เสนอ
คุณครูสุทิศา ตันติ
    กุลวิจิตร
จัดทำาโดย
นายศุภชัยพัทธดนย์ กันหา
                  เลขที่ 8
   นายสมัธฌา     ขอนดอน
                  เลขที่ 9
นายอภิชาต ศรีอรัญญ เลขที่
                        11
นางสาวชุติมา เชิดสุข เลข
                    ที่ 18
สื่อชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา
            เคมี ว 40224
   ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
               2552
โรงเรียนอรัญประเทศ อำาเภอ
อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
สำานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
         สระแก้วเขต 2
ปัจจุบันความรู้เรื่องการเกิดนำ้ามันมี
การตังทฤษฎีมากมาย แต่ทได้รบความ
       ้                      ี่ ั
เชื่อถือมากทีสุด คือ ทฤษฎีทางอินทรีย์
               ่
เคมี (Organic Theory) ทีอาศัยหลัก
                            ่
การทางอินทรีย์เคมี และชีวเคมี
ประกอบเข้าด้วยกัน นั่นคือ ปิโตรเลียม
เกิดจากการทับถม และแปรสภาพของ
ซากสิงมีชีวิตทังพืชและสัตว์ยุคก่อน
         ่       ้
ประวัตศาสตร์ในชันหินใต้พื้นผิวโลก
           ิ       ้
กล่าวคือ สิงมีชีวิตทังพืชและสัตว์ที่
             ่       ้
เจริญเติบโตและอาศัยอยู่ในโลกนับ
เมือชันตะกอนต่างๆ ถูกทับถมมาก
           ่ ้
ขึ้นจนหนานับเป็นร้อยๆ พันๆ เมตร เกิด
นำ้าหนักกดทับกลายเป็นชันหินต่างๆ เช่น
                          ้
ชั้นหินทราย, ชันหินปูนและชั้น
                 ้
หินดินดาน ความกดดันจากชันหินเหล่า
                                ้
นี้กับความร้อนใต้ผวพื้นโลก และการ
                    ิ
สลายตัวของอินทรียสารโดยแบคทีเรียที่
ไม่ตองการอากาศ (Anaerobic
      ้
Bacteria) ทำาให้ซากพืชและสัตว์สลาย
ตัวกลายสภาพเป็นหยดนำ้ามันและก๊าซ
ธรรมชาติหรือปิโตรเลียม โดยมีธาตุ
ไฮโดรเจนและธาตุคาร์บอนซึงได้จาก
                              ่
ปิโตรเลียม
การสำารวจหาแหล่งนำ้ามัน เป็นการหาพื้นที่ซึ่ง
อาจจะอุ้มนำ้ามัน หรือลักษณะของหินใต้ดินที่
จะเป็น Traps สามารถแบ่งได้เป็น
       1. ขันตอนการสำารวจหาข้อมูล
            ้
(Exploration) เพื่อหาแหล่งนำ้ามัน เช่น การทำา
Seismic survey คือการทำาให้เกิดเสียงผ่านไปยัง
ใต้พื้นโลก แล้ววัดเสียงหรือความสั่นสะเทือนที่
สะท้อนกลับมา จะทำาให้รู้รายละเอียดของชันหินมาก
                                         ้
ขึ้น เมือพบว่าลักษณะของชั้นหินเป็นลักษณะที่มี
        ่
โอกาสมีนำ้ามัน อาจทำาการขุดเจาะเพื่อหาข้อมูลเพิ่ม
เติม เป็นต้น
       2.ขั้นตอนการขุดเจาะ (Drilling) คือการขุด
ปิโตรเลียม (Petroleum) เป็น
สารประกอบสถานะต่างๆ ที่มไฮโดรคาร์บอน
                           ี
เป็นตัวประกอบหลัก ได้แก่ นำ้ามันดิบ ก๊าซ
ธรรมชาติ และก๊าซธรรมชาติเหลว เหลว
(Condensate) นอกจากนี้ก็มสารอินทรีย์ทมี
                              ี             ี่
กำามะถัน ออกซิเจนและไนโตรเจนเป็นองค์
ประกอบอีกหลายชนิด ทั้งนี้ นำ้ามันดิบจะมี
คุณลักษณะและคุณสมบัติแตกต่างกันไปตาม
สัดส่วนของไฮโดรคาร์บอนประเภทต่างๆ ที่มี
อยู่ ซึ่งจะผิดแผกไปตามที่มา ซึ่งถือเป็นเรื่อง
สำาคัญในการกำาหนดคุณค่าของนำ้ามัน การ
กำาหนดวิธีการและกระบวนการผลิตที่เหมาะ
สมในการกลั่นนำ้ามันต่อไป
นำ้ามัน ถ่านหิน หินนำ้ามัน ทรายนำ้ามัน
จริงๆ แล้วก็คือซากสัตว์และซากพืชที่ตาย
มานานนับเป็นล้านปี และทับถมสะสมกันจน
จมอยู่ใต้ดิน แล้วเปลี่ยนรูปเป็นสิ่งที่เรียกว่า
ฟอสซิล ระหว่างนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลง
ตามธรรมชาติจนซากสัตว์และซากพืชหรือ
ฟอสซิลนั้นกลายเป็นนำ้ามันดิบ ถ่านหิน
กาซธรรมชาติ ฯลฯ เราจึงเรียกเชื้อเพลิง
ประเภทนี้ว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล
     ในทางวิทยาศาสตร์ เรารู้กันดีว่าต้น
พืชและสัตว์รวมทังคน ประกอบด้วยเซลล์
                  ้
เล็กๆ มากมาย เซลล์เหล่านี้ประกอบด้วย
ธาตุไฮโดรเจนและธาตุคาร์บอนเป็นหลัก
    ไฮโดรเจน
พวกนี้จึงมีองค์ประกอบของสาร
ไฮโดรคาร์บอน (คือธาตุไฮโดรเจนรวมกับ
ธาตุคาร์บอน) เป็นส่วนใหญ่ และ
ไฮโดรคาร์บอนนี้แหละเมือนำามาเผาจะให้
                         ่
พลังงานออกมาแบบเดียวกับที่เราเผาฟืน
เพียงแต่นำ้ามันมีความร้อนมากกว่าฟืน
นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบสอดแทรกอื่นๆ
บ้าง เช่น กำามะถัน (เวลาเอามาเผาจะรวมกับ
ออกซิเจน ได้เป็นก๊าซพิษคือกำามะถันได
ออกไซด์)
      โลกเราใช้เวลานานมาก (เป็นล้านปี)
กว่าจะผลิตนำ้ามันได้แต่ละลิตร แต่เราเอามา
ทะเลอุปกรณ์ทใช้ในการสำารวจ
            ี่
     1.เรือสำารวจ พร้อมอุปกรณ์การ
สำารวจ และระบบสื่อสารที่ทันสมัย เรือ
สำารวจมีความยาวประมาณ 50-80 เมตร
กว้าง 15-20 เมตร Tonnage Gross
ประมาณ 3,000-6,000 ตัน
     2.อุปกรณ์ต้นกำาเนิดสัญญาณคลื่น
(Air Gun) เป็นรูปทรงกระบอก ใช้อัด
อากาศ ให้มีความดัน ประมาณ 2,000
ปอนด์ต่อตารางนิ้ว แล้วปล่อยอากาศออก
มา ทำาให้เกิดสัญญาณคลื่น
     3.อุปกรณ์รับสัญญาณคลื่น
(Hydrophone) อยู่ลึกจากผิวนำ้า 5-8
เมตร ต่อพ่วงกัน ยาวประมาณ 3,000
ต้องเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวาง และอุปกรณ์
ประมงต่างๆ ออกจากแนวสำารวจ รวมทั้ง
ติดต่อกับเรืออื่นๆ ไม่ให้แล่นตัดเข้ามาในแนว
ของเรือสำารวจ ในช่วงดำาเนินการ อุปกรณ์
ประมง รวมทั้งสิ่งกีดขวางที่ถูกเคลื่อนย้าย จะ
มีการจดบันทึกรายละเอียด หมายเลข รหัส
ตำาแหน่ง พิกัด ไว้เป็นหลักฐานหาก มีความ
เสียหาย ก็จะได้รบการชดเชยค่าเสียหาย
                  ั
ตามความเป็นจริง ต่อไป
   2.กำาหนดตำาแหน่งเรือสำารวจตามแนวที่
วางไว้ในแผนที่ โดยอาศัยเครื่องมือบอก
ตำาแหน่ง DGPS ซึ่งจะส่งสัญญาณจาก
ดาวเทียม และสถานีภาคพื้นดินเป็นตัวเปรียบ
เทียบ เพื่อบอกตำาแหน่งที่แน่นอนของเรือ
ออก-ตะวันตก และทิศเหนือ-ใต้) อุปกรณ์ต้น
กำำเนิดคลื่นเสียงจะส่งสัญญำณคลื่นทุก 5-10
วินำที ผ่ำนนำำำทะเลลงไปสูชัำนดิน-หินใต้พน
                          ่             ืำ
ทะเล และสะท้อนกลับมำ สู่ตัวรับสัญญำณ
   4.สัญญำณที่ได้จะถูกบันทึกลงบนแถบแม่
เหล็ก ซึงจะต้องประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์
        ่
เพือแสดงภำพตัดขวำงใต้ผิวดิน แสดง
   ่
ลักษณะโครงสร้ำงทำงธรณี และกำรวำงตัว
ของชัำนหิน
   5.ข้อมูลกำรสำำรวจที่ผ่ำนกำรประมวลผล
ทำงคอมพิวเตอร์ จะถูกนำำไปแปลควำมหมำย
โดยนักธรณีฟิสิกส์ เพื่อตรวจสอบลักษณะกำร
วำงตัว โครงสร้ำงของชัำนหิน และเป็นข้อมูล
(กม.) ของแนวสำารวจทั้งหมด และสภาพ
อากาศ แนวสำารวจอาจมีความยาวตั้งแต่ 5 กม.
ถึง มากกว่า 100 กม. ตามขนาดของพื้นที่
สำารวจ แนวสำารวจจะวางตัวขนานกัน ตลอด
ความยาว ระยะห่างระหว่างแนวประมาณ 10
เมตร ถึงมากกว่า 5 กม. ขึ้นกับความละเอียด
ของข้อมูลทีต้องการ เรือสำารวจ ปฎิบัติงานได้
            ่
เฉลี่ยประมาณ 100-500 กม. ต่อวัน หรืออาจ
สำารวจได้ถึง 250 กม. ต่อวัน หากไม่มีอุปสรรค
ด้านสภาพอากาศ กระแสนำ้า ความหนาแน่น
การประมง และการเดินเรือ เป็นต้น การสำารวจ
วัดคลื่นไหวสะเทือน อาจมีผลกระทบโดยตรง
ต่อการทำาประมง ซึ่งจะต้องงดเว้น หรือหลีก
เลี่ยงการทำาประมง หรือต้องเคลื่อนย้าย
อย่างไรก็ตาม การเดินเรือ หรือการทำา
ประมงก็สามารถกระทำาได้ตามปกติ ในระยะ
ห่างไม่น้อยกว่า 500 เมตร จากเรือสำารวจ
และอุปกรณ์สำารวจ (สายเคเบิลพร้อม
อุปกรณ์รับสัญญาณ ความยาวประมาณ
3,000 เมตร อาจมีมากกว่า 1 สาย และอยู่ลึก
จากผิวนำ้า 5-8 เมตร) การประสานงาน และ
ประชาสัมพันธ์มีความสำาคัญอย่างยิ่งต่อการ
สำารวจ ผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะได้รับทราบ
แผนการสำารวจ ขอบเขตพื้นที่ และกำาหนด
เวลาการสำารวจล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์
ถึง 1 เดือน การสำารวจที่ผ่านมาได้รับความ
อนุเคราะห์ และความร่วมมือด้วยดีจากหน่วย
จากกิจการอุตสาหกรรมต่างๆ กำาลังได้
รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก
ทำาให้นโยบายการอนุรกษ์และรักษา
                      ั
คุณภาพสิ่งแวดล้อม เพิ่มความสำาคัญ
มากขึ้น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ
ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้เน้น
ความสำาคัญในเรื่อง การกำากับดูแล
ตรวจสอบ การจัดทำาคูมอปฏิบัตงาน ข้อ
                     ่ ื      ิ
กำาหนดด้านสิ่งแวดล้อม สำาหรับการ
สำารวจและพัฒนาปิโตรเลียม ของผู้
ประกอบกิจการ ให้ดำาเนินการด้วย
เทคนิควิธีการที่เหมาะสม ถูกต้องตาม
หลักวิชาการ มีผลกระทบต่อสิงแวดล้อม
                            ่
ปิโตรเลียมของบริษทผู้รับสัมปทาน ภายใต้
                      ั
บังคับแห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.
2514 โดยมีข้อกำาหนดที่เกี่ยวข้องกับการ
ป้องกันผลกระทบและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้แก่
มาตรา 74 มาตรา 75 มาตรา 80 กฎกระทรวง
(ออกตามความในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม
พ.ศ. 2514) ฉบับที่ 4 และฉบับที่ 5 เป็นต้น ซึ่ง
มีข้อกำาหนดไว้อย่างกว้างๆ ไม่มวิธีปฏิบัติที่
                                   ี
ชัดเจน กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จึงได้พิจารณา
จัดทำาข้อกำาหนด มาตรฐาน ขั้นตอนและวิธี
ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การ
กำาจัดเศษดิน หินจากหลุมเจาะ การบำาบัดนำ้าทิ้ง
การกำาจัดนำ้าทิ้งที่ปนเปื้อนนำ้ามัน และการ
กำาหนดมาตรฐานนำ้าทิ้ง เป็นต้น เพื่อให้เป็น
ประเภทและขนาดของโครงการ หรือ
กิจการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ
เอกชน ที่ต้องจัดทำารายงานการวิเคราะห์
ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ 3 (พ.ศ.
2539) ลงวันที่ 22 มกราคม 2539 กำาหนด
ให้การสำารวจ และ/หรือผลิตปิโตรเลียม
ทุกขนาด รวมถึงระบบการขนส่งปิโตรเลียม
และนำ้ามันเชื้อเพลิงทางท่อทุกขนาด เป็น
โครงการ 1 ใน 5 โครงการ ที่ประกาศเพิ่ม
จะต้องจัดทำารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พัฒนาการที่สำาคัญเกี่ยวกับการควบคุมสิ่ง
แวดล้อมในงานอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ
คือ การประกาศใช้ ISO 14000 ของ
องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน
ISO 14000 แล้ว 2 ราย คือ บริษท ปตท.
                               ั
สำารวจและผลิตปิโตรเลียม จำากัด
(มหาชน) (สำาหรับแหล่งนำ้ามันดิบ
อู่ทอง) และบริษัทยูโนแคล ไทยแลนด์
นอกจากนี้บริษัทไทยโป อยู่ในระหว่าง
การยื่นขอใบรับรองสำาหรับแหล่งก๊าซ
ทานตะวัน ปัจจุบันกรมเชื้อเพลิง
ธรรมชาติ มีนโยบายนำาระบบบริหาร
คุณภาพ ISO 9000 มาใช้ปรับปรุงการ
บริหารงานภายใน และได้รับการรับรอง
จากสำานักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม
(สมอ.) นับว่าเป็นก้าวสำาคัญของการ
บริหารคุณภาพ และการจัดการ ด้านการ
สำารวจและผลิตปิโตรเลียม ให้มี
การสำรวจปิโตรเลียม

การสำรวจปิโตรเลียม

  • 2.
  • 3.
    จัดทำาโดย นายศุภชัยพัทธดนย์ กันหา เลขที่ 8 นายสมัธฌา ขอนดอน เลขที่ 9 นายอภิชาต ศรีอรัญญ เลขที่ 11 นางสาวชุติมา เชิดสุข เลข ที่ 18
  • 4.
    สื่อชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา เคมี ว 40224 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนอรัญประเทศ อำาเภอ อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว สำานักงานเขตพื้นที่การศึกษา สระแก้วเขต 2
  • 6.
    ปัจจุบันความรู้เรื่องการเกิดนำ้ามันมี การตังทฤษฎีมากมาย แต่ทได้รบความ ้ ี่ ั เชื่อถือมากทีสุด คือ ทฤษฎีทางอินทรีย์ ่ เคมี (Organic Theory) ทีอาศัยหลัก ่ การทางอินทรีย์เคมี และชีวเคมี ประกอบเข้าด้วยกัน นั่นคือ ปิโตรเลียม เกิดจากการทับถม และแปรสภาพของ ซากสิงมีชีวิตทังพืชและสัตว์ยุคก่อน ่ ้ ประวัตศาสตร์ในชันหินใต้พื้นผิวโลก ิ ้ กล่าวคือ สิงมีชีวิตทังพืชและสัตว์ที่ ่ ้ เจริญเติบโตและอาศัยอยู่ในโลกนับ
  • 7.
    เมือชันตะกอนต่างๆ ถูกทับถมมาก ่ ้ ขึ้นจนหนานับเป็นร้อยๆ พันๆ เมตร เกิด นำ้าหนักกดทับกลายเป็นชันหินต่างๆ เช่น ้ ชั้นหินทราย, ชันหินปูนและชั้น ้ หินดินดาน ความกดดันจากชันหินเหล่า ้ นี้กับความร้อนใต้ผวพื้นโลก และการ ิ สลายตัวของอินทรียสารโดยแบคทีเรียที่ ไม่ตองการอากาศ (Anaerobic ้ Bacteria) ทำาให้ซากพืชและสัตว์สลาย ตัวกลายสภาพเป็นหยดนำ้ามันและก๊าซ ธรรมชาติหรือปิโตรเลียม โดยมีธาตุ ไฮโดรเจนและธาตุคาร์บอนซึงได้จาก ่
  • 8.
    ปิโตรเลียม การสำารวจหาแหล่งนำ้ามัน เป็นการหาพื้นที่ซึ่ง อาจจะอุ้มนำ้ามัน หรือลักษณะของหินใต้ดินที่ จะเป็นTraps สามารถแบ่งได้เป็น 1. ขันตอนการสำารวจหาข้อมูล ้ (Exploration) เพื่อหาแหล่งนำ้ามัน เช่น การทำา Seismic survey คือการทำาให้เกิดเสียงผ่านไปยัง ใต้พื้นโลก แล้ววัดเสียงหรือความสั่นสะเทือนที่ สะท้อนกลับมา จะทำาให้รู้รายละเอียดของชันหินมาก ้ ขึ้น เมือพบว่าลักษณะของชั้นหินเป็นลักษณะที่มี ่ โอกาสมีนำ้ามัน อาจทำาการขุดเจาะเพื่อหาข้อมูลเพิ่ม เติม เป็นต้น 2.ขั้นตอนการขุดเจาะ (Drilling) คือการขุด
  • 9.
    ปิโตรเลียม (Petroleum) เป็น สารประกอบสถานะต่างๆที่มไฮโดรคาร์บอน ี เป็นตัวประกอบหลัก ได้แก่ นำ้ามันดิบ ก๊าซ ธรรมชาติ และก๊าซธรรมชาติเหลว เหลว (Condensate) นอกจากนี้ก็มสารอินทรีย์ทมี ี ี่ กำามะถัน ออกซิเจนและไนโตรเจนเป็นองค์ ประกอบอีกหลายชนิด ทั้งนี้ นำ้ามันดิบจะมี คุณลักษณะและคุณสมบัติแตกต่างกันไปตาม สัดส่วนของไฮโดรคาร์บอนประเภทต่างๆ ที่มี อยู่ ซึ่งจะผิดแผกไปตามที่มา ซึ่งถือเป็นเรื่อง สำาคัญในการกำาหนดคุณค่าของนำ้ามัน การ กำาหนดวิธีการและกระบวนการผลิตที่เหมาะ สมในการกลั่นนำ้ามันต่อไป
  • 10.
    นำ้ามัน ถ่านหิน หินนำ้ามันทรายนำ้ามัน จริงๆ แล้วก็คือซากสัตว์และซากพืชที่ตาย มานานนับเป็นล้านปี และทับถมสะสมกันจน จมอยู่ใต้ดิน แล้วเปลี่ยนรูปเป็นสิ่งที่เรียกว่า ฟอสซิล ระหว่างนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลง ตามธรรมชาติจนซากสัตว์และซากพืชหรือ ฟอสซิลนั้นกลายเป็นนำ้ามันดิบ ถ่านหิน กาซธรรมชาติ ฯลฯ เราจึงเรียกเชื้อเพลิง ประเภทนี้ว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล ในทางวิทยาศาสตร์ เรารู้กันดีว่าต้น พืชและสัตว์รวมทังคน ประกอบด้วยเซลล์ ้ เล็กๆ มากมาย เซลล์เหล่านี้ประกอบด้วย ธาตุไฮโดรเจนและธาตุคาร์บอนเป็นหลัก ไฮโดรเจน
  • 11.
    พวกนี้จึงมีองค์ประกอบของสาร ไฮโดรคาร์บอน (คือธาตุไฮโดรเจนรวมกับ ธาตุคาร์บอน) เป็นส่วนใหญ่และ ไฮโดรคาร์บอนนี้แหละเมือนำามาเผาจะให้ ่ พลังงานออกมาแบบเดียวกับที่เราเผาฟืน เพียงแต่นำ้ามันมีความร้อนมากกว่าฟืน นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบสอดแทรกอื่นๆ บ้าง เช่น กำามะถัน (เวลาเอามาเผาจะรวมกับ ออกซิเจน ได้เป็นก๊าซพิษคือกำามะถันได ออกไซด์) โลกเราใช้เวลานานมาก (เป็นล้านปี) กว่าจะผลิตนำ้ามันได้แต่ละลิตร แต่เราเอามา
  • 13.
    ทะเลอุปกรณ์ทใช้ในการสำารวจ ี่ 1.เรือสำารวจ พร้อมอุปกรณ์การ สำารวจ และระบบสื่อสารที่ทันสมัย เรือ สำารวจมีความยาวประมาณ 50-80 เมตร กว้าง 15-20 เมตร Tonnage Gross ประมาณ 3,000-6,000 ตัน 2.อุปกรณ์ต้นกำาเนิดสัญญาณคลื่น (Air Gun) เป็นรูปทรงกระบอก ใช้อัด อากาศ ให้มีความดัน ประมาณ 2,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว แล้วปล่อยอากาศออก มา ทำาให้เกิดสัญญาณคลื่น 3.อุปกรณ์รับสัญญาณคลื่น (Hydrophone) อยู่ลึกจากผิวนำ้า 5-8 เมตร ต่อพ่วงกัน ยาวประมาณ 3,000
  • 16.
    ต้องเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวาง และอุปกรณ์ ประมงต่างๆ ออกจากแนวสำารวจรวมทั้ง ติดต่อกับเรืออื่นๆ ไม่ให้แล่นตัดเข้ามาในแนว ของเรือสำารวจ ในช่วงดำาเนินการ อุปกรณ์ ประมง รวมทั้งสิ่งกีดขวางที่ถูกเคลื่อนย้าย จะ มีการจดบันทึกรายละเอียด หมายเลข รหัส ตำาแหน่ง พิกัด ไว้เป็นหลักฐานหาก มีความ เสียหาย ก็จะได้รบการชดเชยค่าเสียหาย ั ตามความเป็นจริง ต่อไป 2.กำาหนดตำาแหน่งเรือสำารวจตามแนวที่ วางไว้ในแผนที่ โดยอาศัยเครื่องมือบอก ตำาแหน่ง DGPS ซึ่งจะส่งสัญญาณจาก ดาวเทียม และสถานีภาคพื้นดินเป็นตัวเปรียบ เทียบ เพื่อบอกตำาแหน่งที่แน่นอนของเรือ
  • 17.
    ออก-ตะวันตก และทิศเหนือ-ใต้) อุปกรณ์ต้น กำำเนิดคลื่นเสียงจะส่งสัญญำณคลื่นทุก5-10 วินำที ผ่ำนนำำำทะเลลงไปสูชัำนดิน-หินใต้พน ่ ืำ ทะเล และสะท้อนกลับมำ สู่ตัวรับสัญญำณ 4.สัญญำณที่ได้จะถูกบันทึกลงบนแถบแม่ เหล็ก ซึงจะต้องประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ่ เพือแสดงภำพตัดขวำงใต้ผิวดิน แสดง ่ ลักษณะโครงสร้ำงทำงธรณี และกำรวำงตัว ของชัำนหิน 5.ข้อมูลกำรสำำรวจที่ผ่ำนกำรประมวลผล ทำงคอมพิวเตอร์ จะถูกนำำไปแปลควำมหมำย โดยนักธรณีฟิสิกส์ เพื่อตรวจสอบลักษณะกำร วำงตัว โครงสร้ำงของชัำนหิน และเป็นข้อมูล
  • 19.
    (กม.) ของแนวสำารวจทั้งหมด และสภาพ อากาศแนวสำารวจอาจมีความยาวตั้งแต่ 5 กม. ถึง มากกว่า 100 กม. ตามขนาดของพื้นที่ สำารวจ แนวสำารวจจะวางตัวขนานกัน ตลอด ความยาว ระยะห่างระหว่างแนวประมาณ 10 เมตร ถึงมากกว่า 5 กม. ขึ้นกับความละเอียด ของข้อมูลทีต้องการ เรือสำารวจ ปฎิบัติงานได้ ่ เฉลี่ยประมาณ 100-500 กม. ต่อวัน หรืออาจ สำารวจได้ถึง 250 กม. ต่อวัน หากไม่มีอุปสรรค ด้านสภาพอากาศ กระแสนำ้า ความหนาแน่น การประมง และการเดินเรือ เป็นต้น การสำารวจ วัดคลื่นไหวสะเทือน อาจมีผลกระทบโดยตรง ต่อการทำาประมง ซึ่งจะต้องงดเว้น หรือหลีก เลี่ยงการทำาประมง หรือต้องเคลื่อนย้าย
  • 20.
    อย่างไรก็ตาม การเดินเรือ หรือการทำา ประมงก็สามารถกระทำาได้ตามปกติในระยะ ห่างไม่น้อยกว่า 500 เมตร จากเรือสำารวจ และอุปกรณ์สำารวจ (สายเคเบิลพร้อม อุปกรณ์รับสัญญาณ ความยาวประมาณ 3,000 เมตร อาจมีมากกว่า 1 สาย และอยู่ลึก จากผิวนำ้า 5-8 เมตร) การประสานงาน และ ประชาสัมพันธ์มีความสำาคัญอย่างยิ่งต่อการ สำารวจ ผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะได้รับทราบ แผนการสำารวจ ขอบเขตพื้นที่ และกำาหนด เวลาการสำารวจล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน การสำารวจที่ผ่านมาได้รับความ อนุเคราะห์ และความร่วมมือด้วยดีจากหน่วย
  • 25.
    จากกิจการอุตสาหกรรมต่างๆ กำาลังได้ รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก ทำาให้นโยบายการอนุรกษ์และรักษา ั คุณภาพสิ่งแวดล้อม เพิ่มความสำาคัญ มากขึ้น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้เน้น ความสำาคัญในเรื่อง การกำากับดูแล ตรวจสอบ การจัดทำาคูมอปฏิบัตงาน ข้อ ่ ื ิ กำาหนดด้านสิ่งแวดล้อม สำาหรับการ สำารวจและพัฒนาปิโตรเลียม ของผู้ ประกอบกิจการ ให้ดำาเนินการด้วย เทคนิควิธีการที่เหมาะสม ถูกต้องตาม หลักวิชาการ มีผลกระทบต่อสิงแวดล้อม ่
  • 26.
    ปิโตรเลียมของบริษทผู้รับสัมปทาน ภายใต้ ั บังคับแห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 โดยมีข้อกำาหนดที่เกี่ยวข้องกับการ ป้องกันผลกระทบและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้แก่ มาตรา 74 มาตรา 75 มาตรา 80 กฎกระทรวง (ออกตามความในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514) ฉบับที่ 4 และฉบับที่ 5 เป็นต้น ซึ่ง มีข้อกำาหนดไว้อย่างกว้างๆ ไม่มวิธีปฏิบัติที่ ี ชัดเจน กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จึงได้พิจารณา จัดทำาข้อกำาหนด มาตรฐาน ขั้นตอนและวิธี ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การ กำาจัดเศษดิน หินจากหลุมเจาะ การบำาบัดนำ้าทิ้ง การกำาจัดนำ้าทิ้งที่ปนเปื้อนนำ้ามัน และการ กำาหนดมาตรฐานนำ้าทิ้ง เป็นต้น เพื่อให้เป็น
  • 27.
    ประเภทและขนาดของโครงการ หรือ กิจการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจหรือ เอกชน ที่ต้องจัดทำารายงานการวิเคราะห์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2539) ลงวันที่ 22 มกราคม 2539 กำาหนด ให้การสำารวจ และ/หรือผลิตปิโตรเลียม ทุกขนาด รวมถึงระบบการขนส่งปิโตรเลียม และนำ้ามันเชื้อเพลิงทางท่อทุกขนาด เป็น โครงการ 1 ใน 5 โครงการ ที่ประกาศเพิ่ม จะต้องจัดทำารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม พัฒนาการที่สำาคัญเกี่ยวกับการควบคุมสิ่ง แวดล้อมในงานอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ คือ การประกาศใช้ ISO 14000 ของ องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน
  • 28.
    ISO 14000 แล้ว2 ราย คือ บริษท ปตท. ั สำารวจและผลิตปิโตรเลียม จำากัด (มหาชน) (สำาหรับแหล่งนำ้ามันดิบ อู่ทอง) และบริษัทยูโนแคล ไทยแลนด์ นอกจากนี้บริษัทไทยโป อยู่ในระหว่าง การยื่นขอใบรับรองสำาหรับแหล่งก๊าซ ทานตะวัน ปัจจุบันกรมเชื้อเพลิง ธรรมชาติ มีนโยบายนำาระบบบริหาร คุณภาพ ISO 9000 มาใช้ปรับปรุงการ บริหารงานภายใน และได้รับการรับรอง จากสำานักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) นับว่าเป็นก้าวสำาคัญของการ บริหารคุณภาพ และการจัดการ ด้านการ สำารวจและผลิตปิโตรเลียม ให้มี