SlideShare a Scribd company logo
1 of 18
Download to read offline
1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5
ปีการศึกษา 2562
ชื่อโครงงาน ทาไมคนสมัยนี้ถึงนิยมเป็นโรคซึมเศร้า
ชื่อผู้ทาโครงงาน
ชื่อ นางสาวธนัชดา ทองนาค เลขที่ 45 ชั้น ม.6 ห้อง 5
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
2
สมาชิกในกลุ่ม
1. นางสาวธนัชดา ทองนาค เลขที่ 45
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
ทาไมคนสมัยนี้ถึงนิยมเป็นโรคซึมเศร้า
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Depression anxiety
ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวธนัชดา ทองนาค
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
เนื่องจากในยุคปัจจุบัน ปัญหาภาวะซึมเศร้าเป็นปัญหาที่พบมากในสังคม จากการสารวจพบว่ามีประชากรใน
ประเทศไทยเป็นจานวนมากที่กาลังประสบกับปัญหานี้ คนในยุคปัจจุบันค่อนข้างกดดัน มีภูมิต้านทานทางด้านอารมณ์
น้อย และมีอัตราการฆ่าตัวตายมากขึ้นจากในอดีต ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลากหลายปัจจัย ยกตัวอย่างเช่น ความเครียด
ในด้านการเรียน คะแนนสอบออกมาไม่ดีเท่าที่หวัง เครียดเรื่องการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา การพบเจอปัญหา
ในที่ทางาน ต้องอยู่ในสภาวะ ที่กดดัน อัตราการแข่งขันในสังคมทีสูง ซึ่งหากลองพิจารณาแล้วก็พบว่า อัตราการ
แข่งขันในสังคมยุคปัจจุบันทีมีอัตราการแข่งขันที่สูงมากรวมถึงลักษณะของครอบครัวยุคใหม่ที่ส่วนใหญ่จะเป็น
ครอบครัวขนาดเล็ก พ่อแม่ผู้ปกครองค่อนข้างเคี่ยวเข็ญ และกดดันลูกหลาน ให้เผชิญกับสภาพการใช้ชีวิตแบบกดดัน
และไม่ค่อยมีเวลาได้ทากิจกรรมอื่น ๆ นอกจากเรียน และแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนหรือแม้แต่เวลานอน จากที่กล่าวมา
ข้างต้นนี้ เป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทาให้เกิดภาวะเครียด ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเป็นโรคซึมเศร้า ผู้จัดทาโครงงานจึง
ได้เล็งเห็นปัญหานี้ และได้ศึกษาข้อมูลและทฤษฎี ที่สามารถลดจานวนของประชากรที่เป็นโรคซึมเศร้า และแนวทาง
การอยู่ร่วมกับบุคคลที่ประสบปัญหานี้ หรือมีแนวโน้มทีจะเป็น และได้จัดทาโครงงานนี้ขึ้นมา เพื่อศึกษาและเป็น
แนวทางในการแก้ปัญหาโรคซึมเศร้าต่อไป
วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาข้อมูลของโรคซึมเศร้า
2. เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคซึมเศร้าในสังคม
3. เพื่อเป็นแนวทางในการรักษา และการอยู่ร่วมกันกับบุคคลที่ประสบปัญหานี้
ขอบเขตโครงงาน
ขอบเขตด้านการวิจัยเรื่อง “ทาไมคนสมัยนี้ถึงนิยมเป็นโรคซึมเศร้า” เป็นการวิจัยเพื่อการศึกษา โดยค้นคว้า
จากเอกสารทางการแพทย์ จิตวิทยา และทางอินเทอร์เน็ต จากแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้แก่ หนังสือ ตารา บทความ
3
เอกสาร วารสาร รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ เป็นต้น เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทาสื่อเพื่อการศึกษา ตามกรอบ
แนวคิดทางการวิจัยที่กาหนดไว้ ขอบเขตด้านประชากร ข้อมูลที่ใช้การศึกษาเป็นข้อมูลปฐมภูมิที่ได้จากการสัมภาษณ์
คนรอบข้างของผู้จัดทาโครงงาน ทั้งกลุ่มบุคคลทั่วไป ไม่มีภาวะเสี่ยง กลุ่มที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า และ
กลุ่มที่เป็นโรคซึมเศร้าและกาลังอยู่ในกระบวนการของการรักษา มีขอบเขตด้านระยะเวลา ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศึกษา 62
หลักการและทฤษฎี
ทาความรู้จักโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และความคิด โดยอาการเหล่านี้จะส่งผลกระทบ
ต่อการดาเนินชีวิตในแต่ละวันอย่างมาก เช่น รับประทานอาหารได้น้อยลง เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ สิ้นหวัง หดหู่ รู้สึก
ว่าตัวเองไม่มีความสุขกับชีวิต วิตกกังวลตลอดเวลา และที่สาคัญคือผู้ป่วยจะไม่สามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่ต้อง
เผชิญได้ดีพอ
โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชที่พบได้บ่อยที่สุด โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า มีประชากรทั่วโลกป่วยเป็น
โรคซึมเศร้าประมาณ 350 ล้านคน ซึ่งวัฒนธรรมที่แตกต่างกันก็มีผลต่ออัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าได้ โดยตามรายงาน
ประจาปี 2553 ของวารสารประจาปีด้านสาธารณสุข (The Journal Annual Review of Public Health) กล่าวว่า
อัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าของทุกเพศทุกวัยในญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 2.2% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่า ในขณะที่บราซิลนั้นมีอัตรา
การเกิดภาวะซึมเศร้าสูงถีง 10.4%
ส่วนในประเทศไทยนั้น โรคซึมเศร้าถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาด้านสุขภาพที่มีความสาคัญและน่าเป็นห่วงอย่างมาก โดย
สังเกตได้จากสังคมในปัจจุบันนี้ที่มักมีข่าวเกี่ยวกับปัญหาการฆ่าตัวตาย รวมทั้งปัญหาการทาร้ายร่างกายตัวเองและคน
รอบข้าง ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้นับเป็นเรื่องที่น่าสลดใจไม่น้อยทีเดียว ตามรายงานจิตวิทยาคลินิก ปี 2007 พบว่า
 50% ของผู้ที่ฟื้นตัวจากภาวะซึมเศร้าในครั้งแรก มักมีภาวะซึมเศร้าซ้าอีกหนึ่งครั้งหรือมากกว่านั้น
 80% ของคนที่เคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้า มีภาวะซึมเศร้าเกิดขึ้นถึงสองครั้ง
โรคซึมเศร้ามีสาเหตุและปัจจัยที่หลากหลาย ทั้งด้านจิตใจ สภาพสังคม และความผิดปกติด้านชีววิทยาที่เกิดขึ้นกับ
ร่างกายของผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นการประสบปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัว การงาน การเงิน หรือการเผชิญความล้มเหลว
หรือสูญเสียในชีวิตอย่างรุนแรง ทุกปัญหานั้นล้วนเป็นสาเหตุที่นาไปสู่การเกิดโรคซึมเศร้าได้ทั้งสิ้น
สาเหตุของโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเป็นผลมาจากหลายๆ ปัจจัยด้วยกัน ดังนี้
 ความผิดปกติของสารเคมีภายในสมอง สารเคมีในสมองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็น
ได้ชัด โดยมีสารเคมีที่มีชื่อว่าเซโรโทนิน (Serotonin) และนอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) ลดน้อยลง
จากเดิม ทาให้สมดุลของสารเหล่านี้เปลี่ยนไปและเกิดความบกพร่องในการทางานร่วมกัน
 กรรมพันธ์ุ หากคนในครอบครัวของคุณ เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เคยป่วยด้วยโรคซึมเศร้ามาก่อน คุณก็อาจมี
ความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน
 การเผชิญเรื่องเครียด เช่น เจอมรสุมชีวิตโดยไม่ทันได้ตั้งตัว หมดกาลังใจในการรักษาอาการเจ็บป่วยที่เรื้อรัง
หรือรุนแรงถึงชีวิต ตกงาน มีปัญหาเรื่องการเงินที่หาทางออกไม่ได้ มีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับคน
ใกล้ชิด ถูกใช้ความรุนแรงหรือถูกล่วงละเมิดในวัยเด็ก รวมทั้งการพบเจอกับความสูญเสียในชีวิตที่ทาให้เสียใจ
เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียพ่อแม่ในขณะที่ยังอยู่ในช่วงวัยเด็ก สูญเสียคนรัก หรือสูญเสีย
ครอบครัว
 ลักษณะนิสัย คนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองต่าหรือสูงมากเกินไป มองโลกในแง่ร้าย หรือชอบตาหนิกล่าวโทษ
ตนเอง มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าคนที่มองโลกในแง่บวกและเห็นคุณค่าในตนเอง
4
 การดื่มแอลกอฮอล์และการใช้สารเสพติด การพึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสารเสพติดเพื่อให้ลืมความเสียใจ
และความเครียดจากเรื่องต่างๆ ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่กลับทาให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมาได้ด้วย
 การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนจากภาวะตั้งครรภ์ หรือภาวะต่อมไทรอยด์ผิดปกติ
โรคซึมเศร้าเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่พบว่าคนที่มีอายุระหว่าง 18-25 ปี มีแนวโน้มเกิดภาวะซึมเศร้ามากกว่า
คนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ถึงร้อยละ 60 และผู้หญิงจะมีแนวโน้มเกิดภาวะซึมเศร้ามากกว่าผู้ชาย
ชนิดของโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าแบ่งออกเป็น 3 ชนิดด้วยกัน ซึ่งแต่ละชนิดมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปดังนี้
1. Major Depression (โรคซึมเศร้าแบบรุนแรง)โรคซึมเศร้าชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อภาวะซึมเศร้ารบกวนความสุขในชีวิต
การทางาน การเรียน การนอนหลับ นิสัยการกิน และอารมณ์สุนทรีย์ ติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ บางคนอาจ
แสดงอาการของภาวะซึมเศร้าเพียงแค่หนึ่งอย่างก็ได้ ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นเป็นครั้งๆ แล้วหายไป แต่ก็สามารถเกิดได้
บ่อยครั้งเช่นกัน
2. Dysthymia หรือ Persistent Depressive Disorder (โรคซึมเศร้าเรื้อรัง)เป็นโรคซึมเศร้าแบบเรื้อรังที่มี
อาการทางอารมณ์ไม่รุนแรงนัก แต่จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี และมีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 2 อาการร่วม
ด้วย
 รับประทานอาหารได้น้อยลงหรือมากขึ้น
 นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป
 อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
 รู้สึกว่าคุณค่าในตัวเองต่า
 ไม่มีสมาธิ หรือตัดสินใจอะไรได้ลาบาก
 รู้สึกสิ้นหวัง ตามเกณฑ์การวินิจฉัยจากคู่มือการวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตที่จัดทาโดยสมาคมจิตเวชศาสตร์
สหรัฐอเมริกา (DSM-V)
ในบางช่วงเวลาของภาวะซึมเศร้าประเภทนี้ผู้ป่วยอาจมีภาวะ Major depression ร่วมด้วย ซึ่งจะรบกวนการดารง
ชีวิตประจาวัน ทั้งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทางานของผู้ป่วยและทาให้เกิดความรู้สึกแย่ได้
3. Bipolar หรือ Manic-depressive Illness (โรคซึมเศร้าอารมณ์สองขั้ว)ผู้มีภาวะซึมเศร้าบางคนอาจมีอาการ
ผิดปกติแบบอารมณ์สองขั้ว (Bipolar disorder) ร่วมด้วย โรคซึมเศร้าชนิดนี้จะทาให้ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงทางด้าน
อารมณ์ โดยมีอารมณ์แปรปรวนรุนแรงสลับไปมาระหว่างอารมณ์ดีผิดปกติ (Mania) ที่เป็นช่วงอารมณ์สนุกคึกคักเกิน
เหตุ พูดมากกว่าที่เคยเป็น กระฉับกระเฉงกว่าปกติ มีพลังงานในร่างกายเหลือเฟือ กับช่วงภาวะ
ซึมเศร้า (Depression) ซึ่งโดยมากจะมีอาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ในบางคนก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่าง
รวดเร็ว ในช่วงอารมณ์ดีผิดปกตินั้น อาการที่เกิดขึ้นอาจมีผลกระทบต่อความคิดและการตัดสินใจของผู้ป่วย รวมทั้ง
อาจทาให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมหลงผิด หากผู้ป่วยในภาวะนี้ไม่ได้รับการรักษาจะทาให้กลายเป็นโรคจิตเภทได้
ประเภทของภาวะซึมเศร้าอื่นๆ ที่ได้การยอมรับทางการแพทย์ มีดังนี้
1. Postpartum Depression (โรคซึมเศร้าหลังคลอดบุตร) หลังคลอดบุตร คุณแม่บางคนอาจมีอาการซึมเศร้าที่
รุนแรงและใช้เวลานานกว่าจะกลับมาเป็นปกติ ภาวะซึมเศร้าที่คุณแม่มือใหม่มักเผชิญหลังคลอดนี้จะเรียกว่า "Baby
blues"
2. Seasonal Affective Disorder หรือ SAD (โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล) เป็นภาวะซึมเศร้าในช่วงฤดูหนาว หรือ
บางครั้งก็เกิดในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เป็นโรคซึมเศร้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศที่มีแสงแดดน้อยและหนาวเย็น พบได้มากใน
ประเทศแถบหนาว จึงไม่ค่อยเป็นที่คุ้นเคยในไทยนัก
3. Premenstrual Dysphoric Disorder (โรคซึมเศร้าก่อนมีรอบเดือน) เป็นอาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นประมาณ
หนึ่งสัปดาห์ก่อนและหลังช่วงมีประจาเดือนของผู้หญิง
5
4. Psychotic Depression (โรคซึมเศร้าโรคจิต) เป็นภาวะซึมเศร้ารุนแรงที่เกิดกับผู้ป่วยโรคจิตเวชอื่นๆ โดยมัก
เกิดพร้อมอาการทางจิต เช่น เห็นภาพลวงตาและภาพหลอน ได้ยินเสียงที่ไม่มีอยู่จริง เป็นต้น
อาการของโรคซึมเศร้า
1. อาการทั่วไปของโรคซึมเศร้า
หากคุณกังวลว่าตัวเองหรือคนรอบข้างกาลังป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ เบื้องต้นคุณสามารถสังเกตได้จากอาการเศร้า
เสียใจ และท้อแท้จนไม่อยากทาอะไร บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ หรือถึงแม้มีเรื่องน่ายินดี แต่ก็กลับไม่รู้สึกมีความสุข
เลย นอกจากนี้ ผู้ที่เข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้ามักแสดงอาการต่อไปนี้ตามเกณฑ์การวินิจฉัยจากคู่มือการวินิจฉัยความ
ผิดปกติทางจิตที่จัดทาโดยสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา (DSM-V) อย่างน้อย 5 อาการออกมาพร้อมๆ กันภายใน
ระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยที่มีอย่างน้อยหนึ่งอาการเป็นอาการหมดความสนใจในกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่เคยชื่นชอบ
หรืออาการเศร้า
 รู้สึกสิ้นหวัง ไม่มีค่า ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะทาอะไรต่อไปหรือทาไปเพื่ออะไร
 รู้สึกเศร้า หรือ ในเด็กและวัยรุ่นอาจรู้สึกหงุดหงิดง่าย กระสับกระส่าย หรือกระวนกระวายใจอยู่บ่อยๆ
 หมดความสนใจในกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่เคยชื่นชอบ เช่น รู้สึกเบื่อหน่ายอาหารโปรด
 น้าหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นเร็วมาก เนื่องมาจากนิสัยการกินที่เปลี่ยนไป
 นอนไม่หลับติดต่อเป็นเวลานาน หรือนอนนานผิดปกติ
 อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
 ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ทาได้เลย บางครั้งก็แสดงอาการหลงๆ ลืมๆ และใช้เวลานานในการ
ตัดสินใจเรื่องต่างๆ
 คิด พูด และทางานเร็วขึ้นหรือช้าลง
 รู้สึกอยากฆ่าตัวตาย พยายามฆ่าตัวตาย หรือทาร้ายตัวเอง
อาการเหล่านี้มีผลกระทบต่อการเข้าสังคม การทางาน หรือการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ หากปล่อยไว้นานจะทาให้
กลายเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ซึ่งมีอาการรุนแรงกว่านี้มาก ทางที่ดีจึงควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการบาบัดทาง
ร่างกายและจิตใจอย่างถูกต้อง ก่อนที่จะสายเกินไป
บางครั้งผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าก็แสดงออกในลักษณะที่แปลกออกไป จนในบางอาจทาให้ผู้พบเห็นหรือเจ้าตัวไม่คิดว่า
ตนเองนั้นเป็น “โรคซึมเศร้า” เรามาดูกันว่าสัญญาณแปลกๆ เหล่านั้นมีอะไรบ้าง
 ช้อปปิ้งอย่างบ้าคลั่ง: ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าบางคนจะมีพฤติกรรมซื้อของอย่างควบคุมไม่ได้ เพื่อหวังเบี่ยงเบน
ความสนใจจากความเครียดหรือเพื่อปลุกความมั่นใจในตนเอง พฤติกรรมนี้อาจพบได้ในผู้ที่เป็นโรคอารมณ์
สองขั้วหรือโรคไบโพลาร์ได้เช่นกัน
 ดื่มอย่างหนัก: หากคุณรู้สึกว่าคุณต้องการดื่มเพื่อจัดการกับความเครียดหรือความเศร้า คุณอาจกาลังเผชิญ
ภาวะซึมเศร้าอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งแม้ว่าการดื่มจะช่วยให้คุณรู้สึกดีและลืมเรื่องแย่ๆ ในชั่วขณะได้ แต่การดื่ม
แอลกอฮอล์อาจกระตุ้นให้คุณยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม หรือนาไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้
 หลงลืม: โรคซึมเศร้าอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการหลงๆ ลืมๆ ที่เกิดขึ้น โดยจากผลการศึกษาพบว่า โรค
ซึมเศร้าหรือภาวะเครียดที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานจะไปทาให้ระดับคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนความเครียดใน
ร่างกายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อสมองบางส่วนที่เชื่อมโยงกับความทรงจาและการเรียนรู้ โรคซึมเศร้าจึงมี
ความเกี่ยวเนื่องกับการสูญเสียความทรงจา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักสาหรับผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม การ
รักษาโรคซึมเศร้าจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความจาได้
 ใช้อินเทอร์เน็ตมากเกินไป: การเสพติดโลกออนไลน์มากกว่าโลกความเป็นจริงอาจเป็นอาการหนึ่งที่บ่งบอก
ถึงโรคซึมเศร้าได้ ในทางกลับกัน การใช้เวลาบนโลกออนไลน์มากเกินไปก็อาจทาให้มีอาการซึมเศร้าได้
6
 กระหน่ากินอย่างบ้าคลั่ง: ผลการศึกษาเมื่อปี 2010 จากมหาวิทยาลัยอัลบามาเผยว่า วัยรุ่นที่เป็นโรค
ซึมเศร้ามีแนวโน้มมีน้าหนักเพิ่มขึ้น แถมยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย
 ขโมยของ: พฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อยอาจมีสาเหตุมาจากโรคซึมเศร้าได้ เพราะสาหรับผู้ป่วยบางคนที่รู้สึกไร้
เรี่ยวแรงในการทาสิ่งต่างๆ และรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า การขโมยของเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉงและ
รู้สึกว่าตนเองสาคัญขึ้นมา ซึ่งสิ่งที่ขโมยมานั้นอาจไม่ได้มีมูลค่าหรือสาคัญเท่ากับความรู้สึกดีที่ได้รับหลังจาก
ขโมยสาเร็จเลย
 ปวดหลัง: 42% ของผู้คนที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังเคยเป็นโรคซึมเศร้ามาแล้วทั้งสิ้น อย่างไรก็ดี หลายคนมัก
เพิกเฉยต่อการเป็นโรคซึมเศร้า เพราะคิดว่าอาการเจ็บปวดต่างๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นโรคซึมเศร้าแต่
อย่างใด
 พฤติกรรมทางเพศ: ผู้ป่วยบางรายอาจรับมือกับปัญหาโรคซึมเศร้าด้วยการทาพฤติกรรมทางเพศที่ไม่
เหมาะสม เช่น เปลี่ยนคู่นอนบ่อย นอกใจ เสพติดการมีเพศสัมพันธ์ และการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
หรือบางรายก็มีอาการหมดความต้องการทางเพศ ทั้งนี้อาการดังกล่าวอาจสัมพันธ์กับการเป็นโรคไบโพลาร์ได้
เช่นกัน
 แสดงอารมณ์อย่างสุดเหวี่ยง: หลายๆ คนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะเผลอแสดงอารมณ์มากเกินปกติ บางครั้งก็ขี้
โมโหหรือระเบิดอารมณ์ออกมา บางครั้งก็เศร้าเสียใจ หมดหวัง วิตกกังวล และหวาดกลัว ซึ่งความผิดปกตินี้
มักสังเกตได้ชัดเจนในผู้ที่เคยนิ่งขรึมและไม่ค่อยพูด
 เสพติดการพนัน: การพนันอาจทาให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและกระชุ่มกระชวย แต่หากคุณเสพติดการเล่นพนันจน
เป็นนิสัย คุณอาจต้องทุกข์ทรมานใจภายหลังก็เป็นได้ โดยหลายคนที่เล่นการพนันบอกว่า ตนเองจะรู้สึกวิตก
กังวลและซึมเศร้าก่อนเริ่มเล่นการพนัน และเมื่อเจอความผิดหวังก็อาจทาให้ยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก
 สูบบุหรี่: การเป็นโรคซึมเศร้าจะยิ่งทาให้คุณต้องการสูบบุหรี่มากขึ้น เรียกได้ว่า ยิ่งซึมเศร้ายิ่งสูบหนัก โดย
อาจสูบประมาณ 1 ซองต่อวัน หรือสูบบุหรี่ทุก ๆ 5 นาทีเลยทีเดียว
 ไม่ใส่ใจตนเอง: การละเลยหรือไม่ใส่ใจตนเอง เป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้าและการขาดความมั่นใจในตนเอง
พฤติกรรมอาจเริ่มตั้งแต่การไม่แปรงฟัน ไปถึงขั้นโดดสอบ หรือไม่ใส่ใจโรคร้ายต่างๆ ที่ตนเป็น
2. อาการของโรคซึมเศร้าตามเพศและอายุ
อาการซึมเศร้าในผู้ชาย ผู้หญิง และวัยรุ่น อาจแตกต่างจากอาการซึมเศร้าทั่วไปที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ดังนี้
อาการของโรคซึมเศร้าในผู้ชาย
แม้ว่าผู้ชายและผู้หญิงนั้นต่างมีอาการของโรคซึมเศร้าได้เหมือนกัน แต่ก็มีอาการบางอย่างที่มีความแตกต่างกันอย่าง
ชัดเจน จากรายงานในนิตยสารจิตเวช JAMA ปี 2013 กล่าวว่าอาการดังต่อไปนี้มักพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงที่เป็น
โรคซึมเศร้า
 โกรธ
 ก้าวร้าว
 เสพยาหรือใช้แอลกอฮอล์
 พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ขับรถโดยประมาท มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน มีพฤติกรรมสาส่อนทางเพศ เป็น
ต้น
อาการของโรคซึมเศร้าในผู้หญิง
สถาบันสุขภาพแห่งสหรัฐอเมริการะบุว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าผู้ชายถึงสองเท่า อาการที่มักพบ
ในหญิงที่เป็นโรคซึมเศร้ามีดังต่อไปนี้
 เครียด
 แยกตัวสันโดษ
 หงุดหงิด กระสับกระส่าย
7
 ร้องไห้อย่างหนัก
 มีปัญหาด้านการนอนหลับ
 หมดความสนใจในเรื่องที่เคยชื่นชอบ
อาการของโรคซึมเศร้าในวัยรุ่น
วัยรุ่นก็สามารถมีอาการของโรคซึมเศร้าได้เหมือนผู้ใหญ่ แต่ว่าอารมณ์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นมักถูกเข้าใจ
ผิดว่าเป็นภาวะปกติของการเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น อาการที่อาจบอกถึงโรคซึมเศร้าในวัยรุ่น ได้แก่
 หมกมุ่นเรื่องความตาย เช่น เขียนกลอนหรือภาพวาดที่บ่งบอกถึงความตาย
 มีพฤติกรรมอาชญากรรม เช่น ขโมยของในร้านขายของ หรือขโมยเครื่องเขียนของเพื่อน
 แยกตัวออกจากครอบครัวและเพื่อน
 อ่อนไหวต่อคาวิพากษ์วิจารณ์
 ผลการเรียนแย่ลงหรือขาดเรียนบ่อยๆ
 มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และการขับรถโดยประมาท
 มีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติด
 มีพฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผลหรือแปลกประหลาดไปจากเดิม
 นิสัยหรือการแต่งตัวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
 ทิ้งข้าวของของตัวเอง
3. อาการตามชนิดของโรคซึมเศร้า
อาการของโรคซึมเศร้าชนิด Major Depression
 มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ซึมเศร้าหรือวิตกกังวลบ่อยๆ มีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียว โกรธง่าย อยู่ไม่สุข
และมักกระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา
 มีการเปลี่ยนแปลงทางความคิด รู้สึกสิ้นหวังในการใช้ชีวิต มักมองโลกในแง่ร้าย รู้สึกผิดหวังบ่อยๆ คิดว่า
ตัวเองไม่มีค่า มีความคิดทาร้ายตัวเอง คิดถึงแต่ความตาย และพยายามทาร้ายตัวเองอยู่บ่อยครั้ง
 มีการเปลี่ยนแปลงด้านการเรียนรู้และการทางาน ไม่สนใจสังคมหรือสภาพสิ่งแวดล้อม หมดความสนใจใน
เรื่องที่ทาให้เกิดความสนุกสนาน ไม่สนใจงานอดิเรก เพิกเฉยต่อกิจกรรมที่น่าสนใจต่างๆ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
ประสิทธิภาพในการทางานลดลง ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทา การตัดสินใจแย่ลง และมีอาการหลงๆ ลืมๆ
 มีการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม มีอาการนอนไม่หลับ ตื่นนอนเร็ว บางรายหลับนานเกินไป รู้สึกเบื่ออาหาร
จึงส่งผลให้น้าหนักลดลง แต่บางคนก็รับประทานอาหารมากเกินไปจนทาให้น้าหนักเพิ่มขึ้น เมื่อเจ็บป่วยมัก
รักษาด้วยยาธรรมดาไม่หาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง แน่นท้อง และปวดเรื้อรัง นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์
กับบุคคลรอบตัวแย่ลงด้วย
อาการของโรคซึมเศร้าชนิด Dysthymia
ผู้ป่วยจะมีอาการซึมเศร้าต่อเนื่องเรื้อรังเป็นเวลาติดต่อกันยาวนาน อาจถึงขั้นส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานและการ
ใช้ชีวิต รู้สึกไม่ชอบตนเอง ไม่มีความสุขตลอดเวลา มองโลกในแง่ร้าย แต่ผู้ป่วยยังคงใช้ชีวิตประจาวันได้ปกติ แต่มักไม่
ค่อยพอใจเมื่อมีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ทาให้ดูเป็นคนไม่มีชีวิตชีวา ซึ่งโรคซึมเศร้าแบบ Dysthymia นี้มีสิทธิ์เปลี่ยนเป็น
โรคซึมเศร้าแบบรุนแรง (Major depression) ได้
อาการของโรคซึมเศร้าชนิด Bipolar หรือ Manic-depressive illness
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าชนิดนี้จะมีอาการซึมเศร้าสลับกับร่าเริงเกินกว่าเหตุ มีอาการหงุดหงิดง่าย นอนน้อยลงกว่าเดิม มัก
หลงผิดคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองใหญ่ พูดมาก คิดแต่จะแข่งขัน มีความต้องการทางเพศสูง มีพลังเยอะ แต่การตัดสินใจ
ในเรื่องต่างๆ บกพร่อง และมีพฤติกรรมหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างชัดเจน
ความแตกต่างของโรคซึมเศร้า กับโรคเครียด
8
โรคซึมเศร้ากับโรคเครียดมีลักษณะอาการที่ใกล้เคียงกันได้ จนทาให้บางครั้งผู้ป่วยแยกไม่ออกว่าอาการที่เกิดขึ้นมา
จากความเครียดหรือโรคซึมเศร้ากันแน่ ซึ่งมีวิธีสังเกตความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 โรคจากอาการขั้นพื้นฐานดังต่อไปนี้
อาการจากความเครียด (Stress)
ความเครียดหรือโรคเครียด โดยทั่วไปจะเป็นเพียงอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้นๆ เท่านั้น ภาวะความเครียดธรรมดา
สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศทุกวัย โดยความเครียดที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระตุ้นร่างกายทั้งในแง่ดีและแง่ลบ ขึ้นอยู่
กับว่าเราสามารถรับมือกับความเครียดได้มากน้อยแค่ไหน อาการโดยทั่วไปของความเครียดคือ
 นอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับ
 กระสับกระส่าย กังวล หงุดหงิด อารมณ์เสีย
 รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง ไร้พลัง
 รู้สึกว่าปัญหาที่เข้ามาในชีวิตนั้นยุ่งยากเกินกว่าจะรับมือได้
 ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งต่างๆ ความจาสั้น
อาการจากโรคซึมเศร้า (Depression)
เมื่อเกิดความเครียดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากสาเหตุใดก็ตาม คุณจะสามารถแก้ปัญหาหรือผ่านพ้นความรู้สึกดังกล่าวไป
ได้ และไม่นานก็จะกลับมาเป็นปกติ ต่างจากโรคซึมเศร้าที่แม้จะพยายามดึงใจตัวเองกลับมาอย่างไรก็ไม่สามารถทาให้
รู้สึกดีขึ้น โดยมีอาการต่อเนื่องตั้งแต่เช้าจนเข้านอน ติดต่อกันมากกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งการปล่อยผ่านและละเลยโดยคิด
ว่าอาการที่พบเจอเป็นแค่ความเครียดนั้น นอกจากจะไม่ช่วยทาให้อาการดีขึ้นแล้ว ยังมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ คุณจึงควร
หมั่นสังเกตอาการของตัวเองให้ดี หากคาดว่าตนเองมีอาการเข้าข่ายโรคซึมเศร้าควรไปรับการตรวจรักษากับแพทย์
ทันที
หากคุณเคยเป็นโรคซึมเศร้า คุณจะมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้อีกครั้งในอนาคต โดยจากสถิติพบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของ
ผู้ป่วยที่หายจากการเป็นโรคซึมเศร้าในครั้งแรกนั้นกลับมาเป็นโรคนี้ได้อีก และกว่า 80% ของผู้ป่วยที่เคยเป็นโรค
ซึมเศร้ามาแล้ว 2 ครั้ง ยังกลับมาเป็นต่อได้ รวมทั้งรายงานจิตวิทยาคลินิกในปี 2007 กล่าวว่า 2 ใน 3 ของคนที่ฆ่าตัว
ตายมีอาการของโรคซึมเศร้า นอกจากนี้ จากแหล่งข้อมูลทางสุขภาพ A.D.A.M โรคซึมเศร้ายังสามารถส่งผลกระทบต่อ
ความสัมพันธ์ของผู้ป่วยและคนรอบข้าง ทาให้มีประสิทธิภาพในการทางานลดลง และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็น
โรคหัวใจ โรคอ้วน หัวใจวาย หรือส่งผลให้สภาพจิตใจย่าแย่ลงอย่างมากในผู้สูงอายุ
วิธีป้องกันโรคซึมเศร้า
หากสังเกตเห็นว่าตัวคุณเองหรือคนใกล้ตัวกาลังตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้า หรือทราบผลการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วว่า
เป็นโรคซึมเศร้าจริง คุณสามารถดูแลตัวเองหรือผู้ป่วยควบคู่ไปกับการบาบัดรักษา ตามคาแนะนาไปนี้
 หางานอดิเรกทา เช่น ทาอาหาร หรือต่อจิกซอว์ ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกสนุกนัก แต่กิจกรรมยามว่างเหล่านี้จะช่วย
สร้างสมาธิและทาให้สามารถจดจ่อกับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น
 ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในชีวิตประจาวัน ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามักรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและไม่มีความสามารถ การ
ตั้งเป้าหมายเล็กๆ จะช่วยสร้างกาลังใจให้แก่ผู้ป่วย
 ออกกาลังกาย การออกกาลังกายทาให้สารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ที่ช่วยให้รู้สึกมีความสุขหลั่งออกมา ทั้ง
ยังช่วยกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวมากขึ้นในระยะยาว โดยผู้ป่วยไม่จาเป็นต้องออกกาลังกายหรือเล่นกีฬาหนักๆ
แค่เดินออกกาลังสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ
 รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แม้จะรู้สึกเบื่ออาหาร แต่ผู้ป่วยก็ควรพยายามรับประทานอาหารที่สด
สะอาด และรับประทานให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและมีพลังงาน
 นอนพักผ่อนให้เพียงพอ แม้การนอนจะเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากมากในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า แต่การพักผ่อนให้
เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง จะช่วยให้ลืมความกังวลไปได้ชั่วขณะ และเมื่อตื่นขึ้นมาร่างกายและสมองก็จะ
มีความพร้อมต่อการทากิจกรรมในแต่ละวันมากขึ้น
การประเมินภาวะซึมเศร้าด้วยตัวเอง
9
ผู้ป่วยส่วนมากไม่แน่ใจว่าอาการผิดปกติที่ตัวเองกาลังเผชิญนั้นเกิดจากอะไร และมักเข้าใจผิดไปว่าอาการเหล่านั้นจะ
หายไปได้เอง การทาแบบประเมินภาวะซึมเศร้าด้วยตัวเองจะช่วยให้ผู้ป่วยซึมเศร้าเข้าถึงบริการตรวจรักษาได้เร็ว ลด
ความเสี่ยงในการเกิดโรคซึมเศร้าเรื้อรัง หรือโรคซึมเศร้ารุนแรงชนิดที่มีอาการทางจิตร่วมลงได้ ช่วยลดภาระในเรื่อง
ของเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา และสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้กลับมาเป็นปกติสุขได้โดยเร็ว
วิธีการประเมินภาวะซึมเศร้าด้วยตัวเองโดยใช้แบบประเมินภาวะซึมเศร้าของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้
ประเมินว่าคุณมีอาการเหล่านี้มากน้อยเพียงใดในช่วง 15 วันที่ผ่านมา
การทดสอบและวินิจฉัยโรคซึมเศร้า
แม้คุณจะสามารถประเมินอาการเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง แต่ว่าก็มีเพียงแพทย์เท่านั้นที่สามารถวินิจฉัยโรคซึมเศร้าได้
โดยแพทย์จะตรวจและทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากภาวะอื่นๆ ที่อาจทาให้มีอาการลักษณะนี้ได้
เช่นกัน เช่น ปัญหาต่อมไทรอยด์ เนื้องอกในสมอง ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ หรือภาวะวิตามินพร่อง ซึ่ง
จาเป็นต้องตรวจร่างกายและตรวจเลือด รวมถึงการพูดคุยเรื่องยา วิตามิน และอาหารเสริมทั้งหมดที่คุณใช้อยู่ เพราะ
สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุให้เกิดอาการคล้ายโรคซึมเศร้าได้ นอกจากนี้ แพทย์อาจถามคาถามเกี่ยวกับอารมณ์และ
ความรู้สึกของคุณเพื่อประเมินอาการ โดยใช้แบบสอบถามโรคซึมเศร้า
อ้างอิงจาก สมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา (American Psychiatric Association) คุณต้องมีอาการสอดคล้องกับ
เกณฑ์การวินิจฉัยจึงจะระบุได้ว่าเป็นโรคซึมเศร้า โดยมีอาการเข้าข่ายอย่างน้อย 5 ข้อ จาก 9 ข้อดังต่อไปนี้ เป็น
เวลานานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และอาการต่อไปนี้ต้องส่งผลต่อการทางานหรือชีวิตประจาวันของคุณ
 รู้สึกเศร้าหรือมีอารมณ์เศร้าเป็นส่วนใหญ่ของวัน
 หมดความสนใจหรือไม่รู้สึกสนุกกับสิ่งที่เคยรู้สึกสนใจ
 น้าหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
 นอนไม่หลับหรือนอนหลับมากเกินไป
 อ่อนเพลียหรือรู้สึกหมดพลังงาน
 กระสับกระส่ายหรือเชื่องช้า ทั้งการเคลื่อนไหว คาพูด และความคิด
 รู้สึกไร้ค่าและรู้สึกผิด
 มีปัญหาด้านการคิด การใช้สมาธิ และการตัดสินใจ
 มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องความตายหรือการฆ่าตัวตาย
ทั้งนี้ ภาวะซึมเศร้าในรูปแบบอื่นๆ อาจมีเกณฑ์การวินิจฉัยที่แตกต่างกันออกไปเนื่องจากอาการที่ต่างกัน
แนวทางการรักษาโรคซึมเศร้าอย่างถูกต้อง
โรคซึมเศร้าสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาและการทาจิตบาบัด ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการรักษาตั้งแต่เริ่มมี
อาการ ซึ่งระยะเวลาในการรักษาอาจใช้เวลานานตั้งแต่ 3-6 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและการให้
ความร่วมมือในการรักษาจากผู้ป่วยและญาติ
1. การรักษาโดยการใช้ยา
มียาหลากหลายชนิดด้วยกันที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าได้ โดยยาแก้โรคซึมเศร้าจะช่วยลดความกังวลและช่วยให้คุณหาย
จากอาการเศร้า แต่ยาชนิดนี้จะออกฤทธิ์ค่อนข้างช้า ผู้ป่วยจึงต้องรับประทานยาต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ กว่า
จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหรือมีอารมณ์ที่แจ่มใสขึ้น และมักจะต้องใช้ยาเป็นเวลานานถึง 4-6 สัปดาห์ ยาจึงจะออก
ฤทธิ์และแสดงผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ยาแก้ซึมเศร้ามีทั้งยาชนิดที่ทาให้ง่วงและไม่ทาให้ง่วง การใช้ยาจะไม่ทาให้เกิดการ
10
เสพติดแต่อย่างใด ผู้ป่วยจึงสามารถหยุดรับประทานยาได้เมื่ออาการเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
หยุดยาทุกครั้ง
ยารักษาภาวะซึมเศร้า (Depression Medications)
ข้อมูลจากองค์กรพันธมิตรผู้ป่วยโรคทางจิตแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (The National Alliance on Mental
Illness: NAMI) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า ดังนี้
1. Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs)
เป็นกลุ่มยาลดอาการซึมเศร้าที่แพทย์นิยมใช้มากที่สุด ยาเหล่านี้จะช่วยบรรเทาภาวะซึมเศร้าโดยทาให้มีปริมาณสาร
สื่อประสาทเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมองมากขึ้น
SSRIs ที่ใช้กันมากที่สุด คือ
 ฟลูออกซิทีน (Fluoxetine)
 เซอร์ทราลีน (Sertraline)
 เอสซิตาโลแพรม (Escitalopram)
 พาร็อกซีทีน (Paroxetine)
 ไซตาโลแพรม (Citalopram)
ผลข้างเคียงที่พบโดยทั่วไปของ SSRIs ได้แก่
 เกิดความผิดปกติทางเพศ
 มีปัญหาด้านระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ ท้องผูก และท้องร่วง
 ปากแห้ง
 นอนไม่หลับ
 ปวดหัว
 วิตกกังวลหรือกระวนกระวายใจ
 น้าหนักเพิ่มขึ้น
 เหงื่อออก
2. Serotonin and Norepinephrine reuptake inhibitors (SNRIs)
เป็นกลุ่มยาลดอาการซึมเศร้าที่นิยมใช้รองลงมา ยานี้จะช่วยยับยั้งการดูดซึมกลับของเซโรโทนิน (Serotonin) และ
นอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) ทาให้มีปริมาณสารสองตัวนี้ในสมองเพิ่มมากขึ้น
ตัวอย่างยากลุ่ม SNRIs:
 เวนลาฟาซีน (Venlafaxine)
 เดสเวนลาฟาซีน (Desvenlafaxine)
 ดูล็อกซีทีน (Duloxetine)
 ลีโวมิลนาซิแพรน (Levomilnacipran)
 มิลนาซิแพรน (Milnacipran) ยานี้เป็นยาในกลุ่ม SNRI แต่ใช้เพื่อรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืดไฟ
โบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) แทนภาวะซึมเศร้า
ยาเหล่านี้อาจทาให้เกิดผลข้างเคียงคล้ายคลึงกับยา SSRIs รวมทั้งอาจทาให้รู้สึกเมื่อยล้าและมีอาการปัสสาวะขัด
3. Norepinephrine-dopamine reuptake inhibitor (NDRI)
11
ยานี้จะยับยั้งการดูดซึมกลับของสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) 2 ตัว คือ โดปามีน (Dopamine) และนอร์อิพิ
เนฟริน ตัวอย่างของยากลุ่มนี้ คือยา Bupropion มีผลข้างเคียงคล้ายกับยากลุ่ม SSRIs และ SNRIs ยานี้เสี่ยงทาให้
เกิดความผิดปกติทางเพศน้อยกว่ายากลุ่มอื่นๆ แต่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการชักได้
4. Tricyclics
Tricyclic antidepressants (Tricyclics: TCAs) เป็นกลุ่มยาที่ใช้กันมานาน มีฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมกลับของสารเซโร
โทนินและสารนอร์อิพิเนฟริน ปัจจุบันมีการนายากลุ่มนี้มาใช้น้อยลง เพราะก่อให้เกิดผลข้างเคียงมากและร้ายแรง โดย
จะใช้ยากลุ่มนี้เมื่อใช้ยาตัวอื่นแล้วไม่ได้ผลเท่านั้น
ตัวอย่างของยากลุ่ม TCAs ได้แก่ :
 อะมิทริปไทลีน (Amitriptyline)
 เดซิพรามีน (Desipramine)
 ด็อกเซปิน (Doxepin)
 อิมิพรามีน (Imipramine)
 นอร์ทริปไทลีน (Nortriptyline)
 โพรทริปไทลีน (Protriptyline)
ผลข้างเคียงที่ร้ายแรงบางอย่างที่อาจเกิดจากการใช้ TCAs ได้แก่:
 มองเห็นภาพซ้อน
 หัวใจเต้นผิดปกติ
 มีอาการสั่น
 มีอาการชัก
 ผู้สูงอายุที่ใช้ยานี้อาจมีอาการหรือความคิดสับสน
5. Monoamine oxidase inhibitors (MAOIs)
Monoamine oxidase inhibitors (MAOIs) สามารถยับยั้งเอนไซม์ Monoamine oxidase ที่หยุดการทางานของ
สารสื่อประสาทต่างๆ รวมถึงสารเซโรโทนินและสารนอร์อิพิเนฟรินในสมอง
ตัวอย่างยากลุ่ม MAOIs ได้แก่ :
 ฟีเนลซีน (Phenelzine)
 ไอโซคาร์บอกซาซิด (Isocarboxazid)
 ทรานิลไซโปรมีน (Tranylcypromine sulfate)
 เซเลกิลีน (Selegiline) เป็นยาที่พัฒนาล่าสุด อยู่ในรูปแบบแผ่นแปะ มีผลข้างเคียงน้อยกว่ายา MAOI ชนิด
อื่น ๆ
ยากลุ่ม MAOIs ก็ถูกนามาใช้น้อยลงเนื่องจากมีผลข้างเคียงและทาปฏิกิริยากับสารอื่นค่อนข้างมาก เช่น หากคุณกิน
อาหารที่มีสารประกอบไทรามีน (Tyramine) จานวนมาก ซึ่งมักพบในชีส ผักดอง และไวน์แดง พร้อมกับยากลุ่ม
MAOIs อาจทาให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูงรุนแรงที่อาจนาไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
หากคุณใช้ยากลุ่ม MAOI ร่วมกับยาคุมกาเนิด ยาแก้ปวดบางชนิด ยารักษาภูมิแพ้ ยาแก้หวัด และสมุนไพรบางชนิด ก็
อาจทาให้มีความดันโลหิตสูงรุนแรงได้เช่นกัน นอกจากนี้ การใช้ยา MAOI ร่วมกับยา SSRI ยังอาจทาให้เกิดภาวะเซโร
โทนินซินโดรม (Serotonin syndrome) ซึ่งในกรณีที่รุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
12
***เพิ่มเติม : Serotonin syndrome เกิดจากการทางานของระบบเซโรโทนิน (Serotonin) ในระบบประสาท
ส่วนกลางทางานมากผิดปกติ ซึ่งทาให้เกิดอาการผิดปกติทั้ง mental status, ระบบ neuromuscular, ระบบ
autonomic ที่ทางานผิดปกติไป***
6. ยาอื่น ๆ
ยาที่ใช้รักษาภาวะซึมเศร้าตัวอื่น ๆ ที่ไม่สามารถจัดเข้ากลุ่มข้างต้น ได้แก่
 ทราโซโดน (Trazadone)
 เนฟาโซโดน (Nefazodone)
 เมอร์ทาซาปีน (Mirtazapine)
 อาริพิพราโซล (Aripiprazole)
 คิวไทอาปีน (Quetiapine)
 วิลาโซโดน (Vilazodone)
 วอร์ทิออกซีทีน (Vortioxetine)
2. การรักษาโดยการทาจิตบาบัด
การรักษาวิธีนี้เป็นการเปลี่ยนความคิดเพื่อพิชิตความเศร้า รวมถึงเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น เพราะผู้ป่วยที่มี
อารมณ์เศร้ามักมองโลกในแง่ร้าย ซึ่งจะเป็นวัฏจักรที่จะทาให้ภาวะซึมเศร้านั้นอยู่กับตัวผู้ป่วยเป็นเวลานาน แพทย์จะ
ค่อยๆ พูดคุยและบอกผู้ป่วยให้หยุดเศร้าสักประเดี๋ยว แล้วให้ย้อนกลับไปคิดว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น มีความคิดอะไร
แวบเข้ามาในหัวบ้าง จากนั้นให้ลองพิจารณาดูว่าความคิดนั้นถูกต้องแค่ไหน หากคิดว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่
อารมณ์จะดีขึ้นทันที อย่างน้อยก็จะทาให้ผู้ป่วยมองโลกในแง่ดีจนกว่าจะเผลอไปคิดในแง่ร้ายอีกครั้ง
โรคซึมเศร้านั้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากหลายๆ ปัจจัยร่วมกัน การใช้จิตบาบัดหรือการ
บาบัดด้วยการพูดคุยถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้และรับมือกับปัจจัยด้านจิตใจ พฤติกรรม ปฏิสัมพันธ์กับ
ผู้คน และปัจจัยภาวะแวดล้อมซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า โดยโรคซึมเศร้าต่างรูปแบบกันก็มีเป้าหมายการรักษาและ
วิธีช่วยเหลือผู้ป่วยต่างกันไปด้วย เช่น
 หาว่ามีปัญหาอะไรในชีวิตที่ส่งผลต่อโรคซึมเศร้าหรือทาให้โรคซึมเศร้าแย่ลง
 หาว่าความคิดหรือความเชื่อในทางลบหรือผิดจากความเป็นจริงที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกที่ซึมเศร้าหรือไม่
เช่น ความรู้สึกสิ้นหวัง และความรู้สึกที่หมดหนทาง
 ฝึกการรับมือกับความเครียดและช่วยให้แก้ปัญหาได้ดีขึ้น
 พิจารณาปัญหาในความสัมพันธ์ และแนะนาวิธีสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
 ตั้งเป้าหมายชีวิตที่เป็นไปได้และวางแผนการดูแลตนเอง
 เปลี่ยนมุมมองเพื่อเพิ่มความพึงพอใจในการใช้ชีวิต
 เรียนรู้และทาความเข้าใจเหตุการณ์ที่เจ็บปวดในอดีต
การทาจิตบาบัดมี 2 รูปแบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด ดังนี้
พฤติกรรมและความคิดบาบัด (Cognitive behavioral therapy: CBT) ซึ่งเป็นการบาบัดโดยพยายามช่วยให้ผู้ป่วย
ซึมเศร้าเห็นถึงความคิดและความเชื่อในทางลบของตัวเอง และเปลี่ยนความคิดและความเชื่อเหล่านั้นไปในทางบวก
การบาบัดรูปแบบนี้มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคความเจ็บป่วยทางจิตใจได้หลายประเภท โดยผู้ที่เข้าร่วมจิตบาบัด
มักจะได้รับการบ้านให้กลับไปทา เช่น ให้บันทึกความคิดด้านลบที่เกิดขึ้นกับสิ่งต่างๆ เป็นต้น
13
ปฏิสัมพันธ์บาบัด (Interpersonal therapy) เป็นการบาบัดที่มุ่งไปที่การทาความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
การหาสาเหตุปัญหาความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น และพัฒนาทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยค้นพบ
รูปแบบวิถีชีวิตและพฤติกรรมทางสังคมในเชิงลบของตนเอง เช่น การแยกตัวจากสังคมและความก้าวร้าว และช่วยฝึก
ให้โต้ตอบกับคนอื่นได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ สถาบันสุขภาพจิตแห่งสหรัฐอเมริกา (National Institute of Mental Health) ระบุว่าการทาจิตบาบัดเพียง
อย่างเดียวอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสาหรับผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าที่มีอาการรุนแรงเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่อาจไม่
เพียงพอสาหรับผู้ที่มีอาการซึมเศร้ารุนแรง
3. การรักษาด้วยการกระตุ้นสมอง
หากการจิตบาบัดและการใช้ยาไม่ได้ผล จิตแพทย์อาจแนะนาให้ใช้การบาบัดด้วยการกระตุ้นสมองด้วยวิธีต่างๆ
ต่อไปนี้
3.1 การบาบัดด้วยการช็อตไฟฟ้า (Electroconvulsive therapy: ECT) วิธีนี้มีใช้มานานมากแล้ว โดยใช้ครั้งแรกใน
ปี 1940 เป็นการบาบัดโดยใช้กระแสไฟฟ้าปล่อยผ่านสมองขณะที่ดมยาสลบอยู่ การรักษานี้จะส่งผลต่อเซลล์ประสาท
และสารเคมีในสมอง ตามข้อมูลจากองค์กรพันธมิตรผู้ป่วยโรคทางจิตแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยส่วนใหญ่
จะต้องรักษา 4-6 ครั้ง กว่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน การช็อตไฟฟ้านี้จะมีผลข้างเคียงชั่วคราว
ได้แก่ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ สับสน ความจาเสื่อม และอาจทาให้มีอาการชักช่วงสั้นๆ ในระหว่างการทา ซึ่ง
สามารถควบคุมอาการได้
3.2 การกระตุ้มสมองด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า แพทย์อาจกระตุ้นสมองและเซลล์ประสาทด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
(Transcranial magnetic stimulation: TMS) แทนการใช้กระแสไฟฟ้า การรักษานี้ไม่ต้องดมยาสลบ และจะเน้น
กระตุ้นที่บริเวณของสมองที่เกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ ผลข้างเคียงจากการกระตุ้นสมองด้วยแม่เหล็กนั้น ได้แก่
กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก ปวดหัวหรือเวียนหัว และอาจมีอาการชัก หากผู้ป่วยมีประวัติชักมาก่อน
3.3 การกระตุ้นเส้นประสาทวากัส (vagus nerve) สาหรับโรคซึมเศร้าเรื้อรังหรือโรคซึมเศร้าที่ไม่ตอบสนองต่อการ
บาบัดด้วยการช็อตไฟฟ้าหรือการกระตุ้นสมองด้วยแม่เหล็กนั้น การกระตุ้นเส้นประสาทวากัส (Vagus nerve
stimulation: VNS) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ทาโดยใช้อุปกรณ์ฝังเข้าไปเพื่อกระตุ้นเส้นประสาทวากัสด้วย
สัญญาณไฟฟ้า ซึ่งเส้นประสาทนี้จะทาหน้าที่ส่งกระแสประสาทไปส่วนของสมองที่ควบคุมอารมณ์และการนอนหลับ
ตลอดทั้งวัน และถือเป็นเครื่องมือที่คอยสร้างจังหวะให้กับสมอง การรักษาวิธีนี้อาจมีผลข้างเคียงเฉพาะที่ เช่น ปวดคอ
ปัญหาการหายใจระหว่างออกกาลังกาย และปัญหาเกี่ยวกับช่องปาก เช่น กลืนลาบาก ไอ และรู้สึกปวด
4. การใช้ธรรมชาติบาบัด
มีการใช้ธรรมชาติบาบัดหลายๆ วิธี ที่อาจช่วยรักษาโรคซึมเศร้าเมื่อใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่น เช่น
 การออกกาลังกายเพื่อช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่กระตุ้นอารมณ์ให้แจ่มใส
 การเล่นโยคะ การทาสมาธิ และการฝึกจิตอื่นๆ เพื่อช่วยลดความเครียดและบรรเทาอารมณ์เชิงลบ
 การนวดเพื่อช่วยลดฮอร์โมนความเครียด และเพิ่มสารสื่อประสาทที่ช่วยให้อารมณ์คงที่
 การฝังเข็ม ซึ่งอาจส่งผลดีต่อสารสื่อประสาท
อาหารเสริมบางชนิด เช่น โฟเลต (folate) เอสเอเอ็มอี (SAMe) หรือเอส-อะดีโนซิล-แอล-เมทไธโอนีน (S-Adenosyl-
L-Methionine) และหญ้าเซนต์จอห์นเวิร์ธ (St. John's wort) อาจช่วยรักษาโรคซึมเศร้า แต่ก็ยังต้องมีการวิจัย
เพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ผลในการรักษา ดังนั้น ก่อนเริ่มลองใช้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
14
ข้อควรปฏิบัติเมื่อป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
 ไม่ควรตั้งเป้าหมายในการทางานมากเกินไป และไม่ควรรับผิดชอบทุกอย่างจนเกินความสามารถของตัวเอง
 ควรแยกแยะปัญหาใหญ่ๆ ให้เป็นส่วนย่อย แล้วค่อยๆ เรียบเรียงลาดับความสาคัญก่อนหลังเพื่อลงมือแก้ไข
ไปทีละอย่าง
 ห้ามบังคับตัวเองหรือตั้งเป้าหมายกับตัวเองสูงเกินไป เพราะนั่นจะยิ่งเป็นการเพิ่มความกดดันและเสี่ยงต่อ
ความล้มเหลวในภายหลัง
 หมั่นหากิจกรรมที่ชอบและทาให้ตัวเองรู้สึกดีมาทาบ่อยๆ เพื่อให้รู้สึกเพลิดเพลินและมีชีวิตชีวามากขึ้น
 ไม่ควรตาหนิตัวเอง เมื่อไม่สามารถทาอะไรบางอย่างให้สาเร็จได้ตามที่วางแผนไว้ ควรรู้จักให้อภัยตัวเองและ
ให้โอกาสตัวเองได้เริ่มต้นใหม่
การปล่อยปละละเลยและไม่ได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิด นอกจากจะทาให้อาการของโรคซึมเศร้ายิ่งรุนแรงขึ้นแล้ว ยัง
อาจส่งผลเสียต่อชีวิต ทรัพย์สิน และคนรอบข้างได้ เพราะผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้ามักไม่มีสติอยู่กับตัว มักทาอะไรลงไป
โดยไม่ค่อยมีสติ ไม่รู้ตัว ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียใดๆ จึงควรให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดี
ที่สุด
เป็นโรคซึมเศร้า ควรรับประทานวิตามินเสริมหรือไม่?
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าบางคนจาเป็นต้องรับประทานวิตามินเสริมด้วย เนื่องจากมีการขาดวิตามินหลายชนิดที่อาจทาให้เกิด
อาการซึมเศร้าได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณมีอาการของโรคซึมเศร้า ควรขอความช่วยเหลือจากแพทย์หรือนักจิตบาบัด
ก่อนเริ่มรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมใดๆ ด้วยตนเอง
มาดูกันว่ามีวิตามินอะไรบ้างที่เมื่อร่างกายได้รับไม่เพียงพอจะมีความเกี่ยวข้องกับอาการซึมเศร้า
วิตามินบีรวม
วิตามินบีรวมเป็นวิตามินที่จาเป็นต่อสุขภาพจิตและอารมณ์ วิตามินชนิดนี้สามารถละลายในน้าและไม่สามารถเก็บ
สะสมไว้ในร่างกายได้ ดังนั้น ร่างกายจึงต้องการวิตามินบีเพิ่มในแต่ละวัน โดยปริมาณวิตามินบีในร่างกายอาจลดลง
จากการดื่มแอลกอฮอล์ น้าตาล นิโคติน หรือคาเฟอีน หากคุณกาลังรับประทานอาหารพวกนี้ในปริมาณมากอาจทาให้
คุณอาจขาดวิตามินบีได้
วิตามินบีหลายชนิดมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคซึมเศร้า ดังนี้
วิตามินบี 1 (Thiamine): สมองใช้วิตามินตัวนี้ในการเปลี่ยนน้าตาลกลูโคสหรือน้าตาลในเลือดมาเป็นพลังงาน ดังนั้น
หากมีปริมาณวิตามินตัวนี้ไม่เพียงพอ จะทาให้สมองไม่มีพลังงาน การขาดชนิดนี้พบได้ไม่บ่อย แต่อาจเกิดร่วมกับการ
ติดแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจนาไปสู่ความผิดปกติทางจิตหรือระบบประสาทได้
วิตามินบี 3 (Niacin): การขาดวิตามินนี้จะทาให้เกิดโรคหนังกระ (Pellagra) ซึ่งเป็นโรคที่ทาให้เกิดอาการทางจิต
และความจาเสื่อม โดยอาการกระวนกระวายและวิตกกังวล รวมถึงมีการทางานของสมองและร่างกายที่ช้าลงได้
อย่างไรก็ตาม อาหารที่มีขายอยู่ในปัจจุบันมักมีส่วนประกอบของ Niacin ทาให้โรคขาดวิตามินชนิดนี้พบได้น้อยมากใน
ปัจจุบัน
วิตามินบี 5 (Pantothenic acid): การขาดวิตามินตัวนี้อาจทาให้เกิดอาการอ่อนเพลียและซึมเศร้าได้ แต่ก็พบได้
น้อย
วิตามินบี 6 (Pyridoxine): วิตามินตัวนี้ช่วยในการสร้างกรดอะมิโนซึ่งจาเป็นต่อการสร้างโปรตีนและฮอร์โมนใน
ร่างกาย โดยเฉพาะเซโรโทนิน เมลานิน และโดปามีน การขาดวิตามินนี้อาจทาให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีแผลที่ผิวหนัง
และมีอาการสับสนได้ คนที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินชนิดนี้คือกลุ่มคนที่ติดแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยโรคไตวาย และผู้หญิงที่
2562 final-project 45-ver2 (1)
2562 final-project 45-ver2 (1)
2562 final-project 45-ver2 (1)
2562 final-project 45-ver2 (1)

More Related Content

What's hot

กิจกรรมที่5
กิจกรรมที่5กิจกรรมที่5
กิจกรรมที่5Manop Amphonyothin
 
ใบงานสำรวจตนเอง M6
ใบงานสำรวจตนเอง M6ใบงานสำรวจตนเอง M6
ใบงานสำรวจตนเอง M6Bai-yok Chanidapa
 
โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์
โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์
โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์Pack Matapong
 
เลี้ยงลูกเจนฯ อัลฟ่าให้ฉลาดและมีความสุข
เลี้ยงลูกเจนฯ อัลฟ่าให้ฉลาดและมีความสุขเลี้ยงลูกเจนฯ อัลฟ่าให้ฉลาดและมีความสุข
เลี้ยงลูกเจนฯ อัลฟ่าให้ฉลาดและมีความสุขCanned Pumpui
 

What's hot (6)

Punisa
PunisaPunisa
Punisa
 
กิจกรรมที่5
กิจกรรมที่5กิจกรรมที่5
กิจกรรมที่5
 
ใบงานสำรวจตนเอง M6
ใบงานสำรวจตนเอง M6ใบงานสำรวจตนเอง M6
ใบงานสำรวจตนเอง M6
 
Comm 1-final
Comm 1-finalComm 1-final
Comm 1-final
 
โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์
โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์
โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์
 
เลี้ยงลูกเจนฯ อัลฟ่าให้ฉลาดและมีความสุข
เลี้ยงลูกเจนฯ อัลฟ่าให้ฉลาดและมีความสุขเลี้ยงลูกเจนฯ อัลฟ่าให้ฉลาดและมีความสุข
เลี้ยงลูกเจนฯ อัลฟ่าให้ฉลาดและมีความสุข
 

Similar to 2562 final-project 45-ver2 (1)

Similar to 2562 final-project 45-ver2 (1) (20)

กิจกรรมที่ 1 โครงร่างโครงงาน
กิจกรรมที่ 1 โครงร่างโครงงานกิจกรรมที่ 1 โครงร่างโครงงาน
กิจกรรมที่ 1 โครงร่างโครงงาน
 
Philophobia
PhilophobiaPhilophobia
Philophobia
 
Addictsocial
AddictsocialAddictsocial
Addictsocial
 
โรคซึมเศร้าแก้ไข
โรคซึมเศร้าแก้ไขโรคซึมเศร้าแก้ไข
โรคซึมเศร้าแก้ไข
 
2562 final-project 24-jaruwan
2562 final-project 24-jaruwan2562 final-project 24-jaruwan
2562 final-project 24-jaruwan
 
โครงงาน
โครงงานโครงงาน
โครงงาน
 
W.111
W.111W.111
W.111
 
2562 final-project -warun
2562 final-project -warun2562 final-project -warun
2562 final-project -warun
 
W.1
W.1W.1
W.1
 
2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
Work1
Work1Work1
Work1
 
2562 final-project
2562 final-project  2562 final-project
2562 final-project
 
Final project
Final projectFinal project
Final project
 
กิจกรรมที่1 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
กิจกรรมที่1 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์กิจกรรมที่1 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
กิจกรรมที่1 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
2562 final-project
2562 final-project 2562 final-project
2562 final-project
 
W.1
W.1W.1
W.1
 
Ngan ku krongrang1
Ngan ku krongrang1Ngan ku krongrang1
Ngan ku krongrang1
 
Ngan ku krongrang1
Ngan ku krongrang1Ngan ku krongrang1
Ngan ku krongrang1
 

2562 final-project 45-ver2 (1)

  • 1. 1 แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5 ปีการศึกษา 2562 ชื่อโครงงาน ทาไมคนสมัยนี้ถึงนิยมเป็นโรคซึมเศร้า ชื่อผู้ทาโครงงาน ชื่อ นางสาวธนัชดา ทองนาค เลขที่ 45 ชั้น ม.6 ห้อง 5 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34 ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
  • 2. 2 สมาชิกในกลุ่ม 1. นางสาวธนัชดา ทองนาค เลขที่ 45 คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้ ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) ทาไมคนสมัยนี้ถึงนิยมเป็นโรคซึมเศร้า ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) Depression anxiety ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวธนัชดา ทองนาค ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62 ที่มาและความสาคัญของโครงงาน เนื่องจากในยุคปัจจุบัน ปัญหาภาวะซึมเศร้าเป็นปัญหาที่พบมากในสังคม จากการสารวจพบว่ามีประชากรใน ประเทศไทยเป็นจานวนมากที่กาลังประสบกับปัญหานี้ คนในยุคปัจจุบันค่อนข้างกดดัน มีภูมิต้านทานทางด้านอารมณ์ น้อย และมีอัตราการฆ่าตัวตายมากขึ้นจากในอดีต ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลากหลายปัจจัย ยกตัวอย่างเช่น ความเครียด ในด้านการเรียน คะแนนสอบออกมาไม่ดีเท่าที่หวัง เครียดเรื่องการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา การพบเจอปัญหา ในที่ทางาน ต้องอยู่ในสภาวะ ที่กดดัน อัตราการแข่งขันในสังคมทีสูง ซึ่งหากลองพิจารณาแล้วก็พบว่า อัตราการ แข่งขันในสังคมยุคปัจจุบันทีมีอัตราการแข่งขันที่สูงมากรวมถึงลักษณะของครอบครัวยุคใหม่ที่ส่วนใหญ่จะเป็น ครอบครัวขนาดเล็ก พ่อแม่ผู้ปกครองค่อนข้างเคี่ยวเข็ญ และกดดันลูกหลาน ให้เผชิญกับสภาพการใช้ชีวิตแบบกดดัน และไม่ค่อยมีเวลาได้ทากิจกรรมอื่น ๆ นอกจากเรียน และแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนหรือแม้แต่เวลานอน จากที่กล่าวมา ข้างต้นนี้ เป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทาให้เกิดภาวะเครียด ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเป็นโรคซึมเศร้า ผู้จัดทาโครงงานจึง ได้เล็งเห็นปัญหานี้ และได้ศึกษาข้อมูลและทฤษฎี ที่สามารถลดจานวนของประชากรที่เป็นโรคซึมเศร้า และแนวทาง การอยู่ร่วมกับบุคคลที่ประสบปัญหานี้ หรือมีแนวโน้มทีจะเป็น และได้จัดทาโครงงานนี้ขึ้นมา เพื่อศึกษาและเป็น แนวทางในการแก้ปัญหาโรคซึมเศร้าต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาข้อมูลของโรคซึมเศร้า 2. เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคซึมเศร้าในสังคม 3. เพื่อเป็นแนวทางในการรักษา และการอยู่ร่วมกันกับบุคคลที่ประสบปัญหานี้ ขอบเขตโครงงาน ขอบเขตด้านการวิจัยเรื่อง “ทาไมคนสมัยนี้ถึงนิยมเป็นโรคซึมเศร้า” เป็นการวิจัยเพื่อการศึกษา โดยค้นคว้า จากเอกสารทางการแพทย์ จิตวิทยา และทางอินเทอร์เน็ต จากแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้แก่ หนังสือ ตารา บทความ
  • 3. 3 เอกสาร วารสาร รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ เป็นต้น เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทาสื่อเพื่อการศึกษา ตามกรอบ แนวคิดทางการวิจัยที่กาหนดไว้ ขอบเขตด้านประชากร ข้อมูลที่ใช้การศึกษาเป็นข้อมูลปฐมภูมิที่ได้จากการสัมภาษณ์ คนรอบข้างของผู้จัดทาโครงงาน ทั้งกลุ่มบุคคลทั่วไป ไม่มีภาวะเสี่ยง กลุ่มที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า และ กลุ่มที่เป็นโรคซึมเศร้าและกาลังอยู่ในกระบวนการของการรักษา มีขอบเขตด้านระยะเวลา ภาคเรียนที่ 1-2 ปี การศึกษา 62 หลักการและทฤษฎี ทาความรู้จักโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้าส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และความคิด โดยอาการเหล่านี้จะส่งผลกระทบ ต่อการดาเนินชีวิตในแต่ละวันอย่างมาก เช่น รับประทานอาหารได้น้อยลง เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ สิ้นหวัง หดหู่ รู้สึก ว่าตัวเองไม่มีความสุขกับชีวิต วิตกกังวลตลอดเวลา และที่สาคัญคือผู้ป่วยจะไม่สามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่ต้อง เผชิญได้ดีพอ โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชที่พบได้บ่อยที่สุด โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า มีประชากรทั่วโลกป่วยเป็น โรคซึมเศร้าประมาณ 350 ล้านคน ซึ่งวัฒนธรรมที่แตกต่างกันก็มีผลต่ออัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าได้ โดยตามรายงาน ประจาปี 2553 ของวารสารประจาปีด้านสาธารณสุข (The Journal Annual Review of Public Health) กล่าวว่า อัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าของทุกเพศทุกวัยในญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 2.2% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่า ในขณะที่บราซิลนั้นมีอัตรา การเกิดภาวะซึมเศร้าสูงถีง 10.4% ส่วนในประเทศไทยนั้น โรคซึมเศร้าถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาด้านสุขภาพที่มีความสาคัญและน่าเป็นห่วงอย่างมาก โดย สังเกตได้จากสังคมในปัจจุบันนี้ที่มักมีข่าวเกี่ยวกับปัญหาการฆ่าตัวตาย รวมทั้งปัญหาการทาร้ายร่างกายตัวเองและคน รอบข้าง ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้นับเป็นเรื่องที่น่าสลดใจไม่น้อยทีเดียว ตามรายงานจิตวิทยาคลินิก ปี 2007 พบว่า  50% ของผู้ที่ฟื้นตัวจากภาวะซึมเศร้าในครั้งแรก มักมีภาวะซึมเศร้าซ้าอีกหนึ่งครั้งหรือมากกว่านั้น  80% ของคนที่เคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้า มีภาวะซึมเศร้าเกิดขึ้นถึงสองครั้ง โรคซึมเศร้ามีสาเหตุและปัจจัยที่หลากหลาย ทั้งด้านจิตใจ สภาพสังคม และความผิดปกติด้านชีววิทยาที่เกิดขึ้นกับ ร่างกายของผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นการประสบปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัว การงาน การเงิน หรือการเผชิญความล้มเหลว หรือสูญเสียในชีวิตอย่างรุนแรง ทุกปัญหานั้นล้วนเป็นสาเหตุที่นาไปสู่การเกิดโรคซึมเศร้าได้ทั้งสิ้น สาเหตุของโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้าไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเป็นผลมาจากหลายๆ ปัจจัยด้วยกัน ดังนี้  ความผิดปกติของสารเคมีภายในสมอง สารเคมีในสมองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็น ได้ชัด โดยมีสารเคมีที่มีชื่อว่าเซโรโทนิน (Serotonin) และนอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) ลดน้อยลง จากเดิม ทาให้สมดุลของสารเหล่านี้เปลี่ยนไปและเกิดความบกพร่องในการทางานร่วมกัน  กรรมพันธ์ุ หากคนในครอบครัวของคุณ เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เคยป่วยด้วยโรคซึมเศร้ามาก่อน คุณก็อาจมี ความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน  การเผชิญเรื่องเครียด เช่น เจอมรสุมชีวิตโดยไม่ทันได้ตั้งตัว หมดกาลังใจในการรักษาอาการเจ็บป่วยที่เรื้อรัง หรือรุนแรงถึงชีวิต ตกงาน มีปัญหาเรื่องการเงินที่หาทางออกไม่ได้ มีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับคน ใกล้ชิด ถูกใช้ความรุนแรงหรือถูกล่วงละเมิดในวัยเด็ก รวมทั้งการพบเจอกับความสูญเสียในชีวิตที่ทาให้เสียใจ เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียพ่อแม่ในขณะที่ยังอยู่ในช่วงวัยเด็ก สูญเสียคนรัก หรือสูญเสีย ครอบครัว  ลักษณะนิสัย คนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองต่าหรือสูงมากเกินไป มองโลกในแง่ร้าย หรือชอบตาหนิกล่าวโทษ ตนเอง มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าคนที่มองโลกในแง่บวกและเห็นคุณค่าในตนเอง
  • 4. 4  การดื่มแอลกอฮอล์และการใช้สารเสพติด การพึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสารเสพติดเพื่อให้ลืมความเสียใจ และความเครียดจากเรื่องต่างๆ ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่กลับทาให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมาได้ด้วย  การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนจากภาวะตั้งครรภ์ หรือภาวะต่อมไทรอยด์ผิดปกติ โรคซึมเศร้าเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่พบว่าคนที่มีอายุระหว่าง 18-25 ปี มีแนวโน้มเกิดภาวะซึมเศร้ามากกว่า คนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ถึงร้อยละ 60 และผู้หญิงจะมีแนวโน้มเกิดภาวะซึมเศร้ามากกว่าผู้ชาย ชนิดของโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้าแบ่งออกเป็น 3 ชนิดด้วยกัน ซึ่งแต่ละชนิดมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปดังนี้ 1. Major Depression (โรคซึมเศร้าแบบรุนแรง)โรคซึมเศร้าชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อภาวะซึมเศร้ารบกวนความสุขในชีวิต การทางาน การเรียน การนอนหลับ นิสัยการกิน และอารมณ์สุนทรีย์ ติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ บางคนอาจ แสดงอาการของภาวะซึมเศร้าเพียงแค่หนึ่งอย่างก็ได้ ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นเป็นครั้งๆ แล้วหายไป แต่ก็สามารถเกิดได้ บ่อยครั้งเช่นกัน 2. Dysthymia หรือ Persistent Depressive Disorder (โรคซึมเศร้าเรื้อรัง)เป็นโรคซึมเศร้าแบบเรื้อรังที่มี อาการทางอารมณ์ไม่รุนแรงนัก แต่จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี และมีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 2 อาการร่วม ด้วย  รับประทานอาหารได้น้อยลงหรือมากขึ้น  นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป  อ่อนเพลีย ไม่มีแรง  รู้สึกว่าคุณค่าในตัวเองต่า  ไม่มีสมาธิ หรือตัดสินใจอะไรได้ลาบาก  รู้สึกสิ้นหวัง ตามเกณฑ์การวินิจฉัยจากคู่มือการวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตที่จัดทาโดยสมาคมจิตเวชศาสตร์ สหรัฐอเมริกา (DSM-V) ในบางช่วงเวลาของภาวะซึมเศร้าประเภทนี้ผู้ป่วยอาจมีภาวะ Major depression ร่วมด้วย ซึ่งจะรบกวนการดารง ชีวิตประจาวัน ทั้งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทางานของผู้ป่วยและทาให้เกิดความรู้สึกแย่ได้ 3. Bipolar หรือ Manic-depressive Illness (โรคซึมเศร้าอารมณ์สองขั้ว)ผู้มีภาวะซึมเศร้าบางคนอาจมีอาการ ผิดปกติแบบอารมณ์สองขั้ว (Bipolar disorder) ร่วมด้วย โรคซึมเศร้าชนิดนี้จะทาให้ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงทางด้าน อารมณ์ โดยมีอารมณ์แปรปรวนรุนแรงสลับไปมาระหว่างอารมณ์ดีผิดปกติ (Mania) ที่เป็นช่วงอารมณ์สนุกคึกคักเกิน เหตุ พูดมากกว่าที่เคยเป็น กระฉับกระเฉงกว่าปกติ มีพลังงานในร่างกายเหลือเฟือ กับช่วงภาวะ ซึมเศร้า (Depression) ซึ่งโดยมากจะมีอาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ในบางคนก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่าง รวดเร็ว ในช่วงอารมณ์ดีผิดปกตินั้น อาการที่เกิดขึ้นอาจมีผลกระทบต่อความคิดและการตัดสินใจของผู้ป่วย รวมทั้ง อาจทาให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมหลงผิด หากผู้ป่วยในภาวะนี้ไม่ได้รับการรักษาจะทาให้กลายเป็นโรคจิตเภทได้ ประเภทของภาวะซึมเศร้าอื่นๆ ที่ได้การยอมรับทางการแพทย์ มีดังนี้ 1. Postpartum Depression (โรคซึมเศร้าหลังคลอดบุตร) หลังคลอดบุตร คุณแม่บางคนอาจมีอาการซึมเศร้าที่ รุนแรงและใช้เวลานานกว่าจะกลับมาเป็นปกติ ภาวะซึมเศร้าที่คุณแม่มือใหม่มักเผชิญหลังคลอดนี้จะเรียกว่า "Baby blues" 2. Seasonal Affective Disorder หรือ SAD (โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล) เป็นภาวะซึมเศร้าในช่วงฤดูหนาว หรือ บางครั้งก็เกิดในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เป็นโรคซึมเศร้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศที่มีแสงแดดน้อยและหนาวเย็น พบได้มากใน ประเทศแถบหนาว จึงไม่ค่อยเป็นที่คุ้นเคยในไทยนัก 3. Premenstrual Dysphoric Disorder (โรคซึมเศร้าก่อนมีรอบเดือน) เป็นอาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นประมาณ หนึ่งสัปดาห์ก่อนและหลังช่วงมีประจาเดือนของผู้หญิง
  • 5. 5 4. Psychotic Depression (โรคซึมเศร้าโรคจิต) เป็นภาวะซึมเศร้ารุนแรงที่เกิดกับผู้ป่วยโรคจิตเวชอื่นๆ โดยมัก เกิดพร้อมอาการทางจิต เช่น เห็นภาพลวงตาและภาพหลอน ได้ยินเสียงที่ไม่มีอยู่จริง เป็นต้น อาการของโรคซึมเศร้า 1. อาการทั่วไปของโรคซึมเศร้า หากคุณกังวลว่าตัวเองหรือคนรอบข้างกาลังป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ เบื้องต้นคุณสามารถสังเกตได้จากอาการเศร้า เสียใจ และท้อแท้จนไม่อยากทาอะไร บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ หรือถึงแม้มีเรื่องน่ายินดี แต่ก็กลับไม่รู้สึกมีความสุข เลย นอกจากนี้ ผู้ที่เข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้ามักแสดงอาการต่อไปนี้ตามเกณฑ์การวินิจฉัยจากคู่มือการวินิจฉัยความ ผิดปกติทางจิตที่จัดทาโดยสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา (DSM-V) อย่างน้อย 5 อาการออกมาพร้อมๆ กันภายใน ระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยที่มีอย่างน้อยหนึ่งอาการเป็นอาการหมดความสนใจในกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่เคยชื่นชอบ หรืออาการเศร้า  รู้สึกสิ้นหวัง ไม่มีค่า ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะทาอะไรต่อไปหรือทาไปเพื่ออะไร  รู้สึกเศร้า หรือ ในเด็กและวัยรุ่นอาจรู้สึกหงุดหงิดง่าย กระสับกระส่าย หรือกระวนกระวายใจอยู่บ่อยๆ  หมดความสนใจในกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่เคยชื่นชอบ เช่น รู้สึกเบื่อหน่ายอาหารโปรด  น้าหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นเร็วมาก เนื่องมาจากนิสัยการกินที่เปลี่ยนไป  นอนไม่หลับติดต่อเป็นเวลานาน หรือนอนนานผิดปกติ  อ่อนเพลีย ไม่มีแรง  ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ทาได้เลย บางครั้งก็แสดงอาการหลงๆ ลืมๆ และใช้เวลานานในการ ตัดสินใจเรื่องต่างๆ  คิด พูด และทางานเร็วขึ้นหรือช้าลง  รู้สึกอยากฆ่าตัวตาย พยายามฆ่าตัวตาย หรือทาร้ายตัวเอง อาการเหล่านี้มีผลกระทบต่อการเข้าสังคม การทางาน หรือการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ หากปล่อยไว้นานจะทาให้ กลายเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ซึ่งมีอาการรุนแรงกว่านี้มาก ทางที่ดีจึงควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการบาบัดทาง ร่างกายและจิตใจอย่างถูกต้อง ก่อนที่จะสายเกินไป บางครั้งผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าก็แสดงออกในลักษณะที่แปลกออกไป จนในบางอาจทาให้ผู้พบเห็นหรือเจ้าตัวไม่คิดว่า ตนเองนั้นเป็น “โรคซึมเศร้า” เรามาดูกันว่าสัญญาณแปลกๆ เหล่านั้นมีอะไรบ้าง  ช้อปปิ้งอย่างบ้าคลั่ง: ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าบางคนจะมีพฤติกรรมซื้อของอย่างควบคุมไม่ได้ เพื่อหวังเบี่ยงเบน ความสนใจจากความเครียดหรือเพื่อปลุกความมั่นใจในตนเอง พฤติกรรมนี้อาจพบได้ในผู้ที่เป็นโรคอารมณ์ สองขั้วหรือโรคไบโพลาร์ได้เช่นกัน  ดื่มอย่างหนัก: หากคุณรู้สึกว่าคุณต้องการดื่มเพื่อจัดการกับความเครียดหรือความเศร้า คุณอาจกาลังเผชิญ ภาวะซึมเศร้าอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งแม้ว่าการดื่มจะช่วยให้คุณรู้สึกดีและลืมเรื่องแย่ๆ ในชั่วขณะได้ แต่การดื่ม แอลกอฮอล์อาจกระตุ้นให้คุณยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม หรือนาไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้  หลงลืม: โรคซึมเศร้าอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการหลงๆ ลืมๆ ที่เกิดขึ้น โดยจากผลการศึกษาพบว่า โรค ซึมเศร้าหรือภาวะเครียดที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานจะไปทาให้ระดับคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนความเครียดใน ร่างกายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อสมองบางส่วนที่เชื่อมโยงกับความทรงจาและการเรียนรู้ โรคซึมเศร้าจึงมี ความเกี่ยวเนื่องกับการสูญเสียความทรงจา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักสาหรับผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม การ รักษาโรคซึมเศร้าจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความจาได้  ใช้อินเทอร์เน็ตมากเกินไป: การเสพติดโลกออนไลน์มากกว่าโลกความเป็นจริงอาจเป็นอาการหนึ่งที่บ่งบอก ถึงโรคซึมเศร้าได้ ในทางกลับกัน การใช้เวลาบนโลกออนไลน์มากเกินไปก็อาจทาให้มีอาการซึมเศร้าได้
  • 6. 6  กระหน่ากินอย่างบ้าคลั่ง: ผลการศึกษาเมื่อปี 2010 จากมหาวิทยาลัยอัลบามาเผยว่า วัยรุ่นที่เป็นโรค ซึมเศร้ามีแนวโน้มมีน้าหนักเพิ่มขึ้น แถมยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย  ขโมยของ: พฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อยอาจมีสาเหตุมาจากโรคซึมเศร้าได้ เพราะสาหรับผู้ป่วยบางคนที่รู้สึกไร้ เรี่ยวแรงในการทาสิ่งต่างๆ และรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า การขโมยของเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉงและ รู้สึกว่าตนเองสาคัญขึ้นมา ซึ่งสิ่งที่ขโมยมานั้นอาจไม่ได้มีมูลค่าหรือสาคัญเท่ากับความรู้สึกดีที่ได้รับหลังจาก ขโมยสาเร็จเลย  ปวดหลัง: 42% ของผู้คนที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังเคยเป็นโรคซึมเศร้ามาแล้วทั้งสิ้น อย่างไรก็ดี หลายคนมัก เพิกเฉยต่อการเป็นโรคซึมเศร้า เพราะคิดว่าอาการเจ็บปวดต่างๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นโรคซึมเศร้าแต่ อย่างใด  พฤติกรรมทางเพศ: ผู้ป่วยบางรายอาจรับมือกับปัญหาโรคซึมเศร้าด้วยการทาพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ เหมาะสม เช่น เปลี่ยนคู่นอนบ่อย นอกใจ เสพติดการมีเพศสัมพันธ์ และการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน หรือบางรายก็มีอาการหมดความต้องการทางเพศ ทั้งนี้อาการดังกล่าวอาจสัมพันธ์กับการเป็นโรคไบโพลาร์ได้ เช่นกัน  แสดงอารมณ์อย่างสุดเหวี่ยง: หลายๆ คนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะเผลอแสดงอารมณ์มากเกินปกติ บางครั้งก็ขี้ โมโหหรือระเบิดอารมณ์ออกมา บางครั้งก็เศร้าเสียใจ หมดหวัง วิตกกังวล และหวาดกลัว ซึ่งความผิดปกตินี้ มักสังเกตได้ชัดเจนในผู้ที่เคยนิ่งขรึมและไม่ค่อยพูด  เสพติดการพนัน: การพนันอาจทาให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและกระชุ่มกระชวย แต่หากคุณเสพติดการเล่นพนันจน เป็นนิสัย คุณอาจต้องทุกข์ทรมานใจภายหลังก็เป็นได้ โดยหลายคนที่เล่นการพนันบอกว่า ตนเองจะรู้สึกวิตก กังวลและซึมเศร้าก่อนเริ่มเล่นการพนัน และเมื่อเจอความผิดหวังก็อาจทาให้ยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก  สูบบุหรี่: การเป็นโรคซึมเศร้าจะยิ่งทาให้คุณต้องการสูบบุหรี่มากขึ้น เรียกได้ว่า ยิ่งซึมเศร้ายิ่งสูบหนัก โดย อาจสูบประมาณ 1 ซองต่อวัน หรือสูบบุหรี่ทุก ๆ 5 นาทีเลยทีเดียว  ไม่ใส่ใจตนเอง: การละเลยหรือไม่ใส่ใจตนเอง เป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้าและการขาดความมั่นใจในตนเอง พฤติกรรมอาจเริ่มตั้งแต่การไม่แปรงฟัน ไปถึงขั้นโดดสอบ หรือไม่ใส่ใจโรคร้ายต่างๆ ที่ตนเป็น 2. อาการของโรคซึมเศร้าตามเพศและอายุ อาการซึมเศร้าในผู้ชาย ผู้หญิง และวัยรุ่น อาจแตกต่างจากอาการซึมเศร้าทั่วไปที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ดังนี้ อาการของโรคซึมเศร้าในผู้ชาย แม้ว่าผู้ชายและผู้หญิงนั้นต่างมีอาการของโรคซึมเศร้าได้เหมือนกัน แต่ก็มีอาการบางอย่างที่มีความแตกต่างกันอย่าง ชัดเจน จากรายงานในนิตยสารจิตเวช JAMA ปี 2013 กล่าวว่าอาการดังต่อไปนี้มักพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงที่เป็น โรคซึมเศร้า  โกรธ  ก้าวร้าว  เสพยาหรือใช้แอลกอฮอล์  พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ขับรถโดยประมาท มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน มีพฤติกรรมสาส่อนทางเพศ เป็น ต้น อาการของโรคซึมเศร้าในผู้หญิง สถาบันสุขภาพแห่งสหรัฐอเมริการะบุว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าผู้ชายถึงสองเท่า อาการที่มักพบ ในหญิงที่เป็นโรคซึมเศร้ามีดังต่อไปนี้  เครียด  แยกตัวสันโดษ  หงุดหงิด กระสับกระส่าย
  • 7. 7  ร้องไห้อย่างหนัก  มีปัญหาด้านการนอนหลับ  หมดความสนใจในเรื่องที่เคยชื่นชอบ อาการของโรคซึมเศร้าในวัยรุ่น วัยรุ่นก็สามารถมีอาการของโรคซึมเศร้าได้เหมือนผู้ใหญ่ แต่ว่าอารมณ์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นมักถูกเข้าใจ ผิดว่าเป็นภาวะปกติของการเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น อาการที่อาจบอกถึงโรคซึมเศร้าในวัยรุ่น ได้แก่  หมกมุ่นเรื่องความตาย เช่น เขียนกลอนหรือภาพวาดที่บ่งบอกถึงความตาย  มีพฤติกรรมอาชญากรรม เช่น ขโมยของในร้านขายของ หรือขโมยเครื่องเขียนของเพื่อน  แยกตัวออกจากครอบครัวและเพื่อน  อ่อนไหวต่อคาวิพากษ์วิจารณ์  ผลการเรียนแย่ลงหรือขาดเรียนบ่อยๆ  มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และการขับรถโดยประมาท  มีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติด  มีพฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผลหรือแปลกประหลาดไปจากเดิม  นิสัยหรือการแต่งตัวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง  ทิ้งข้าวของของตัวเอง 3. อาการตามชนิดของโรคซึมเศร้า อาการของโรคซึมเศร้าชนิด Major Depression  มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ซึมเศร้าหรือวิตกกังวลบ่อยๆ มีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียว โกรธง่าย อยู่ไม่สุข และมักกระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา  มีการเปลี่ยนแปลงทางความคิด รู้สึกสิ้นหวังในการใช้ชีวิต มักมองโลกในแง่ร้าย รู้สึกผิดหวังบ่อยๆ คิดว่า ตัวเองไม่มีค่า มีความคิดทาร้ายตัวเอง คิดถึงแต่ความตาย และพยายามทาร้ายตัวเองอยู่บ่อยครั้ง  มีการเปลี่ยนแปลงด้านการเรียนรู้และการทางาน ไม่สนใจสังคมหรือสภาพสิ่งแวดล้อม หมดความสนใจใน เรื่องที่ทาให้เกิดความสนุกสนาน ไม่สนใจงานอดิเรก เพิกเฉยต่อกิจกรรมที่น่าสนใจต่างๆ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ประสิทธิภาพในการทางานลดลง ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทา การตัดสินใจแย่ลง และมีอาการหลงๆ ลืมๆ  มีการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม มีอาการนอนไม่หลับ ตื่นนอนเร็ว บางรายหลับนานเกินไป รู้สึกเบื่ออาหาร จึงส่งผลให้น้าหนักลดลง แต่บางคนก็รับประทานอาหารมากเกินไปจนทาให้น้าหนักเพิ่มขึ้น เมื่อเจ็บป่วยมัก รักษาด้วยยาธรรมดาไม่หาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง แน่นท้อง และปวดเรื้อรัง นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ กับบุคคลรอบตัวแย่ลงด้วย อาการของโรคซึมเศร้าชนิด Dysthymia ผู้ป่วยจะมีอาการซึมเศร้าต่อเนื่องเรื้อรังเป็นเวลาติดต่อกันยาวนาน อาจถึงขั้นส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานและการ ใช้ชีวิต รู้สึกไม่ชอบตนเอง ไม่มีความสุขตลอดเวลา มองโลกในแง่ร้าย แต่ผู้ป่วยยังคงใช้ชีวิตประจาวันได้ปกติ แต่มักไม่ ค่อยพอใจเมื่อมีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ทาให้ดูเป็นคนไม่มีชีวิตชีวา ซึ่งโรคซึมเศร้าแบบ Dysthymia นี้มีสิทธิ์เปลี่ยนเป็น โรคซึมเศร้าแบบรุนแรง (Major depression) ได้ อาการของโรคซึมเศร้าชนิด Bipolar หรือ Manic-depressive illness ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าชนิดนี้จะมีอาการซึมเศร้าสลับกับร่าเริงเกินกว่าเหตุ มีอาการหงุดหงิดง่าย นอนน้อยลงกว่าเดิม มัก หลงผิดคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองใหญ่ พูดมาก คิดแต่จะแข่งขัน มีความต้องการทางเพศสูง มีพลังเยอะ แต่การตัดสินใจ ในเรื่องต่างๆ บกพร่อง และมีพฤติกรรมหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างชัดเจน ความแตกต่างของโรคซึมเศร้า กับโรคเครียด
  • 8. 8 โรคซึมเศร้ากับโรคเครียดมีลักษณะอาการที่ใกล้เคียงกันได้ จนทาให้บางครั้งผู้ป่วยแยกไม่ออกว่าอาการที่เกิดขึ้นมา จากความเครียดหรือโรคซึมเศร้ากันแน่ ซึ่งมีวิธีสังเกตความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 โรคจากอาการขั้นพื้นฐานดังต่อไปนี้ อาการจากความเครียด (Stress) ความเครียดหรือโรคเครียด โดยทั่วไปจะเป็นเพียงอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้นๆ เท่านั้น ภาวะความเครียดธรรมดา สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศทุกวัย โดยความเครียดที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระตุ้นร่างกายทั้งในแง่ดีและแง่ลบ ขึ้นอยู่ กับว่าเราสามารถรับมือกับความเครียดได้มากน้อยแค่ไหน อาการโดยทั่วไปของความเครียดคือ  นอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับ  กระสับกระส่าย กังวล หงุดหงิด อารมณ์เสีย  รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง ไร้พลัง  รู้สึกว่าปัญหาที่เข้ามาในชีวิตนั้นยุ่งยากเกินกว่าจะรับมือได้  ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งต่างๆ ความจาสั้น อาการจากโรคซึมเศร้า (Depression) เมื่อเกิดความเครียดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากสาเหตุใดก็ตาม คุณจะสามารถแก้ปัญหาหรือผ่านพ้นความรู้สึกดังกล่าวไป ได้ และไม่นานก็จะกลับมาเป็นปกติ ต่างจากโรคซึมเศร้าที่แม้จะพยายามดึงใจตัวเองกลับมาอย่างไรก็ไม่สามารถทาให้ รู้สึกดีขึ้น โดยมีอาการต่อเนื่องตั้งแต่เช้าจนเข้านอน ติดต่อกันมากกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งการปล่อยผ่านและละเลยโดยคิด ว่าอาการที่พบเจอเป็นแค่ความเครียดนั้น นอกจากจะไม่ช่วยทาให้อาการดีขึ้นแล้ว ยังมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ คุณจึงควร หมั่นสังเกตอาการของตัวเองให้ดี หากคาดว่าตนเองมีอาการเข้าข่ายโรคซึมเศร้าควรไปรับการตรวจรักษากับแพทย์ ทันที หากคุณเคยเป็นโรคซึมเศร้า คุณจะมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้อีกครั้งในอนาคต โดยจากสถิติพบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของ ผู้ป่วยที่หายจากการเป็นโรคซึมเศร้าในครั้งแรกนั้นกลับมาเป็นโรคนี้ได้อีก และกว่า 80% ของผู้ป่วยที่เคยเป็นโรค ซึมเศร้ามาแล้ว 2 ครั้ง ยังกลับมาเป็นต่อได้ รวมทั้งรายงานจิตวิทยาคลินิกในปี 2007 กล่าวว่า 2 ใน 3 ของคนที่ฆ่าตัว ตายมีอาการของโรคซึมเศร้า นอกจากนี้ จากแหล่งข้อมูลทางสุขภาพ A.D.A.M โรคซึมเศร้ายังสามารถส่งผลกระทบต่อ ความสัมพันธ์ของผู้ป่วยและคนรอบข้าง ทาให้มีประสิทธิภาพในการทางานลดลง และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็น โรคหัวใจ โรคอ้วน หัวใจวาย หรือส่งผลให้สภาพจิตใจย่าแย่ลงอย่างมากในผู้สูงอายุ วิธีป้องกันโรคซึมเศร้า หากสังเกตเห็นว่าตัวคุณเองหรือคนใกล้ตัวกาลังตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้า หรือทราบผลการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วว่า เป็นโรคซึมเศร้าจริง คุณสามารถดูแลตัวเองหรือผู้ป่วยควบคู่ไปกับการบาบัดรักษา ตามคาแนะนาไปนี้  หางานอดิเรกทา เช่น ทาอาหาร หรือต่อจิกซอว์ ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกสนุกนัก แต่กิจกรรมยามว่างเหล่านี้จะช่วย สร้างสมาธิและทาให้สามารถจดจ่อกับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น  ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในชีวิตประจาวัน ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามักรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและไม่มีความสามารถ การ ตั้งเป้าหมายเล็กๆ จะช่วยสร้างกาลังใจให้แก่ผู้ป่วย  ออกกาลังกาย การออกกาลังกายทาให้สารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ที่ช่วยให้รู้สึกมีความสุขหลั่งออกมา ทั้ง ยังช่วยกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวมากขึ้นในระยะยาว โดยผู้ป่วยไม่จาเป็นต้องออกกาลังกายหรือเล่นกีฬาหนักๆ แค่เดินออกกาลังสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ  รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แม้จะรู้สึกเบื่ออาหาร แต่ผู้ป่วยก็ควรพยายามรับประทานอาหารที่สด สะอาด และรับประทานให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและมีพลังงาน  นอนพักผ่อนให้เพียงพอ แม้การนอนจะเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากมากในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า แต่การพักผ่อนให้ เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง จะช่วยให้ลืมความกังวลไปได้ชั่วขณะ และเมื่อตื่นขึ้นมาร่างกายและสมองก็จะ มีความพร้อมต่อการทากิจกรรมในแต่ละวันมากขึ้น การประเมินภาวะซึมเศร้าด้วยตัวเอง
  • 9. 9 ผู้ป่วยส่วนมากไม่แน่ใจว่าอาการผิดปกติที่ตัวเองกาลังเผชิญนั้นเกิดจากอะไร และมักเข้าใจผิดไปว่าอาการเหล่านั้นจะ หายไปได้เอง การทาแบบประเมินภาวะซึมเศร้าด้วยตัวเองจะช่วยให้ผู้ป่วยซึมเศร้าเข้าถึงบริการตรวจรักษาได้เร็ว ลด ความเสี่ยงในการเกิดโรคซึมเศร้าเรื้อรัง หรือโรคซึมเศร้ารุนแรงชนิดที่มีอาการทางจิตร่วมลงได้ ช่วยลดภาระในเรื่อง ของเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา และสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้กลับมาเป็นปกติสุขได้โดยเร็ว วิธีการประเมินภาวะซึมเศร้าด้วยตัวเองโดยใช้แบบประเมินภาวะซึมเศร้าของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้ ประเมินว่าคุณมีอาการเหล่านี้มากน้อยเพียงใดในช่วง 15 วันที่ผ่านมา การทดสอบและวินิจฉัยโรคซึมเศร้า แม้คุณจะสามารถประเมินอาการเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง แต่ว่าก็มีเพียงแพทย์เท่านั้นที่สามารถวินิจฉัยโรคซึมเศร้าได้ โดยแพทย์จะตรวจและทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากภาวะอื่นๆ ที่อาจทาให้มีอาการลักษณะนี้ได้ เช่นกัน เช่น ปัญหาต่อมไทรอยด์ เนื้องอกในสมอง ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ หรือภาวะวิตามินพร่อง ซึ่ง จาเป็นต้องตรวจร่างกายและตรวจเลือด รวมถึงการพูดคุยเรื่องยา วิตามิน และอาหารเสริมทั้งหมดที่คุณใช้อยู่ เพราะ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุให้เกิดอาการคล้ายโรคซึมเศร้าได้ นอกจากนี้ แพทย์อาจถามคาถามเกี่ยวกับอารมณ์และ ความรู้สึกของคุณเพื่อประเมินอาการ โดยใช้แบบสอบถามโรคซึมเศร้า อ้างอิงจาก สมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา (American Psychiatric Association) คุณต้องมีอาการสอดคล้องกับ เกณฑ์การวินิจฉัยจึงจะระบุได้ว่าเป็นโรคซึมเศร้า โดยมีอาการเข้าข่ายอย่างน้อย 5 ข้อ จาก 9 ข้อดังต่อไปนี้ เป็น เวลานานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และอาการต่อไปนี้ต้องส่งผลต่อการทางานหรือชีวิตประจาวันของคุณ  รู้สึกเศร้าหรือมีอารมณ์เศร้าเป็นส่วนใหญ่ของวัน  หมดความสนใจหรือไม่รู้สึกสนุกกับสิ่งที่เคยรู้สึกสนใจ  น้าหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ  นอนไม่หลับหรือนอนหลับมากเกินไป  อ่อนเพลียหรือรู้สึกหมดพลังงาน  กระสับกระส่ายหรือเชื่องช้า ทั้งการเคลื่อนไหว คาพูด และความคิด  รู้สึกไร้ค่าและรู้สึกผิด  มีปัญหาด้านการคิด การใช้สมาธิ และการตัดสินใจ  มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องความตายหรือการฆ่าตัวตาย ทั้งนี้ ภาวะซึมเศร้าในรูปแบบอื่นๆ อาจมีเกณฑ์การวินิจฉัยที่แตกต่างกันออกไปเนื่องจากอาการที่ต่างกัน แนวทางการรักษาโรคซึมเศร้าอย่างถูกต้อง โรคซึมเศร้าสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาและการทาจิตบาบัด ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการรักษาตั้งแต่เริ่มมี อาการ ซึ่งระยะเวลาในการรักษาอาจใช้เวลานานตั้งแต่ 3-6 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและการให้ ความร่วมมือในการรักษาจากผู้ป่วยและญาติ 1. การรักษาโดยการใช้ยา มียาหลากหลายชนิดด้วยกันที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าได้ โดยยาแก้โรคซึมเศร้าจะช่วยลดความกังวลและช่วยให้คุณหาย จากอาการเศร้า แต่ยาชนิดนี้จะออกฤทธิ์ค่อนข้างช้า ผู้ป่วยจึงต้องรับประทานยาต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ กว่า จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหรือมีอารมณ์ที่แจ่มใสขึ้น และมักจะต้องใช้ยาเป็นเวลานานถึง 4-6 สัปดาห์ ยาจึงจะออก ฤทธิ์และแสดงผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ ยาแก้ซึมเศร้ามีทั้งยาชนิดที่ทาให้ง่วงและไม่ทาให้ง่วง การใช้ยาจะไม่ทาให้เกิดการ
  • 10. 10 เสพติดแต่อย่างใด ผู้ป่วยจึงสามารถหยุดรับประทานยาได้เมื่ออาการเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน หยุดยาทุกครั้ง ยารักษาภาวะซึมเศร้า (Depression Medications) ข้อมูลจากองค์กรพันธมิตรผู้ป่วยโรคทางจิตแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (The National Alliance on Mental Illness: NAMI) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า ดังนี้ 1. Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) เป็นกลุ่มยาลดอาการซึมเศร้าที่แพทย์นิยมใช้มากที่สุด ยาเหล่านี้จะช่วยบรรเทาภาวะซึมเศร้าโดยทาให้มีปริมาณสาร สื่อประสาทเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมองมากขึ้น SSRIs ที่ใช้กันมากที่สุด คือ  ฟลูออกซิทีน (Fluoxetine)  เซอร์ทราลีน (Sertraline)  เอสซิตาโลแพรม (Escitalopram)  พาร็อกซีทีน (Paroxetine)  ไซตาโลแพรม (Citalopram) ผลข้างเคียงที่พบโดยทั่วไปของ SSRIs ได้แก่  เกิดความผิดปกติทางเพศ  มีปัญหาด้านระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ ท้องผูก และท้องร่วง  ปากแห้ง  นอนไม่หลับ  ปวดหัว  วิตกกังวลหรือกระวนกระวายใจ  น้าหนักเพิ่มขึ้น  เหงื่อออก 2. Serotonin and Norepinephrine reuptake inhibitors (SNRIs) เป็นกลุ่มยาลดอาการซึมเศร้าที่นิยมใช้รองลงมา ยานี้จะช่วยยับยั้งการดูดซึมกลับของเซโรโทนิน (Serotonin) และ นอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) ทาให้มีปริมาณสารสองตัวนี้ในสมองเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างยากลุ่ม SNRIs:  เวนลาฟาซีน (Venlafaxine)  เดสเวนลาฟาซีน (Desvenlafaxine)  ดูล็อกซีทีน (Duloxetine)  ลีโวมิลนาซิแพรน (Levomilnacipran)  มิลนาซิแพรน (Milnacipran) ยานี้เป็นยาในกลุ่ม SNRI แต่ใช้เพื่อรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืดไฟ โบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) แทนภาวะซึมเศร้า ยาเหล่านี้อาจทาให้เกิดผลข้างเคียงคล้ายคลึงกับยา SSRIs รวมทั้งอาจทาให้รู้สึกเมื่อยล้าและมีอาการปัสสาวะขัด 3. Norepinephrine-dopamine reuptake inhibitor (NDRI)
  • 11. 11 ยานี้จะยับยั้งการดูดซึมกลับของสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) 2 ตัว คือ โดปามีน (Dopamine) และนอร์อิพิ เนฟริน ตัวอย่างของยากลุ่มนี้ คือยา Bupropion มีผลข้างเคียงคล้ายกับยากลุ่ม SSRIs และ SNRIs ยานี้เสี่ยงทาให้ เกิดความผิดปกติทางเพศน้อยกว่ายากลุ่มอื่นๆ แต่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการชักได้ 4. Tricyclics Tricyclic antidepressants (Tricyclics: TCAs) เป็นกลุ่มยาที่ใช้กันมานาน มีฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมกลับของสารเซโร โทนินและสารนอร์อิพิเนฟริน ปัจจุบันมีการนายากลุ่มนี้มาใช้น้อยลง เพราะก่อให้เกิดผลข้างเคียงมากและร้ายแรง โดย จะใช้ยากลุ่มนี้เมื่อใช้ยาตัวอื่นแล้วไม่ได้ผลเท่านั้น ตัวอย่างของยากลุ่ม TCAs ได้แก่ :  อะมิทริปไทลีน (Amitriptyline)  เดซิพรามีน (Desipramine)  ด็อกเซปิน (Doxepin)  อิมิพรามีน (Imipramine)  นอร์ทริปไทลีน (Nortriptyline)  โพรทริปไทลีน (Protriptyline) ผลข้างเคียงที่ร้ายแรงบางอย่างที่อาจเกิดจากการใช้ TCAs ได้แก่:  มองเห็นภาพซ้อน  หัวใจเต้นผิดปกติ  มีอาการสั่น  มีอาการชัก  ผู้สูงอายุที่ใช้ยานี้อาจมีอาการหรือความคิดสับสน 5. Monoamine oxidase inhibitors (MAOIs) Monoamine oxidase inhibitors (MAOIs) สามารถยับยั้งเอนไซม์ Monoamine oxidase ที่หยุดการทางานของ สารสื่อประสาทต่างๆ รวมถึงสารเซโรโทนินและสารนอร์อิพิเนฟรินในสมอง ตัวอย่างยากลุ่ม MAOIs ได้แก่ :  ฟีเนลซีน (Phenelzine)  ไอโซคาร์บอกซาซิด (Isocarboxazid)  ทรานิลไซโปรมีน (Tranylcypromine sulfate)  เซเลกิลีน (Selegiline) เป็นยาที่พัฒนาล่าสุด อยู่ในรูปแบบแผ่นแปะ มีผลข้างเคียงน้อยกว่ายา MAOI ชนิด อื่น ๆ ยากลุ่ม MAOIs ก็ถูกนามาใช้น้อยลงเนื่องจากมีผลข้างเคียงและทาปฏิกิริยากับสารอื่นค่อนข้างมาก เช่น หากคุณกิน อาหารที่มีสารประกอบไทรามีน (Tyramine) จานวนมาก ซึ่งมักพบในชีส ผักดอง และไวน์แดง พร้อมกับยากลุ่ม MAOIs อาจทาให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูงรุนแรงที่อาจนาไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หากคุณใช้ยากลุ่ม MAOI ร่วมกับยาคุมกาเนิด ยาแก้ปวดบางชนิด ยารักษาภูมิแพ้ ยาแก้หวัด และสมุนไพรบางชนิด ก็ อาจทาให้มีความดันโลหิตสูงรุนแรงได้เช่นกัน นอกจากนี้ การใช้ยา MAOI ร่วมกับยา SSRI ยังอาจทาให้เกิดภาวะเซโร โทนินซินโดรม (Serotonin syndrome) ซึ่งในกรณีที่รุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
  • 12. 12 ***เพิ่มเติม : Serotonin syndrome เกิดจากการทางานของระบบเซโรโทนิน (Serotonin) ในระบบประสาท ส่วนกลางทางานมากผิดปกติ ซึ่งทาให้เกิดอาการผิดปกติทั้ง mental status, ระบบ neuromuscular, ระบบ autonomic ที่ทางานผิดปกติไป*** 6. ยาอื่น ๆ ยาที่ใช้รักษาภาวะซึมเศร้าตัวอื่น ๆ ที่ไม่สามารถจัดเข้ากลุ่มข้างต้น ได้แก่  ทราโซโดน (Trazadone)  เนฟาโซโดน (Nefazodone)  เมอร์ทาซาปีน (Mirtazapine)  อาริพิพราโซล (Aripiprazole)  คิวไทอาปีน (Quetiapine)  วิลาโซโดน (Vilazodone)  วอร์ทิออกซีทีน (Vortioxetine) 2. การรักษาโดยการทาจิตบาบัด การรักษาวิธีนี้เป็นการเปลี่ยนความคิดเพื่อพิชิตความเศร้า รวมถึงเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น เพราะผู้ป่วยที่มี อารมณ์เศร้ามักมองโลกในแง่ร้าย ซึ่งจะเป็นวัฏจักรที่จะทาให้ภาวะซึมเศร้านั้นอยู่กับตัวผู้ป่วยเป็นเวลานาน แพทย์จะ ค่อยๆ พูดคุยและบอกผู้ป่วยให้หยุดเศร้าสักประเดี๋ยว แล้วให้ย้อนกลับไปคิดว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น มีความคิดอะไร แวบเข้ามาในหัวบ้าง จากนั้นให้ลองพิจารณาดูว่าความคิดนั้นถูกต้องแค่ไหน หากคิดว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ อารมณ์จะดีขึ้นทันที อย่างน้อยก็จะทาให้ผู้ป่วยมองโลกในแง่ดีจนกว่าจะเผลอไปคิดในแง่ร้ายอีกครั้ง โรคซึมเศร้านั้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากหลายๆ ปัจจัยร่วมกัน การใช้จิตบาบัดหรือการ บาบัดด้วยการพูดคุยถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้และรับมือกับปัจจัยด้านจิตใจ พฤติกรรม ปฏิสัมพันธ์กับ ผู้คน และปัจจัยภาวะแวดล้อมซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า โดยโรคซึมเศร้าต่างรูปแบบกันก็มีเป้าหมายการรักษาและ วิธีช่วยเหลือผู้ป่วยต่างกันไปด้วย เช่น  หาว่ามีปัญหาอะไรในชีวิตที่ส่งผลต่อโรคซึมเศร้าหรือทาให้โรคซึมเศร้าแย่ลง  หาว่าความคิดหรือความเชื่อในทางลบหรือผิดจากความเป็นจริงที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกที่ซึมเศร้าหรือไม่ เช่น ความรู้สึกสิ้นหวัง และความรู้สึกที่หมดหนทาง  ฝึกการรับมือกับความเครียดและช่วยให้แก้ปัญหาได้ดีขึ้น  พิจารณาปัญหาในความสัมพันธ์ และแนะนาวิธีสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง  ตั้งเป้าหมายชีวิตที่เป็นไปได้และวางแผนการดูแลตนเอง  เปลี่ยนมุมมองเพื่อเพิ่มความพึงพอใจในการใช้ชีวิต  เรียนรู้และทาความเข้าใจเหตุการณ์ที่เจ็บปวดในอดีต การทาจิตบาบัดมี 2 รูปแบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด ดังนี้ พฤติกรรมและความคิดบาบัด (Cognitive behavioral therapy: CBT) ซึ่งเป็นการบาบัดโดยพยายามช่วยให้ผู้ป่วย ซึมเศร้าเห็นถึงความคิดและความเชื่อในทางลบของตัวเอง และเปลี่ยนความคิดและความเชื่อเหล่านั้นไปในทางบวก การบาบัดรูปแบบนี้มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคความเจ็บป่วยทางจิตใจได้หลายประเภท โดยผู้ที่เข้าร่วมจิตบาบัด มักจะได้รับการบ้านให้กลับไปทา เช่น ให้บันทึกความคิดด้านลบที่เกิดขึ้นกับสิ่งต่างๆ เป็นต้น
  • 13. 13 ปฏิสัมพันธ์บาบัด (Interpersonal therapy) เป็นการบาบัดที่มุ่งไปที่การทาความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การหาสาเหตุปัญหาความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น และพัฒนาทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยค้นพบ รูปแบบวิถีชีวิตและพฤติกรรมทางสังคมในเชิงลบของตนเอง เช่น การแยกตัวจากสังคมและความก้าวร้าว และช่วยฝึก ให้โต้ตอบกับคนอื่นได้ดีขึ้น ทั้งนี้ สถาบันสุขภาพจิตแห่งสหรัฐอเมริกา (National Institute of Mental Health) ระบุว่าการทาจิตบาบัดเพียง อย่างเดียวอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสาหรับผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าที่มีอาการรุนแรงเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่อาจไม่ เพียงพอสาหรับผู้ที่มีอาการซึมเศร้ารุนแรง 3. การรักษาด้วยการกระตุ้นสมอง หากการจิตบาบัดและการใช้ยาไม่ได้ผล จิตแพทย์อาจแนะนาให้ใช้การบาบัดด้วยการกระตุ้นสมองด้วยวิธีต่างๆ ต่อไปนี้ 3.1 การบาบัดด้วยการช็อตไฟฟ้า (Electroconvulsive therapy: ECT) วิธีนี้มีใช้มานานมากแล้ว โดยใช้ครั้งแรกใน ปี 1940 เป็นการบาบัดโดยใช้กระแสไฟฟ้าปล่อยผ่านสมองขณะที่ดมยาสลบอยู่ การรักษานี้จะส่งผลต่อเซลล์ประสาท และสารเคมีในสมอง ตามข้อมูลจากองค์กรพันธมิตรผู้ป่วยโรคทางจิตแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยส่วนใหญ่ จะต้องรักษา 4-6 ครั้ง กว่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน การช็อตไฟฟ้านี้จะมีผลข้างเคียงชั่วคราว ได้แก่ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ สับสน ความจาเสื่อม และอาจทาให้มีอาการชักช่วงสั้นๆ ในระหว่างการทา ซึ่ง สามารถควบคุมอาการได้ 3.2 การกระตุ้มสมองด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า แพทย์อาจกระตุ้นสมองและเซลล์ประสาทด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Transcranial magnetic stimulation: TMS) แทนการใช้กระแสไฟฟ้า การรักษานี้ไม่ต้องดมยาสลบ และจะเน้น กระตุ้นที่บริเวณของสมองที่เกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ ผลข้างเคียงจากการกระตุ้นสมองด้วยแม่เหล็กนั้น ได้แก่ กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก ปวดหัวหรือเวียนหัว และอาจมีอาการชัก หากผู้ป่วยมีประวัติชักมาก่อน 3.3 การกระตุ้นเส้นประสาทวากัส (vagus nerve) สาหรับโรคซึมเศร้าเรื้อรังหรือโรคซึมเศร้าที่ไม่ตอบสนองต่อการ บาบัดด้วยการช็อตไฟฟ้าหรือการกระตุ้นสมองด้วยแม่เหล็กนั้น การกระตุ้นเส้นประสาทวากัส (Vagus nerve stimulation: VNS) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ทาโดยใช้อุปกรณ์ฝังเข้าไปเพื่อกระตุ้นเส้นประสาทวากัสด้วย สัญญาณไฟฟ้า ซึ่งเส้นประสาทนี้จะทาหน้าที่ส่งกระแสประสาทไปส่วนของสมองที่ควบคุมอารมณ์และการนอนหลับ ตลอดทั้งวัน และถือเป็นเครื่องมือที่คอยสร้างจังหวะให้กับสมอง การรักษาวิธีนี้อาจมีผลข้างเคียงเฉพาะที่ เช่น ปวดคอ ปัญหาการหายใจระหว่างออกกาลังกาย และปัญหาเกี่ยวกับช่องปาก เช่น กลืนลาบาก ไอ และรู้สึกปวด 4. การใช้ธรรมชาติบาบัด มีการใช้ธรรมชาติบาบัดหลายๆ วิธี ที่อาจช่วยรักษาโรคซึมเศร้าเมื่อใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่น เช่น  การออกกาลังกายเพื่อช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่กระตุ้นอารมณ์ให้แจ่มใส  การเล่นโยคะ การทาสมาธิ และการฝึกจิตอื่นๆ เพื่อช่วยลดความเครียดและบรรเทาอารมณ์เชิงลบ  การนวดเพื่อช่วยลดฮอร์โมนความเครียด และเพิ่มสารสื่อประสาทที่ช่วยให้อารมณ์คงที่  การฝังเข็ม ซึ่งอาจส่งผลดีต่อสารสื่อประสาท อาหารเสริมบางชนิด เช่น โฟเลต (folate) เอสเอเอ็มอี (SAMe) หรือเอส-อะดีโนซิล-แอล-เมทไธโอนีน (S-Adenosyl- L-Methionine) และหญ้าเซนต์จอห์นเวิร์ธ (St. John's wort) อาจช่วยรักษาโรคซึมเศร้า แต่ก็ยังต้องมีการวิจัย เพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ผลในการรักษา ดังนั้น ก่อนเริ่มลองใช้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • 14. 14 ข้อควรปฏิบัติเมื่อป่วยเป็นโรคซึมเศร้า  ไม่ควรตั้งเป้าหมายในการทางานมากเกินไป และไม่ควรรับผิดชอบทุกอย่างจนเกินความสามารถของตัวเอง  ควรแยกแยะปัญหาใหญ่ๆ ให้เป็นส่วนย่อย แล้วค่อยๆ เรียบเรียงลาดับความสาคัญก่อนหลังเพื่อลงมือแก้ไข ไปทีละอย่าง  ห้ามบังคับตัวเองหรือตั้งเป้าหมายกับตัวเองสูงเกินไป เพราะนั่นจะยิ่งเป็นการเพิ่มความกดดันและเสี่ยงต่อ ความล้มเหลวในภายหลัง  หมั่นหากิจกรรมที่ชอบและทาให้ตัวเองรู้สึกดีมาทาบ่อยๆ เพื่อให้รู้สึกเพลิดเพลินและมีชีวิตชีวามากขึ้น  ไม่ควรตาหนิตัวเอง เมื่อไม่สามารถทาอะไรบางอย่างให้สาเร็จได้ตามที่วางแผนไว้ ควรรู้จักให้อภัยตัวเองและ ให้โอกาสตัวเองได้เริ่มต้นใหม่ การปล่อยปละละเลยและไม่ได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิด นอกจากจะทาให้อาการของโรคซึมเศร้ายิ่งรุนแรงขึ้นแล้ว ยัง อาจส่งผลเสียต่อชีวิต ทรัพย์สิน และคนรอบข้างได้ เพราะผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้ามักไม่มีสติอยู่กับตัว มักทาอะไรลงไป โดยไม่ค่อยมีสติ ไม่รู้ตัว ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียใดๆ จึงควรให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดี ที่สุด เป็นโรคซึมเศร้า ควรรับประทานวิตามินเสริมหรือไม่? ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าบางคนจาเป็นต้องรับประทานวิตามินเสริมด้วย เนื่องจากมีการขาดวิตามินหลายชนิดที่อาจทาให้เกิด อาการซึมเศร้าได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณมีอาการของโรคซึมเศร้า ควรขอความช่วยเหลือจากแพทย์หรือนักจิตบาบัด ก่อนเริ่มรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมใดๆ ด้วยตนเอง มาดูกันว่ามีวิตามินอะไรบ้างที่เมื่อร่างกายได้รับไม่เพียงพอจะมีความเกี่ยวข้องกับอาการซึมเศร้า วิตามินบีรวม วิตามินบีรวมเป็นวิตามินที่จาเป็นต่อสุขภาพจิตและอารมณ์ วิตามินชนิดนี้สามารถละลายในน้าและไม่สามารถเก็บ สะสมไว้ในร่างกายได้ ดังนั้น ร่างกายจึงต้องการวิตามินบีเพิ่มในแต่ละวัน โดยปริมาณวิตามินบีในร่างกายอาจลดลง จากการดื่มแอลกอฮอล์ น้าตาล นิโคติน หรือคาเฟอีน หากคุณกาลังรับประทานอาหารพวกนี้ในปริมาณมากอาจทาให้ คุณอาจขาดวิตามินบีได้ วิตามินบีหลายชนิดมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคซึมเศร้า ดังนี้ วิตามินบี 1 (Thiamine): สมองใช้วิตามินตัวนี้ในการเปลี่ยนน้าตาลกลูโคสหรือน้าตาลในเลือดมาเป็นพลังงาน ดังนั้น หากมีปริมาณวิตามินตัวนี้ไม่เพียงพอ จะทาให้สมองไม่มีพลังงาน การขาดชนิดนี้พบได้ไม่บ่อย แต่อาจเกิดร่วมกับการ ติดแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจนาไปสู่ความผิดปกติทางจิตหรือระบบประสาทได้ วิตามินบี 3 (Niacin): การขาดวิตามินนี้จะทาให้เกิดโรคหนังกระ (Pellagra) ซึ่งเป็นโรคที่ทาให้เกิดอาการทางจิต และความจาเสื่อม โดยอาการกระวนกระวายและวิตกกังวล รวมถึงมีการทางานของสมองและร่างกายที่ช้าลงได้ อย่างไรก็ตาม อาหารที่มีขายอยู่ในปัจจุบันมักมีส่วนประกอบของ Niacin ทาให้โรคขาดวิตามินชนิดนี้พบได้น้อยมากใน ปัจจุบัน วิตามินบี 5 (Pantothenic acid): การขาดวิตามินตัวนี้อาจทาให้เกิดอาการอ่อนเพลียและซึมเศร้าได้ แต่ก็พบได้ น้อย วิตามินบี 6 (Pyridoxine): วิตามินตัวนี้ช่วยในการสร้างกรดอะมิโนซึ่งจาเป็นต่อการสร้างโปรตีนและฮอร์โมนใน ร่างกาย โดยเฉพาะเซโรโทนิน เมลานิน และโดปามีน การขาดวิตามินนี้อาจทาให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีแผลที่ผิวหนัง และมีอาการสับสนได้ คนที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินชนิดนี้คือกลุ่มคนที่ติดแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยโรคไตวาย และผู้หญิงที่