÉงมีสูตรโมเลกุลเป็น C8H7O3N
OHH2N H
O
OH
+
B
2 OHN
H
O
H
O
C8H7O3NC
32. (PAT ’52) จากข้อมูลในข้อ 37 สารใดไม่ทําปฏิกิริยากับโลหะ Na
1. พาราเซตามอล 2. สาร A 3. สาร B 4. สาร C
ตอบ ข้อ 4 เนืÉองจากโลหะ Na สามารถทําปฏิกิริยาได้ทัÊงกับหมู่ –COOH และ –OH
16
30. 13. (GAT-52) ถ้านํากรดอะมิโนสองชนิด คือ ไกลซีนและอะลานีน ชนิดละ ř โมล มาต้มรวมกันโดยมีกรดเป็นตัวเร่ง
ปฏิกิริยา จะได้ผลิตภัณฑ์เฉพาะทีÉเป็นสารประกอบไดเพปไทด์ทัÊงสิÊนกีÉชนิด
H2N
OH
O
H2N
OH
O
ไกลซีน (Gly) อะลานีน (Ala)
ř) 1 ชนิด Ś) Ś ชนิด ś) 3 ชนิด Ŝ) 4 ชนิด
ตอบ ข้อ 2 สารประกอบไดเพปไทด์ทีÉได้ = n! = 2 u 1 = 2
H2N
N
H
O
OH
O
H2N
N
H
O
OH
O
14. สตัลลิมัยซินเป็นสารแอนติไบโอติกและต้านไวรัส ได้จากเชืÊอสเตร็บโตมัยซิน มีโครงสร้างดังรูป
N
CH3
O
N
H
N
CH3
O
N
H
C
NH
NH2
HCONH
CH3
H
N
O
N
ข้อใดเป็นผลิตภัณฑ์ทีÉได้จากปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของสตัลลิมัยซิน
1.
CH3
N CONH2
HCONH2 CH3CH2 C
NH
NH2
H2NCH2CH2 C
NH
NH2HCOOH
CH3
N COOH
H2N
2. 3
3
33.
CH3
N
HCONH
HCONHCH2CH2 C
NH
NH2
HOOCCH2CH2 C
NH
NH2
CH3
N
HCONH
NH2
4. 3
24
31. ตอบ ข้อ 2
ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเพปไทด์จะตัดทีÉพันธะเพปไทด์ ด้าน C=O จะได้รับ OH จากนํÊา ส่วนด้าน N จะ
ได้รับ H จากนํÊา
15. (O-Net ’ŝř) โปรตีนทีÉมีสูตรโครงสร้างต่อไปนีÊ
N C
H
HH
C
O
N
H
C
H
H
C
O
N
H
C
H
CH3
C
O
เฉพาะส่วนทีÉแสดงนีÊมีพันธะเพปไทด์กีÉพันธะ เกิดจากกรดอะมิโนกีÉโมเลกุลและมีจํานวนกรดอะมิโนกีÉชนิด
จํานวนพันธะเพปไทด์ จํานวนโมเลกุล จํานวนกรดอะมิโน
1) 2 2 3
2) 2 3 2
3) 3 3 2
4) 3 4 3
ตอบ ข้อ 2
N C
H
HH
C
O
N
H
C
H
H
C
O
N
H
C
H
CH3
C
O
1 2 3
16. (GAT-52) Thyrotropin-releasing hormone มีโครงสร้างเป็นเพปไทด์สายสัÊนๆ ดังภาพ
O
H
N
NHN
N
NH
H2N
O
O
O
25
32. หากฮอร์โมนนีÊจํานวน ř โมล เกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสอย่างสมบูรณ์ด้วยสารละลายกรด จะได้ผลิตภัณฑ์ทีÉมี
โครงสร้างเป็นกรดอะมิโนทีÉแตกต่างกันทัÊงสิÊนกีÉชนิด
ř) 1 ชนิด Ś) Ś ชนิด ś) 3 ชนิด Ŝ) 4 ชนิด
ตอบ ข้อ 3 เพราะเมืÉอทําปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสอย่างสมบูรณ์ “พันธะเพปไทด์” จะถูกตัดดังภาพ
O
H
N
NHN
N
NH
H2N
O
O
O
O
NH2
N
NH
OH
HO
NH2
O
HO O
N
H
HO
O
17. (PAT ’52) ปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสในสารละลายกรดด้วยการต้มของสารใด ไม่ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแอลฟาอะมิโน-
แอซิด
H
N
O
NH2
O
H
N
H2N
O
HN
O
NH2
NH
O
H2N
1. 2.
4.3.
ตอบ ข้อ 3 เพราะเมืÉอไฮโดรลิซิสจะได้เบต้าอะมิโนแอซิดดังแสดง
26
33. H
N
O
NH2
O
H
N
H2N
O
HN
O
NH2
NH
O
H2N
1.
2.
4.
3.
hydrolyse
H2N
O
OH
HO
O
NH3
hydrolyse
NH3
H
N
HO
O
hydrolyse
OH
O
NH2
NH2
OH
O
H2N
hydrolyse
NH2
E
D
D
D
D
18. (PAT#2 ’52) ทราพอกซิน บี (trapoxin B) เป็นสารอินทรีย์ทีÉสกัดได้จากสาหร่ายชนิดหนึÉง พบว่ามีฤทธิÍในการ
ต้านเซลล์มะเร็ง มีโครงสร้างดังนีÊ
ข้อใดไม่ถูกเกีÉยวกับทราพอกซิน บี
1. เป็นสารประกอบประเภทเททระเพปไทด์
2. ประกอบด้วยกรดอะมิโน 4 โมเลกุล
3. ประกอบจากพันธะเพปไทด์ 4 พันธะ
4. เมืÉอทําปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสโดยสมบูรณ์จะได้
โมเลกุลขนาดเล็กออกมา 4 ชนิด
ตอบข้อ 4 เพราะทราพอกซิน บี เป็นเททระเพปไทด์แบบวงเกิดจากกรดอะมิโน 4 โมเลกุล (ไม่จําเป็นต้องเป็นคนละ
ชนิด) มาต่อกันด้วยพันธะเพปไทด์ 4 พันธะ (ในวงรีสีนํÊาเงิน) เมืÉอทําปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสโดยสมบูรณ์จะได้โมเลกุล
ขนาดเล็กออกมาเพียง 3 ชนิด (เพราะมี 2 โมเลกุลทีÉเป็นชนิดเดียวกัน)
HNN
NH HN
O
O
O
O
O
O
27
34. HNN
NH N
O
O
O
HO
O
O
H
H2N
O
O
O
HO
NH2
O
HO
NH
O
OH
19. (PAT ’52) แอสปาร์แตม (aspartame) เป็นเมทิลเอสเทอร์ของสารประกอบเพปไทด์สายสัÊน ใช้เป็นสารให้ความ
หวานแทนนํÊาตาล มีโครงสร้างประกอบจากกรดอะมิโนสองชนิดดังนีÊ
HO
HO
NH2
O
O
HO
NH2
O
กรดแอสปาติก (Asp) ฟีนิลอะลานีน (Phe)
ถ้าโครงสร้างของแอสปาร์แตมเป็นดังภาพ
H3CO
H
N COOH
O
O
NH2
ข้อใดแสดงสูตรอย่างย่อของแอสปาร์แตมถูกต้อง
1. CH3O·Phe-Asp 2. CH3O·Asp-Phe 3. Phe-Asp·OCH3 4. Asp-Phe·OCH3
ตอบ ข้อ 4 เพราะ หลักการเขียนสูตรอย่างย่อของเพปไทด์ต้องให้ปลายด้าน N (หมู่ –NH2 ทีÉอยู่ตําแหน่ง D กับหมู่ –
COOH) อยู่ด้านซ้าย และปลายด้าน C (หมู่ –COOH) อยู่ด้านขวา ดังนัÊนต้องกลับโมเลกุลของแอสปาร์แตมดังนีÊ
28
35. OCH3
H
NHOOC
O
O
NH2
Asp
Phe จึงมีสูตรอย่างย่อเป็น Asp-Phe·OCH3
20. (O-Net ’53) กําหนดโครงสร้างของกรดอะมิโน A, B และ C โดย A และ B เป็นกรดอะมิโนจําเป็น
ข้อความใดถูกต้อง
1) เพปไทด์ทีÉประกอบด้วยกรดอะมิโนทัÊง 3 ชนิด ข้างต้นโดยไม่มีกรดทีÉซํÊากันมีทัÊงหมด 3 ชนิด
2) เพปไทด์ทีÉเกิดจากกรด A และกรด B ทําปฏิกิริยากับ CuSO4 ในสภาวะเบสให้สารสีม่วง
3) เพปไทด์ทีÉเกิดจากกรด A กรด B และกรด C เป็นไตรเพปไทด์ทีÉมีจํานวนพันธะเพปไทด์ 3 พันธะ
4) ในร่างกายมนุษย์จะไม่พบโปรตีนทีÉมีกรดอะมิโน A และ B เป็นองค์ประกอบ
ตอบ ข้อ 2 เพราะเพปไทด์เมืÉอทดสอบกับ CuSO4 ในสภาวะเบสให้สารสีม่วง (A=กรดลิวซีน B=กรดวาลีน C=เซอรีน)
21. องค์ประกอบใดของ นิวคลิโอไทด์ของ DNA ต่างจาก RNA
1) หมู่ฟอสเฟต 2) นํÊาตาลไรโบส 3) N-เบส 4) ถูกข้อ 2 และ 3
ตอบ ข้อ 4 เพราะ DNA มี deoxyribose เป็นองค์ประกอบ ส่วน RNA เป็น ribose สําหรับ N-เบส RNA จะใช้ยูราซิล
(Uracil (U)) แทนไทมีน (Thymine (T)) ใน DNA
22. (O-Net ’53) กําหนดสาย X ของกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิกชนิดหนึÉงมีลําดับของเบสดังนีÊ
(A = อะดีนีน, C = ไซโตซีน, G = กวานีน, T = ไทมีน)
สาย Y ทีÉเป็นคู่ของสาย X จะมีลําดับเบสเป็นไปตามข้อใด
ปลายด้าน N
ปลายด้าน C
ตอบ ข้อ 3 เพราะ A จับกับ T และ C จับกับ G
29
36. 23. โดยสารประกอบไคตินเป็นพอลิเมอร์ทีÉมีโครงสร้างดังรูป
เมืÉอนําเปลือกกุ้งมาแยกไคตินออกแล้วทํา
ปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสด้วยกรดแล้วจะได้ผลิตภัณฑ์
ทีÉเป็นพอลิ-
เมอร์ชนิดใหม่ทีÉชืÉอว่าไคโตซาน มอนอเมอร์ของ
ไคโตซานมีสูตรโมเลกุลตามข้อใด
1. C6H10O5 2. C6H12O6 3. C6H13NO5 4. C8H15NO6
ตอบ ข้อ 3 เพราะเมืÉอไฮโดรลิซิสไคตินด้วยกรดจะเกิดการสลายพันธะอีเทอร์ (-O-) ได้เป็น –OH 2 หมู่และเอไมด์
(-HN-CO-) ได้เป็นหมู่ –NH2 กับ –COOH ดังแสดง
O
O
O
O
O
O
HO HO HO
HO HOHO NH NH NH
O O O
O
O
O
O
O
O
HO HO HO
HO HOHO NH2 NH2 NH2
H+
heat
(hydrolysis)
HO
O
OH
HO
HO NH2
HO
O
OH
HO
HO NH2
- H2O
Chemical Formula: C6H12NO5
+
OH
O+
(monomer)
Chitin
Chitosan
O
O
O
O
O
O
HO HO HO
HO HO HONH NH NH
OOO
24. (O-Net ’51) ในการทดสอบอาหารเช้าชุดหนึÉงได้ผลดังนีÊ
สาร วิธีการทดสอบ ผลทีÉสังเกตได้
ก เติมสารละลายไอโอดีน สารละลายสีนํÊาเงิน
ข เติมสารละลายเบเนดิกต์ สารละลายสีฟ้ า ไม่มีตะกอน
ค เติมสารละลาย NaOH และ CuSO4 สารละลายสีม่วง
ง แตะบนกระดาษ โปร่งแสง
อาหารทีÉนํามาทดสอบ น่าเป็นชุดใดดังต่อไปนีÊ
1) มันทอด + นํÊาอัดลม 2) สลัดผลไม้ + นมเปรีÊยว
3) มันฝรัÉงบด + นํÊาผลไม้ 4) ขนมปังทาเนย + นมถัÉวเหลือง
ตอบ ข้อ Ŝ เพราะ สาร ก. เป็นแป้ ง ข. ไม่ใช่นํÊาตาลโมเลกุลเดีÉยว ค. เป็นโปรตีน/เพปไทด์ ง. นํÊามัน
30
39. 2. สารใดคือยางมะตอย(หรือบิทูเมน)และสารใดจุดเดือดตํÉาสุด
1. D และ A
2. E และ A
3. E และ D
4. C และ E
ตอบข้อ 2 เพราะยางมะตอยเป็นส่วนทีÉเหลือจากการกลัÉน คือ สาร E
สําหรับสาร A ทีÉออกมาบนสุดเป็นแก๊สซึÉงมีจุดเดือดตํÉาสุด
3. สูตรโครงสร้าง เลขออกเทนและจุดเดือดของผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในตารางข้างล่างนีÊข้อใดบ้าง
ทีÉถูกต้องตามชืÉอข้างหน้า
ชืÉอสาร สูตรโครงสร้าง เลขออกเทน จุดเดือด (qC)
1. ไอโซออกเทน
H2C
CH3
CH2 CH2 C
CH3
CH3
CH3
100 99
2. ไอโซออกเทน
H3C CH CH2 C
CH3
CH3
CH3CH3
100 99
3. เบนซิน ไฮโดรคาร์บอน - มีคาร์บอน 6 - 10 อะตอม 100 70 - 150
4. เบนซิน 100 80
5. เฮปเทน H3C CH2 CH2 CH2 CH2 CH2 CH3
0 98
6. เฮปเทน H3C CH CH2 CH2 CH2 CH3
CH3
0 98
1. 1, 3, 5 2. 2, 3, 5 3. 1, 4, 5 4. 2, 3, 6
ตอบข้อ 2
นํÊามันดิบ
ให้ความร้อน
น◌ําม◌ันด◌ิบ◌้
ให◌้ความร◌้อน
A
B
C
D
E
นํÊามันดิบ
ให้ความร้อน
33
40. 4. (GAT’ 53) เมืÉอนํายางชนิดหนึÉงทีÉมีสมบัติยืดหยุ่นมาเผาไฟ พบว่าเกิดแก๊สทีÉละลายนํÊาแล้วได้สารละลายทีÉมีฤทธิÍ
เป็นกรด ชนิดของยางและแก๊สทีÉเกิดขึÊนเป็นข้อใด
ชนิดของยาง ควันทีÉเกิดจากการเผา
1) ซิลิโคน SiOŚ
2) ยางวัลคาไนซ์ SOŚ
3) พอลิไวนิลแอซีเตท HCl
4) ไนลอน ŞŞ NHś
ตอบข้อ 2 เพราะยางวัลคาไนซ์เป็นยางดิบทีÉนําเอาไปอบกับกํามะถัน (S8) เมืÉอนําไปเผาจะได้แก๊ส SOŚซึÉงเมืÉอรวมกับ
ออกซิเจนจะได้แก๊ส SO3 และเมืÉอละลายนํÊาจะได้สารละลาย H2SO4 ทีÉมีฤทธิÍเป็ นกรด ส่วนพอลิไวนิล
แอซีเตท ไม่มี Cl เป็น องค์ประกอบ
5. (PAT#1-’53) พอลิเมอร์แบบกิÉงสามารถเตรียมได้จากปฏิกิริยาระหว่างเอทิลีนและสารใด
ř) acetylene Ś) butadiene ś) ethylene glycol Ŝ) hexane
ตอบข้อ 4 เพราะเอทิลีนเป็นไฮโดรคาร์บอนชนิดไม่อิÉมตัวจะปฏิกิริยาพอลิเมอร์แบบเติม ถ้ามอนอเมอร์ทีÉมา
เกิดปฏิกิริยาด้วยมีพันธะไม่อิÉมตัว (C=C) อยู่ทีÉหัว-ท้ายของโมเลกุลจะเกิดพอลิเมอร์แบบโซ่ตรง
HC CH H2C CH CH CH2 H2C CH
OH
H2C CH CH2 CH2 CH2 CH3
Acetylene Butadiene Ethylene glycol Hexene
H2C CH2
Ethylene
= จุดเชืÉอมต่อของโมเลกุล
6. ข้อความเกีÉยวกับพอลิเมอร์ซึÉงมีโครงสร้างดังนีÊ
C
O
C O CH2CH2 O
O
n
ก) เป็นโคพอลิเมอร์แบบเส้น
ข) จัดอยู่ในกลุ่มพอลีเอสเทอร์
ค) สามารถสังเคราะห์ได้จากการควบแน่นของเอทิลีนกับกรดเทเรพทาลิก ( COOHHOOC
)
CH2 CH
O
C
O
n
CH3
34
41. ข้อใดถูก
ř) ก. และ ข. เท่านัÊน Ś) ข. และ ค. เท่านัÊน ś) ก. และ ค. เท่านัÊน Ŝ) ก., ข. และ ค.
ตอบ ข้อ 1 เพราะข้อ ค. ผิด เนืÉองจากพอลิเอสเทอร์นีÊสังเคราะห์มาจาก HO
O
OH
O
กับ HOCH2CH2OH
7. (PAT#1-’53) พอลิเมอร์แลคไทด์เป็นพอลิเมอร์ทีÉย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ มีโครงสร้างดังรูป
HO
O
O
OH
O
O
O
n
สามารถเตรียมได้จากปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันของสารใด
1)
O
O
O
O
2) O
Cl
Cl
3) O
OH
Cl
4) ถูกทัÊงข้อ 2) และ 3)
ตอบ ข้อ 1 เพราะพอลิแลคไทด์ (polylactide) ผลิตจากไดแลคไทด์ (dilactide) ไม่ได้ผลิตจากกรดแลคติก (lactic
acid) โดยตรง เพราะจะทําให้พอลิเมอร์ไม่ได้ขนาด (โมเลกุลมีขนาดเล็กกว่าทีÉต้องการ)
HO
OH
O
O
O O
O
HO
O
O
O
O
O
OH
n
Ring openning
Polymerization
DilactideLactic acid
Oligomerization
Depolymerization
Polylactide
8. (PAT-52) จากสมการ
O
O
A
H3O+/'
B + C
กําหนดให้ B มีนํÊาหนักโมเลกุลมากกว่า C ข้อใดไม่ถูกต้อง
1) 1.กระบวนการพอลิเมอไรเซชันทีÉเกิดขึÊนเป็นปฏิกิริยาการเติม
2) 2. สาร A เป็นพอลิเมอร์แบบเส้นตรง
3) สาร B และสาร C ไม่เป็นพอลิเมอร์
4) สาร C มีฤทธิÍเป็นกรด
ตอบ ข้อ 3 เนืÉองสาร B ยังคงเป็นพอลิเมอร์ ดังสมการ
พอลิเมอไรเซชัน
35
42. O
O
A
H3O+/'
O O
n
OH
n
B C
+
HO
O
9. (O-Net’ 51) เปรียบเทียบสาร A และ B ซึÉงมีสูตรโครงสร้างดังต่อไปนีÊ
ข้อสรุปใดถูก
1) จุดหลอมเหลวของ A น้อยกว่า B
2) A ละลายนํÊาได้ส่วน B ไม่ละลายนํÊา
3) A และ B เป็นสารไฮโดรคาร์บอนทีÉไม่อิÉมตัว
4) B เกิดจากมอนอเมอร์ทีÉมากกว่า A ออยู่ ŝšŜ โมเลกุล
ตอบข้อ 4 เพราะ A และ B เป็นพอลิเมอร์ประเภทเดียวกัน แต่ B มีขนาดโมเลกุลทีÉใหญ่กว่า A
36
44. 4. 1s
, s
, p
, s,
, p
1. Ar , S-
. P+
, Co+
. Sc , Cl-
. Br , Ca+
5.
ř. 1s+
, s
, p
, s ,
p
.1s+
, s
, p
, s ,
p
,d1
, s
. 1s+
, s
, p
, s ,
p
. 1s+
, s
, p
, s ,
p
6.
1. BBr3 , PH3 , NF3 . 3
3PO , 2
3SO , 3ClO
SO3, HgCl2 , CO2 . H2S , Br2S . O3
7. A,B,C D
A
B
C
D
D
DA DA
A BA
B D
D
IE1 = 9. kJ / mol , IE = , k /mol
ř. D , B , A ,C . A , B , C , D .D , A , C , B . B , A , D , C
8. X , Y Z
. Z 20
. X Z M Y2-
X
. X Y n Z ( n + 1 )
1. Y X
. X Y
. Y 1s
,s
, p
,s
,p
,s
,d
. X
38
45. . Z = = , , ,
Z II 4
. X Z m = Y m + =
. X Y n =
Z ( n + ř) n + 1 =
X ,Y ,Z
II VI
3 X (2 , , ) Y ( 2 , , )
(1s
,s
,p
,s
,p4
)
4 Z (2 , , , )
ř IE ,EN
2 I
3 I , II
š.
. .
. .
. ZnS . SiO
ř. , 2. , 3. , 4. ,
39
46. โจทย์พันธะเคมี
ř. ธาตุในข้อใดทีÉเป็นไอโซโทปกับธาตุทีÉมีสัญลักษณ์เป็น 11
5 A
ř. 12
5 B Ś. 12
6 B ś. 11
5 B Ŝ. 11
6 B
วิธีทํา ธาตุเป็นไอโซโทปต้องมีเลขอะตอมเท่ากันแต่เลขมวลต่างกันหรือมีจํานวนนิวตรอนไม่เท่ากัน
ดังนัÊน A
Z X 11
5 A = 12
5 B
Ś. ธาตุ ś ชนิดมีสัญลักษณ์นิวเคลียร์ คือ 8
4 A 27
13 B 35
17 C
ข้อใดเป็นสูตรเคมีของสารประกอบฟลูออไรด์ของธาตุทัÊงสามชนิดตามลําดับ
ř. AF BF3 CF2 2. AF B2F3 CF3
3. AF2 B2F3 CF3 4. AF2 BF3 CF
วิธีทํา 4A เรียง e- = 2 . 2 เป็นธาตุหมู่ II ไอออน = A2+
13B เรียง e- = 2 . 8 . 3 เป็นธาตุหมู่ III ไอออน = B3+
17C เรียง e- = 2 . 8 . 7 เป็นธาตุหมู่ VII ไอออน = C+1
, C-
สารประกอบฟลูออไรด์ แสดงว่าไอออนคือ F-
ดังนัÊนสารประกอบของธาตุ A , B , C = AF2 , BF3 , C
3. พิจารณาข้อความต่อไปนีÊ
ก. เกลือแกงและโซดาไฟ เป็นสารประกอบของโลหะหมู่ IA
ข. สารประกอบไอออนิกทีÉมีสถานะเป็นของแข็งสามารถนําไฟฟ้ าได้
ค. โลหะแทรนฐิชันมีสมบัติทางกายภาพเหมือนโลหะหมู่ IA และ ŚA
ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ř. ก และ ข Ś. ข และ ค
ś. ก และ ค Ŝ. ก , ข , ค
วิธีทํา พิจารณาจากโจทย์กําหนด ข้อ ข ผิด เพราะสารประกอบไออนิกเช่น NaCl (s) นําไฟฟ้ าไม่ได้
Ŝ. ข้อใดมีสภาพขัÊวเหมือนกันทัÊงหมด ( GAT + PAT มี.ค.ŝś)
ř. CHCl3 H2O CS2 2. CCl4 CO2 BF3
3. PCl5 SO2 BeCl2 4. NH3 HCl CO2
วิธีทํา หลัก ตามหาสารประกอบของหมู่ II, III , IV ทีÉมีตัวล้อมอะตอมกลางเหมือนกันแสดงว่าเป็นโมเลกุล
ไม่มีขัÊว
Cl
F
C Cl , O = C = O , B
Cl Cl F F
40
47. .
ř. CCl NH XeF . BF NH PCl
. BrF PCl IF . HO SO O
ř. EN
2.
IV V VI VII
6.
. Xe XeF
+
XeOF XeO
-
HXeO
-
+6
. XeF Xe
. Xe XeF XeF
+
( Xe = )
ř. 2.
3. 4. ,
Xe VIII
F-
= 6
1. ( Chemical bond )
4
octet
EN IE
ř. ( )
2. cation ( = )
C N
O F
O
H H
S
O
O O
O
O
41
48. 3. ( )
4.
EN IE
ř. ( )
2. anion ( )
3. ( )
+ ion + ion
řř Nao
+ 1Clo
Na+
+ Cl-
Na-Cl
,,1 ,, , ,,
(+11,-11) (+1,-1) (+11,-1) (+1,-1)
+
ř.
šF + 9F F – F F
, , ,7 ,7
.
1H + 1Cl H+
- Cl-
HCl
1 ,,7 -----,,
EN
H-Be-H , O = C = S , H – Be – Cl , O = C = O EN
+ ( )
- H N NH
- H O HO , R/
OH , RCOOH CHOH , HCOOH , CHCOOH
- H F HF
Ionic bond 5
1. Sublimation Energy; Esu
. Dissociation Energy; D(X-X)
. Ionisation Energy; IE
F2ee
e
e
ee
e
e
F2e
e
e
e
ee
e
e
e
e
ee
e
e
e
e
eH Cl 8
42
49. . Electron affinity; EA
. ( )Lattice Energy; E latt
Na (s) + ½ Cl ((g) Na+
Cl—
(s)
( ) + Esub ( 2 ) +D(X-X) () - Elatt
Na (g) Cl (g) Cl—
(g) + Na+
(g)
(4) -EA
() +IE
Covalent bond
valence bond
ř. ground state
. Excited state
. hybridized state
P
P P
1
C
Be B C
s p p p ps s p p
sp- hybrid sp-hybrid
2
sp-hybrid
3
C
s
C
p,pp
pp
C
p
sp,p2
sp3
C C
C
43
50. C
__
_
_
N_ _
_
00
O_ _
00
00
_
F
00
00
00
C H
(aliphatic hydrocarbon) alkane alkene alkyne C2H6 C2H4 C2H2
Ś
I II III IV V VI VII VIII
3Li Be B C N O F 10Ne
EN 1.0 1.5 2.0 2.5 .0 .5 4 .0 -
Ox No +1 +2 + +4 +5 +6 +7
S Cl
Ox No -4 - -2 -1
C4-
N-
O2-
F-
CH4 NH OH2 FH or HF
2
3CO 3NO 2
4SO 3ClO
= 3 3 Ŝ Ŝ
( ) = ½ ( + )
( O )
ř. C / CO
2-
3 , Ś. (O) , 3. O Ś , Ŝ. C Ŝ
, C N Ş
H
H
H
C
H
H
H
C_ _
_
_
_
_
_
C = CH
H H
H
_
_
_
_ H C = C H
__ _, ,
C
OO
O
C
OO
O
C C
O
O
O
44
51. , , , P , S , Cl 8
2
1.
ř.
2. ř.
2.
1.
.
3.
.
2. ( Rate)
= /
ř.
aA + b B c C + d D
Mg (s) + 2 HCl( aq) MgCl(a + H(g)
NaSO(aq) + 2HCl (aq) NaCl(aq) + SO(g) + HO(l) + S(s)
( H )
rate
ř. :
2. :
3. :
4. :
45
53. 3. 2Fe(NO)3 + KI 2 Fe(NO) 2 + I
Fe+
+ I-
Fe+
+ I
2(NH)2 Fe (SO )2 + I NHI + Fe(SO) + (NH)2SO
+
Fe+
+ I I-
+ Fe+
Fe+
+ I-
Fe+
+ I2
. Mg(s) + CuSO(aq) MgSO(aq) + Cu(s)
. [Co( HO)6]+
+ Cl-
[CoCl]-
+ HO
6. Fe+
+ SCN-
[Fe+
SCN-
]+
(aq)
aA + bB cC + dD
ř.
2. P V Boyle
I / C H2 6 14 +
I /KI2
KI
C H6 14+ =
=
pink
pink
pink
redish brown
redish brown
redish brown
47
54. . T H
H = m x s x t , m x s t H
ř. N(g) + H(g) 2NH(g) + H
K 1 / t
. NO(g) + H NO(g)
K t
K
ř. N(g) + H(g) 2NH(g) K = K1
3
22
2
3
1
]][[
][
HN
NH
K
2. 2NH (g) N (g) + H (g) K = K = 1 / K1
2
3
3
22
2
][
]][[
NH
HN
K =
1
1
K
. ř/2 N(g) + /H(g) NH(g) K = K = 1 / K1
2
3
2
2
1
2
3
3
][][
][
HN
NH
K =
2
1
1
1
K
time
concentration
HI
H
I
2
2
H + I HI22 2
48
55. A B
[ A ] Rate B
.
.
.1
.
.1
.
.
.1
[ A ] Rate B
R [ ] [ ] R
A B R [A ]n
ř A B R , [A ] 2 “ n ”
R [ A ]n
1 [ 1 ]n
………( ř)
[ ]n
……….( 2)
/1 [ ]n
n = 1
2 A C R [A ] 2 “ n ”
R [ A ]n
1 [ 1 ]n
………(ř)
4 [ ]n
……….(2)
/ 1 [ ]n
n =
3 A D R 2.25 [A ] ř.5 “ n ”
R [ A ]n
…………( ř)
1 [ 1 ]n
………….()
2/ř . /1 [ 1. ]n
/1
log . = n. log 1.
. = n. ( .11) , n =
49
56. (2)
(3) (4)
A
B
B
B
B
A
A
A
1. A B B A
A B
1.
A + B P (Product)
[A] = [B]
B A 2 ; B A
. ( ) ( )
[ ] [ ]
[ ] [ ]
60
20
ř00
40
80
E
40
20
ř00
80
60E
50
57. ř. ( ) ( )
2. ( ) ( )
3. ( ) ( )
4.
ř-3 4
. A + B E + F (R)
ř. R = k[A] . R = k[A][B]
. R = k[B] . Rc = Rd
R [ ]
Rate Law R = K[A]m
[B]n
B R A R
4. NO NO(g) NO(g)
(S) (atm)
NO NO
.
.
.
.
.
.
B
.
.
A
.
C
A
BR
51
58. A , B , C
A B C
1
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
NO(g) NO(g)
R =
0.050 0.033
20
=
0.000
20
A
; A = .1 x = .
.
ř
ř. I ( X) ( Y)
. Y = X
3.
. [ H+
] HI
ř , , 4
Rate Law : R = [ A ]m
[B]n
[C]p
[A] = [ I ] , [ B ] = [ CH-CO- CH] , [ C ] = [ H+
]
ř. X = ( 0.ř )m
( 0.ř )n
( 0.ř )p
……………. (1)
[I]
O
[ CH-C-CH]
[H+
]
ř 0.ř 0.ř 0.ř X
2 0.ř 0.2 0.ř X
3 0.2 0.2 0.ř X
4 0.2 0.ř 0.2 X
5 0.2 0.2 0.2 Y
52
59. R
[ I ]2
R
CH -C-CH
3 3
O
[ ]
X = ( 0.ř )m
( 0.2 )n
( 0.ř )p
……………..()
X = ( 0.2 )m
( 0.2 )n
( 0.ř )p
…………….. ()
X = ( 0.2 )m
( 0.ř )n
( 0.2 )p
…………….. ()
Y = ( 0.2 )m
( 0.2 )n
( 0.2 )p
…………….. ()
/1 = n
n = 1
/ 1 1 = m
m =
/ 1 = ( ř /2 )ř
(2) p = 1
ř X = k (0.ř) (0.ř) k = 1 X
5 Y = 1 X(0.2) (0.2 ) Y = X
R = 1 X [ CH- CO – CH] . [ H+
]
[ H+
] [ I]
I
( )
[H+
]
( )
( ) ( )
ř , ,
Rate Law : R = k [I]m
[CH-CO-CH]n
[ H+
]p
= 1 = m
, m =
[ I]
.
Mg(s) + HSO(aq) MgSO(aq) + H(g)
H 5 cm
53
60. H(cm
) ( s )
ř 4
2 6
3 š
4 ř4
5 20
( cm
)
H
ř.
2.
3.
4.
0.ř6
0.25
0.50
0.025
0.ř8
0.ř8
0.25
0.27
ř. 20 s = ?
. - s = ?
ř. 20 s =
5
20
= .
2 ( 3 – 5 ) = s =
2
11
= .1
.
ř.
.
3.
4.
54
61. 1.0
. A (aq) + B(aq) + C(aq) 3D(aq) + 2E (aq)
C = . x 1-
mol /L . Sec
ř. B = . x 1 -
mol / L .Sec
2. D = . x 1 -
mol / L .Sec
3. A = . x 1 -
mol / L .Sec
4. E = . x 1 -
mol / L .Sec
R
Rate Law : R = - 1 / RA = - R B = - ½ RC = + 1 / RD = + ½ R E
9.
2.0 D ř. A + B C + D
C . A + B C + D
. C + D A + B
B . D + C B + A
. A
B 2.0 0.5 B = .-. = 1.
A ř.0 0 A = 1.-. = 1.
ř.0 A + 1. B C + D
1.
ř. ř ř HCl 0.ř mol / dm
. 2 0.5 HCl . mol /dm
. ř HCl 0.ř mol / dm
. ř HCl 0.2 mol / dm
55