More Related Content
Similar to maisooree (20)
maisooree
- 1. ความหมายและประเภทของการวิจัย
ดร.เชาวรัตน์ เตมียกุล ครูเชี่ยวชาญ ค.ศ. 4
การวิจัย หมายถึง กระบวนการศึกษาค้นคว้าหาคาตอบในการแก้ไขปัญหา โดยวิธีการที่
เป็นระบบเชื่อถือได้ตามหลักวิชาการ โดยมีลาดับขั้นตอนในการวิจัยที่เริ่มจากการกาหนดปัญหาศึกษาเอกสาร
ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กาหนดกรอบแนวคิดการวิจัย ตั้งสมมติฐาน ออกแบบการวิจัย สร้างเครื่องมือ เก็บ
รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปและเขียนรายงานการวิจัย ประเภทของงานวิจัยจาแนกโดยใช้เกณฑ์ดังนี้
1) เกณฑ์ประโยชน์ของการวิจัย ได้แก่ การวิจัยบริสุทธิ์การวิจัยประยุกต์และการวิจัยปฏิบัติการ 2) เกณฑ์
ระเบียบวิธีวิจัย ได้แก่ การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ การวิจัยเชิงบรรยาย และการวิจัยเชิงทดลอง 3) เกณฑ์
ลักษณะการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ
1. ความหมายของการวิจัย
คาว่า การวิจัย มาจากคาว่า Research ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก Re + Search
Re
แปลว่า
ซ้า
Search แปลว่า
ค้นคว้า
Research แปลว่า
ค้นคว้าซ้าแล้วซ้าอีก อันหมายถึง การค้นคว้าหาความรู้
ความจริง โดยวิธีการค้นคว้าแล้ว ค้นคว้าอีก ซึ่งจะทาให้ได้รับคาตอบที่เป็นความรู้ความจริงอันน่าเชื่อถือ
และถูกต้อง เพราะมีข้อมูลสนับสนุนเพียงพอต่อการสรุปเป็นองค์ความรู้ หากพิจารณาในรูปขององค์ประกอบ
เชิงระบบการวิจัยจะต้องประกอบด้วยปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กัน 3 ส่วน คือ
1) ปัจจัยนาเข้า (Input) ได้แก่ ปัญหาวิจัย ซึ่งหมายถึง สิ่งที่ยังไม่รู้ สิ่งที่เป็นข้อสงสัย หรือสิ่ง
ที่ต้องการจะรู้ ต้องการค้นคว้าหาคาตอบ
2) กระบวนการ (Process) ได้แก่ กระบวนการศึกษาค้นคว้าเพื่อหาคาตอบหรือหาความรู้ใน
การแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่เป็นระบบและเชื่อถือได้ตามหลักวิชาการ
3) ผลลัพธ์ (Output) ได้แก่ ผลผลิตหรือผลการวิจัย ซึ่งเป็นคาตอบหรือข้อความรู้ที่ได้จากการ
วิจัย
โดยสรุป การวิจัย หมายถึง กระบวนการศึกษาค้นคว้าหาคาตอบในการแก้ปัญหา โดยวิธีการที่เป็น
ระบบเชื่อถือได้ตามหลักวิชาการ เพื่อให้ได้คาตอบที่ถูกต้องแม่นยาและที่สาคัญผลของการวิจัยต้องก่อให้เกิด
ประโยชน์และคุ้มค่า การวิจัยจึงต้องมีลักษณะดังนี้
1) เป็นการศึกษาค้นคว้าที่ต้องอาศัยความรู้ ทักษะความชานาญอย่างเป็นระบบ
2) การดาเนินงานที่มีเป้าหมายชัดเจน
3) มีเครื่องมือและเทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูล ที่มีความเที่ยงตรง และเชื่อถือได้
4) มีการเก็บรวบรวมข้อมูลใหม่เพื่อจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
5) เป็นการศึกษาค้นคว้าที่มุ่งหาความรู้ความจริง
- 2. 6) ตอบสนองต่อสิ่งที่ต้องการรู้ก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่
7) อาศัยความเพียรพยายาม ความซื่อสัตย์ และมีจรรยาบรรณ
8) มีการสรุปบันทึกและเขียนรายงานการวิจัยด้วยความเที่ยงตรงปราศจากอคติ
9) อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลเป็นรูปธรรมที่สามารถตรวจสอบได้
10) เป็นการหาคาตอบให้กับปัญหาหรือการทดสอบสมมติฐาน
2. ประเภทของงานวิจัย
การวิจัยสามารถจาแนกได้มากมายหลากหลายประเภท และมักมีความซ้าซ้อนกันระหว่าง
เกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งการวิจัยแต่ละประเภท การเลือกใช้การวิจัยประเภทใด นักวิจัยจะต้องศึกษาให้เข้าใจ
อย่างถ่องแท้ เพื่อจะได้เลือกประเภทของการวิจัยได้ถูกต้องเหมาะสมกับประเด็นปัญหาที่ต้องการศึกษาวิจัย ซึ่ง
โดยทั่วไป ในการเลือกใช้ประเภทของการวิจัยจะพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการวิจัย เป้าหมายของการวิจัย
ประเด็นปัญหาของการวิจัย ตัวแปรที่ศึกษา ลักษณะวิธีการที่จะเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรในการดาเนินการ
วิจัย ซึ่งจะกล่าวถึงประเภทของการวิจัย โดยแบ่งตามเกณฑ์ ประโยชน์ของการวิจัย ระเบียบวิธีวิจัยและ
ลักษณะการเก็บรวบรวมข้อมูล ของพิชิต (2544: 18 – 19) ซึ่งกาหนดประเภทของการวิจัยไว้ดังนี้
2.1 การใช้เกณฑ์ประโยชน์ของการวิจัย แบ่งการวิจัยได้เป็น 3 ประเภท คือ
2.1.1 การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ (Basic or pure research) หมายถึง
การวิจัยที่ได้ผลเป็นข้อความรู้ ทฤษฎี เป็นการวิจัยเพื่อสนองความอยากรู้ของมนุษย์หรือเพิ่มพูนความรู้ของ
มนุษย์ ยังไม่สามารถนามาใช้ประโยชน์ได้ในทันทีที่ได้ข้อค้นพบ มักกระทาในห้องปฏิบัติการหรือห้องทดลอง
เช่น การวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีพื้นฐานในวิชาฟิสิกส์ เคมีหรือชีววิทยา เป็นต้น
2.1.2 การวิจัยประยุกต์ (Applied research) หมายถึง การวิจัยที่ได้นาผล
จาก
ข้อความรู้ ทฤษฎีที่มีผู้ศึกษาไว้แล้วมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์ เพื่อทาให้ชีวิตมนุษย์มีความสุข
และความสะดวกสบายยิ่งขึ้น การวิจัยประเภทนี้ ได้แก่ การวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ เช่น แพทย์
ศาสตร์ เกษตรศาสตร์ และการวิจัยในสาขาสังคมศาสตร์ เช่น ศึกษาศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เป็นต้น
อาจได้ผลการวิจัยเป็นเทคนิควิธี นวัตกรรม หรือสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ
2.1.3 การวิจัยปฏิบัติการ (Action research) เป็นการวิจัยประยุกต์ในลักษณะหนึ่งที่มุ่งนา
ผลที่ได้ไปใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรืองานในหน้าที่ของตนเองหรือของทั้งหน่วยงาน เช่น ครูทาวิจัยในชั้นเรียน
เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน เป็นต้น
2.2 การใช้เกณฑ์ระเบียบวิธีวิจัย แบ่งการวิจัยได้เป็น 3 ประเภท คือ
2.2.1 การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical research) เป็นการวิจัยที่ศึกษาข้อเท็จจริง
หรือความสัมพันธ์ของข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอดีต มักจะศึกษาจากร่องรอยหลักฐาน เอกสารต่าง ๆ
ทางประวัติศาสตร์
2.2.2 การวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive research) เป็นการวิจัยที่ศึกษาเพื่อที่จะบรรยาย
หรืออธิบายปรากฎการณ์ในสภาพปัจจุบัน หรือสภาพเป็นจริงของสังคมใดสังคมหนึ่ง เช่น การศึกษาทัศนคติ
- 3. ของคนกรุงเทพมหานครต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การศึกษาสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
ของผู้ปกครองนักศึกษา การศึกษาปัญหาและความต้องการของเยาวชนไทย การศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้
ของนักศึกษาสายวิชาชีพ การศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าของคนไทยในชนบท เป็นต้น
2.2.3 การวิ จั ย เชิ ง ทดลอง (Experimental
research) เป็ น การวิ จั ย ที่ มุ่ ง ศึ ก ษา
ความสัมพันธ์ในลักษณะของการเป็นเหตุเป็นผลภายใต้สถานการณ์ที่พยายามจัดให้มีการควบคุม ตัวแปรแบบ
ต่าง ๆ เท่าที่สามารถจัดกระทาได้ เช่น การเปรียบเทียบวิธีส อน 2 วิธีที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ การศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม การศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับความมีคุณธรรมจริยธรรมของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตร
วิชาชีพชั้นสูง เป็นต้น
2.3 การใช้เกณฑ์ลักษณะการเก็บรวบรวมข้อมูล แบ่งการวิจัยได้เป็น 2 ประเภท คือ
2.3.1 การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นข้อมูลที่อยู่ใน
รูปลักษณะตัวเลขหรือกาหนดเป็นปริมาณได้ การวิจัยประเภทนี้ใช้เครื่องมือที่มีความเป็นปรนัยในการเก็บ
รวบรวมข้อมูล และใช้สถิติเพื่อการวิเคราะห์และแปลความหมายของข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยสถิติภาคบรรยาย
ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ มัธยฐาน ฐานนิยม ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติภาคอ้างอิงได้แก่ การ
ทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบค่า ซี (z-test)
2.3.2 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) หรือเชิงคุณลักษณะเป็นการวิจัยที่
มุ่งเน้นข้อมูลเชิงคุณลักษณะเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณี วิถีการดารงชีวิต ความเชื่อ หรือพฤติกรรมมนุษย์ที่ได้
จากการรับรู้ การสังเกตของนักวิจัยที่เข้าไปสัมผัสในเหตุการณ์ทั้งมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม เครื่องมือสาคัญ
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลของการวิจัยประเภทนี้ก็คือ ตัวนักวิจัย ข้อมูลที่ได้ไม่จาเป็นต้องเป็นตัวเลขหรือเชิง
ปริมาณ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis )
ล้วนและอังคณา (2538: 18 ) แบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ประเภท สรุปได้ดังนี้
1) การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ (Basic or pure research) มุ่งแสวงหาความรู้หรือ
ความจริงที่เป็น กฏ สูตร ทฤษฎี
2) การวิจัยประยุกต์ (Applied research) มุ่งแก้ปัญหาที่สามารถนาไปใช้ได้กับ
สภาพใดสภาพหนึ่ง
3) การวิจัยเชิงปฏิบัติ (Action research) มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นครั้งๆไปผลการวิจัยไม่
สามารถอ้างอิงไปใช้กับกลุ่มอื่นเพราะมองในวงจากัด