More Related Content
Similar to นวัตกรรมทางการศึกษา
Similar to นวัตกรรมทางการศึกษา (20)
นวัตกรรมทางการศึกษา
- 1. นวัตกรรมทางการศึกษา<br />นวัตกรรมทางการศึกษาquot;
เพื่อเป็นผลงานทางวิชาการสำหรับครูquot;
<br />นวัตกรรมหมายถึง เครื่องมือ สื่อ หรือ วิธีการใหม่ๆที่นำมาพัฒนาการเรียนรู้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในทางที่ดีมีคุณภาพ และเกิดประสิทธิภาพสูงขึ้น ไม่ว่าสื่อหรือวิธีการนั้นจะคิดขึ้นใหม่ หรือ ดัดแปลงปรับปรุงมาจากของเดิมหรือเคยใช้ได้ผลดีมาแล้วจากที่อื่น และนำมาใช้อีก ก็ถือว่าเป็น quot;
นวัตกรรมquot;
<br />นวัตกรรมแบบทางการศึกษา หมายถึง เครื่องมือ สื่อ แนวคิด วิธีการกระบวนการ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่นำมาใช้แก้ปัญหาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพตรงตามเป้าหมายของหลักสูตร<br /> ประเภทนวัตกรรมทางการศึกษา ตามลักษณะผู้ใช้ประโยชน์จำแนกได้ดังนี้<br />ประเภทนวัตกรรม/สื่อสำหรับครูประเภทนวัตกรรม/สื่อสำหรับนักเรียน- คู่มือครู- เอกสารประกอบการสอน- ชุดการการสอน- สื่อประสมชนิดต่างๆ- หนังสืออ้างอิง- เครื่องมือวัดผลประเมินผล- อุปกรณ์โสตทัศนวัสดุ- โครงการ- วิจัยในชั้นเรียน- การศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล- วิธีสอนแบบต่างๆ ฯลฯ- บทเรียนสำเร็จรูป- เอกสารประกอบการเรียน- ชุดฝึกปฏิบัติ- ใบงาน- หนังสือเสริมประสบการณ์- ชุดเพลง- ชุดเกม- โครงงาน ฯลฯ<br />หลักการพิจารณานำนวัตกรรมมาใช้พัฒนาการเรียนรู้<br />การจะพิจารณานำนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ในวิชา หรือ กลุ่มสาระการเรียนรู้ใดๆ ควรยึดหลักสำคัญ ดังนี้<br /> 1) ตรงกับปัญหาหรือจุดพัฒนาของวิชานั้นเพียงใด<br /> 2) มีความสอดคล้องกับธรรมชาติวิชาหรือไม่<br /> 3) สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้หรือไม่<br /> 4) มีหลักฐานน่าเชื่อถือว่าเคยใช้ได้ผลดีมาแล้วหรือไม่<br />ประโยชน์ของนวัตกรรมทางการศึกษา<br /> 1) นักเรียนเรียนรู้ได้เร็วขึ้น<br /> 2) นักเรียนเข้าใจบทเรียนเป็นรูปธรรม<br /> 3) บรรยากาศการเรียนสนุกสนาน<br /> 4) บทเรียนน่าสนใจ<br /> 5) ลดเวลาในการสอน<br /> 6) ประหยัดค่าใช้จ่าย<br />การออกแบบนวัตกรรม<br /> นวัตกรรมมีความสำคัญ การพิจารณาความสำคัญของนวัตกรรม ให้ดูที่เหตุผลความจำเป็นของปัญหา ถ้ามีข้อมูลแสดงว่านักเรียนส่วนใหญ่มีความบกพร่องในจุดประสงค์การเรียนใดๆ ที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อการเรียนการสอนทั้งปัจจุบัน และมีแนวโน้มเกิดขึ้นในอนาคตก็สมควรสร้างนวัตกรรมนั้นๆ ได้<br />ในการออกแบบนวัตกรรมผู้ออกแบบควรกล่าวถึงส่วนต่างๆ ต่อไปนี้<br />1) ชื่อนวัตกรรม<br />2) วัตถุประสงค์ของการใช้นวัตกรรม<br />3) ทฤษฎีหลักการที่ใช้ในการสร้างนวัตกรรม<br />4) ส่วนประกอบของนวัตกรรม<br />5) การนำนวัตกรรมไปใช้<br />การวางแผนพัฒนานวัตกรรม<br />เป็นแนวคิดที่ผู้ออกแบบนวัตกรรมจะต้องถามตัวเองว่า จะสร้างนวัตกรรมอะไรจึงจะมีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการแก้ปัญหาจะไปค้นหาแหล่งอ้างอิงที่ไหนจะต้องสร้างกี่ชิ้นกี่ประเภท ใช้เทคนิคการสร้างอะไรบ้าง จะมีแนวการใช้นวัตกรรมอย่างไร ผู้ออกแบบนวัตกรรมควรวางแผนไว้ 3 ขั้นตอน<br /> 1) ขั้นพัฒนา<br /> ผู้ออกแบบนวัตกรรมต้องศึกษาแหล่งข้อมูลต่างๆ ของการพัฒนา คือ<br /> - ศึกษารายการนวัตกรรม และลักษณะเฉพาะของแต่ละนวัตกรรมตัวอย่างนวัตกรรม<br /> - ศึกษาหลักสูตรหลักการสอนรายวิชาต่างๆ เอกสารแนะนำ หลักการสอนต่างๆ ตัวอย่างแนวการสอน แนวการจัดกิจกรรม<br /> - ศึกษาทบทวนทฤษฎีการสอน หลักจิตวิทยาการศึกษา<br /> - มีความริเริ่มสร้างสรรค์ด้วยตนเอง<br />2) ขั้นทดลองใช้<br /> - หลังจากพัฒนานวัตกรรม 1 ชิ้น ผู้สอนควรนำไปทดลองสอน ระบุ ชั้น วิชา ทดสอบเก็บคะแนนและหลังการใช้นวัตกรรม<br />3) ขั้นประเมินผลและรายงาน<br />หลังจากทดลอง ผู้ออกแบบนวัตกรรมได้นำนวัตกรรมไปทดลองใช้และเก็บคะแนน วิเคราะห์ผลการทดสอบ แสดงสถิติเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนการทดลอง ผู้ออกแบบนวัตกรรมเขียนรายงานผลการทดลองเผยแพร่ให้ครู-อาจารย์อื่นๆ ทราบ อาจประกอบด้วย<br />(1) แผนการสอนที่ใช้ทดลองนวัตกรรม<br />(2) นวัตกรรมที่สร้าง หรือ พัฒนาขึ้น<br />(3) คู่มือการใช้นวัตกรรม<br />(4) แบบทดสอบ ก่อน-หลัง การใช้นวัตกรรม<br />(5) รายงานผลการทดลอง<br />การทดลองใช้นวัตกรรม<br /> การทดลองใช้นวัตกรรม หมายถึง การนำนวัตกรรมที่สร้างเสร็จเรียบร้อยและมีการประเมินตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรม ทั้งในด้านความเหมาะสมถูกต้องทางภาษา เนื้อหา และความสะดวกหรือปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในการทดลองไปใช้สอนในสภาพบรรยากาศของชั้นเรียนจริงๆ โดยผู้ออกแบบนวัตกรรมจะต้องกำหนดรูปแบบการประเมินด้วยการระบุวัตถุประสงค์ตัวแปรที่ศึกษา (ต้องการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง เช่น ความสนใจ ผลสัมฤทธิ์ หรือ เวลาที่ใช้) กลุ่มตัวอย่าง (ระบุว่าไปทดลองกับนักเรียน ระดับชั้นใด โรงเรียนไหน จำนวนเท่าใด) เครื่องมือที่ใช้วัด (ได้แก่ แบบทดสอบ แบบบันทึกการสังเกตหรือแบบสัมภาษณ์) และวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลง่ายๆ (เช่นค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย ฯลฯ) และกำหนดแนวทาง สรุปผลการทดลองใช้<br />รูปแบบของการทดลอง<br /> มีหลายรูปแบบ ในที่นี้จะนำเสนอเพียง 2 รูปแบบ เพื่อให้เกิดแนวคิดดังนี้<br />การทดลองรูปแบบที่ 1<br /> ผู้สอนนำนวัตกรรมไปใช้ในชั้นเรียน เมื่อการสอนสิ้นสุดลง ทำการสอบ วัดเพื่อวัดผลการเรียนได้ผลหรือไม่<br />นวัตกรรม------ สอบ<br /> การทดลองรูปแบบที่ 2<br /> ผู้สอนทำการทดสอบก่อนนำนวัตกรรมไปใช้ เว้นช่วงระยะเวลา 1 สัปดาห์ แล้วทำการสอน โดยใช้นวัตกรรม เมื่อการสอนสิ้นสุดลง ให้นักเรียนทำ แบบทดสอบอีกครั้ง ด้วยแบบทดสอบฉบับเดิม (หรือคู่ขนาน) แล้วเปรียบเทียบผลการทดลอง<br />(สอบ----นวัตกรรม-------สอบ<br />ตัวอย่างนวัตกรรม<br />1. ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน<br /> ชุดการสอน หมายถึง ระบบการนำสื่อการสอนหลายๆ ชนิดที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาและประสบการณ์ของแต่ละหน่วย มาช่วยในการเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กให้บรรลุจุดมุ่งหมาย ชุดการสอนนิยมจัดไว้ในกล่องหรือซองแบ่งเป็นหมวดๆ บางครั้งเรียกว่า quot;
กล่องการสอนquot;
หรือ quot;
กล่องวิเศษquot;
เพราะหยิบมาเพียงกล่องเดียวก็ทำให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างสะดวกสบาย และมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง<br /> ในแต่ละหน่วยของชุดการสอนจะกำหนดจุดมุ่งหมายเชิง พฤติกรรม หัวข้อ เนื้อหาวิชา วิธีสอน กิจกรรม วัสดุอุปกรณ์ การวัดและประเมินผล เป็นหน่วยๆ ไป แต่ละหน่วยจะมีความสมบูรณ์ในตัวเอง ชุดการสอนสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ<br /> 1) ชุดการสอนประกอบการบรรยาย เป็นชุดการสอนสำหรับครู กำหนดกิจกรรมและสื่อการสอนให้ครูใช้ประกอบการบรรยาย ทำให้ครูพูดน้อยลง นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากขึ้น มีองค์ประกอบ ดังนี้<br /> - คู่มือ (หัวข้อบรรยาย)<br /> - สื่อ (ใช้ประกอบการบรรยาย)<br /> - กิจกรรม (ตามลำดับ)<br /> 2) ชุดการสอนสำหรับกิจกรรม นักเรียนจะเรียนรู้จากการประกอบกิจกรรมกลุ่มร่วมกันตามสื่อและหัวข้อที่กำหนดไว้ ครูจะเปลี่ยนบทบาทโดยสิ้นเชิง กลายเป็นผู้เตรียมประสบการณ์หรือ ผู้อำนวยการเรียน ผู้ประสานงาน (ให้เด็กทำกิจกรรม) และเป็นผู้ตอบคำถามเท่านั้น<br /> 3) ชุดการสอนรายบุคคล เป็นชุดการสอนที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนเรียนด้วยตนเองตามกระบวนการและลำดับขั้นที่บอกไว้ เมื่อเรียนจบตอนแล้วก็จะทำแบบทดสอบเพื่อประเมินผลแล้วก็เรียนชุดการสอนชุดต่อไป ตามลำดับขั้น ครูจะให้ความช่วยเหลือในฐานะผู้ประสานงานและคอยตอบปัญหา (ถ้ามี) ชุดการสอนรายบุคคลนี้ ผู้เรียนนำไปเรียนที่บ้านก็ได้ เป็นการช่วยเสริมวิชาที่อ่อนได้เป็นอย่างดี<br />วิธีสอนแบบศูนย์การเรียน<br /> การสอนแบบศูนย์การเรียน มีลักษณะสำคัญ ดังนี้<br />1. แบ่งกลุ่มนักเรียน ตามแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละเรื่องออกเป็น 4-6 กลุ่ม ให้มีกลุ่มสำรอง 1 กลุ่ม เสมอ<br />2. ระบบการสอนแบบศูนย์การเรียน เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้ประสบการณ์การเรียนรู้ที่มั่นคงถาวร<br />3. จัดกิจกรรมการเรียน ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่คาดหวังตั้งเงื่อนไขและเกณฑ์ให้เหมาะสม<br />4. นำสื่อประสมมาประกอบการเรียนการสอน<br />5. กระบวนการสอนในห้องเรียนแบบศูนย์การเรียน มี 5 ขั้น คือ<br /> 1) ทำแบบทดสอบก่อนเรียน<br /> 2) นำเข้าสู่บทเรียน<br /> 3) จัดกิจกรรมการเรียน<br /> 4) สรุปบทเรียน และ<br /> 5) ประเมินผล<br />ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน<br /> ชุดการสอนเป็นที่รวมของสื่อการเรียนหลายประเภทที่สนับสนุนให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จ การเรียนและสื่อการเรียนเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการเรียนการสอน<br />ส่วนประกอบของชุดการสอนในศูนย์การเรียน มีดังนี้<br />1) กล่องสำหรับใส่บัตรกิจกรรม<br />2) บัตรกิจกรรม ประกอบด้วย บัตรคำสั่ง บัตรเนื้อหา บัตรคำถาม บัตรเฉลย<br />3) สื่อการเรียน เช่น แผ่นภาพ แผ่นที่ หุ่นจำลอง หนังสือ ฯลฯ<br />4) คู่มือครู มีหัวข้อ คำนำ คำชี้แจง แผนการสอน<br />5) ข้อทดสอบก่อนและหลังเรียน<br />6) เฉลย<br />กระบวนการสร้างชุดการสอน<br />1. ศึกษาจุดม่งหมายหลักสูตรและขอบข่ายของเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้ ในระดับชั้นที่จะสอน<br />2. ทำโครงการสอนหรือกำหนดการสอนตลอดปี โดยแบ่งเป็นรายภาค<br />3. นำเนื้อหาวิชาหรือเรื่องที่จะสอนแบ่งเป็นหน่วยการเรียนย่อย<br />4. ทำแผนการจัดการเรียนรู้ วิธีทำแผนการจัดการเรียนรู้มีขั้นตอนดังต่อไปนี้<br />(1) แบ่งเนื้อหาหรือเรื่องออกเป็นหน่วยย่อยเรียกว่า หัวเรื่อง<br />(2) กำหนดแนวคิด<br />(3) กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมให้มีพฤติกรรม เงื่อนไข และเวลา<br />(4) กำหนดวิธีการนำเข้าสู่บทเรียน<br />(5) จัดกลุ่มกิจกรรม<br />ศูนย์ที่เนื้อหากิจกรรมการเรียนสื่อการเรียนประเมินผล<br />(6) กำหนดการสรุปผลการเรียนและประเมินผล<br />(7) กำหนดสิ่งที่ครูจะต้องเตรียม<br />ตัวอย่างการสอนแบบศูนย์การเรียน<br />กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3<br />หน่วยการเรียนที่ 1. สิ่งที่มีชีวิต เวลา 3 ชั่วโมง<br />หัวเรื่อง ศูนย์ที่ 1 1) การดำรงชีวิตของสัตว์<br /> ศูนย์ที่ 2 2) ประโยชน์ของสัตว์<br /> ศูนย์ที่ 3 3) การคุ้มครองและการสงวนรักษาสัตว์ เช่น การไม่จับปลาในฤดูวางไข่<br /> ศูนย์ที่ 4 4) ผลเสียของการทำลายสัตว์<br /> ศูนย์ที่ 5 5) การไม่ประทุษร้ายต่อชีวิตและร่างกายของบุคคลและสัตว์<br /> ศูนย์ (สำรอง) 6) เขียนรายงาน<br />ความคิดรวบยอด1) สัตว์แต่ละชนิดมีการดำรงชีวิตและประโยชน์แตกต่างกัน2) ทุกชีวิตย่อมปรารถนาความสุขไม่อยากได้รับความทุกข์3) การคุ้มครองและสงวนรักษาสัตว์ ทำให้สัตว์ไม่สูญพันธุ์4) หากปรารถนาความสุขอย่างสร้างความทุกข์ให้แก่สัตว์หรือผู้อื่น<br />จุดม่งหมายเชิงพฤติกรรม<br />1. บอกการดำรงชีวิตของสัตว์ได้ 3 ข้อ จาก 5 ข้อ<br />2. บอกประโยชน์ของสัตว์ได้ 2 ข้อ จาก 3 ข้อ<br />3. ยกตัวอย่างวิธีสงวนพันธุ์สัตว์ได้ 1 วิธี<br />4. พูดชักจูงให้ผู้อื่นเห็นว่าการทำลายสัตว์มีผลเสียอย่างไร<br />5. อธิบายถึงความทุกข์และความเดือดร้อนของสัตว์หรือผู้อื่นอันสืบเนื่องมาจากการกระทำของตนได้<br />การดำเนินการเรียนการสอนมี 3 ขั้นตอน ดังนี้<br />1. ขั้นนำไปสู่บทเรียน<br />2. ขั้นประกอบกิจกรรม<br />3. ขั้นสรุปบทเรียน<br />แนวทางในการจัดกิจกรรมแต่ละขั้นตอนอาจทำได้ดังนี้<br /> 1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน อาจเลือกใช้วิธีหนึ่งวิธีใดก็ได้ เช่น สนทนา ซักถาม ร้องเพลง quot;
ลาวสมเด็จquot;
เป็นต้น<br /> 2. ขั้นประกอบกิจกรรม<br />ศูนย์เนื้อหาวิชาบูรณาการสื่อการเรียนกิจกรรมการเรียนประเมินผล5 1.สิ่งมีชีวิต(สัตว์)การไม่ประทุษร้ายต่อชีวิตและร่างกายของบุคคลและสัตว์1.บัตรคำสั่ง 6 บัตร2.บัตรเนื้อหา 6 บัตร.3.แผ่นภาพที่แสดง - คนกำลังทรมานสัตว์ -ทั้งหมดรวมอยู่ ในภาพเดียวกัน ภาพเดียวกันจัด4.บัตรกิจกรรม6บัตร5.บัตรเฉลย6บัตร6.นำกระดาษคำตอบติดตัวไปด้วย1.อ่านบัตรคำสั่ง2.อ่านบัตรเนื้อหา3.ดูแผ่นภาพ4.อ่านบัตรกิจกรรมและปฏิบัติตามคำชี้แจง5.ตรวจคำตอบจากเฉลยด้วยตนเองในตอนก. ส่วนตอนข. ส่งครูตรวจ 1.นักเรียนตอบคำถามเกี่ยวกับคุณค่าของความเมาตตาได้ถูกต้องอย่างน้อย4ข้อใน5ข้อ2.นักเรียนแสดงความคิดเห็นจากภาพที่ได้ดู <br />ศูนย์อื่นๆ ก็ทำตามตัวอย่างข้างต้น เว้นแต่มีกิจกรรมที่ต่างกันออกไปแล้วแต่ผู้สอนจะกำหนด<br />การสรุปบทเรียนอาจทำได้หลายวิธี เช่น อภิปรายเสนอความคิดเห็นแสดงบทบาทสมมุติเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน เป็นต้น<br />การประเมินผล<br /> 1. จากการสังเกตการณ์ปฏิบัติกิจกรรมภายในกลุ่มทั้งที่เป็นงานเฉพาะบุคคลและงานกลุ่ม<br /> 2. จากการให้ทำข้อทดสอบก่อน-หลังเรียน 20 ข้อ และข้อทดสอบประจำกลุ่ม<br /> 3. สังเกตพฤติกรรมภายหลังการเรียนเรื่องนี้แล้วเมื่อได้ชุดการสอนแล้ว ครูก็นำไปสอนให้ห้องเรียนแบบศูนย์การเรียน<br />สิ่งที่ครูต้องเตรียมเมื่อจะสอนแบบศูนย์การเรียน<br /> 1. กระดาษคำตอบ ซึ่งนักเรียนต้องนำติดตัวไปเพื่อปฏิบัติกิจกรรมตามศูนย์ต่างๆ<br /> 2. เครื่องบันทึกเสียง<br /> 3. สื่อการเรียนทุกชนิดที่ระบุอยู่ในช่องสื่อการเรียนในแผนการจัดการเรียนรู้<br /> 4. สถานที่สอน<br />----------------------------------------------<br />แหล่งอ้างอิง: เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร quot;
การพัฒนานวัตรรม(ด้านที่ 3) ให้เป็นผลงานวิชาการครูที่มีคุณภาพ สถาบันพัฒนาความก้าวหน้า กรุงเทพมหานคร<br />