1.นาย   สรญัฐ      ใจนันท์            เลขที่ 6
2.นาย   สรัญพงษ์   ใจแก้ว             เลขที่ 7
3.นาย   อติคณ
            ุ      พุฒิพิพฒน์ชูพงศ์
                           ั          เลขที่ 8
4.นาย   อัครชัย    สติราษฎ์           เลขที่ 9
5.นาย   ชยกฤตย์    ลิ ขิตตานุสิทธิ์   เลขที่ 10

               ชันมัธยมศึกษาปี ที่ 6/2
                 ้
ปาเลสไตน์ ถูกแบ่งไปเป็ นประเทศ
อิสราเอลเสี ย ส่ วนหนึ่งมาเป็ นประเทศ
จอร์แดน และอีกส่ วนหนึ่งซึ่งเรี ยกว่า
                 ่
ฉนวนกาซา อยูใต้การครอบครองของ
อียปต์ เมื่อ ค.ศ. 1949 เขตดังกล่าวอยู่
    ิ
ภายใต้การยึดครองของอิสราเอลหลังจาก
สงครามเป็ นเวลากว่าหนึ่งพันปี มาแล้ว
ที่ปาเลสไตน์ได้กลายเป็ นดินแดนส่ วน
หนึ่ง อยูร่วมกับประชาชนที่พดภาษา
         ่                     ู
อาหรับ ได้แก่จอร์แดน, ซีเรี ย, เลบานอน,
อิรัค, ซาอุดีอาระเบีย, เยเมน และอียปต์
                                   ิ
ซึ่งรวมเรี ยกว่าตะวันออกกลาง
ในยุคกลางของยุโรป คริ สตศาสนิกในทวีปยุโรปพยายามที่จะเข้าครองปาเลสไตน์ ได้ยกกองทัพ
                                                       ็
มารุ กราน และเกิดสงครามติดพันกันหลายครั้ง แต่กหาได้รับความสาเร็ จไม่ จนต้องพ่ายแพ้
กลับไป สงครามนี้เรี ยกว่า ครู เสด เป็ นสงคราม ที่พระสันตปาปาได้มีบทบาทอย่างสาคัญ
เมื่อ ค.ศ. 1897 ได้มีการประชุมเป็ นครั้งแรกที่เมืองบาล (Basle) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เพื่อก่อตั้งองค์การไซออนนิสม์ เพื่อเรี ยกร้องให้ผนบถือศาสนายูดาย และผูมีเชื้อสายยิวอพยพ
                                                  ู้ ั                 ้
             ่
เข้าไปอยูในปาเลสไตน์โดยตั้งรัฐยิว Der Judenstaat ขึ้น ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ ง รัฐบาล
                                                                 ่
อังกฤษได้ออกแถลงการณ์บลฟุร์ ถึงความประสงค์ที่จะตั้งถิ่นที่อยูของชาวยิวขึ้นในปาเลสไตน์
                                ั
แถลงการณ์น้ ีแสดงความเห็นอกเห็นใจชาวยิว โดยไม่ได้รับการเห็นชอบจากชาวอาหรับ
ผูเ้ ป็ นเจ้าของประเทศซึ่ งเป็ นมุสลิมและคริ สศาสนิกถึง 93%
ใน ค.ศ.1922 สันนิบาตชาติ Laegue of Nations ซึ่ งก็มิใช่ชาวอาหรับ ได้ลงมติแบ่งแยกและ
                                                ่
ยกดินแดนหลายประเทศในตะวันออกกลาง ให้อยูในอารักขาของอังกฤษและฝรั่งเศส
ใน ค.ศ.1947 สหประชาชาติได้ลงมติให้แบ่งแยกปาเลสไตน์ออกเป็ นสองส่ วน คือส่ วนหนี่ ง
ของยิวและอีกส่ วนหนึ่ งของอาหรับ โดยมิได้รับความยินยอมเห็นชอบจากเจ้าของประเทศ
อันเป็ นชนวนทาให้เกิดสงครามและวิกฤติกาลเรื้ อรังจนถึงบัดนี้
แม้จะเป็ นที่ยอมรับกันว่า พวกอาหรับจะต้องต่อต้านการอพยพของคนต่างด้าวแม้จะเป็ นยิวหรื อ
ชนชาติใดก็ตามที่เข้ามาในปาเลสไตน์โดยมิได้รับอนุญาต ก็ยงมีบุคคลเป็ นจานวนมากที่ไม่เข้าใจ
                                                           ั
                                                                ่
ว่าสถานภาพของชาวอาหรับ ถึงกับกล่าวว่า ชาวอาหรับน่าจะยินดีตอการตั้งรัฐอิสราเอล
บางคนว่า เวลาเท่านั้นจะชี้ขาดและชาวอาหรับจะอ่อนข้อไปเอง และจะได้รับประโยชน์จาก
                                                     ่
วิชาการและความมังคังของชาวยิว ได้มีการบันทึกไว้วา ประธานาธิ บดีแฮรี เอ็ส. ทรู แมน ถึงกับ
                   ่ ่
ได้เขียนไว้วา่

          “ต่ อไปอิสราเอลจะเป็ นศูนย์ อุตสาหกรรม และอาหรับจะเป็ นผู้ป้อนวัตถุดบ
                                                                              ิ
                              เพือซื้อผลิตภัณฑ์ จากอิสราเอล”
                                 ่
แต่จนถึงบัดนี้ คาพูดและความหวังเช่นนั้นก็มิได้เป็ นจริ งทุก ๆปี จะมีรายงานแห่ งกองบันเทาทุกข์
ของสหประชาชาติ ว่าชาวอาหรับผูล้ ีภยเหล่านั้นต้องการกลับไปยังภูมิลาเนาเดิมของตนใน
                                ้ ั
                                                              ้
ปาเลสไตน์ และชาวอาหรับปาเลสไตน์เหล่านี้ได้ต้ งองค์การกูประเทศขึ้นทาสงคราม
                                                   ั
แบบกองโจรกับพวกอิสราเอล ประการหนึ่งที่จะเว้นกล่าวเสี ยมิได้คือ ถ้ามิใช่เพราะลัทธิ แอนตี้-
เสมิติคในยุโรป จานวนอพยพของพวกยิวสู่ ปาเลสไตน์กจะมิได้รับการสนใจ และทรัพย์สิน
                                                        ็
                                                            ่
ทั้งหลายก็คงมิถูกโยกย้ายมาลงทุนในปาเลสไตน์ดงที่เป็ นอยูขณะนี้
                                                 ั
ปัญหาทีเ่ กิดนีมิใช่ ระหว่ างอาหรับกับชาวยิว แต่ กบชาวยิวสมาชิกองค์ การไซ
                ้                                  ั
 ออนนิสม์ โดยมีการตั้งข้ อเรียกร้ องว่ า
                   ่                                              ่ ้
1.พวกยิวได้เคยอยูในปาเลสไตน์มา ต้องการมีสิทธิ ที่จะกลับเข้าไปอยูบานเดิมของตนได้
2.ตามพระคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าได้ทรงสัญญาแผ่นดินปาเลสไตน์ไว้แก่พวกยิวเพราะฉะนั้น การ
ที่พวกยิวจะอพยพกลับยังดินแดนนี้ จึงเป็ นการปฏิบติตามพระประสงค์ของพระเจ้า
                                                  ั
3.ชาวยิวถูกกดขี่ข่มเหงในทวีปยุโรป
4.ชาวยิวมีความเจริ ญทางเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมดีกว่าพวกอาหรับ การได้อพยพมาอยูจึง             ่
เท่ากับช่วยพวกอาหรับผูลาหลัง
                          ้้
5.เนื่องจากรัฐบาลของกลุ่มประเทศอาหรับอ่อนแอ ไม่สามัคคีกน, เนื่องจากองค์การ
                                                              ั
สหประชาชาติยอมรับรัฐอิสราเอลเป็ นสมาชิก, เนื่องด้วยพวกอาหรับได้โจมตีพวกยิวเมื่อ
ค.ศ.1948, เนื่องด้วยพวกอาหรับอพยพออกจากปาเลสไตน์เอง, เนื่ องด้วยกลุ่มประเทศอาหรับ
ต้องการใช้พวกลี้ภยชาวปาเลส ไตน์เป็ นเครื่ องมือ จึงมิได้ช่วยเหลือหาที่อยูให้พวกเหล่านี้ , และ
                     ั                                                   ่
เนื่องด้วยอิสราเอลเป็ นอู่ของประชาธิ ปไตย เพราะฉะนั้น พวกยิวจึงมีสิทธิ ต้ งรัฐอิสราเอลขึ้นซ้อน
                                                                           ั
ประเทศปาเลสไตน์
ประการแรก คือความล้มเหลวในกระบวนการเจรจาสันติภาพ เป็ นที่ทราบกันดีวา           ่
การที่ปาเลสไตน์เดินหน้านาประเด็นปัญหาปาเลสไตน์เข้าสู่เวทีสหประชาชาติครั้ง
นี้ เกิดขึ้นจากความล้มเหลวของการเจรจาสันติภาพเป็ นสาคัญ ความจริ ง
กระบวนการสันติภาพออสโล (Oslo Process) ได้เริ่ มต้นขึ้นมาตั้งแต่ปี 1993 อันมี
                   ่
เป้ าหมายสูงสุ ดอยูที่การจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ข้ ึนภายใน 5 ปี
ประการทีสอง รัฐบาลอิสราเอลปัจจุบนภายใต้การนาของพรรคลิคุด (Likud) ไม่มี
             ่                         ั
ท่าทีที่จะยอมให้เกิดรัฐปาเลสไตน์อิสระขึ้น เมื่อกว่า 10 ปี ที่แล้ว นายเบนจามิน เน
ทันยาฮู ซึ่งขณะนั้น เขากาลังแข่งขันเพื่อให้ตนเองได้เป็ นหัวหน้าพรรคลิคุด ได้
แถลงการณ์แสดงท่าทีอย่างชัดเจนต่อหน้ากรรมการพรรค (ปี 2002) ว่า “ อง     เราจะต้
นาเสนอสถานการณ์ในแนวทางที่เป็ นไปได้ให้ชดเจนที่สุด นันคือ เราจะต้องไม่
                                                  ั           ่
ยอมให้มีการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ข้ ึนในพื้นที่ดานตะวันตกของแม่น้ าจอร์แดน“
                                                ้                            เรา
ต้องรวมใจเป็ นหนึ่งเพื่อโหวตคัดค้านร่ างมติที่ให้มีรัฐปาเลสไตน์
ประการทีสาม ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ล้มเหลวอย่างสิ้ นเชิงที่จะผลักดัน
         ่
กระบวนการสันติภาพตะวันออกกลางให้มีความก้าวหน้า เมื่อเขาขึ้นมาสู่อานาจใหม่
ๆ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ โอบามาแสดงท่าทีชดเจนที่จะผลักดันแก้ไขปัญหา
                                                 ั
ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์อย่างเอาจริ งเอาจัง แต่ปัจจุบน ก็เป็ นที่
                                                                   ั
ประจักษ์ชดแล้วว่า เขามิได้ดาเนินการอะไรในการที่จะปรับเปลี่ยนนโยบาย หรื อ
           ั
วางแผนเพื่อขับเคลื่อนการเจรจาให้มีความก้าวหน้าเลย นอกเสี ยจาก การออกมา
สาธยายเกี่ยวกับความทุกข์ยากของชาวปาเลสไตน์เพียงไม่กี่ครั้ง

ประการทีสี่ การยืนเรื่ องขอสถานะความเป็ นรัฐสมาชิกสหประชาชาติของ
        ่         ่
ปาเลสไตน์ครั้งนี้ เป็ นการกระทาซึ่งเหมือนกับที่อิสราเอลได้เคยทา
ประการทีห้า คือเหตุผลด้านมนุษยธรรม ภายใต้ “ ดครองอย่างผิดกฎหมาย“
          ่                                   การยึ                    ของ
อิสราเอล ปาเลสไตน์ถูกละเมิดสิ ทธิอย่างต่อเนื่องและรุ นแรงมาโดยตลอด อิสราเอล
สามารถถืออาวุธมาลอบสังหาร บุกตรวจค้น ทาลายทรัพย์สิน หรื อจับชาวปาเลสไตน์
ไปสอบสวน ทรมาน กักขัง อย่างไรก็ได้ ตามความพอใจ ไม่เคยมีระบบยุติธรรมที่
แท้จริ ง นอกจากนี้ ชาวปาเลสไตน์ “ไม่ได้รับอนุญาต“ ติดต่อกับโลกภายนอกได้
                                  ยง
                                   ั                 ให้
อย่างอิสระ แม้แต่อาหารและยารักษาโรคทุกชนิดที่จะเข้าไป ต้องผ่านการอนุมติจาก
                                                                       ั
อิสราเอล ด้วยเหตุน้ ี เวสต์แบงก์และกาซ่าจึงมีสภาพไม่ต่างจาก “ ขนาดใหญ่“
                                                            คุก
เอกสารอ้ างอิง
https://sites.google.com/site/thanjaoukund/home/khwam-khad-yaeng-
rahwang-prathes-xisraxel-palestin

http://ggnanny507.blogspot.com/2012/07/2552.html

http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=54&id=40
9

อิสราเอลและอาหรับ

  • 2.
    1.นาย สรญัฐ ใจนันท์ เลขที่ 6 2.นาย สรัญพงษ์ ใจแก้ว เลขที่ 7 3.นาย อติคณ ุ พุฒิพิพฒน์ชูพงศ์ ั เลขที่ 8 4.นาย อัครชัย สติราษฎ์ เลขที่ 9 5.นาย ชยกฤตย์ ลิ ขิตตานุสิทธิ์ เลขที่ 10 ชันมัธยมศึกษาปี ที่ 6/2 ้
  • 3.
    ปาเลสไตน์ ถูกแบ่งไปเป็ นประเทศ อิสราเอลเสีย ส่ วนหนึ่งมาเป็ นประเทศ จอร์แดน และอีกส่ วนหนึ่งซึ่งเรี ยกว่า ่ ฉนวนกาซา อยูใต้การครอบครองของ อียปต์ เมื่อ ค.ศ. 1949 เขตดังกล่าวอยู่ ิ ภายใต้การยึดครองของอิสราเอลหลังจาก สงครามเป็ นเวลากว่าหนึ่งพันปี มาแล้ว ที่ปาเลสไตน์ได้กลายเป็ นดินแดนส่ วน หนึ่ง อยูร่วมกับประชาชนที่พดภาษา ่ ู อาหรับ ได้แก่จอร์แดน, ซีเรี ย, เลบานอน, อิรัค, ซาอุดีอาระเบีย, เยเมน และอียปต์ ิ ซึ่งรวมเรี ยกว่าตะวันออกกลาง
  • 4.
    ในยุคกลางของยุโรป คริ สตศาสนิกในทวีปยุโรปพยายามที่จะเข้าครองปาเลสไตน์ได้ยกกองทัพ ็ มารุ กราน และเกิดสงครามติดพันกันหลายครั้ง แต่กหาได้รับความสาเร็ จไม่ จนต้องพ่ายแพ้ กลับไป สงครามนี้เรี ยกว่า ครู เสด เป็ นสงคราม ที่พระสันตปาปาได้มีบทบาทอย่างสาคัญ เมื่อ ค.ศ. 1897 ได้มีการประชุมเป็ นครั้งแรกที่เมืองบาล (Basle) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อก่อตั้งองค์การไซออนนิสม์ เพื่อเรี ยกร้องให้ผนบถือศาสนายูดาย และผูมีเชื้อสายยิวอพยพ ู้ ั ้ ่ เข้าไปอยูในปาเลสไตน์โดยตั้งรัฐยิว Der Judenstaat ขึ้น ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ ง รัฐบาล ่ อังกฤษได้ออกแถลงการณ์บลฟุร์ ถึงความประสงค์ที่จะตั้งถิ่นที่อยูของชาวยิวขึ้นในปาเลสไตน์ ั แถลงการณ์น้ ีแสดงความเห็นอกเห็นใจชาวยิว โดยไม่ได้รับการเห็นชอบจากชาวอาหรับ ผูเ้ ป็ นเจ้าของประเทศซึ่ งเป็ นมุสลิมและคริ สศาสนิกถึง 93%
  • 5.
    ใน ค.ศ.1922 สันนิบาตชาติLaegue of Nations ซึ่ งก็มิใช่ชาวอาหรับ ได้ลงมติแบ่งแยกและ ่ ยกดินแดนหลายประเทศในตะวันออกกลาง ให้อยูในอารักขาของอังกฤษและฝรั่งเศส ใน ค.ศ.1947 สหประชาชาติได้ลงมติให้แบ่งแยกปาเลสไตน์ออกเป็ นสองส่ วน คือส่ วนหนี่ ง ของยิวและอีกส่ วนหนึ่ งของอาหรับ โดยมิได้รับความยินยอมเห็นชอบจากเจ้าของประเทศ อันเป็ นชนวนทาให้เกิดสงครามและวิกฤติกาลเรื้ อรังจนถึงบัดนี้ แม้จะเป็ นที่ยอมรับกันว่า พวกอาหรับจะต้องต่อต้านการอพยพของคนต่างด้าวแม้จะเป็ นยิวหรื อ ชนชาติใดก็ตามที่เข้ามาในปาเลสไตน์โดยมิได้รับอนุญาต ก็ยงมีบุคคลเป็ นจานวนมากที่ไม่เข้าใจ ั ่ ว่าสถานภาพของชาวอาหรับ ถึงกับกล่าวว่า ชาวอาหรับน่าจะยินดีตอการตั้งรัฐอิสราเอล บางคนว่า เวลาเท่านั้นจะชี้ขาดและชาวอาหรับจะอ่อนข้อไปเอง และจะได้รับประโยชน์จาก ่ วิชาการและความมังคังของชาวยิว ได้มีการบันทึกไว้วา ประธานาธิ บดีแฮรี เอ็ส. ทรู แมน ถึงกับ ่ ่ ได้เขียนไว้วา่ “ต่ อไปอิสราเอลจะเป็ นศูนย์ อุตสาหกรรม และอาหรับจะเป็ นผู้ป้อนวัตถุดบ ิ เพือซื้อผลิตภัณฑ์ จากอิสราเอล” ่
  • 6.
    แต่จนถึงบัดนี้ คาพูดและความหวังเช่นนั้นก็มิได้เป็ นจริงทุก ๆปี จะมีรายงานแห่ งกองบันเทาทุกข์ ของสหประชาชาติ ว่าชาวอาหรับผูล้ ีภยเหล่านั้นต้องการกลับไปยังภูมิลาเนาเดิมของตนใน ้ ั ้ ปาเลสไตน์ และชาวอาหรับปาเลสไตน์เหล่านี้ได้ต้ งองค์การกูประเทศขึ้นทาสงคราม ั แบบกองโจรกับพวกอิสราเอล ประการหนึ่งที่จะเว้นกล่าวเสี ยมิได้คือ ถ้ามิใช่เพราะลัทธิ แอนตี้- เสมิติคในยุโรป จานวนอพยพของพวกยิวสู่ ปาเลสไตน์กจะมิได้รับการสนใจ และทรัพย์สิน ็ ่ ทั้งหลายก็คงมิถูกโยกย้ายมาลงทุนในปาเลสไตน์ดงที่เป็ นอยูขณะนี้ ั
  • 7.
    ปัญหาทีเ่ กิดนีมิใช่ ระหว่างอาหรับกับชาวยิว แต่ กบชาวยิวสมาชิกองค์ การไซ ้ ั ออนนิสม์ โดยมีการตั้งข้ อเรียกร้ องว่ า ่ ่ ้ 1.พวกยิวได้เคยอยูในปาเลสไตน์มา ต้องการมีสิทธิ ที่จะกลับเข้าไปอยูบานเดิมของตนได้ 2.ตามพระคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าได้ทรงสัญญาแผ่นดินปาเลสไตน์ไว้แก่พวกยิวเพราะฉะนั้น การ ที่พวกยิวจะอพยพกลับยังดินแดนนี้ จึงเป็ นการปฏิบติตามพระประสงค์ของพระเจ้า ั 3.ชาวยิวถูกกดขี่ข่มเหงในทวีปยุโรป 4.ชาวยิวมีความเจริ ญทางเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมดีกว่าพวกอาหรับ การได้อพยพมาอยูจึง ่ เท่ากับช่วยพวกอาหรับผูลาหลัง ้้ 5.เนื่องจากรัฐบาลของกลุ่มประเทศอาหรับอ่อนแอ ไม่สามัคคีกน, เนื่องจากองค์การ ั สหประชาชาติยอมรับรัฐอิสราเอลเป็ นสมาชิก, เนื่องด้วยพวกอาหรับได้โจมตีพวกยิวเมื่อ ค.ศ.1948, เนื่องด้วยพวกอาหรับอพยพออกจากปาเลสไตน์เอง, เนื่ องด้วยกลุ่มประเทศอาหรับ ต้องการใช้พวกลี้ภยชาวปาเลส ไตน์เป็ นเครื่ องมือ จึงมิได้ช่วยเหลือหาที่อยูให้พวกเหล่านี้ , และ ั ่ เนื่องด้วยอิสราเอลเป็ นอู่ของประชาธิ ปไตย เพราะฉะนั้น พวกยิวจึงมีสิทธิ ต้ งรัฐอิสราเอลขึ้นซ้อน ั ประเทศปาเลสไตน์
  • 8.
    ประการแรก คือความล้มเหลวในกระบวนการเจรจาสันติภาพ เป็นที่ทราบกันดีวา ่ การที่ปาเลสไตน์เดินหน้านาประเด็นปัญหาปาเลสไตน์เข้าสู่เวทีสหประชาชาติครั้ง นี้ เกิดขึ้นจากความล้มเหลวของการเจรจาสันติภาพเป็ นสาคัญ ความจริ ง กระบวนการสันติภาพออสโล (Oslo Process) ได้เริ่ มต้นขึ้นมาตั้งแต่ปี 1993 อันมี ่ เป้ าหมายสูงสุ ดอยูที่การจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ข้ ึนภายใน 5 ปี ประการทีสอง รัฐบาลอิสราเอลปัจจุบนภายใต้การนาของพรรคลิคุด (Likud) ไม่มี ่ ั ท่าทีที่จะยอมให้เกิดรัฐปาเลสไตน์อิสระขึ้น เมื่อกว่า 10 ปี ที่แล้ว นายเบนจามิน เน ทันยาฮู ซึ่งขณะนั้น เขากาลังแข่งขันเพื่อให้ตนเองได้เป็ นหัวหน้าพรรคลิคุด ได้ แถลงการณ์แสดงท่าทีอย่างชัดเจนต่อหน้ากรรมการพรรค (ปี 2002) ว่า “ อง เราจะต้ นาเสนอสถานการณ์ในแนวทางที่เป็ นไปได้ให้ชดเจนที่สุด นันคือ เราจะต้องไม่ ั ่ ยอมให้มีการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ข้ ึนในพื้นที่ดานตะวันตกของแม่น้ าจอร์แดน“ ้ เรา ต้องรวมใจเป็ นหนึ่งเพื่อโหวตคัดค้านร่ างมติที่ให้มีรัฐปาเลสไตน์
  • 9.
    ประการทีสาม ประธานาธิบดี บารัคโอบามา ล้มเหลวอย่างสิ้ นเชิงที่จะผลักดัน ่ กระบวนการสันติภาพตะวันออกกลางให้มีความก้าวหน้า เมื่อเขาขึ้นมาสู่อานาจใหม่ ๆ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ โอบามาแสดงท่าทีชดเจนที่จะผลักดันแก้ไขปัญหา ั ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์อย่างเอาจริ งเอาจัง แต่ปัจจุบน ก็เป็ นที่ ั ประจักษ์ชดแล้วว่า เขามิได้ดาเนินการอะไรในการที่จะปรับเปลี่ยนนโยบาย หรื อ ั วางแผนเพื่อขับเคลื่อนการเจรจาให้มีความก้าวหน้าเลย นอกเสี ยจาก การออกมา สาธยายเกี่ยวกับความทุกข์ยากของชาวปาเลสไตน์เพียงไม่กี่ครั้ง ประการทีสี่ การยืนเรื่ องขอสถานะความเป็ นรัฐสมาชิกสหประชาชาติของ ่ ่ ปาเลสไตน์ครั้งนี้ เป็ นการกระทาซึ่งเหมือนกับที่อิสราเอลได้เคยทา
  • 10.
    ประการทีห้า คือเหตุผลด้านมนุษยธรรม ภายใต้“ ดครองอย่างผิดกฎหมาย“ ่ การยึ ของ อิสราเอล ปาเลสไตน์ถูกละเมิดสิ ทธิอย่างต่อเนื่องและรุ นแรงมาโดยตลอด อิสราเอล สามารถถืออาวุธมาลอบสังหาร บุกตรวจค้น ทาลายทรัพย์สิน หรื อจับชาวปาเลสไตน์ ไปสอบสวน ทรมาน กักขัง อย่างไรก็ได้ ตามความพอใจ ไม่เคยมีระบบยุติธรรมที่ แท้จริ ง นอกจากนี้ ชาวปาเลสไตน์ “ไม่ได้รับอนุญาต“ ติดต่อกับโลกภายนอกได้ ยง ั ให้ อย่างอิสระ แม้แต่อาหารและยารักษาโรคทุกชนิดที่จะเข้าไป ต้องผ่านการอนุมติจาก ั อิสราเอล ด้วยเหตุน้ ี เวสต์แบงก์และกาซ่าจึงมีสภาพไม่ต่างจาก “ ขนาดใหญ่“ คุก
  • 11.