More Related Content
Similar to โครงการแกล้งดิน
Similar to โครงการแกล้งดิน (20)
โครงการแกล้งดิน
- 1. โครงการแกล้งดิน
พระราชดารัช....
“ ..ที่ที่น้าท่ วมนี่หาประโยชน์ ไม่ ได้ถ้าเราจะทาให้ มันโผล่ พ้น
น้าขึ้นมา มีการระบายน้าออกไป ก็จะเกิดประโยชน์ กัป
ประชาชนในเรื่องของการทามาหากินอย่ างมหาศาล..”
- 2. โครงการแกล้ งดิน
่
ที่มาของโครงการ สื บเนื่ องจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชิ นีนาถ เสด็จแปร
่
พระราชฐานไปยังจังหวัดต่าง ๆ อยูอย่างสม่าเสมอในการเสด็จแปรพระราชฐานทุกครั้งมิได้เพื่อทรงพักผ่อนเช่นสามัญชน
ทัวไป แต่จะเสด็จพระราชดาเนินไปทรงเยียมเยียนราษฎรหรื อติดตามโครงการต่าง ๆ ที่ทรงริ เริ่ มหรื อมีพระราชดาริ ไว้
่ ่
ดังนั้นเพื่อเป็ นการถวายความสะดวกแด่พระประมุขของชาติ รัฐบาลจึงสร้างพระตาหนักน้อมเกล้าฯ ถวายเป็ นที่ประทับใน
คราวเสด็จแปรพระราชฐานไว้ในหลายจังหวัด เช่น พระตาหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ที่จงหวัดเชียงใหม่ พระตาหนักทักษิณราช
ั
นิเวศน์ ที่จงหวัดนราธิวาส เป็ นต้น
ั
จากการเสด็จพระราชดาเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในจังหวัดภาคใต้
ทาให้ทรงทราบว่าราษฎรมีความเดือดร้อนหลายเรื่ องโดยเฉพาะในกลุ่ม
่
ของเกษตร เช่น การขาดแคลนที่ทากินหรื อปัญหาในพื้นที่พรุ ซ่ ึงมีน้ าขังอยูตลอดปี
แม้สามารถทาให้น้ าแห้งได้ ดินในพื้นที่เหล่านั้นก็ยงเป็ นดินเปรี้ ยวจัด
ั
ทาการเกษตรได้ผลน้อยไม่คุมทุนพระองค์ทรงตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้
้
ว่ามีความจานงเร่ งด่วนที่จะต้อง พระราชทานความช่วยเหลือ ดังจะเห็นได้จากความตอนหนึ่งในพระราชดารัสต่อไปนี้
้ ั ้ ั
“ ..ที่ที่น้ าท่วมนี่หาประโยชน์ไม่ได้ถาเราจะทาให้มนโผล่พนน้ าขึ้นมา มีการระบายน้ าออกไป ก็จะเกิดประโยชน์กบประชาชน
ในเรื่ องของการทามาหากินอย่างมหาศาล..”
- 3. พระองค์ทรงมอบให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องร่ วมกันพิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุ งพื้นที่พรุ ซ่ ึงมีน้ าแช่ขงอยูตลอดปี
ั ่
มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการทาเกษตรให้ได้มากที่สุด โดยต้องคานึ งถึงผลกระทบต่อระบบนิ เวศของป่ าพรุ ดวย ้
การที่ดินในป่ าพรุ เป็ นดินเปรี้ ยวจัดก็เพราะ ดินเหล่านี้เป็ นดินที่มีอินทรี ยวัตถุคือรากพืชเน่าเปื่ อยอยู่ ข้างบน และในระดับ
ความลึกประมาณ 1-2 เมตร มีลกษณะเป็ นดินเลนสี เทาปนน้ าเงินซึ่งมีสารประกอบไพไรต์หรื อกามะถันอยูมาก ดังนั้น เมื่อ
ั ่
ดินแห้ง กรดกามะถันก็จะทาปฏิกิริยากับอากาศทาให้แปรสภาพเป็ นดินเปรี้ ยวจัดพระองค์จึงมีพระราชประสงค์จะแก้ไข
ั
ปั ญหานี้ให้กบราษฎร
่ ั
เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2527 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวพระราชทานพระราชดาริ
อันเป็ นต้นกาเนิดของโครงการ แกล้งดิน ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ
ความว่า “..ให้มีการทดลองทาดินให้เปรี้ ยวจัด โดยการระบายน้ าให้แห้งและศึกษา
วิธีการแก้ดินเปรี้ ยว เพื่อนาผลไปแก้ปัญหาดินเปรี้ ยวให้แก่ราษฎรที่มีปัญหาในเรื่ อง
นี้ในเขตจังหวัดนราธิวาส โดยให้ทาโครงการศึกษาทดลองในกาหนด 2 ปี ..”
โครงการ “ แกล้งดิน” จึงกาเนิดขึ้นโดยมีศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ เป็ นหน่วยดาเนิ นการสนองพระราชดาริ
เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็ นกรดของดินกามะถัน
- 4. * แกล้งดินทาอย่างไร
* ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดาริ ได้ทาการศึกษาวิจยและปรับปรุ งดิน โดยวิธีการ "แกล้งดิน" คือ
ั
ทาให้ดินเปรี้ ยว เป็ นกรดจัดรุ นแรงที่สุด กล่าวคือ การทาให้ดินแห้ง และเปี ยกโดยนาน้ าเข้าแปลงทดลองระยะหนึ่ง และ
ระบายน้ าออกให้ดินแห้งระยะหนึ่งสลับกัน จะเป็ นการกระตุนให้เกิดกรดมากยิงขึ้น ด้วยหลักการนี้ พระบาทสมเด็จพระ
้ ่
่ ั
เจ้าอยูหว จึงทรงให้เลียนแบบสภาพธรรมชาติ ซึ่งมีฤดูแล้งและฤดูฝนเป็ นปกติในแต่ละปี แต่ให้ใช้วิธีการร่ นระยะเวลาช่วง
แล้ง และช่วงฝนในรอบปี ให้ส้ นลง โดยปล่อยให้ดินแห้ง 1 เดือน และขังน้ าให้ดินเปี ยกนาน 2 เดือน สลับกันไป เกิดภาวะดิน
ั
แห้ง และดินเปี ยก 4 รอบ ต่อ 1 ปี เสมือนกับมีฤดูแล้งและฤดูฝน 4 ครั้ง ใน 1 ปี หลังจากนั้นจึงให้หาวิธีการปรับปรุ งดิน
ดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจได้
* แกล้งดินแล้วปรับปรุ งดิน
* : วิธีการที่สาคัญ
* เมื่อดาเนินการตามกรรมวิธี "แกล้งดิน"
* แล้วก็ใช้วิธีการปรับปรุ งดิน ซึ่งเปรี้ ยวจัดให้สามารถใช้เพาะปลูกได้ โดยมีหลายวิธีการด้วยกันดังนี้
* แกล้งดินทาอย่างไร
* ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดาริ ได้ทาการศึกษาวิจยและปรับปรุ งดิน โดยวิธีการ "แกล้งดิน" คือ
ั
ทาให้ดินเปรี้ ยว เป็ นกรดจัดรุ นแรงที่สุด กล่าวคือ การทาให้ดินแห้ง และเปี ยกโดยนาน้ าเข้าแปลงทดลองระยะหนึ่ง และ
ระบายน้ าออกให้ดินแห้งระยะหนึ่งสลับกัน จะเป็ นการกระตุนให้เกิดกรดมากยิงขึ้น ด้วยหลักการนี้ พระบาทสมเด็จพระ
้ ่
่ ั
เจ้าอยูหว จึงทรงให้เลียนแบบสภาพธรรมชาติ ซึ่งมีฤดูแล้งและฤดูฝนเป็ นปกติในแต่ละปี แต่ให้ใช้วิธีการร่ นระยะเวลาช่วง
แล้ง และช่วงฝนในรอบปี ให้ส้ นลง โดยปล่อยให้ดินแห้ง 1 เดือน และขังน้ าให้ดินเปี ยกนาน 2 เดือน สลับกันไป เกิดภาวะดิน
ั
แห้ง และดินเปี ยก 4 รอบ ต่อ 1 ปี เสมือนกับมีฤดูแล้งและฤดูฝน 4 ครั้ง ใน 1 ปี หลังจากนั้นจึงให้หาวิธีการปรับปรุ งดิน
ดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจได้
- 5. * แกล้งดินแล้วปรับปรุ งดิน
* : วิธีการที่สาคัญ
* เมื่อดาเนินการตามกรรมวิธี "แกล้งดิน" แล้วก็ใช้วิธีการปรับปรุ งดิน ซึ่งเปรี้ ยวจัดให้สามารถใช้เพาะปลูกได้ โดยมีหลายวิธีการ
ด้วยกันดังนี้
* ใช้ปูน เช่น ปูนขาว หิ นปูนฝุ่ น ใส่ลงไปในดิน แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน ปูนจะทาปฏิกริ ยากับกรดกามะถันในดิน เกิดสารสะเทิน
ปริ มาณกรดในดินจะลดลง ซึ่งหากใส่ในปริ มาณที่มากพอจะช่วย ให้ดินมีสภาพเป็ นกลาง
* - ใช้น้ าจืดล้างกรดและสารพิษออกจากดินโดยตรง วิธีการนี้ใช้เวลานานกว่าวิธีใช้ปูน เนื่องจากกรดจะชะล้างออกไปอย่างช้าๆ
แต่ได้ผลเช่นกัน
* - ยกร่ อง เพื่อปลูกไม้ผลหรื อไม้ยนต้น โดยมีคูน้ าอยูดานข้าง ให้นาหน้าดินจากดินในบริ เวณที่เป็ นคูมา เสริ มหน้าดินเดิมที่เป็ น
ื ่ ้
คันร่ อง ก็จะได้หน้าดินที่หนาขึ้น ส่วนดินที่มีสารไพไรท์จะใช้เสริ มด้านข้าง เมื่อใช้น้ าชะล้างกรดบนสันร่ อง กรดจะถูกน้ าชะ
ล้างไปยังคูดานข้าง แล้วระบายออกไป
้
* - ควบคุมระดับน้ าใต้ดิน ให้อยูเ่ หนือชั้นดินเลนตะกอนทะเล ป้ องกันไม่ให้สารไพไรท์ทาปฎิกริ ยากับออกซิเจน กรดกามะถันจึง
ไม่ถูกปลดปล่อยเพิมขึ้น
่
* - ใช้พืชพันธุทนทานต่อความเป็ นกรด มาปลูกในดินเปรี้ ยว
์
* - ใช้วิธีการต่างๆ ข้างต้นร่ วมกัน
- 6. * การดาเนินงานศึกษาทดลองอย่างต่ อเนื่อง ในโครงการแกล้งดิน
ได้มีการดาเนินการในช่วง ต่างๆ ตามแนวพระราชดาริ ดงนี้ั
ช่วงที่ 1 (มกราคม 2529-กันยายน 2530) เป็ นการศึกษา การเปลี่ยนแปลงทางเคมีของดิน เปรี ยบเทียบระหว่างดินที่ปล่อยทิ้ง
ไว้ตามธรรมชาติ กับดินที่ทาให้แห้งและเปี ยกสลับกัน โดยวิธีการสูบน้ าเข้า-ออก การทาดินให้แห้งและเปี ยกสลับกัน ดิน
จะเป็ นกรดจัดรุ นแรง และมีผล ต่อการเจริ ญเติบโตของพืช พบว่าข้าวสามารถ เจริ ญเติบโตได้ แต่ให้ผลผลิตต่า
* ช่วงที่ 2 (ตุลาคม 2530-ธันวาคม 2532) ศึกษาการเปลี่ยน แปลงทางเคมีของดินโดยเปรี ยบเทียบระหว่างระยะเวลา ที่ทาให้
ดินแห้งและ เปี ยกแตกต่างกัน การปล่อยให้ดินแห้งนานมากขึ้น ความเป็ นกรดจะรุ นแรงมากกว่าการใช้ น้ าแช่ขงดินนานๆ
ั
และการให้น้ าหมุนเวียนโดยไม่มีการระบายออก ทาให้ความเป็ นกรดและ สารพิษสะสมในดินมากขึ้น ในการปลูกข้าว
ทดสอบความรุ นแรงของกรด พบว่าข้าวตายหลังจากปักดาได้ 1 เดือน
* ช่วงที่ 3 (มกราคม 2533-ปัจจุบน) ศึกษาถึงวิธีการปรับปรุ งดิน โดยใช้น้ าชะล้างความเป็ นกรด ใช้น้ าชะล้างควบคู่กบการใช้
ั ั
หิ นปูนฝุ่ น ใช้หินปูนฝุ่ นอัตราต่า เฝ้ าติดตามการเปลี่ยนแปลงของดิน หลังจากที่ปรับปรุ งแล้วปล่อยทิ้งไว้ ไม่มีการใช้
่
ประโยชน์ และศึกษาการเปลี่ยนแปลงของดินเปรี้ ยวจัด เมื่ออยูในสภาพธรรมชาติ ในปริ มาณเล็กน้อย พบว่าวิธีการใช้น้ า
่ ั
ชะล้างดิน โดยขังน้ าไว้นาน 4 สัปดาห์ แล้วระบายออก ควบคูกบการใช้หินปูนฝุ่ นในปริ มาณเล็ก น้อยจะสามารถปรับปรุ ง
ดินเปรี้ ยวจัด ได้เป็ นอย่างดี ส่วนวิธีการใช้น้ าชะล้างก็ให้ผลดีเช่นเดียวกัน แต่ตองใช้เวลานานกว่า หลังจากมีการปรับปรุ ง
้
ดินแล้ว หากปล่อยทิ้งไว้ไม่มีการใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่ อง จะทาให้ดินกลับเป็ นกรดจัดรุ นแรงขึ้นอีก สาหรับพื้นที่ดิน
เปรี้ ยวจัดตามธรรมชาติ ที่ไม่มีการปรับปรุ งการเปลี่ยนแปลง ของความเป็ นกรดน้อยมาก
- 7. * เมื่อปี 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว ได้มีรับสังเมื่อคราวเสด็จพระราชดาเนิน ตรวจแปลงศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็ น
่ ั ่
กรดของดินกามะถันว่า "...นี่เป็ นเหตุผลอย่างหนึ่ ง ที่พดมาสามปี แล้วหรื อสี่ ปี ว่าต้องการน้ าสาหรับมาให้ดินทางาน ดินทางาน
ู
แล้วดินจะหายโกรธ อันนี้ไม่มีใครเชื่อ แล้วก็มาทาที่น้ ี แล้วมันได้ผล... อันนี้ผลงานของเราที่ทาที่นี่ เป็ นงานที่สาคัญที่สุด เชื่ อว่า
ชาวต่างประเทศ เขามาดูเราทาอย่างนี้แล้ว เขาก็พอใจ เขามีปัญหานี่ แล้วเขาก็ไม่ได้ แก้หาตาราไม่ได้ ..." ศูนย์ศึกษาการพัฒนา
พิกุลทอง อันเนื่องมา จากพระราชดาริ จึงได้จดทาคู่มือ การปรับปรุ งดินเปรี้ ยวจัด เพื่อการเกษตรขึ้นเมื่อปี 2536
ั
* สภาพพื้นที่พรุ ที่ไม่สามารถทาการเกษตรได้ การยกร่ อง
* ดินทางานแล้วดินจะหายโกรธ ภาพหน้าตัดชั้นของดินที่เป็ นกรด จากพระราชดาริ จึงได้จดทาคู่มือ
ั
- 8. * วิธีการปรับปรุ งดินเปรี้ ยวจัดเพื่อการเกษตร
* 1.เพื่อปลูกข้าว ในเขตชลประทาน ถ้าดินมีค่า pH น้อยกว่า 4.0 ใช้ปูนในอัตราส่วนประมาณ 1.5 ตันต่อไร่ และถ้าดินมีค่า pH
ระหว่าง 4.0-4.5 ให้ใช้ปูนในอัตรา 1 ตันต่อไร่
* ในเขตเกษตรน้ าฝน ดินที่มีค่า pH น้อยกว่า 4.0 ใช้ปูนในอัตราประมาณ 2.5 ตันต่อไร่ และถ้าดินมีค่า pH ระหว่าง 4.0-4.5 ใช้
ปูนในอัตรา 1.5 ตันต่อไร่
* ขั้นตอนการปรับปรุ งดินเปรี้ ยวเพื่อปลูกข้าว
* 1.เมื่อหว่านปูนแล้วให้ทาการไถแปร
* 2.ปล่อยน้ าเข้าในนาแล้วแช่ขงไว้ประมาณ 10 วัน
ั
* 3.จากนั้นให้ระบายน้ าออกเป็ นการชะล้างสารพิษ
* 4.ปล่อยน้ าเข้าไปขังใหม่เพื่อใช้ในการปักดา
* 2. เพื่อปลูกพืชล้มลุก จะแยกเป็ นการปลูกผักและการปลูกพืชไร่
* 2.1 การปลูกพืชผัก มีลาดับขั้นตอนดังนี้ คือ
* 1) ยกร่ องสวน โดยใช้สนร่ องมีขนาดกว้างประมาณ 6-7 เมตร มีคูระบายน้ ากว้าง 1.5 เมตรและลึกประมาณ 50 เซนติเมตร
ั
หรื อลึกพอถึงระดับขั้นดินเลนที่มีสารประกอบไพไรต์มาก
*
- 9. * 3) ทาแปลงย่อยบนสันร่ อง โดยยกแปลงให้สูงประมาณ 25-30 เซนติเมตร กว้างประมาณ1-2 เมตร เพื่อระบายน้ าบนสัน
ร่ องและเพื่อป้ องกันไม่ให้แปลงย่อยแฉะเมื่อรดน้ าหรื อเมื่อมีฝนตก
* 4) ใส่วสดุปูนเพื่อลดความเป็ นกรดของดินคือใช้หินปูนฝุ่ นหรื อปูนมาร์ลอัตราประมาณ 2-3 ตันต่อไร่ หรื อประมาณ 2
ั
กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร โดยการคลุกเคล้าปูนให้เข้ากับดินและทิ้งไว้ 15 วัน
* 5) ใส่ปยหมักหรื อปุ๋ ยอินทรี ยในอัตรา 5 ตันต่อไร่ หรื อประมาณ 3 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร โดยใส่ก่อนปลูก 1 วัน
ุ๋ ์
เพื่อปรับปรุ งดินให้ร่วนซุยมีส่วนประกอบของดินดี
แกล้งดินสาเร็จแล้วราษฎรได้ประโยชน์ อะไร
* เมื่อผลของการศึกษาทดลอง สาเร็ จผลชั้นหนึ่ง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ได้นาผลการศึกษาทดลองขยายผลสู่พ้น ที่
ื
่
ทาการเกษตรของราษฎร ที่ประสบปัญหาดินเปรี้ ยวจัด ซึ่งในเรื่ องนี้ได้มีพระราชดาริ วา
* "...พื้นที่บริ เวณบ้านโคกอิฐ และโคกในเป็ นดินเปรี้ ยว เกษตรกรมีความต้องการจะปลูกข้าว ทางชลประทานได้จดส่งน้ า
ั
ชลประทานให้ ก็ให้พฒนาดินเปรี้ ยว เหล่านี้ให้ใช้ประโยชน์ได้ โดยให้ประสานงานกับชลประทาน..."
ั
* จากการพัฒนาบ้านโคกอิฐ และบ้านโคกใน ปรากฏว่าราษฎรในพื้นที่ดงกล่าว สามารถปลูกข้าวให้ได้ผล ผลิตเพิมมากขึ้น
ั ่
่
จนเป็ นที่พอพระราชหฤทัย ถึงกับมีรับสังว่า "...เราเคยมาโคกอิฐ โคกใน มาดูเขาชี้ตรงนั้นๆ เขาทา แต่วาเขาได้เพียง 5 ถึง
่
10 ถัง แต่ตอนนี้ได้ข้ ึนไปถึง 40-50 ถัง ก็ใช้ได้แล้ว เพราะว่าทาให้เปรี้ ยวเต็มที่แล้ว โดยที่ขดอะไรๆ ทาให้เปรี้ ยวแล้วก็
ุ
ระบาย รู้สึกว่านับวันเขาจะดีข้ ึน... อันนี้สิเป็ นชัยชนะที่ดีใจมาก ที่ใช้งานได้แล้ว ชาวบ้านเขาก็ดีข้ ึน ...แต่ก่อนชาวบ้านเขา
ต้องซื้อ ข้าว เดี๋ยวนี้เขามีขาวอาจจะขายได้
้
- 10. * อย่างไรก็ตาม " โครงการแกล้งดิน " มิได้หยุดลงเฉพาะที่ใดที่หนึ่ง แต่จะต้องดาเนินการต่อไป "...งานปรับปรุ งดินเปรี้ ยว
ควรดาเนิ นการต่อไป ทั้งในแง่การศึกษาทดลองและการขยายผล..." ซึ่ งปั จจุบนได้นาผลการศึกษาทดลอง ไปขยายผลแก่
ั
ราษฎรในเขตจังหวัดนราธิวาส และจังหวัดอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิง ขณะนี้ จะมีการนาผลของการ "แกล้งดิน" นาไปใช้ใน
่
พื้นที่จงหวัดนครนายก และจังหวัดนครศรี ธรรมราชอีกด้วย
ั
* ดังนั้น " โครงการแกล้งดิน "
* จึงเป็ นโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์กบราษฎรทัว ทั้งประเทศ
ั ่
่ ั
สร้างความปลื้มปิ ติ แก่เหล่าพสกนิกรเป็ นล้นพ้นที่พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว
ทรง ยอมตรากตราพระวรกายลงมา "แกล้งดิน" เพื่อให้พสกนิกร
ของพระองค์ พ้นจากความยากจนกลับ มาเบิกบานแจ่มใสกันทัวหน้า
่