บทความ
- 1. บทความเรื่อง การคิดแก้ปัญหา
ความรู้ เบืองต้ นเกียวกับการคิด
้ ่
การคิดเป็ นกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมองที่ใช้สัญลักษณ์หรื อภาพแทนสิ่ งของ เหตุการณ์หรื อ
สถานการณ์ต่าง ๆโดยมีการจัดระบบความรู ้ ข้อมูล ข่าวสารซึ่ งเป็ นประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่
หรื อสิ่ งเร้าใหม่ ที่ไปได้ ทั้งใน รู ปแบบ ธรรมดาและสลับซับซ้อน ผลจากการจัดระบบสามารถ แสดงออกได้
หลายลักษณะ เช่น การให้เหตุผลการแก้ปัญหาต่าง ๆ เนื่ องจากการคิดเป็ นกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมอง เรา
จึงควรที่จะทราบเกี่ยวกับสมอง เช่นโครงสร้างทางสมอง และพิจารณาว่ามีความสัมพันธ์กบการคิดใน
ั
ลักษณะใดบ้าง
ความหมายการคิด
ความหมายของการคิด ได้รับการบัญญัติข้ ึนมาจากนักจิตวิทยาและนักวิชาการทั้งชาวไทยและชาว
ต่างประเทศหลายท่านตั้งแต่อดีตจนถึงปั จจุบน ซึ่ งได้รวบรวมไว้เป็ นบ้างส่ วนดังนี้
ั
่
ก่อ สวัสดิพาณิ ชย์ (2506) อธิ บายไว้วา การคิดคือ พฤติกรรมทางจิตใจซึ่ งมีแนวทางอันแน่วแน่
พฤติกรรมเหล่านี้เกิดจากปั ญหาที่ตองแก้ไข การแก้ปัญหานั้นต้องอาศัยนามธรรม และสัญลักษณ์เป็ นส่ วน
้
ใหญ่ การคิดจะจบลงด้วยการสรุ ปผลในขั้นสุ ดท้าย แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวคิดของนักจิตวิทยา
ต่างประเทศท่านหนึ่ง คือ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) ที่คิดว่า การคิดจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีความสับสนวุนวาย ่
สงสัย หรื อเกิดคับข้องใจ หรื อขัดแย้งในใจ หลังจากนั้นจึงจะเกิดพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อค้นหาวิธีการแก้ปัญหา
หรื อขจัดสิ่ งที่เกิดสงสัยนั้น จึงอาจกล่าอีกนัยหนึ่งได้วา การคิดจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีปัญหานันเอง
่ ่
ชูชีพ อ่อนโคกสู ง (2518) กล่าวว่า การคิดเป็ นกระบวนการที่มีสัญลักษณ์หรื อภาพของสิ่ งของหรื อ
สถานการณ์ต่าง ๆ มาปรากฏในแนวคิด (Idea)หรื อจิตใจ (Mild)
โกวิท ประวาลพฤกษ์ (2523) ให้แนวคิดว่า คนที่คิดเก่งแต่มีความรู ้สึกไม่ดีไม่ถูกต้องตามทานอง
คลองทา ไม่ลงมือกระทาตามความคิด ไม่กล้าที่จะทา หรื อบุคคลที่มีความรู ้สึกที่ดีแต่คิดไม่ถูกต้องด้วย
เหตุผล ไม่ลงมือกระทา อยูเ่ ฉย ๆ เพียงเพื่อให้เกิดความรู ้สึกที่ดีเท่านั้น เรี ยกว่า ไม่ถูกต้องสมบูรณ์ ความ
สมบูรณ์รอบด้านจาเป็ นที่จะต้องมีความคิด ความรู้สึก และการกระทาที่มีความสัมพันธ์กน ั
่
ทองหล่อ วงษ์สินทร์ (2523) อธิ บายไว้วา การคิดหมายถึง กระบวนการสร้างสัญลักษณ์หรื อภาพให้
ปรากฏในสมอง
ประสาท พรปรี ดา (2523) กล่าวว่า การคิดเป็ นพฤติกรรมภายในที่มีความสลับซับซ้อน จะเกิดขึ้นได้
ก็ต่อเมื่อมนุษย์ได้มีการพัฒนาทางสติปัญญาในระดับสู งเท่านั้น
ชาติ แจ่มนุช (2545) ได้ให้ความหมายของการคิดไว้ 2 ลักษณะ ดังต่อไปนี้
1. การคิดเป็ นกระบวนการทางานของสมองโดยใช้ประสบการณ์มาสัมผัสกับสิ่ งเร้าและข้อมูลหรื อ
สิ่ งแวดล้อม เพื่อแก้ปัญหา แสวงหาคาตอบ ตัดสิ นใจหรื อสร้างสรรค์สิ่งใหม่
- 2. 2. การคิดเป็ นพฤตกรรมที่เกิดในสมอง เป็ นนามธรรมที่ไม่สามารถมองเห็นได้ดวยตาเปล่า การจะรู ้
้
ว่ามนุษย์คิดอะไร คิดอย่างไร จะต้องสังเกตจากพฤติกรรมที่แสดง และสามารถควบคุมให้คิดจนบรรลุ
เป้ าหมายได้
่
ฌอน เพียเจท์ (jean Piaget: 1964) อธิ บายไว้วา การคิดคือ การปฏิบติการทางสมองการที่ลกษณะ
ั ั
ความคิดของเด็กและผูใหญ่มีความแตกต่างกัน เพราะปฏิบติการทางสมองแตกต่างกัน เขายังมีความเห็นว่า
้ ั
การปฏิบติการทางสมองคือ การที่สมองแปลงความรู ้ใหม่ให้เหมาะสมที่จะเก็บเข้าที่ทาง (Acommodation)
ั
ดังนั้นเมื่อสมองทางานจึงต้องมีกระบวนการคู่เกิดขึ้นเสมอ คือการรับ (Assimilation) และการเก็บ
(Accommodation) เพื่อเก็บความรู ้ใหม่ไปปรุ งแต่งแบบแห่งความคิด (Thought Pattern) และทาหน้าที่แปลง
่
(Transform) สิ่ งใหม่ที่เข้ามาโดยอาศัยความรู ้เดิมที่มีอยูแล้ว จากนั้นจึงเก็บความรู ้ใหม่ท่ีเข้าที่เข้าทางแล้วให้
เป็ นระบบ
ฮิลการ์ด (Hilgard ) กล่าวว่า การคิดเป็ นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสมองอันเนื่ องมาจากการใช้
สัญลักษณ์แทนสิ่ งของ เหตุการณ์หรื อ สถานการณ์ ต่าง ๆ
บรู โน (Bruno ) กล่าวว่า การคิดเป็ นกระบวนการทางสมองที่ใช้สัญลักษณ์จินตภาพ ความคิดเห็น
และความคิด รวบยอด แทนประสบการณ์ในอดีต ความเป็ นไปได้ในอนาคต และความเป็ นจริ งที่ปรากฏ
การคิดจึงทาให้คนเรา มีกระบวนการ ทางสมองในระดับสู ง กระบวนการเหล่านี้ได้แก่ ตรรกศาสตร์
คณิ ตศาสตร์ ภาษา จินตนาการ ความใส่ ใจ เชาวน์ปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ และอื่นๆ
มากาเรต ดับบลิว แมทลิน (Matlin ) กล่าวว่า การคิดเป็ นกิจกรรมทางสมอง เป็ นกระบวนการทาง
ปัญญา ซึ่งประกอบด้วย การสัมผัส การรับรู้ การรวบรวม การจา การรื้ อฟื้ นข้อมูลเก่าหรื อประสบการณ์ โดย
ั
ที่บุคคลนาข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เก็บไว้เป็ นระบบ การคิดเป็ นการจัด รู ปแบบของข้อมูลข่าวสารใหม่กบ
ข้อมูลเก่า ผลจากการจัดสามารถแสดงออกมาภายนอกให้ผอื่นรับรู ้ได้
ู้
่
สรุ ปได้วาการคิดเป็ นกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมองที่ใช้สัญลักษณ์หรื อภาพแทนสิ่ งของ เหตุการณ์
หรื อสถานการณ์ต่าง ๆ โดยมี การจัดระบบความรู ้ ข้อมูล ข่าวสารซึ่ งเป็ นประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์
ใหม่หรื อสิ่ งเร้าใหม่ ที่ไปได้ ทั้งใน รู ปแบบ ธรรมดาและ สลับซับซ้อน ผลจากการจัดระบบสามารถ
แสดงออกได้หลายลักษณะ เช่น การให้เหตุผลการแก้ปัญหาต่าง ๆ เนื่ องจากการคิดเป็ น กระบวนการที่
เกิดขึ้นในสมอง เราจึงควรที่จะทราบเกี่ยวกับสมอง เช่นโครงสร้างทางสมอง และพิจารณาว่ามี
ั
ความสัมพันธ์กบ การคิดในลักษณะใดบ้าง
- 3. ทักษะการคิด
ความหมายของทักษะการคิด
ทักษะการคิด หมายถึง ความสามารถในการแสดงออกหรื อแสดงพฤติกรรมของการใช้
ความคิดอย่างชานิชานาญ ซึ่ งแต่ละคนจะมีทกษะการคิดที่แตกต่างกัน บางคนสามารถคิดได้เร็ ว ถูกต้องเป็ น
ั
ขั้นเป็ นตอน บางคนคิดได้ชา ผิดพลาด สับสน แต่อย่างไรก็ตามทักษะการคิดเป็ นสิ่ งที่สามารถพัฒนาและ
้
ฝึ กฝนได้ บุคคลใดได้รับการพัฒนาและฝึ กอย่างชานิชานาญก็จะมีทกษะการคิดเพิ่มมากขึ้น ระดับของการคิด
ั
สามารถแบ่งออกได้เป็ น 3 ระดับ คือ
1. ทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน (Basic thinking skills) หมายถึง ทักษะการคิดโดยทัว ๆ ไป
่
เป็ นการคิดที่ไม่สลับซับซ้อนมากมาย เป็ นทักษะที่ใช้เป็ นพื้นฐานที่จะนาไปใช้ในการคิดในชีวตประจาวัน
ิ
โดยทัว ๆ ไปของมนุษย์ ส่ วนใหญ่จะเป็ นทักษะการสื่ อสารและสื่ อความหมายต่าง ๆ ที่บุคคลทุกคนจาเป็ นที่
่
จะใช้ในการรับสารที่แสดงความคิดของผูอื่นเข้ามารับรู้ ตีความจดจา และถ่ายทอดความคิดของตนให้แก่
้
ผูอื่น ประกอบด้วยทักษะต่าง ๆ ดังนี้
้
- การจด - การจา
- การอ่าน - การฟัง
- การบรรยาย - การอธิ บาย
- การเขียน - การพูด
- การแสดงออก - การบอกความรู้
- การเล่า - การบอกความรู้สึก
2. ทักษะการคิดที่เป็ นแกน (Core thinking skills) หมายถึง ทักษะการคิดที่ตองใช้ในการ
้
ตัดสิ นใจและแก้ปัญหาทัว ๆ ไปในชีวตประจาวันและเป็ นพื้นฐานของการคิดระดับสู งที่มีความซับซ้อนซึ่ง
่ ิ
คนเราจาเป็ นต้องใช้ในการเรี ยนรู ้เนื้ อหาวิชาการต่าง ๆ ตลอดจนการใช้ชีวตอย่างมีคุณภาพประกอบด้วย
ิ
ทักษะต่าง ๆ ดังนี้
- การสังเกต - การสารวจ
- การถาม - การเก็บรวบรวมข้อมูล
- การจาแนกแยกแยะ - การจัดหมวกหมู่
- การเปรี ยบเทียบ - การเรี ยงลาดับ
- การเชื่อมโยง - การแปล
- การขยายความ - การตีความ
- การให้เหตุผล - การสรุ ปย่อ
- การสรุ ปอ้างอิง
- 4. 3. ทักษะการคิดขั้นสู ง (Higher-ordered thinking skills) หมายถึง ทักษะการคิดที่มีข้ นตอน
ั
หลายขั้นต้องอาศัยทักษะการสื่ อสารและสื่ อความหมายและทักษะการคิดที่เป็ นแกนหลาย ๆ ทักษะในแต่ละ
ขั้น ดังนั้น ทักษะการคิดขั้นสู งจะพัฒนาได้เมื่อเด็กได้พฒนาทักษะการคิดพื้นฐานจนมีความชานาญ
ั
พอสมควรแล้ว ประกอบด้วยทักษะต่าง ๆ ดังนี้
- การแก้ปัญหา - การคิดอย่างมีวจารณญาณ
ิ
- การคิดตัดสิ นใจ - การวางแผน
- การสรุ ปความ - การนิยาม
- การวิเคราะห์ - การแก้ไขปรับปรุ ง
- การจัดระบบความคิด - การคาดคะเน
- การพยากรณ์ - การตั้งสมมติฐาน
- การทดสอบสมมติฐาน - การประยุกต์ความรู้
- การพิสูจน์ความจริ ง
การประยุกต์รูปแบบการคิดที่เหมาะสมกับสังคมไทย (เกรี ยงศักดิ์ เจริ ญศักดิ์, 2545 :
4-20) มีลกษณะต่างกัน 10 มิติ ดังนี้
ั
1. การคิดในเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) หมายถึง ความตั้งใจ ที่จะพิจารณาตัดสิ น
เรื่ องใดเรื่ องหนึ่งโดยการไม่เห็นคล้อยตามข้อเสนออย่างง่าย ๆ แต่ต้ งคาถามท้าทายหรื อโต้แย้งสมมติฐาน
ั
และข้อสมมติฐานที่อยูเ่ บื้องหลัง และพยายามเปิ ดแนวทางความคิดออกสู่ ทางต่าง ๆ ที่แตกต่างจาก
ข้อเสนอนั้นเพื่อให้สามารถได้คาตอบที่สมเหตุ สมผลมากกว่าข้อเสนอเดิม
2. การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking) หมายถึง การจาแนกแจกแจงองค์ประกอบ
ต่าง ๆ ของสิ่ งใดสิ่ งหนึ่งหรื อเรื่ องใดเรื่ องหนึ่ง และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบ
เหล่านั้นเพื่อค้นหาสาเหตุสาเหตุที่แท้จริ งของสิ่ งที่เกิดขึ้น
3. การคิดเชิงสังเคราะห์ (Synthesis Type Thinking) หมายถึง ความสามารถในการดึง
องค์ประกอบต่าง ๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้สิ่งใหม่ตามวัตถุประสงค์ที่ตองการ ้
4. ความสามารถในการคิดเชิงเปรี ยบเทียบ (Comparative Thinking) หมายถึงการ
พิจารณาเทียบเคียงความเหมือนและ/หรื อความแตกต่างระหว่างสิ่ งนั้นกับสิ่ งอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
สามารถอธิ บายเรื่ องนั้นได้อย่างชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการคิด การแก้ปัญหาหรื อการหาทางเลือกเรื่ องใด
เรื่ องหนึ่ง
5. ความสามารถในการคิดเชิงมโนทัศน์ (Conceptual Thinking) หมายถึงความสามารถ
ในการประสานข้อมูลทั้งหมดที่มีอยูเ่ กี่ยวกับเรื่ องหนึ่งเรื่ องใดแล้วนามาสร้างเป็ นความคิดรวบยอด
6. ความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking) หมายถึงการขยาย
ขอบเขตความคิดออกไปจากกรอบความคิดที่มีอยูสู่ ความคิดใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อค้นหาตอบที่ดี
่
ั
ที่สุดให้กบปั ญหาทีเกิดขึ้น
- 5. 7. ความสามารถในคิดเชิงประยุกต์ (Applicative Thinking) ความสามารถในการนาสิ่ งที่
มีอยูเ่ ดิมไปปรับใช้ประโยชน์ในบริ บทใหม่ได้อย่างเหมาะสม โดยยังคงหลักการของสิ่ งเดิมไว้
8. ความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) หมายถึงความสามารถใน
การกาหนดแนวทางที่ดีท่ีสุดภายใต้เงื่อนไข ข้อจากัดต่าง ๆ เพื่อบรรลุเป้ าหมายที่ตองการ ้
9. การคิดเชิงบูรณาการ (Intergrative Thinking) หมายถึงความสามารถในการเชื่อมโยง
แนวคิดหรื อองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าหาแกนหลักได้อย่างเหมาะสมเพื่อธิ บายหรื อให้เหตุผล
สนับสนุนเรื่ องใดเรื่ องหนึ่ง การคิดเชิงบูรณาการเป็ นการคิดบนฐานความเข้าใจในสัจธรรมที่วาสิ่ งต่าง ๆ ่
นั้นไม่ได้อยูอย่างโดดเดี่ยว ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่ งใดแต่เชื่ อมโยงกับสิ่ งต่าง ๆ มากกว่าหนึ่งสิ่ งอย่างเป็ นเหตุผล
่
ั
สัมพันธ์กนทั้งเหตุผลที่เชื่ อมกันโดยตรงและโดยอ้อม ดังนั้นในการพิจารณาเรื่ องใดเรื่ องหนึ่งจาเป็ นต้อง
มององค์ประกอบแวดล้อมให้รอบด้านการคิดเชิงบูรณาการ จึงเป็ นเครื่ องมือที่จะช่วยให้มองเรื่ อง ๆ เดียว
ได้อย่างครบถ้วนทุกมุม สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ได้อย่างมีเหตุผล ทาให้มองเห็นภาพทั้งภาพ เข้าใจ
บริ บททั้งหมด ไม่ตกหล่นในประเด็นสาคัญ ๆ เมื่อเห็นการเชื่ อมโยงทั้งหมด จึงทาให้เกิดความเข้าใจและ
ตัดสิ นใจไม่ผดพลาด
ิ
10. ความสามารถในการคิดเชิงอนาคต (Futuristic Thinking) หมายถึงความสามารถใน
การคาดการณ์สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอย่างมีหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม ช่วยให้ขยายขอบเขตการมองชี วตให้ ิ
กว้างออกไปจากกรอบที่เคยมองแต่เพียงชีวตประจาวัน ิ
หากใช้เป้ าหมายในการคิดเป็ นเกณฑ์ (ธัญญา ผลอนันต์, 2545 : 79-88) อาจจัดประเภทได้ 2
ประเภทใหญ่ คือ
1. การคิดอย่างมีเป้ าหมาย
2. การคิดอย่างไร้เป้ าหมาย
ในทานองเดียวกันถ้าใช้ลกษณะทิศทางการคิดเป็ นเกณฑ์สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท คือ
ั
1. การคิดเชิงบวก ถือเป็ นสิ่ งที่ช่วยให้ผคิดมีความสุ ข
ู้
2. การคิดเชิงลบ เป็ นการคิดเพื่อความไม่ประมาท
3. การคิดเชิงคู่ขนาน เป็ นการคิดตามหลักการ ตามเหตุผล ข้อมูลที่ปรากฏ
- 6. การคิดแก้ ปัญหา
ความหมายของการแก้ปัญหา
่
การคิดแก้ปัญหา เห็นกระบวนการที่มีความเชื่ อมโยงระหว่างข้อมูลที่มีอยูในปั ญหากับตัวผู ้
แก้ปัญหา โดยนาประสบการณ์ ความรู้ ความเข้าใจ และความคิดมาประยุกต์หาวิธีการเอาชนะอุปสรรคหรื อ
ปัญหาที่กาลังเผชิญอยู่ เพื่อหาคาตอบของปั ญหาในสถานการณ์ใหม่ท่ีไม่คุนเคย (ปรี ชา เนาว์เย็นผล,2544
้
กระบวนการคิดแก้ ปัญหา
Polya ได้นาเสนอกระบวนการคิดแก้ปัญหา ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้น ที่ 1 ทาความเข้าใจปั ญหา เป็ นการทบทวนปัญหาที่พบเพื่อทาความเข้าใจให้
ถ่องแท้ในประเด็นต่าง ๆ พิจารณาปัญหาที่พบเกี่ยวข้องกับอะไร มีขอมูลใดบ้างที่เกี่ยวข้อง มีเงื่อนไขหรื อ
้
ต้องการข้อมูลใดเพิ่มเติมหรื อไม่
ขั้น ที่ 2 วางแผนแก้ปัญหา เป็ นขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลพิจารณาแนวทาง
ปฏิบติที่เป็ นไปได้รวมถึงการคิดหาวิธีการหรื อ เทคนิคในการแก้ปัญหา โดยคานึงถึงประสบการณ์ ในการ
ั
แก้ปัญหาที่เคยประสบความสาเร็ จมาก่อนที่คล้ายกับหรื อในทานองเดี่ยวกับกับปั ญหาที่กาลังเผชิญทฤษฎี
หรื อหลักการที่เกี่ยวข้องกับปั ญหา
ขั้นที่ 3 ดาเนินการตามแผน นาแผนไปปฏิบติ ตรวจสอบแต่ละขั้นตอนที่ปฏิบติ
ั ั
ทบทวน หรื อขยายขั้นตอนการปฏิบติตามที่จาเป็ น อาจรวมถึงสร้างแผนการปฏิบติใหม่ถาจาเป็ น
ั ั ้
ขั้นที่ 4 สรุ ปและตรวจสอบผลการแก้ปัญหา ตรวจสอบคาตอบกับเงื่อนไขที่
กาหนด เลือกคาตอบที่ดีและเหมาะสมที่สุด
ความสั มพันธ์ ระหว่างกระบวนการคิด
จากกระบวนการคิดที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นว่าขั้นตอนของกระบวนการคิดวิเคราะห์จะ
สอดแทรกอยูในขั้นตอนของทุกกระบวนการคิด เมื่อเป็ นเช่นนี้นกการศึกษา ครู หรื อผูที่เกี่ยวข้องกับการจัด
่ ั ้
การศึกษาสาหรับเด็กควรจะให้ความสาคัญเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กเพื่อใช้เป็ น
พื้นฐานสาหรับการพัฒนาทักษะและกระบวนการคิดลักษณะอื่นต่อไป ตารางข้างล่างแสดงให้เห็น
ั
ความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการคิดวิเคราะห์กบกระบวนการคิดลักษณะอื่น
- 7. การคิดระดับสู ง การคิดวิเคราะห์
การแก้ปัญหา ทาความเข้าใจปัญหา หาความสัมพันธ์ของข้อมูล เพื่อใช้ในการแก้ปัญหา เปรี ยบเทียบ
ทางเลือก ลงมือแก้ปัญหา ตรวจสอบผลการดาเนินการ
การคิดอย่างมีวจารณญาณ จาแนกแยกแยะ จัดระบบข้อมูลอย่างมีเหตุผล เปรี ยบเทียบข้อมูลเพื่อการ
ิ
ตัดสิ นใจอย่างมีเหตุผล
การคิดสร้างสรรค์ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูล จัดระบบข้อมูล เปรี ยบเทียบ
ข้อมูลใหม่กบข้อมูลเดิมผสมผสานนาไปสู่ การสร้างผลงานที่สร้างสรรค์ โดยการพัฒนาจากของเดิมหรื อ
ั
สร้างขึ้นมาใหม่
สรุ ป จากกระบวนการในการพัฒนากระบวนการคิดทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
เป็ นเพียงตัวอย่างที่ได้เลือกมานาเสนอ สามารถเลือกนาเอากระบวนการที่นกการศึกษาทั้งในประเทศและ
ั
ต่างประเทศนาเสนอไว้ใช้ได้อย่างอิสระตามสถานการณ์ บริ บท ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง