SlideShare a Scribd company logo
1 of 26
Download to read offline
บทที่ 7
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
มโนทัศน์(Concept)
ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กาหนดขึ้นเป็นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ เริ่มตั้งแต่
การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร การนาหลักสูตรไป
ใช้ในสถานการณ์จริง รวมทั้งการประเมินผลหลักสูตร โดยหวังว่าขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรที่สมบรูณ์ที่จะทา
ให้ได้หลักสูตรมีประสิทธิภาพ ซึ่งขั้นตอนในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนสาคัญ 5
ขั้นตอนที่สาคัญ คือ 1. การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ 2. การร่างหลักสูตร 3. การตรวจสอบ
คุณภาพของหลักสูตร 4. การนาหลักสูตรไปใช้ และ 5. การประเมินผลหลักสูตร
ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
1. มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษา
2. สามารถนาความรู้มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาได้อย่างถูกต้อง
สาระเนื้อหา(Content)
การจัดการศึกษาเท่าที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่ที่ใช้ตารา เอกสาร รวมทั้งสื่อต่างๆ ที่จัดพิมพ์จาก
หน่วยงานกลางเป็นหลักในการเรียนการสอน ถึงแม้ว่าสภาพบริบทและแวดล้อมโรงเรียนจะแตกต่างกัน แต่
เนื้อหาสาระในการจัดการเรียนการสอนกลับเหมือนกันทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามได้มีความพยายามให้โรงเรียน
พัฒนาหลักสูตรดังที่กาหนดไว้ในคู่มือ เปิดโอกาสให้โรงเรียนสามารถพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพ
ของท้องถิ่นได้ ทั้งนี้เนื่องจากครูขาดความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งทักษะในการพัฒนาหลักสูตร ขาดการสนับสนุน
จากผู้บริหารและขาดการมีส่วนร่วมของคนในท้องถิ่น การจัดการเรียนการสอนส่วนใหญ่เน้นครูเป็นศูนย์กลาง
เน้นการท่องจามากกว่าปฏิบัติจริง ดังนั้นการเปลี่ยนบทบาทของโรงเรียนจากการเป็นผู้ใช้หลักสูตรที่มีผู้จัดทาให้
มาเป็นการพัฒนาหลักสูตรด้วยตนเอง จาเป็นต้องมีการฝึกอบรมให้บุคลากรในโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูให้
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนหรือรู้แบบการพัฒนาหลักสูตรและมีความสามารถเพียงพอที่จะนาความรู้ไป
ใช้พัฒนาหลักสูตรด้วยตนเองได้ ทั้งนี้โดยหวังว่าหลักสูตรที่โรงเรียนพัฒนาขึ้น จะทาให้นักเรียนได้เรียนรู้
เรื่องราวที่เป็นจริง สามารถนาความรู้ที่ได้รับจากโรงเรียนมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน เล็งเห็นความ
เชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้กับการนาไปใช้ ก่อให้เกิดความรัก ผูกพันกับชุมชนที่อยู่อาศัย นอกจากนั้นยังเป็น
จุดเริ่มต้นที่ดีของความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับโรงเรียน เนื่องจากหลักสาคัญของการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียน
ก็คือ การให้บุคลากรในโรงเรียนและชุมชนร่วมกันตัดสินใจเกี่ยวกับการดาเนินทางหลักสูตร ซึ่งมีทั้งการร่วมคิด
ร่วมทา ร่วมประเมินผล เพื่อให้การศึกษาของเยาวชนเป็นไปตามความต้องการของครอบครัว ชุมชน สังคมและ
ประเทศชาติ สมดังเจตนารมณ์ของการจัดการศึกษาดังที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.
2542
1. ความจาเป็นของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
ข้อกฎหมายที่สถานศึกษาต้องไปดาเนินการให้สถานศึกษาหรือโรงเรียนสามารถพัฒนาหลักสูตรได้
เองภายใต้กรอบของหลักสูตรแกนกลางเป็นเรื่องที่จะต้องมี การเตรียมการให้พร้อมเพื่อตอบสนองการ
ประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กาหนดแนวการจัดการศึกษาในมาตรา 22 ว่าการจัด
การศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญ
ที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และใน
มาตรา 23 กาหนดการจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้อง
เน้นความสามารถทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ
การศึกษา ในเรื่องต่อไปนี้
1. ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน ชาติ
และสังคมโลก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการปกครอง
ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้และความเข้าใจและประสบการณ์
เรื่องการจัดการ การบารุงรักษา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน
3. ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ ภูมิ
ปัญญา
4. ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง
5. ส่งเสริมการสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอานวย
ความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้ในการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของ
กระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอน และแหล่งวิทยาการ
ประเภทต่างๆ
6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง
และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
จากข้อกาหนดจากมาตรา 22, 23, 24 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2524 นาไปสู่การ
กาหนดคุณภาพมาตรฐานของผู้จบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งที่ผ่านมาในอดีต กรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ (2544: 4) กาหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 ดังนี้ คือ
1. เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยในตนเอง ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตน
นับถือ มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์
2. ความคิดสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน รักการอ่าน รักการเรียน และรักการค้นคว้า
3. มีความรู้อันเป็นสากล ที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ มีทักษะและ
ศักยภาพในการจัดการ การสื่อสารและเทคโนโลยี ปรับวิธีการคิดวิธีการทางานได้เหมาะสมกับสถานการณ์
4. มีทักษะและกระบวนการ โดยเฉพาะทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทักษะการคิดและ การ
สร้างปัญญา และทักษะในการดาเนินชีวิต
5. รักการออกกาลังกาย ดูแลตนเองให้มีสุขภาพและบุคลิกภาพที่ดี
6. มีประสิทธิภาพในการผลิตและการบริโภค มีค่านิยมเป็นผู้ผลิตมากกว่าผู้บริโภค
7. เข้าใจในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ภูมิใจในความเป็นไทย เป็นพลเมืองดี ยึดมั่นในวิถีและการ
ปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
8. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์ภาษาไทย ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี กีฬา ภูมิปัญญาไทย
ทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาสิ่งแวดล้อม
9. รักประเทศชาติและท้องถิ่น มุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามให้สังคม
2. ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
สกิลเบ็ก (Skilbeck, 1984: 2) ได้ให้ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนไว้ว่า หมายถึง การ
วางแผน การออกแบบ การนาไปใช้และการประเมินผล การกาหนดการเรียนรู้ของนักเรียนดาเนินการโดย
สถานศึกษา เน้นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างบุคลากรภายในสถานศึกษา ไม่ใช่กาหนดจากบุคคลภายนอก
แฮร์ริสัน (Marsh and others.1990: 48) ให้ความหมายการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า 1.
เป็นแผนงานที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ 2. เป็นสิ่งที่นาไปปฏิบัติได้จริงและมีผลเกิดขึ้นกับบุคคลที่เกี่ยวข้องจริง 3.
เป็นประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ ทั้ง 3 ข้อมีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อให้หลักสูตรได้รับการพัฒนาให้
สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของผู้เรียนมากขึ้น
เอ็กเกิลสตัน (Eggleston, 1980: 7) ได้ให้ความหมายการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า เป็นการพัฒนา
หลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับสภาพและความต้องการของนักเรียนในแต่ละโรงเรียน โดยมีการวางแผน
นาไปใช้ และประเมินร่วมกัน มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและชุมชน เช่น บุคลากร อาคารสถานที่ วัสดุ
อุปกรณ์ต่างๆ เป็นพันธกิจร่วมกันระหว่างโรงเรียนและชุมชน ครูได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ เป็นหลักสูตรที่
โรงเรียนได้รับประโยชน์ โรงเรียนเป็นผู้ทาให้เกิดสัมฤทธิ์ผลมากกว่าเป็นเพียงเจ้าของหลักสูตร
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544:28-29) ได้กล่าวถึงการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า คือพันธ
กิจหรือภาระหน้าที่ที่สถานศึกษาและชุมชนร่วมกันในการพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมกับยุคสมัย โดยกาหนดเป็น
วิสัยทัศน์ เป้าหมาย มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เพื่อให้ครูทุกคนนาไป
ออกแบบการเรียนการสอนมีการวางแผนร่วมกันทั้งสถานศึกษาเป็นหลักสูตรที่ครอบคลุมภาระงานการจัด
การศึกษาทุกด้านของสถานศึกษา
สรุป การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาในความหมายต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นสรุปว่า การพัฒนา
หลักสูตรคือ แผนประสบการณ์หรือแผนการจัดการเรียนการสอนที่เกิดจากการตัดสินใจร่วมกันระหว่าง
บุคลากรทั้งภายในและภายนอกของโรงเรียน เพื่อกาหนดการเรียนรู้ของนักเรียน มีการวางแผนนาไปใช้และ
ประเมินผลร่วมกัน
3. แนวคิดการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เป็นแนวคิดภายใต้พื้นฐานของการ บริหารงานที่ใช้
โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management - SBM) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งให้สถานศึกษามีอิสระและมีความ
คล่องตัวในการบริหารงานด้านวิชาการ ด้านการเงิน ด้านการบริหารงานบุคคลและการบริหารทั่วไป เปิดโอกาส
ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจโดยมีความเชื่อว่าการตัดสินใจที่ดีที่สุดจากการตัดสินใจของคณะบุคคลที่อยู่
ใกล้ชิดและมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักเรียนมากที่สุด (Wohlsletter, 1995:22-25) แนวคิดนี้ เริ่มในประเทศ
สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีแบบของบริหารจัดการแตกต่างกันไปตามมลรัฐ และในระหว่าง พ.ศ. 2503-2522 วง
การศึกษาของสหรัฐอเมริกาได้มีการปรับปรุงการดาเนินงานทางการศึกษาเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดย
นาความคิดจากความสาเร็จของการพัฒนาองค์การทางอุตสาหกรรมที่ทาองค์การให้มีประสิทธิภาพในการ
ทางาน ส่งผลให้การปฏิบัติงานมีคุณภาพ สร้างผลกาไรและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าและผู้เกี่ยวข้อง ดังนั้น
แนวทางที่จะทาให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น ต้องปรับปรุงและพัฒนาองค์การ การบริหารโรงเรียนเสียใหม่ มีการ
กระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษาไปยังโรงเรียนให้มากขึ้นมีการนาวิชาการบริหารงบประมาณด้วน
ตนเอง (Self-Budgeting School) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา (School-Based Curriculum Development) การ
พัฒนาบุคลากรโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Student Counseling) เข้ามาใช้ (สานักคณะกรรมการ
การศึกษาแห่งชาติ ,2543:12)
เซ็น (Chen, H.L.S., 2000:3) กล่าวว่า โดยพื้นฐานแล้วความคิดในการจัดทาหลักสูตรโรงเรียนก็คือ
โรงเรียนเป็นที่ที่ดีที่สุดในการออกแบบหลักสูตร เพราะเป็นสถานที่ผู้เรียนและครูมีปฏิสัมพันธ์กัน เป็นการ
สะท้อนให้เห็นถึงการกระทา และมีผลโดยตรงต่อโรงเรียนและมีส่วนร่วมในการนานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ใน
การศึกษา เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าการใช้หลักสูตรแกนกลางเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม เพราะไม่ได้คานึงถึง
ความแตกต่างของโรงเรียนนโยบายที่จะให้โรงเรียนพัฒนาหลักสูตร เป็ นการเปลี่ยนจากการสั่งการจาก
หน่วยงานกลางมายังหน่วยปฏิบัติ (Top-Down) มาเป็นการจัดทาจากหน่วยปฏิบัติขึ้นไป (Bottom-Up) ซึ่งเป็น
ความคิดเช่นเดียวกับการให้โรงเรียนบริหารการจัดการเอง (School-Based Management) และเป็นความคิดที่
นามาจากประเทศทางตะวันตก ดังนั้น การนามาใช้จะต้องนามาปรับให้เหมาะสมด้วยหวังว่าทุกโรงเรียนจะเป็น
แกนในการปฏิรูปการศึกษา ครูทุกคนเป็นนักออกแบบหลักสูตร (Curriculum Designer) และทุกห้องเรียนเป็น
ห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับหลักสูตรใหม่ๆ
สาหรับประเทศไทยเอง แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาคือ ต้องการกระจายอานาจให้กับ
โรงเรียนสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรได้เอง เพราะเท่าที่ผ่านมามีปัญหาเกิดขึ้นจากการรวมอานาจการ
บริหารการศึกษาไว้ที่ส่วนกลางคือที่กระทรวงศึกษาธิการ ดังที่คณะกรรมการปฏิบัติระบบบริหารการศึกษาใน
กระทรวงศึกษาธิการกล่าวไว้ว่า ลักษณะเช่นนี้ก่อให้เกิดปัญหาดังนี้
1. ปัญหาการรวมอานาจไว้ที่ส่วนกลางทาให้เกิดปัญหาคือ
1.1 ก่อให้เกิดความล่าช้าในการอนุมัติ อนุญาต
1.2 ขาดความเป็นอิสระในการคิด การตัดสินใจในระดับล่าง และระดับปฏิบัติของหน่วยงานใน
พื้นที่และสถานศึกษา
1.3 การบริหารและการตัดสินใจของหน่วยงานระดับล่างไม่อาจทาได้ ไม่สอดคล้องกับความ
จาเป็นและความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหา และตอบสนองตามความต้องการของนักเรียนและประชาชน หรือ
ชุมชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม
1.4 ทาให้สิ้นเปลืองงบประมาณและทรัพยากร เนื่องจากการจัดสรรที่ไม่สอดคล้องกับปัญหาและ
ความต้องการที่แท้จริง
การมอบอานาจหรือแบ่งอานาจ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการบริหารงานตามระเบียบแบบแผนการ
บริหารการเงิน และการบริหารงานบุคคล ส่วนการมอบอานาจในเรื่องของนโยบายแผนงาน และวิชาการมีเป็น
ส่วนน้อยคือเพียงร้อยละ 0.4 ของลักษณะงานที่มอบอานาจไปทั้งหมด
2. ปัญหาด้านหลักสูตรและการเรียนการสอน ก็มีการกาหนดและควบคุมจากส่วนการสูงมาก แม้มี
ความพยายามให้สถานศึกษาและหน่วยงานในพื้นที่พัฒนาหลักสูตรในท้องถิ่น ก็ไม่เกิดผลเท่าที่ควรทั้งนี้
เนื่องจาก
2.1 กรอบหลักสูตรและการประเมินผล เป็นสาเหตุสาคัญในการสกัดกั้นการตัดสินใจเกี่ยวกับ
หลักสูตร
2.2 ความวิตกกังวลของสถานศึกษาและครูผู้สอน ที่เกรงว่าจะไม่สามารถดาเนินการได้ครบตาม
ระเบียบและกฎเกณฑ์ดังกล่าว
2.3 รูปแบบการจัดการเรียนการสอนของครูที่ยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ส่งเสริมศักยภาพ และ
ความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน
2.4 ระบบรวมศูนย์ในเรื่องการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการเรียนการสอน รวมทั้งการควบคุม จัดสรร
และกาหนดคุณลักษณะจากส่วนกลางก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทาให้สถานศึกษามิอาจจัดรายวิชาที่สนองความต้องการ
ของนักเรียนและความต้องการชุมชนได้
3. ปัญหาจากการใช้หลักสูตรเดียวกันทั่วประเทศ ก่อให้เกิดผลต่อผู้ปฏิบัติตามหลักสูตร
3.1 ผู้บริหารโรงเรียนบางส่วนขาดความรู้ ความเข้าใจในหลักสูตร
3.2 ครูไม้เข้าใจหลักการ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
3.3 เนื้อหาวิชามีความยาก ไม่สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น
3.4 ครูไม่เข้าใจวิธีการจัดการเรียนการสอน จึงจัดการเรียนการสอนที่ยึดครูเป็นศูนย์กลาง
3.5 การจัดส่งเอกสารประกอบหลักสูตรไปยังโรงเรียนมีความล่าช้า ไม่ทันเปิ ดภาคการศึกษา
จานวนที่จัดส่งไปให้ไม่เพียงพอ
4. ปัญหาในการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นก็คือ
4.1 การขาดบุคลากร
4.2 ขาดความร่วมมือและสนับสนุน
4.3 ขาดวิทยากร
4.4 ขาดความรู้
4.5 ขาดการเก็บรวบรวมข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
4.6 ครูไม่ปรับหลักสูตรสอนตามหลักสูตรแกนกลาง
4.7 ไม่ปรับปรุงสื่อ เอกสาร
4.8 ครูไม่มีความรู้และขาดทักษะในการดาเนินการ
จากรายงานการวิจัยและพัฒนาระบบการประเมินผลภายในของสถานศึกษาพบว่าสถานศึกษาที่มี
หลักสูตรและเนื้อหาสาระที่เหมาะสมกับท้องถิ่นและผู้เรียน มีเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียนคือ
1. นักเรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเองและชุมชนและตัวเองอาศัยอยู่น้อยหรืออาจไม่เกี่ยวข้อง
2. ทาให้การเรียนรู้เป็นเรื่องไม่สนุก เพราะประโยชน์ในการนาไปใช้ในชีวิตประจาวันมีไม่มาก ไม่
สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ เช่น ทฤษฎีการเรียนรู้ปัญญานิยม ที่เชื่อว่าการรู้เกิดจากการที่ผู้เรียนเป็นผู้ริเริ่ม
เป็นผู้กระทาที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้าผู้เรียนต้องเป็นผู้ลงมือกระทา
การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติ เป็นหน้าที่ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ส่วนการพัฒนา
หลักสูตรสถานศึกษา เป็นหน้าที่ของโรงเรียนที่ต้องดาเนินการ เงื่อนไขสาคัญที่ทาให้การจัดทาหลักสูตร
สถานศึกษาประสบความสาเร็จมีดังนี้ (Cohen, 1985:1158)
1. ต้องมีการมอบอานาจส่วนกลางไปยังระดับโรงเรียนในท้องถิ่นในลักษณะการกระจายอานาจ
2. บุคลากรในโรงเรียนมีความยินดีในการมีส่วนร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษาและบุคคล
เหล่านั้นมีทักษะในการวินิจฉัยความจาเป็นของนักเรียน
3. บุคลากรมีความสามารถเพียงพอในการรับผิดชอบงานและตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร
เงื่อนไขดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการที่กาหนดให้มีการ
กระจายอานาจการบริหารไปยังสถานศึกษา ให้สถานศึกษามีอานาจในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้เองซึ่ง
แนวทางที่กาหนดไว้มีดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2543:3)
1. ยึดโรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใน (School-Based Decision Making) เป็นแนวคิดที่มุ่งให้
โรงเรียนมีอิสระในการตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยยึดประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสาคัญ
2. การมีส่วนร่วมและการร่วมคิดร่วมทา (Participation and Collaboration) การศึกษาเป็นเรื่องของ
สาธารณชน มิใช่การรับผิดชอบของใครแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป
3. การกระจายอานาจ (Decentralization) เป็นการคืนอานาจการจัดการศึกษาให้กับผู้ใกล้ชิดเด็ก ได้แก่
โรงเรียน ผู้บริหารการศึกษา ครูชุมชน เป็นความเชื่อว่าผู้มีส่วนได้เสียต่อการศึกษาหรือผู้ที่อยู่ใกล้เด็กสามารถจัด
การศึกษาได้ดีที่สุด ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและชุมชน อานาจการตัดสินใจควรอยู่ในระดับปฏิบัติคือ
สถานศึกษา
4. ภารกิจที่ตรวจสอบได้ (Accountability) ต้องมีการกาหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบและภารกิจของ
ผู้บริหาร ครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษาและชุมชนอย่างชัดเจน และภารกิจเหล่านี้ต้องสามารถตรวจสอบ
ความสาเร็จได้ เพื่อเป็นหลักประกันคุณภาพการศึกษาให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
4. ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่จะนามาใช้ดาเนินการการนาแนวคิดและรูปแบบจาก
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ในมาตรา 27 วรรคสองที่กาหนดให้สถานศึกษา ขั้นพื้นฐานมี
หน้าที่จัดทาสาระของหลักสูตรที่สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและ
สังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึ่งประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และ
ประเทศชาติ รวมทั้งแนวคิดและรูปแบบของนักพัฒนาหลักสูตร เช่น ไทเลอร์ ทาบา เซย์เลอร์อเล็กซานเดอร์
และเลวิส โอลิวา สกิลเบ็กมาร์ช และคณะ เอ็กเกิลสตัน วอล์คเกอร์ และรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทย อง
กรมวิชาการ และ กรมการศึกษานอกโรงเรียน มากาหนดเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กาหนดขึ้น เป็นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ เริ่มตั้งแต่
การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร การนาหลักสูตรไป
ใช้ในสถานการณ์จริง รวมทั้งการประเมินผลหลักสูตร โดยหวังว่าขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรที่สมบูรณ์ทาให้
ได้หลักสูตรที่มีประสิทธิภาพ กล่าวโดยสรุปขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนที่
สาคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้คือ
ขั้นที่ 1 การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ ได้แก่
1.1 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการของชุมชน
1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน
1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง
ขั้นที่ 2 การร่างหลักสูตร
2.1 การกาหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร
2.2 การกาหนดเนื้อหาสาระ
2.3 การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อต่างๆ
2.4 การกาหนดวิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน
ขั้นที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร
ขั้นที่ 4 การนาหลักสูตรไปใช้
ขั้นที่ 5 การประเมินผลหลักสูตร
รายละเอียดในแต่ละขั้นตอนมีดังนี้
ขั้นที่ 1 การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน ในการพัฒนาหลักสูตรจาเป็นต้องศึกษาและวิเคราะห์
ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ เพื่อใช้ในการกาหนดองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรซึ่งได้แก่ วัตถุประสงค์ของ
หลักสูตร เนื้อหาสาระ กิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน/สื่อ การวัดและประเมินผลผู้เรียนซึ่งข้อมูลพื้นฐานที่
ได้จากการศึกษาช่วยในการกาหนดวัตถุประสงค์หรือการกาหนดสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ วัตถุประสงค์
จะเป็นตัวกาหนดเนื้อหาสาระที่ควรจัดให้ผู้เรียน ซึ่งอยู่ในลักษณะรายวิชา หลังจากนั้นจึงนามากาหนดกิจกรรม
ในการจัดการเรียนการสอน สื่อการเรียนรู้ต่างๆ รวมทั้งการกาหนดวิธีการวัดและประเมินผลผู้เรียนว่าจะใช้
วิธีการอย่างไร ซึ่งการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรควรประกอบด้วย
1.1 การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน เนื่องจากโรงเรียนที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้
ทักษะ และวัฒนธรรมของชุมชน ช่วยเตรียมคนให้กับชุมชนและสังคม ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ผู้เรียน
เป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดเป็นทาเป็นและเป็นสมาชิกที่ดีของ
สังคม จาเป็นต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการของชุมชนหรือสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่ เพื่อให้
หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมีความทันสมัยเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชน การศึกษาสภาพและความต้องการ
ของชุมชนมีการศึกษาในหลายด้าน เช่น การศึกษา สาธารณูปโภค สิ่งแวดล้อม การประกอบอาชีพ ในปัจจุบัน
และแนวโน้มของอาชีพในอนาคต สุขภาพอนามัย ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยม ทรัพยากรต่างๆ
ปัญหาของชุมชน ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนอาจศึกษาจากการสารวจสอบถามสัมภาษณ์บุคคลในชุมชน และศึกษา
จากเอกสาร รายงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกาหนดแนวทางในการตอบสนองความต้องการของชุมชนในพื้นที่ได้
ข้อมูลของชุมชนที่สาคัญมีดังต่อไปนี้
1. ข้อมูลสภาพทั่วไปของชุมชน แผนที่ชุมชน แสดงที่ตั้งของสถานที่ต่างๆ เช่น สิ่งสาคัญใน
ชุมชน เช่น วัด โรงเรียน เทศบาล ธนาคาร ฯลฯ รวมทั้งลักษณะการตั้งบ้านเรือนภายในชุมชน ประวัติความ
เป็นมาและสภาพของชุมชน จานวนประชากร แยกตามเพศ อายุ จานวนครัวเรือน ศาสนา สถานที่ท่องเที่ยว
เป็นต้น
2. ข้อมูลด้านการศึกษา จานวนผู้จบการศึกษาในระดับต่างๆ จานวนนักเรียนในระดับต่างๆ
เช่น ประถม มัธยม ฯลฯ จานวนครูที่สอนในระดับต่างๆ จานวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น
ศึกษานิเทศก์ ฯลฯ
3. ข้อมูลศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน ภาษาท้องถิ่น โบราณสถาน
โบราณวัตถุภายในชุมชน ดนตรี เพลง การแสดงพื้นบ้านของชุมชน วรรณกรรม ตานานพื้นบ้านของชุมชน
4. ข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อาชีพ/รายได้ของคนในชุมชน ปฏิทิน การปฏิบัติงานของชุมชน
เช่น ช่วงเดือนการเก็บเกี่ยวข้าว ช่วงเวลาการเก็บเงาะ การตัดยาง เป็นต้น รวมทั้งทรัพยากรที่มีในชุมชน เช่น
ป่าไม้ แร่ธาตุ แหล่งน้า และพืชเศรษฐกิจหลักของชุมชน
5. ภูมิปัญญาท้องถิ่น ทาเนียบชื่อ ที่อยู่ ความรู้ความสามารถ ความชานาญของ แต่ละ
บุคคลปัญหาชุมชน
6. ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในชุมชน เช่น ยาเสพติด พืชผลราคาตก โจรผู้ร้ายชุกชุม
นอกจาการศึกษาและสารวจสภาพและความต้องการของชุมชน รวมทั้งข้อมูลที่สาคัญของชุมชนแล้ว
ต้องมีการสารวจสภาพและความต้องการของผู้เรียน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถได้
จากครูในโรงเรียน ผู้ปกครอง และตัวนักเรียนเอง
วิธีการศึกษาชุมชน สามารถดาเนินการได้ดังนี้
1. ศึกษาจากเอกสารต่างๆ จัดเป็นข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีผู้จัดพิมพ์
หรือรวบรวมไว้อยู่ในรูปเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ เอกสารเหล่านี้สามารถค้นคว้าศึกษาได้จากห้องสมุดจาก
หน่วยงานต่างๆ ที่รวบรวมจัดเก็บไว้
2. ศึกษาจากการสารวจชุมชน จัดเป็นข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) ซึ่งผู้ต้องการใช้ข้อมูลเป็น
ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากชุมชน ทาให้ได้เห็นสภาพที่แท้จริง และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนด้วย
ซึ่งการสารวจชุมชนต้องใช้วิธีการต่างๆ กัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง วิธีการต่างๆได้แก่
การสัมภาษณ์ การสอบถาม และการสังเกตเป็นต้น
จากการศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน นาข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาจัดลาดับความสาคัญ
โดยกาหนดเป็นหัวเรื่องที่ต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้ เช่น ในชุมชนมีปัญหายาเสพติด สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
ภาวะโลกร้อน มีการทาลายทรัพยากรธรรมชาติ เหล่านี้เป็นต้น หรืออาจเป็นเรื่องที่ชุมชนต้องการถ่ายทอด
วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนให้กับนักเรียนได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้จัดแยกเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจนว่า อะไร
เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องการแก้ไข หรืออะไรเป็นสิ่งที่ต้องการให้นักเรียนรู้เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมของชุมชนใน
การดาเนินงานขั้นตอนนี้มีความสาคัญที่ต้องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชุมชน เช่น ผู้ปกครอง กรรมการโรงเรียน
คนในชุมชน รวมทั้งนักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นร่วมกับครู ผู้บริหารโรงเรียน เพื่อ
นาไปสู่ข้อสรุปของการจัดลาดับความสาคัญของปัญหา หรือเรื่องราวที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้
1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนเป็นการศึกษาสภาพ
ทั่วไปของโรงเรียนในด้านต่างๆ เช่น บุคลากร งบประมาณ อุปกรณ์ และสื่อต่างๆ อาคารสถานที่ ห้องเรียน
ปัญหาที่เกิดจากการใช้หลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ข้อมูล
เหล่านี้จะช่วยในการพิจารณาว่าโรงเรียนมีความพร้อมหรือไม่ มีผลต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกแนวทางการ
พัฒนาหลักสูตรอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับศักยภาพของโรงเรียนมากที่สุด ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ได้จากเอกสาร
รายงานต่างๆ เช่น สถิติของโรงเรียน รายงานการประเมินคุณภาพของโรงเรียน การสารวจภายในโรงเรียน
เป็นต้น
1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง เนื่องจากปัจจุบันเป็นระยะเวลาที่เราผ่านการใช้หลักสูตรมา
หลายครั้งจนปัจจุบันกาลังจะนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาใช้กับโรงเรียนนาร่อง
จานวน 555 แห่ง ในปีการศึกษา 2552 และคาดว่าจะนามาใช้ครบทุกชั้นในปีการศึกษา 2553 ดังนั้น การวิเคราะห์
หลักสูตรแกนกลางใช้แนวทางการวิเคราะห์ดังนี้
1. หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) ให้พิจารณาจาก
1.1 จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
1.2 จุดประสงค์รายวิชา (ความมุ่งหวังที่ต้องการ)
1.3 เนื้อหาสาระ (โครงสร้างหลักสูตร)
1.4 กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลการ เรียนรู้
2. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้พิจารณา จาก
2.1 มาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร
2.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น
- 8 กลุ่มสาระ
- กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
2.3 การจัดการเรียนรู้
2.4 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
ซึ่งสถานศึกษาแต่ละแห่งควรนาข้อมูลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่ประกอบด้วย
การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนและการวิเคราะห์หลักสูตร
แกนกลาง สรุปได้ดังนี้
1.1 การศึกษาและความต้องการของชุมชน
- สภาพทั่วไปของชุมชน
- การศึกษา
- ศิลปวัฒนธรรม - หัวเรื่อง
- เศรษฐกิจ
- ภูมิปัญญาท้องถิ่น
- ปัญหาของชุมชน
1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน
- บุคลากร
- งบประมาณ
- อุปกรณ์/สื่อต่างๆ
- อาคารสถานที่
- ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน
ข้อกาหนด
ในการร่าง
หลักสูตร
- หัวเรื่อง
- จัดลาดับ
1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง 1.
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2544 ให้พิจารณาจากมาตรฐานการ เรี ย น รู้
ของหลักสูตร สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่
ละช่วงชั้น
- 8 กลุ่มวิชา
- กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
การจัดการเรียนรู้
การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้
2. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 255 1
ให้พิจารณาจาก
ปรับมาตรฐานการเรียนรู้จากหลักสูตรการศึกษา
ขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น
- 8 กลุ่มวิชา (เท่าเดิม)
- วิสัยทัศน์
- พันธกิจ
- คุณลักษณะอันพึงประสงค์
- สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
- กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
- กิจกรรมสาธารณประโยชน์
การจัดการเรียนรู้
การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้
ขั้นที่ 2 การร่างหลักสูตร เป็นการกาหนดแผนการจัดประสบการณ์ หรือการกาหนด แนว
ทางการจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วยจุดประสงค์ เนื้อหาสาระ กิจกรรมและวิธีวัดและ
ประเมินผลผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และทัศนคติตามเป้าหมายที่กาหนดไว้
การตัดสินใจ
พัฒนาหลักสูตรใน
เรื่องใด
ข้อกาหนด
ในการร่าง
หลักสูตร
ในการร่างหลักสูตรสถานศึกษาจะต้องนาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในขั้นที่ 1 คือ ข้อมูลพื้นฐานที่
จาเป็ น ได้แก่ สภาพและความต้องการของชุมชน ศักยภาพของโรงเรียน หลักสูตรแกนกลางที่กาหนด
จุดประสงค์การเรียนรู้วิชาที่ต้องการพัฒนา ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ คือ
2.1 การกาหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
1. จุดประสงค์ทั่วไป เป้าหมายหรือสิ่งที่มุ่งหวังให้เกิดกับผู้เรียนหลังจากที่ผู้เรียนได้เรียนรู้สิ่ง
นั้นๆ แล้ว ต้องนาข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมในขั้นที่ 1 มากาหนดเป็นจุดประสงค์ทั่วไป ต้องพิจารณาให้
สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง การกาหนดจุดประสงค์ต้องเขียนด้วยภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่ายและสามารถ
นาไปปฏิบัติได้จริงภายใต้ศักยภาพของแต่ละสถานศึกษา
ตัวอย่าง การกาหนดจุดประสงค์ทั่วไปของหลักสูตร “การทาผลไม้แปรรูป คือ ให้นักเรียนมี
ความรู้และทักษะในการทาผลไม้แปรรูป”
2. จุดประสงค์การเรียนรู้
- บอกความหมายของ “ผลไม้แปรรูป” ได้
- สามารถทาผลไม้แปรรูปได้
- มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพการทาผลไม้แปรรูป
- สามารถบรรจุหีบห่อที่สวยงามได้
- สามารถตั้งราคาขายที่เหมาะสมได้
ฯลฯ
2.2 การกาหนดเนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระเป็นองค์ประกอบที่สาคัญในการพัฒนาหลักสูตร ทั้งนี้
เนื่องจากเนื้อหาสาระเป็นเครื่องมือหรือสื่อกลางที่จะพาผู้เรียนไปยังวัตถุประสงค์ที่ วางไว้ การพัฒนาหลักสูตร
สถานศึกษาใช้เนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับชุมชนที่เป็นบริบทของโรงเรียนให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่วางไว้
มีความยากง่ายสอดคล้องเหมาะสมกับวัยหรือลาดับขั้นของการพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้ง
ประสบการณ์เดิมของผู้เรียน มีประโยชน์ต่อผู้เรียนที่จะนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน เนื้อหาที่เลือกมาสามารถจัด
ให้ผู้เรียนได้โดยพิจารณาถึงความพร้อม ศักยภาพของโรงเรียน บุคลากรที่เป็นผู้สอน วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ตัวอย่าง
การพัฒนาหลักสูตร “การทาผลไม้แปรรูป” ประกอบด้วยเนื้อหาสาระดังนี้
- ลักษณะและชนิดของผลไม้ที่นามาแปรรูป
- ขั้นตอนการทาผลไม้แปรรูป
- การทาความสะอาดเครื่องใช้
- การบรรจุหีบห่อ
- การตั้งราคาขาย
ฯลฯ
2.3 การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน คือ กิจกรรม
ที่ทั้งผู้เรียนเป็นผู้กระทา และกิจกรรมที่ผู้สอนเป็นผู้กระทา มีการใช้สื่อการเรียนการสอนต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิด
การเรียนรู้กิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน การบรรยาย การสาธิต ผู้เรียนมีการซักถามโต้ตอบ การลงมือ
ปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระที่กาหนดขึ้น ครูต้องคานึงถึงพื้นฐานและประสบการณ์เดิม
ของผู้เรียน การกาหนดกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน ซึ่งอาจมีการ
นาสื่อทั้งในด้านวัสดุอุปกรณ์ และบุคคล สถานที่ที่อยู่ในชุมชน เข้ามากาหนดเป็นกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม
เพื่อให้การเรียนรู้เชื่อมโยงกับชุมชน ส่งผลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนอันเนื่องมาจากการเรียนรู้ตาม
จุดประสงค์ที่กาหนดไว้ได้
กิจกรรมการเรียนการสอน ได้แก่ กิจกรรมในลักษณะต่อไปนี้คือ ศึกษา ทดลอง สารวจ ฝึกปฏิบัติ
วิเคราะห์ อภิปราย สัมมนา ระดมความคิด ฯลฯ ตัวอย่างกิจกรรม “ศึกษา” ได้แก่ (กรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ , 2539: 9)
- ฟังคาอธิบายจากครู
- ค้นคว้าจากห้องสมุดของโรงเรียน
- ค้นคว้าจากแหล่งวิทยาการอื่นๆ
- เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในท้องถิ่นมาบรรยาย
- ออกไปสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เกี่ยวข้องในท้องถิ่น
- ออกไปสารวจดูสภาพจริงในพื้นที่
- สังเกตสิ่งแวดล้อมรอบข้าง
- ออกไปทัศน์ศึกษา
- รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
- นาหรือพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้
ฯลฯ
นอกจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว ครูยังสามารถจัดทาสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียน
บรรลุจุดประสงค์ที่กาหนดไว้โดยการจัดสื่อต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนได้ดังนี้ (กรม
วิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ , 2539: 17-18)
1. หนังสือเรียน เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนดให้ใช้สาหรับการเรียน มีสาระตรงตามที่
ระบุไว้ในหลักสูตรอย่างถูกต้อง อาจมีลักษณะเป็นเล่ม เป็นแผ่นหรือเป็นชุดก็ได้
2. คู่มือครู แผนการสอนแนวการสอนหรือเอกสารอื่นๆ ที่จัดทาขึ้นเพื่อช่วยครูในการจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอนแต่ละรายวิชาให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของหลักสูตร
3. หนังสือเสริมประสบการณ์ เป็นหนังสือที่จัดทาขึ้นโดยคานึงถึงประโยชน์ในด้านการศึกษาหา
ความรู้ของตนเอง ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ความซาบซึ้งในคุณค่าของภาษา การเสริมสร้างทักษะและนิสัย
รักการอ่าน การเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ตามหลักสูตรให้กว้างขวางขึ้น หนังสือประเภทนี้
โรงเรียนควรจัดหาไว้บริการครูและนักเรียนในโรงเรียน หนังสือเสริมประสบการณ์จาแนกออกเป็น 4 ประเภท
คือ
3.1 หนังสืออ่านนอกเวลา เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนดให้ใช้ในการเรียนวิชาใดวิชา
หนึ่งตามหลักสูตรนอกเหนือจากหนังสือเรียนสาหรับให้นักเรียนอ่านนอกเวลาเรียน โดยถือว่าเป็นกิจกรรรมการ
เรียนเกี่ยวกับหนังสือนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตามหลักสูตร
3.2 หนังสืออ่านเพิ่มเติม เป็นหนังสือที่มีสาระ สาหรับให้นักเรียนอ่านเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
ด้วยตนเอง ตามความเหมาะสมกับวัยและความสามารถในการอ่านของแต่ละบุคคล หนังสือประเภทนี้เคย
เรียกว่าหนังสืออ่านประกอบ
3.3 หนังสืออุเทศ เป็นหนังสือใช้ค้นคว้าสาหรับอ้างอิงเกี่ยวกับการเรียนโดยมีการเรียบเรียงเชิง
วิชาการ
3.4 หนังสือส่งเสริมการอ่าน เป็นหนังสือที่จัดทาขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เน้นไปในทางส่งเสริมให้
ผู้อ่านเกิดทักษะในการอ่าน และมีนิสัยรักการอ่านมากยิ่งขึ้น อาจเป็นหนังสือสารคดี นวนิยาย นิทาน ฯลฯ ที่มี
ลักษณะไม่ขัดต่อวัฒนธรรม ประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ให้ความรู้ มีคติและสารประโยชน์
4. แบบฝึกหัด เป็นสื่อการเรียนสาหรับให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เพื่อช่วยเสริมให้เกิดทักษะ และความ
แตกฉานในบทเรียน
5. สื่อการเรียนการสอนอื่นๆ เช่น สื่อประสม วีดีทัศน์ แถบบันทึกเสียง ภาพพลิก แผ่นภาพ เป็นต้น
สื่อการเรียนการสอนดังกล่าวข้างต้น โรงเรียนสามารถเลือกใช้ ปรับปรุง หรือจัดทาขึ้นเพื่อใช้ในการ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ตามความเหมาะสม
2.4 การกาหนดวิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน เนื่องจากการพัฒนาหลักสูตร จุดประสงค์ชัดเจนที่
กาหนดความคาดหวังในคุณลักษะต่างๆ ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน รวมทั้งวิธีการดาเนินการเพื่อให้บรรลุ
จุดประสงค์ที่กาหนดไว้ การที่ผู้ใช้หลักสูตรหรือครูทราบว่าผลที่เกิดจากการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างไร มี
ส่งใดที่ต้องปรับปรุง แก้ไข ผู้เรียนได้บรรลุตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่เพียงใดนั้น ต้องมีวิธีการวัดและ
ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินผล ซึ่งการวัดและประเมินต่อผู้สอนที่
ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียนรวมทั้งตัวผู้สอนเองช่วยให้ผู้สอนทราบคุณภาพการจัดการเรียนการสอน ซึ่ง
รวมถึงคุณภาพของหลักสูตร นาไปสู่การปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งการวัดและประเมินผลผู้เรียน
มีทั้งก่อนการจัดการเรียนการสอน ระหว่างและสิ้นสุดการจัดการเรียนการสอน แล้วแต่ความเหมาะสม
ขั้นที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร เมื่อร่างหลักสูตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะนาไปใช้กับ
นักเรียน จาเป็นต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรก่อน เพื่อหาข้อบกพร่องและปรับปรุงแก้ไขให้
เหมาะสมและสมบูรณ์ที่สุด สิ่งที่ต้องพิจารณาในการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรคือ ความสอดคล้องของ
องค์ประกอบต่างๆ ได้แก่ จุดประสงค์ เนื้อหาสาระ การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ วิธี
วัดและประเมินผลผู้เรียน ซึ่งวิธีการตรวจสอบกระทาได้โดย
1. คณะทางานร่างหลักสูตร เป็นกลุ่มบุคคลที่พัฒนาหลักสูตรขึ้นมา เช่น คณะครู ผู้บริหารผู้ปกครอง
คนในชุมชน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
2. ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านเนื้อหาสาระ ด้านสื่อการเรียนรู้ ด้าน
หลักสูตรและการสอน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
3. การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจอยู่ในลักษณะของการจัดประชุม/สัมมนา เพื่อ
รับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อนาสู่การปรับปรุงหลักสูตร
ขั้นที่ 4 การนาหลักสูตรไปใช้ หลังจากที่มีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรละปรับปรุงแก้ไข
หลักสูตรที่ร่างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปคือ การนาหลักสูตรไปใช้ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสาคัญมาก ครูที่
เป็นผู้ปฏิบัติการหลักในการพัฒนาหลักสูตรเป็นผู้นาหลักสูตรไปใช้ ด้วยการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน ครู
กาหนดวิธีการจัดการเรียนการสอน กาหนดรายละเอียดกิจกรรมในแต่ละคาบ พร้อมทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์
ต่างๆ การประสานงานกับบุคคลที่จะเข้ามาช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ รวมทั้งการจัดเตรียมสื่อการเรียนการ
สอนให้สอดคล้องกับสภาพของชุมชน ภาพประกอบ 26 สรุปดังนี้
วิธีและประเมินผลผู้เรียน
สื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้
จุดประสงค์ของหลักสูตร
จุดประสงค์พฤติกรรม
หลักสูตร
แผนการเรียนรู้/
กิจกรรมแต่ละคาบ - ระหว่างการจัดการเรียน
การสอน
- สิ้นสุดการจัดการเรียน
การสอน
ภาพประกอบ 26 สรุปขั้นตอนการนาหลักสูตรไปใช้
จากภาพสรุปข้างต้นพบว่า การนาหลักสูตรไปใช้ สิ่งที่ต้องคานึงถึงสิ่งแรกคือ จุดประสงค์ของ
หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมากาหนดไว้ว่าอย่างไรหลังจากนั้นจึงพิจารณาจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิด
ขึ้นกับผู้เรียนนามาสู่การจัดการเรียนการสอน/กิจกรรมในแต่ละคาบและในการจัดกิจกรรมจาเป็นต้องคานึงถึง
สื่อที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ซึ่งสื่อการเรียนรู้ได้แก่ เอกสาร/ตารา แบบฝึกหัด
โสตทัศนูปกรณ์ ต่างๆ นอกจากนั้นยังสามารถเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เช่น จากบุคคลได้แก่ ครู วิทยากร
ในและนอกชุมชน สถาบันทางสังคม ได้แก่ โรงเรียน กลุ่มโรงเรียน สมาคมต่างๆ ธนาคาร/มูลนิธิ ฯลฯ หรือ
เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่อยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ แม่น้า ลาคลอง ทะเล ภูเขา เหล่านั้นเป็นต้น
เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดการเรียนการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ.2542 ตามมาตรา 22 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลังว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้
และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน
สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ” การนาหลักสูตรไปใช้จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้
เรียนรู้ ซึ่งในที่นี้ การเรียนรู้ หมายถึง การปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น (สานักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ
,2542 : 7) การจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มีดังนี้
(สานักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ,2542 : 9-15)
1. การเรียนรู้โดยสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง หมายถึง การเรียนรู้ที่เป็ นกระบวนการสร้าง
ประสบการณ์และสิ่งต่างๆ ให้มีความหมายต่อตนเองจากปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยการใช้กระบวนการคิด
และแสวงหาความรู้ควบคู่ไปกับการปฏิบัติจริง ให้ผู้เรียนค้นพบข้อความรู้และประสบการณ์ด้วยตนเอง ครูเป็น
ผู้อานวยการเรียนรู้ จัดโอกาส จัดบรรยากาศสิ่งแวดล้อมและแหล่งวิทยาการ ให้เอื้อต่อการสร้างแรงจูงใจให้เกิด
การเรียนรู้
เอกสาร/
ตารา
แบบฝึกหัด โสตทัศนูปกรณ์ บุคคล
- ครู
- วิทยากร
ชุมชน
- วิทยากร
นอกชุมชน
สถาบันทางสังคม
- โรงเรียน
กลุ่มโรงเรียน
- สมาคมต่างๆ
- ธนาคาร/มูลนิธิ
ฯลฯ
สิ่งเกิดเองตาม
ธรรมชาติ
- ป่าไม้
- แม่น้า/ลาคลอง
- ทะเล
- ภูเขา
ฯลฯ
ขอบเขตเนื้อหาของการเรียนรู้โดยสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองคือ การฝึกทักษะกระบวนการคิด
วิเคราะห์ การสร้างแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ใฝ่เรียน
กลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (participatory learning : pl)
กระบวนทางปัญญา 10 ขั้น ของ ศ. นพ.ประเวศ วะสี ซึ่งได้แก่ การสังเกต การบันทึก การนาเสนอ การฟัง การ
ถาม-ตอบ การตั้งสมมติฐาน การค้นหาคาตอบ การวิจัย การเชื่อมโยง การบูรณาการ และการเรียบเรียง
2. การเรียนรู้เรื่องของตนเอง ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม หมายถึง การเรียนรู้เพื่อเชื่อมโยง
ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจของตนเอง การรับรู้และตระหนังในตนเองสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติ
และพฤติกรรมให้สอดคล้องกับค่านิยมที่ดีงาม ยึดมั่นในคุณธรรมจริยธรรม มีความเพียรพยายามในการทาความ
ดี การเสริมสร้างลักษณะนิสัยและสุนทรียภาพความดีงามในตนเอง การเรียนรู้เพื่อให้สามารถดารงชีวิตอยู่ได้
อย่างสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม การตระหนักถึงคุณค่า และพัฒนาคุณภาพของธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนขอบเขตเนื้อหา ได้แก่ การเรียนรู้เรื่องตนเองทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การเรียนรู้
เกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และเรื่องศิลปวัฒนธรรมกลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้ใน
สถานการณ์จริง การฝึกปฏิบัติ (learning by doing) การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การฝึกทักษะกระบวนการคิด
3. การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษะการดารงชีวิตและการประกอบอาชีพ
3.1 การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษะการดารงชีวิต หมายถึง การเรียนรู้ที่ทาให้ผู้เรียนมีทักษะชีวิตที่
สาคัญจาเป็นคือ การรู้จักคิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความตระหนักรู้ในตน มีความเห็นใจผู้อื่น
มีความภูมิใจในตนเอง มีความรับผิดชอบต่อสังคม รู้จักการสร้างสัมพันธภาพและการสื่อสาร รู้จักตัดสินใจและ
แก้ปัญหา รู้จัดการจัดการกับอารมณ์และความเครียด ขอบเขตเนื้อหาประกอบด้วยทักษะชีวิตที่สาคัญและจาเป็น
ข้างต้น รวมทั้งการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษา การเลือกบริโภคสื่อ ยาเสพติดศึกษา ทักษะการเป็นผู้นา ผู้ตาม การ
เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างเพศ การแก้ไขความขัดแย้งและความรุนแรงในครอบครัวและสังคม
3.2 การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษาการประกอบอาชีพ หมายถึง การเรียนรู้เพื่อค้นพบและใช้ศักยภาพ
ของตนเพื่อเตรียมตัวประกอบอาชีพให้เหมาะกับตนเอง รู้จักวิธีเลือกประกอบอาชีพสุจริตเหมาะสม สามารถ
พึ่งตนเองและเลี้ยงตนเองได้อย่างพอเพียงแก่อัตภาพขอบเขตเนื้อหาประกอบด้วยทักษะเกี่ยวกับการสร้างนิสัยรัก
การทางาน มีความขยันหมั่นเพียร มีคุณธรรม 4 ประการ คือ ความอดทน ความซื่อสัตย์รู้จักเสียสระและความ
รับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวม รู้จักแก้ปัญหา รวมทักษะในการจัดการ กลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น
การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การฝึกปฏิบัติจริง การสาธิต การทดลอง (Experimentation)
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7

More Related Content

What's hot

ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6
ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6
ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6Anukun Khaiochaaum
 
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตรความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตรmaturos1984
 
แนวข้อสอบบรรจุ ครูผู้ช่วย
แนวข้อสอบบรรจุ ครูผู้ช่วยแนวข้อสอบบรรจุ ครูผู้ช่วย
แนวข้อสอบบรรจุ ครูผู้ช่วยWanwisa Tana
 
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรรูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรBigbic Thanyarat
 
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรFh Fatihah
 
002ชุดการเรียนรู้ชุดที่2(1)
002ชุดการเรียนรู้ชุดที่2(1)002ชุดการเรียนรู้ชุดที่2(1)
002ชุดการเรียนรู้ชุดที่2(1)sopa sangsuy
 
การพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรJiraprapa Suwannajak
 
หลักสูตรการศึกษานอกระบบ 2551
หลักสูตรการศึกษานอกระบบ 2551หลักสูตรการศึกษานอกระบบ 2551
หลักสูตรการศึกษานอกระบบ 2551Panlop
 
การเลือกและจัดเนื้อหา
การเลือกและจัดเนื้อหาการเลือกและจัดเนื้อหา
การเลือกและจัดเนื้อหาSurapong Khamjai
 
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรNoawanit Songkram
 
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1CC Nakhon Pathom Rajabhat University
 

What's hot (17)

ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6
ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6
ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6
 
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตรความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
 
แนวข้อสอบบรรจุ ครูผู้ช่วย
แนวข้อสอบบรรจุ ครูผู้ช่วยแนวข้อสอบบรรจุ ครูผู้ช่วย
แนวข้อสอบบรรจุ ครูผู้ช่วย
 
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรรูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
 
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
 
002ชุดการเรียนรู้ชุดที่2(1)
002ชุดการเรียนรู้ชุดที่2(1)002ชุดการเรียนรู้ชุดที่2(1)
002ชุดการเรียนรู้ชุดที่2(1)
 
การพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตร
 
แนวข้อสอบ
แนวข้อสอบแนวข้อสอบ
แนวข้อสอบ
 
Botkwam
BotkwamBotkwam
Botkwam
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
หลักสูตรการศึกษานอกระบบ 2551
หลักสูตรการศึกษานอกระบบ 2551หลักสูตรการศึกษานอกระบบ 2551
หลักสูตรการศึกษานอกระบบ 2551
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
การเลือกและจัดเนื้อหา
การเลือกและจัดเนื้อหาการเลือกและจัดเนื้อหา
การเลือกและจัดเนื้อหา
 
บทที่ 2++77
บทที่  2++77บทที่  2++77
บทที่ 2++77
 
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
 
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1
 
Lewwiss
LewwissLewwiss
Lewwiss
 

Similar to บทที่ 7 (20)

บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
Botkwam
BotkwamBotkwam
Botkwam
 
Botkwam
BotkwamBotkwam
Botkwam
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 

More from katay sineenart

More from katay sineenart (11)

บรรณานุกรม
บรรณานุกรมบรรณานุกรม
บรรณานุกรม
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 

บทที่ 7

  • 1. บทที่ 7 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา มโนทัศน์(Concept) ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กาหนดขึ้นเป็นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ เริ่มตั้งแต่ การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร การนาหลักสูตรไป ใช้ในสถานการณ์จริง รวมทั้งการประเมินผลหลักสูตร โดยหวังว่าขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรที่สมบรูณ์ที่จะทา ให้ได้หลักสูตรมีประสิทธิภาพ ซึ่งขั้นตอนในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนสาคัญ 5 ขั้นตอนที่สาคัญ คือ 1. การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ 2. การร่างหลักสูตร 3. การตรวจสอบ คุณภาพของหลักสูตร 4. การนาหลักสูตรไปใช้ และ 5. การประเมินผลหลักสูตร ผลการเรียนรู้(Learning Outcome) 1. มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษา 2. สามารถนาความรู้มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาได้อย่างถูกต้อง สาระเนื้อหา(Content) การจัดการศึกษาเท่าที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่ที่ใช้ตารา เอกสาร รวมทั้งสื่อต่างๆ ที่จัดพิมพ์จาก หน่วยงานกลางเป็นหลักในการเรียนการสอน ถึงแม้ว่าสภาพบริบทและแวดล้อมโรงเรียนจะแตกต่างกัน แต่ เนื้อหาสาระในการจัดการเรียนการสอนกลับเหมือนกันทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามได้มีความพยายามให้โรงเรียน พัฒนาหลักสูตรดังที่กาหนดไว้ในคู่มือ เปิดโอกาสให้โรงเรียนสามารถพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพ ของท้องถิ่นได้ ทั้งนี้เนื่องจากครูขาดความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งทักษะในการพัฒนาหลักสูตร ขาดการสนับสนุน จากผู้บริหารและขาดการมีส่วนร่วมของคนในท้องถิ่น การจัดการเรียนการสอนส่วนใหญ่เน้นครูเป็นศูนย์กลาง เน้นการท่องจามากกว่าปฏิบัติจริง ดังนั้นการเปลี่ยนบทบาทของโรงเรียนจากการเป็นผู้ใช้หลักสูตรที่มีผู้จัดทาให้ มาเป็นการพัฒนาหลักสูตรด้วยตนเอง จาเป็นต้องมีการฝึกอบรมให้บุคลากรในโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูให้ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนหรือรู้แบบการพัฒนาหลักสูตรและมีความสามารถเพียงพอที่จะนาความรู้ไป ใช้พัฒนาหลักสูตรด้วยตนเองได้ ทั้งนี้โดยหวังว่าหลักสูตรที่โรงเรียนพัฒนาขึ้น จะทาให้นักเรียนได้เรียนรู้ เรื่องราวที่เป็นจริง สามารถนาความรู้ที่ได้รับจากโรงเรียนมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน เล็งเห็นความ
  • 2. เชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้กับการนาไปใช้ ก่อให้เกิดความรัก ผูกพันกับชุมชนที่อยู่อาศัย นอกจากนั้นยังเป็น จุดเริ่มต้นที่ดีของความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับโรงเรียน เนื่องจากหลักสาคัญของการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียน ก็คือ การให้บุคลากรในโรงเรียนและชุมชนร่วมกันตัดสินใจเกี่ยวกับการดาเนินทางหลักสูตร ซึ่งมีทั้งการร่วมคิด ร่วมทา ร่วมประเมินผล เพื่อให้การศึกษาของเยาวชนเป็นไปตามความต้องการของครอบครัว ชุมชน สังคมและ ประเทศชาติ สมดังเจตนารมณ์ของการจัดการศึกษาดังที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 1. ความจาเป็นของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ข้อกฎหมายที่สถานศึกษาต้องไปดาเนินการให้สถานศึกษาหรือโรงเรียนสามารถพัฒนาหลักสูตรได้ เองภายใต้กรอบของหลักสูตรแกนกลางเป็นเรื่องที่จะต้องมี การเตรียมการให้พร้อมเพื่อตอบสนองการ ประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กาหนดแนวการจัดการศึกษาในมาตรา 22 ว่าการจัด การศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญ ที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และใน มาตรา 23 กาหนดการจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้อง เน้นความสามารถทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ การศึกษา ในเรื่องต่อไปนี้ 1. ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน ชาติ และสังคมโลก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2. ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้และความเข้าใจและประสบการณ์ เรื่องการจัดการ การบารุงรักษา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน 3. ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ ภูมิ ปัญญา 4. ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง 5. ส่งเสริมการสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอานวย ความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้ในการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของ กระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอน และแหล่งวิทยาการ ประเภทต่างๆ 6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
  • 3. จากข้อกาหนดจากมาตรา 22, 23, 24 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2524 นาไปสู่การ กาหนดคุณภาพมาตรฐานของผู้จบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งที่ผ่านมาในอดีต กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544: 4) กาหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 ดังนี้ คือ 1. เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยในตนเอง ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตน นับถือ มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์ 2. ความคิดสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน รักการอ่าน รักการเรียน และรักการค้นคว้า 3. มีความรู้อันเป็นสากล ที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ มีทักษะและ ศักยภาพในการจัดการ การสื่อสารและเทคโนโลยี ปรับวิธีการคิดวิธีการทางานได้เหมาะสมกับสถานการณ์ 4. มีทักษะและกระบวนการ โดยเฉพาะทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทักษะการคิดและ การ สร้างปัญญา และทักษะในการดาเนินชีวิต 5. รักการออกกาลังกาย ดูแลตนเองให้มีสุขภาพและบุคลิกภาพที่ดี 6. มีประสิทธิภาพในการผลิตและการบริโภค มีค่านิยมเป็นผู้ผลิตมากกว่าผู้บริโภค 7. เข้าใจในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ภูมิใจในความเป็นไทย เป็นพลเมืองดี ยึดมั่นในวิถีและการ ปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 8. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์ภาษาไทย ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี กีฬา ภูมิปัญญาไทย ทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาสิ่งแวดล้อม 9. รักประเทศชาติและท้องถิ่น มุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามให้สังคม 2. ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สกิลเบ็ก (Skilbeck, 1984: 2) ได้ให้ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนไว้ว่า หมายถึง การ วางแผน การออกแบบ การนาไปใช้และการประเมินผล การกาหนดการเรียนรู้ของนักเรียนดาเนินการโดย สถานศึกษา เน้นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างบุคลากรภายในสถานศึกษา ไม่ใช่กาหนดจากบุคคลภายนอก แฮร์ริสัน (Marsh and others.1990: 48) ให้ความหมายการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า 1. เป็นแผนงานที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ 2. เป็นสิ่งที่นาไปปฏิบัติได้จริงและมีผลเกิดขึ้นกับบุคคลที่เกี่ยวข้องจริง 3. เป็นประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ ทั้ง 3 ข้อมีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อให้หลักสูตรได้รับการพัฒนาให้ สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของผู้เรียนมากขึ้น เอ็กเกิลสตัน (Eggleston, 1980: 7) ได้ให้ความหมายการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า เป็นการพัฒนา หลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับสภาพและความต้องการของนักเรียนในแต่ละโรงเรียน โดยมีการวางแผน นาไปใช้ และประเมินร่วมกัน มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและชุมชน เช่น บุคลากร อาคารสถานที่ วัสดุ
  • 4. อุปกรณ์ต่างๆ เป็นพันธกิจร่วมกันระหว่างโรงเรียนและชุมชน ครูได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ เป็นหลักสูตรที่ โรงเรียนได้รับประโยชน์ โรงเรียนเป็นผู้ทาให้เกิดสัมฤทธิ์ผลมากกว่าเป็นเพียงเจ้าของหลักสูตร กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544:28-29) ได้กล่าวถึงการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า คือพันธ กิจหรือภาระหน้าที่ที่สถานศึกษาและชุมชนร่วมกันในการพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมกับยุคสมัย โดยกาหนดเป็น วิสัยทัศน์ เป้าหมาย มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เพื่อให้ครูทุกคนนาไป ออกแบบการเรียนการสอนมีการวางแผนร่วมกันทั้งสถานศึกษาเป็นหลักสูตรที่ครอบคลุมภาระงานการจัด การศึกษาทุกด้านของสถานศึกษา สรุป การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาในความหมายต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นสรุปว่า การพัฒนา หลักสูตรคือ แผนประสบการณ์หรือแผนการจัดการเรียนการสอนที่เกิดจากการตัดสินใจร่วมกันระหว่าง บุคลากรทั้งภายในและภายนอกของโรงเรียน เพื่อกาหนดการเรียนรู้ของนักเรียน มีการวางแผนนาไปใช้และ ประเมินผลร่วมกัน 3. แนวคิดการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เป็นแนวคิดภายใต้พื้นฐานของการ บริหารงานที่ใช้ โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management - SBM) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งให้สถานศึกษามีอิสระและมีความ คล่องตัวในการบริหารงานด้านวิชาการ ด้านการเงิน ด้านการบริหารงานบุคคลและการบริหารทั่วไป เปิดโอกาส ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจโดยมีความเชื่อว่าการตัดสินใจที่ดีที่สุดจากการตัดสินใจของคณะบุคคลที่อยู่ ใกล้ชิดและมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักเรียนมากที่สุด (Wohlsletter, 1995:22-25) แนวคิดนี้ เริ่มในประเทศ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีแบบของบริหารจัดการแตกต่างกันไปตามมลรัฐ และในระหว่าง พ.ศ. 2503-2522 วง การศึกษาของสหรัฐอเมริกาได้มีการปรับปรุงการดาเนินงานทางการศึกษาเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดย นาความคิดจากความสาเร็จของการพัฒนาองค์การทางอุตสาหกรรมที่ทาองค์การให้มีประสิทธิภาพในการ ทางาน ส่งผลให้การปฏิบัติงานมีคุณภาพ สร้างผลกาไรและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าและผู้เกี่ยวข้อง ดังนั้น แนวทางที่จะทาให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น ต้องปรับปรุงและพัฒนาองค์การ การบริหารโรงเรียนเสียใหม่ มีการ กระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษาไปยังโรงเรียนให้มากขึ้นมีการนาวิชาการบริหารงบประมาณด้วน ตนเอง (Self-Budgeting School) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา (School-Based Curriculum Development) การ พัฒนาบุคลากรโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Student Counseling) เข้ามาใช้ (สานักคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ ,2543:12) เซ็น (Chen, H.L.S., 2000:3) กล่าวว่า โดยพื้นฐานแล้วความคิดในการจัดทาหลักสูตรโรงเรียนก็คือ โรงเรียนเป็นที่ที่ดีที่สุดในการออกแบบหลักสูตร เพราะเป็นสถานที่ผู้เรียนและครูมีปฏิสัมพันธ์กัน เป็นการ
  • 5. สะท้อนให้เห็นถึงการกระทา และมีผลโดยตรงต่อโรงเรียนและมีส่วนร่วมในการนานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ใน การศึกษา เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าการใช้หลักสูตรแกนกลางเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม เพราะไม่ได้คานึงถึง ความแตกต่างของโรงเรียนนโยบายที่จะให้โรงเรียนพัฒนาหลักสูตร เป็ นการเปลี่ยนจากการสั่งการจาก หน่วยงานกลางมายังหน่วยปฏิบัติ (Top-Down) มาเป็นการจัดทาจากหน่วยปฏิบัติขึ้นไป (Bottom-Up) ซึ่งเป็น ความคิดเช่นเดียวกับการให้โรงเรียนบริหารการจัดการเอง (School-Based Management) และเป็นความคิดที่ นามาจากประเทศทางตะวันตก ดังนั้น การนามาใช้จะต้องนามาปรับให้เหมาะสมด้วยหวังว่าทุกโรงเรียนจะเป็น แกนในการปฏิรูปการศึกษา ครูทุกคนเป็นนักออกแบบหลักสูตร (Curriculum Designer) และทุกห้องเรียนเป็น ห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับหลักสูตรใหม่ๆ สาหรับประเทศไทยเอง แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาคือ ต้องการกระจายอานาจให้กับ โรงเรียนสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรได้เอง เพราะเท่าที่ผ่านมามีปัญหาเกิดขึ้นจากการรวมอานาจการ บริหารการศึกษาไว้ที่ส่วนกลางคือที่กระทรวงศึกษาธิการ ดังที่คณะกรรมการปฏิบัติระบบบริหารการศึกษาใน กระทรวงศึกษาธิการกล่าวไว้ว่า ลักษณะเช่นนี้ก่อให้เกิดปัญหาดังนี้ 1. ปัญหาการรวมอานาจไว้ที่ส่วนกลางทาให้เกิดปัญหาคือ 1.1 ก่อให้เกิดความล่าช้าในการอนุมัติ อนุญาต 1.2 ขาดความเป็นอิสระในการคิด การตัดสินใจในระดับล่าง และระดับปฏิบัติของหน่วยงานใน พื้นที่และสถานศึกษา 1.3 การบริหารและการตัดสินใจของหน่วยงานระดับล่างไม่อาจทาได้ ไม่สอดคล้องกับความ จาเป็นและความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหา และตอบสนองตามความต้องการของนักเรียนและประชาชน หรือ ชุมชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม 1.4 ทาให้สิ้นเปลืองงบประมาณและทรัพยากร เนื่องจากการจัดสรรที่ไม่สอดคล้องกับปัญหาและ ความต้องการที่แท้จริง การมอบอานาจหรือแบ่งอานาจ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการบริหารงานตามระเบียบแบบแผนการ บริหารการเงิน และการบริหารงานบุคคล ส่วนการมอบอานาจในเรื่องของนโยบายแผนงาน และวิชาการมีเป็น ส่วนน้อยคือเพียงร้อยละ 0.4 ของลักษณะงานที่มอบอานาจไปทั้งหมด 2. ปัญหาด้านหลักสูตรและการเรียนการสอน ก็มีการกาหนดและควบคุมจากส่วนการสูงมาก แม้มี ความพยายามให้สถานศึกษาและหน่วยงานในพื้นที่พัฒนาหลักสูตรในท้องถิ่น ก็ไม่เกิดผลเท่าที่ควรทั้งนี้ เนื่องจาก 2.1 กรอบหลักสูตรและการประเมินผล เป็นสาเหตุสาคัญในการสกัดกั้นการตัดสินใจเกี่ยวกับ หลักสูตร
  • 6. 2.2 ความวิตกกังวลของสถานศึกษาและครูผู้สอน ที่เกรงว่าจะไม่สามารถดาเนินการได้ครบตาม ระเบียบและกฎเกณฑ์ดังกล่าว 2.3 รูปแบบการจัดการเรียนการสอนของครูที่ยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ส่งเสริมศักยภาพ และ ความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน 2.4 ระบบรวมศูนย์ในเรื่องการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการเรียนการสอน รวมทั้งการควบคุม จัดสรร และกาหนดคุณลักษณะจากส่วนกลางก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทาให้สถานศึกษามิอาจจัดรายวิชาที่สนองความต้องการ ของนักเรียนและความต้องการชุมชนได้ 3. ปัญหาจากการใช้หลักสูตรเดียวกันทั่วประเทศ ก่อให้เกิดผลต่อผู้ปฏิบัติตามหลักสูตร 3.1 ผู้บริหารโรงเรียนบางส่วนขาดความรู้ ความเข้าใจในหลักสูตร 3.2 ครูไม้เข้าใจหลักการ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 3.3 เนื้อหาวิชามีความยาก ไม่สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น 3.4 ครูไม่เข้าใจวิธีการจัดการเรียนการสอน จึงจัดการเรียนการสอนที่ยึดครูเป็นศูนย์กลาง 3.5 การจัดส่งเอกสารประกอบหลักสูตรไปยังโรงเรียนมีความล่าช้า ไม่ทันเปิ ดภาคการศึกษา จานวนที่จัดส่งไปให้ไม่เพียงพอ 4. ปัญหาในการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นก็คือ 4.1 การขาดบุคลากร 4.2 ขาดความร่วมมือและสนับสนุน 4.3 ขาดวิทยากร 4.4 ขาดความรู้ 4.5 ขาดการเก็บรวบรวมข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน 4.6 ครูไม่ปรับหลักสูตรสอนตามหลักสูตรแกนกลาง 4.7 ไม่ปรับปรุงสื่อ เอกสาร 4.8 ครูไม่มีความรู้และขาดทักษะในการดาเนินการ จากรายงานการวิจัยและพัฒนาระบบการประเมินผลภายในของสถานศึกษาพบว่าสถานศึกษาที่มี หลักสูตรและเนื้อหาสาระที่เหมาะสมกับท้องถิ่นและผู้เรียน มีเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียนคือ 1. นักเรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเองและชุมชนและตัวเองอาศัยอยู่น้อยหรืออาจไม่เกี่ยวข้อง 2. ทาให้การเรียนรู้เป็นเรื่องไม่สนุก เพราะประโยชน์ในการนาไปใช้ในชีวิตประจาวันมีไม่มาก ไม่ สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ เช่น ทฤษฎีการเรียนรู้ปัญญานิยม ที่เชื่อว่าการรู้เกิดจากการที่ผู้เรียนเป็นผู้ริเริ่ม เป็นผู้กระทาที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้าผู้เรียนต้องเป็นผู้ลงมือกระทา
  • 7. การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติ เป็นหน้าที่ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ส่วนการพัฒนา หลักสูตรสถานศึกษา เป็นหน้าที่ของโรงเรียนที่ต้องดาเนินการ เงื่อนไขสาคัญที่ทาให้การจัดทาหลักสูตร สถานศึกษาประสบความสาเร็จมีดังนี้ (Cohen, 1985:1158) 1. ต้องมีการมอบอานาจส่วนกลางไปยังระดับโรงเรียนในท้องถิ่นในลักษณะการกระจายอานาจ 2. บุคลากรในโรงเรียนมีความยินดีในการมีส่วนร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษาและบุคคล เหล่านั้นมีทักษะในการวินิจฉัยความจาเป็นของนักเรียน 3. บุคลากรมีความสามารถเพียงพอในการรับผิดชอบงานและตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร เงื่อนไขดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการที่กาหนดให้มีการ กระจายอานาจการบริหารไปยังสถานศึกษา ให้สถานศึกษามีอานาจในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้เองซึ่ง แนวทางที่กาหนดไว้มีดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2543:3) 1. ยึดโรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใน (School-Based Decision Making) เป็นแนวคิดที่มุ่งให้ โรงเรียนมีอิสระในการตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยยึดประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสาคัญ 2. การมีส่วนร่วมและการร่วมคิดร่วมทา (Participation and Collaboration) การศึกษาเป็นเรื่องของ สาธารณชน มิใช่การรับผิดชอบของใครแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป 3. การกระจายอานาจ (Decentralization) เป็นการคืนอานาจการจัดการศึกษาให้กับผู้ใกล้ชิดเด็ก ได้แก่ โรงเรียน ผู้บริหารการศึกษา ครูชุมชน เป็นความเชื่อว่าผู้มีส่วนได้เสียต่อการศึกษาหรือผู้ที่อยู่ใกล้เด็กสามารถจัด การศึกษาได้ดีที่สุด ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและชุมชน อานาจการตัดสินใจควรอยู่ในระดับปฏิบัติคือ สถานศึกษา 4. ภารกิจที่ตรวจสอบได้ (Accountability) ต้องมีการกาหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบและภารกิจของ ผู้บริหาร ครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษาและชุมชนอย่างชัดเจน และภารกิจเหล่านี้ต้องสามารถตรวจสอบ ความสาเร็จได้ เพื่อเป็นหลักประกันคุณภาพการศึกษาให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง 4. ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่จะนามาใช้ดาเนินการการนาแนวคิดและรูปแบบจาก พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ในมาตรา 27 วรรคสองที่กาหนดให้สถานศึกษา ขั้นพื้นฐานมี หน้าที่จัดทาสาระของหลักสูตรที่สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและ สังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึ่งประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และ ประเทศชาติ รวมทั้งแนวคิดและรูปแบบของนักพัฒนาหลักสูตร เช่น ไทเลอร์ ทาบา เซย์เลอร์อเล็กซานเดอร์
  • 8. และเลวิส โอลิวา สกิลเบ็กมาร์ช และคณะ เอ็กเกิลสตัน วอล์คเกอร์ และรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทย อง กรมวิชาการ และ กรมการศึกษานอกโรงเรียน มากาหนดเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กาหนดขึ้น เป็นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ เริ่มตั้งแต่ การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร การนาหลักสูตรไป ใช้ในสถานการณ์จริง รวมทั้งการประเมินผลหลักสูตร โดยหวังว่าขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรที่สมบูรณ์ทาให้ ได้หลักสูตรที่มีประสิทธิภาพ กล่าวโดยสรุปขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนที่ สาคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้คือ ขั้นที่ 1 การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ ได้แก่ 1.1 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการของชุมชน 1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน 1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง ขั้นที่ 2 การร่างหลักสูตร 2.1 การกาหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร 2.2 การกาหนดเนื้อหาสาระ 2.3 การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อต่างๆ 2.4 การกาหนดวิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน ขั้นที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร ขั้นที่ 4 การนาหลักสูตรไปใช้ ขั้นที่ 5 การประเมินผลหลักสูตร รายละเอียดในแต่ละขั้นตอนมีดังนี้ ขั้นที่ 1 การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน ในการพัฒนาหลักสูตรจาเป็นต้องศึกษาและวิเคราะห์ ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ เพื่อใช้ในการกาหนดองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรซึ่งได้แก่ วัตถุประสงค์ของ หลักสูตร เนื้อหาสาระ กิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน/สื่อ การวัดและประเมินผลผู้เรียนซึ่งข้อมูลพื้นฐานที่ ได้จากการศึกษาช่วยในการกาหนดวัตถุประสงค์หรือการกาหนดสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ วัตถุประสงค์ จะเป็นตัวกาหนดเนื้อหาสาระที่ควรจัดให้ผู้เรียน ซึ่งอยู่ในลักษณะรายวิชา หลังจากนั้นจึงนามากาหนดกิจกรรม ในการจัดการเรียนการสอน สื่อการเรียนรู้ต่างๆ รวมทั้งการกาหนดวิธีการวัดและประเมินผลผู้เรียนว่าจะใช้ วิธีการอย่างไร ซึ่งการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรควรประกอบด้วย 1.1 การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน เนื่องจากโรงเรียนที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และวัฒนธรรมของชุมชน ช่วยเตรียมคนให้กับชุมชนและสังคม ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ผู้เรียน
  • 9. เป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดเป็นทาเป็นและเป็นสมาชิกที่ดีของ สังคม จาเป็นต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการของชุมชนหรือสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่ เพื่อให้ หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมีความทันสมัยเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชน การศึกษาสภาพและความต้องการ ของชุมชนมีการศึกษาในหลายด้าน เช่น การศึกษา สาธารณูปโภค สิ่งแวดล้อม การประกอบอาชีพ ในปัจจุบัน และแนวโน้มของอาชีพในอนาคต สุขภาพอนามัย ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยม ทรัพยากรต่างๆ ปัญหาของชุมชน ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนอาจศึกษาจากการสารวจสอบถามสัมภาษณ์บุคคลในชุมชน และศึกษา จากเอกสาร รายงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกาหนดแนวทางในการตอบสนองความต้องการของชุมชนในพื้นที่ได้ ข้อมูลของชุมชนที่สาคัญมีดังต่อไปนี้ 1. ข้อมูลสภาพทั่วไปของชุมชน แผนที่ชุมชน แสดงที่ตั้งของสถานที่ต่างๆ เช่น สิ่งสาคัญใน ชุมชน เช่น วัด โรงเรียน เทศบาล ธนาคาร ฯลฯ รวมทั้งลักษณะการตั้งบ้านเรือนภายในชุมชน ประวัติความ เป็นมาและสภาพของชุมชน จานวนประชากร แยกตามเพศ อายุ จานวนครัวเรือน ศาสนา สถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น 2. ข้อมูลด้านการศึกษา จานวนผู้จบการศึกษาในระดับต่างๆ จานวนนักเรียนในระดับต่างๆ เช่น ประถม มัธยม ฯลฯ จานวนครูที่สอนในระดับต่างๆ จานวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น ศึกษานิเทศก์ ฯลฯ 3. ข้อมูลศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน ภาษาท้องถิ่น โบราณสถาน โบราณวัตถุภายในชุมชน ดนตรี เพลง การแสดงพื้นบ้านของชุมชน วรรณกรรม ตานานพื้นบ้านของชุมชน 4. ข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อาชีพ/รายได้ของคนในชุมชน ปฏิทิน การปฏิบัติงานของชุมชน เช่น ช่วงเดือนการเก็บเกี่ยวข้าว ช่วงเวลาการเก็บเงาะ การตัดยาง เป็นต้น รวมทั้งทรัพยากรที่มีในชุมชน เช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ แหล่งน้า และพืชเศรษฐกิจหลักของชุมชน 5. ภูมิปัญญาท้องถิ่น ทาเนียบชื่อ ที่อยู่ ความรู้ความสามารถ ความชานาญของ แต่ละ บุคคลปัญหาชุมชน 6. ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในชุมชน เช่น ยาเสพติด พืชผลราคาตก โจรผู้ร้ายชุกชุม นอกจาการศึกษาและสารวจสภาพและความต้องการของชุมชน รวมทั้งข้อมูลที่สาคัญของชุมชนแล้ว ต้องมีการสารวจสภาพและความต้องการของผู้เรียน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถได้ จากครูในโรงเรียน ผู้ปกครอง และตัวนักเรียนเอง วิธีการศึกษาชุมชน สามารถดาเนินการได้ดังนี้
  • 10. 1. ศึกษาจากเอกสารต่างๆ จัดเป็นข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีผู้จัดพิมพ์ หรือรวบรวมไว้อยู่ในรูปเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ เอกสารเหล่านี้สามารถค้นคว้าศึกษาได้จากห้องสมุดจาก หน่วยงานต่างๆ ที่รวบรวมจัดเก็บไว้ 2. ศึกษาจากการสารวจชุมชน จัดเป็นข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) ซึ่งผู้ต้องการใช้ข้อมูลเป็น ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากชุมชน ทาให้ได้เห็นสภาพที่แท้จริง และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนด้วย ซึ่งการสารวจชุมชนต้องใช้วิธีการต่างๆ กัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง วิธีการต่างๆได้แก่ การสัมภาษณ์ การสอบถาม และการสังเกตเป็นต้น จากการศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน นาข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาจัดลาดับความสาคัญ โดยกาหนดเป็นหัวเรื่องที่ต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้ เช่น ในชุมชนมีปัญหายาเสพติด สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ภาวะโลกร้อน มีการทาลายทรัพยากรธรรมชาติ เหล่านี้เป็นต้น หรืออาจเป็นเรื่องที่ชุมชนต้องการถ่ายทอด วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนให้กับนักเรียนได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้จัดแยกเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจนว่า อะไร เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องการแก้ไข หรืออะไรเป็นสิ่งที่ต้องการให้นักเรียนรู้เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมของชุมชนใน การดาเนินงานขั้นตอนนี้มีความสาคัญที่ต้องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชุมชน เช่น ผู้ปกครอง กรรมการโรงเรียน คนในชุมชน รวมทั้งนักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นร่วมกับครู ผู้บริหารโรงเรียน เพื่อ นาไปสู่ข้อสรุปของการจัดลาดับความสาคัญของปัญหา หรือเรื่องราวที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้ 1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนเป็นการศึกษาสภาพ ทั่วไปของโรงเรียนในด้านต่างๆ เช่น บุคลากร งบประมาณ อุปกรณ์ และสื่อต่างๆ อาคารสถานที่ ห้องเรียน ปัญหาที่เกิดจากการใช้หลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ข้อมูล เหล่านี้จะช่วยในการพิจารณาว่าโรงเรียนมีความพร้อมหรือไม่ มีผลต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกแนวทางการ พัฒนาหลักสูตรอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับศักยภาพของโรงเรียนมากที่สุด ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ได้จากเอกสาร รายงานต่างๆ เช่น สถิติของโรงเรียน รายงานการประเมินคุณภาพของโรงเรียน การสารวจภายในโรงเรียน เป็นต้น 1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง เนื่องจากปัจจุบันเป็นระยะเวลาที่เราผ่านการใช้หลักสูตรมา หลายครั้งจนปัจจุบันกาลังจะนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาใช้กับโรงเรียนนาร่อง จานวน 555 แห่ง ในปีการศึกษา 2552 และคาดว่าจะนามาใช้ครบทุกชั้นในปีการศึกษา 2553 ดังนั้น การวิเคราะห์ หลักสูตรแกนกลางใช้แนวทางการวิเคราะห์ดังนี้ 1. หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) ให้พิจารณาจาก 1.1 จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 1.2 จุดประสงค์รายวิชา (ความมุ่งหวังที่ต้องการ)
  • 11. 1.3 เนื้อหาสาระ (โครงสร้างหลักสูตร) 1.4 กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลการ เรียนรู้ 2. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้พิจารณา จาก 2.1 มาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร 2.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น - 8 กลุ่มสาระ - กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 2.3 การจัดการเรียนรู้ 2.4 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ซึ่งสถานศึกษาแต่ละแห่งควรนาข้อมูลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่ประกอบด้วย การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนและการวิเคราะห์หลักสูตร แกนกลาง สรุปได้ดังนี้ 1.1 การศึกษาและความต้องการของชุมชน - สภาพทั่วไปของชุมชน - การศึกษา - ศิลปวัฒนธรรม - หัวเรื่อง - เศรษฐกิจ - ภูมิปัญญาท้องถิ่น - ปัญหาของชุมชน 1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน - บุคลากร - งบประมาณ - อุปกรณ์/สื่อต่างๆ - อาคารสถานที่ - ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ข้อกาหนด ในการร่าง หลักสูตร - หัวเรื่อง - จัดลาดับ
  • 12. 1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง 1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2544 ให้พิจารณาจากมาตรฐานการ เรี ย น รู้ ของหลักสูตร สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ ละช่วงชั้น - 8 กลุ่มวิชา - กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การจัดการเรียนรู้ การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ 2. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 255 1 ให้พิจารณาจาก ปรับมาตรฐานการเรียนรู้จากหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น - 8 กลุ่มวิชา (เท่าเดิม) - วิสัยทัศน์ - พันธกิจ - คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน - กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน - กิจกรรมสาธารณประโยชน์ การจัดการเรียนรู้ การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ ขั้นที่ 2 การร่างหลักสูตร เป็นการกาหนดแผนการจัดประสบการณ์ หรือการกาหนด แนว ทางการจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วยจุดประสงค์ เนื้อหาสาระ กิจกรรมและวิธีวัดและ ประเมินผลผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และทัศนคติตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ การตัดสินใจ พัฒนาหลักสูตรใน เรื่องใด ข้อกาหนด ในการร่าง หลักสูตร
  • 13. ในการร่างหลักสูตรสถานศึกษาจะต้องนาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในขั้นที่ 1 คือ ข้อมูลพื้นฐานที่ จาเป็ น ได้แก่ สภาพและความต้องการของชุมชน ศักยภาพของโรงเรียน หลักสูตรแกนกลางที่กาหนด จุดประสงค์การเรียนรู้วิชาที่ต้องการพัฒนา ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ คือ 2.1 การกาหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ 1. จุดประสงค์ทั่วไป เป้าหมายหรือสิ่งที่มุ่งหวังให้เกิดกับผู้เรียนหลังจากที่ผู้เรียนได้เรียนรู้สิ่ง นั้นๆ แล้ว ต้องนาข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมในขั้นที่ 1 มากาหนดเป็นจุดประสงค์ทั่วไป ต้องพิจารณาให้ สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง การกาหนดจุดประสงค์ต้องเขียนด้วยภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่ายและสามารถ นาไปปฏิบัติได้จริงภายใต้ศักยภาพของแต่ละสถานศึกษา ตัวอย่าง การกาหนดจุดประสงค์ทั่วไปของหลักสูตร “การทาผลไม้แปรรูป คือ ให้นักเรียนมี ความรู้และทักษะในการทาผลไม้แปรรูป” 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ - บอกความหมายของ “ผลไม้แปรรูป” ได้ - สามารถทาผลไม้แปรรูปได้ - มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพการทาผลไม้แปรรูป - สามารถบรรจุหีบห่อที่สวยงามได้ - สามารถตั้งราคาขายที่เหมาะสมได้ ฯลฯ 2.2 การกาหนดเนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระเป็นองค์ประกอบที่สาคัญในการพัฒนาหลักสูตร ทั้งนี้ เนื่องจากเนื้อหาสาระเป็นเครื่องมือหรือสื่อกลางที่จะพาผู้เรียนไปยังวัตถุประสงค์ที่ วางไว้ การพัฒนาหลักสูตร สถานศึกษาใช้เนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับชุมชนที่เป็นบริบทของโรงเรียนให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่วางไว้ มีความยากง่ายสอดคล้องเหมาะสมกับวัยหรือลาดับขั้นของการพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้ง ประสบการณ์เดิมของผู้เรียน มีประโยชน์ต่อผู้เรียนที่จะนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน เนื้อหาที่เลือกมาสามารถจัด ให้ผู้เรียนได้โดยพิจารณาถึงความพร้อม ศักยภาพของโรงเรียน บุคลากรที่เป็นผู้สอน วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ตัวอย่าง การพัฒนาหลักสูตร “การทาผลไม้แปรรูป” ประกอบด้วยเนื้อหาสาระดังนี้ - ลักษณะและชนิดของผลไม้ที่นามาแปรรูป - ขั้นตอนการทาผลไม้แปรรูป - การทาความสะอาดเครื่องใช้ - การบรรจุหีบห่อ - การตั้งราคาขาย
  • 14. ฯลฯ 2.3 การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน คือ กิจกรรม ที่ทั้งผู้เรียนเป็นผู้กระทา และกิจกรรมที่ผู้สอนเป็นผู้กระทา มีการใช้สื่อการเรียนการสอนต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้กิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน การบรรยาย การสาธิต ผู้เรียนมีการซักถามโต้ตอบ การลงมือ ปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระที่กาหนดขึ้น ครูต้องคานึงถึงพื้นฐานและประสบการณ์เดิม ของผู้เรียน การกาหนดกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน ซึ่งอาจมีการ นาสื่อทั้งในด้านวัสดุอุปกรณ์ และบุคคล สถานที่ที่อยู่ในชุมชน เข้ามากาหนดเป็นกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้การเรียนรู้เชื่อมโยงกับชุมชน ส่งผลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนอันเนื่องมาจากการเรียนรู้ตาม จุดประสงค์ที่กาหนดไว้ได้ กิจกรรมการเรียนการสอน ได้แก่ กิจกรรมในลักษณะต่อไปนี้คือ ศึกษา ทดลอง สารวจ ฝึกปฏิบัติ วิเคราะห์ อภิปราย สัมมนา ระดมความคิด ฯลฯ ตัวอย่างกิจกรรม “ศึกษา” ได้แก่ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ , 2539: 9) - ฟังคาอธิบายจากครู - ค้นคว้าจากห้องสมุดของโรงเรียน - ค้นคว้าจากแหล่งวิทยาการอื่นๆ - เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในท้องถิ่นมาบรรยาย - ออกไปสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เกี่ยวข้องในท้องถิ่น - ออกไปสารวจดูสภาพจริงในพื้นที่ - สังเกตสิ่งแวดล้อมรอบข้าง - ออกไปทัศน์ศึกษา - รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ - นาหรือพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ ฯลฯ นอกจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว ครูยังสามารถจัดทาสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียน บรรลุจุดประสงค์ที่กาหนดไว้โดยการจัดสื่อต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนได้ดังนี้ (กรม วิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ , 2539: 17-18) 1. หนังสือเรียน เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนดให้ใช้สาหรับการเรียน มีสาระตรงตามที่ ระบุไว้ในหลักสูตรอย่างถูกต้อง อาจมีลักษณะเป็นเล่ม เป็นแผ่นหรือเป็นชุดก็ได้
  • 15. 2. คู่มือครู แผนการสอนแนวการสอนหรือเอกสารอื่นๆ ที่จัดทาขึ้นเพื่อช่วยครูในการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนแต่ละรายวิชาให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของหลักสูตร 3. หนังสือเสริมประสบการณ์ เป็นหนังสือที่จัดทาขึ้นโดยคานึงถึงประโยชน์ในด้านการศึกษาหา ความรู้ของตนเอง ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ความซาบซึ้งในคุณค่าของภาษา การเสริมสร้างทักษะและนิสัย รักการอ่าน การเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ตามหลักสูตรให้กว้างขวางขึ้น หนังสือประเภทนี้ โรงเรียนควรจัดหาไว้บริการครูและนักเรียนในโรงเรียน หนังสือเสริมประสบการณ์จาแนกออกเป็น 4 ประเภท คือ 3.1 หนังสืออ่านนอกเวลา เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนดให้ใช้ในการเรียนวิชาใดวิชา หนึ่งตามหลักสูตรนอกเหนือจากหนังสือเรียนสาหรับให้นักเรียนอ่านนอกเวลาเรียน โดยถือว่าเป็นกิจกรรรมการ เรียนเกี่ยวกับหนังสือนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตามหลักสูตร 3.2 หนังสืออ่านเพิ่มเติม เป็นหนังสือที่มีสาระ สาหรับให้นักเรียนอ่านเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ด้วยตนเอง ตามความเหมาะสมกับวัยและความสามารถในการอ่านของแต่ละบุคคล หนังสือประเภทนี้เคย เรียกว่าหนังสืออ่านประกอบ 3.3 หนังสืออุเทศ เป็นหนังสือใช้ค้นคว้าสาหรับอ้างอิงเกี่ยวกับการเรียนโดยมีการเรียบเรียงเชิง วิชาการ 3.4 หนังสือส่งเสริมการอ่าน เป็นหนังสือที่จัดทาขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เน้นไปในทางส่งเสริมให้ ผู้อ่านเกิดทักษะในการอ่าน และมีนิสัยรักการอ่านมากยิ่งขึ้น อาจเป็นหนังสือสารคดี นวนิยาย นิทาน ฯลฯ ที่มี ลักษณะไม่ขัดต่อวัฒนธรรม ประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ให้ความรู้ มีคติและสารประโยชน์ 4. แบบฝึกหัด เป็นสื่อการเรียนสาหรับให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เพื่อช่วยเสริมให้เกิดทักษะ และความ แตกฉานในบทเรียน 5. สื่อการเรียนการสอนอื่นๆ เช่น สื่อประสม วีดีทัศน์ แถบบันทึกเสียง ภาพพลิก แผ่นภาพ เป็นต้น สื่อการเรียนการสอนดังกล่าวข้างต้น โรงเรียนสามารถเลือกใช้ ปรับปรุง หรือจัดทาขึ้นเพื่อใช้ในการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ตามความเหมาะสม 2.4 การกาหนดวิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน เนื่องจากการพัฒนาหลักสูตร จุดประสงค์ชัดเจนที่ กาหนดความคาดหวังในคุณลักษะต่างๆ ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน รวมทั้งวิธีการดาเนินการเพื่อให้บรรลุ จุดประสงค์ที่กาหนดไว้ การที่ผู้ใช้หลักสูตรหรือครูทราบว่าผลที่เกิดจากการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างไร มี ส่งใดที่ต้องปรับปรุง แก้ไข ผู้เรียนได้บรรลุตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่เพียงใดนั้น ต้องมีวิธีการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินผล ซึ่งการวัดและประเมินต่อผู้สอนที่ ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียนรวมทั้งตัวผู้สอนเองช่วยให้ผู้สอนทราบคุณภาพการจัดการเรียนการสอน ซึ่ง
  • 16. รวมถึงคุณภาพของหลักสูตร นาไปสู่การปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งการวัดและประเมินผลผู้เรียน มีทั้งก่อนการจัดการเรียนการสอน ระหว่างและสิ้นสุดการจัดการเรียนการสอน แล้วแต่ความเหมาะสม ขั้นที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร เมื่อร่างหลักสูตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะนาไปใช้กับ นักเรียน จาเป็นต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรก่อน เพื่อหาข้อบกพร่องและปรับปรุงแก้ไขให้ เหมาะสมและสมบูรณ์ที่สุด สิ่งที่ต้องพิจารณาในการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรคือ ความสอดคล้องของ องค์ประกอบต่างๆ ได้แก่ จุดประสงค์ เนื้อหาสาระ การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ วิธี วัดและประเมินผลผู้เรียน ซึ่งวิธีการตรวจสอบกระทาได้โดย 1. คณะทางานร่างหลักสูตร เป็นกลุ่มบุคคลที่พัฒนาหลักสูตรขึ้นมา เช่น คณะครู ผู้บริหารผู้ปกครอง คนในชุมชน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 2. ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านเนื้อหาสาระ ด้านสื่อการเรียนรู้ ด้าน หลักสูตรและการสอน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 3. การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจอยู่ในลักษณะของการจัดประชุม/สัมมนา เพื่อ รับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อนาสู่การปรับปรุงหลักสูตร ขั้นที่ 4 การนาหลักสูตรไปใช้ หลังจากที่มีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรละปรับปรุงแก้ไข หลักสูตรที่ร่างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปคือ การนาหลักสูตรไปใช้ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสาคัญมาก ครูที่ เป็นผู้ปฏิบัติการหลักในการพัฒนาหลักสูตรเป็นผู้นาหลักสูตรไปใช้ ด้วยการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน ครู กาหนดวิธีการจัดการเรียนการสอน กาหนดรายละเอียดกิจกรรมในแต่ละคาบ พร้อมทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ ต่างๆ การประสานงานกับบุคคลที่จะเข้ามาช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ รวมทั้งการจัดเตรียมสื่อการเรียนการ สอนให้สอดคล้องกับสภาพของชุมชน ภาพประกอบ 26 สรุปดังนี้ วิธีและประเมินผลผู้เรียน สื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ จุดประสงค์ของหลักสูตร จุดประสงค์พฤติกรรม หลักสูตร แผนการเรียนรู้/ กิจกรรมแต่ละคาบ - ระหว่างการจัดการเรียน การสอน - สิ้นสุดการจัดการเรียน การสอน
  • 17. ภาพประกอบ 26 สรุปขั้นตอนการนาหลักสูตรไปใช้ จากภาพสรุปข้างต้นพบว่า การนาหลักสูตรไปใช้ สิ่งที่ต้องคานึงถึงสิ่งแรกคือ จุดประสงค์ของ หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมากาหนดไว้ว่าอย่างไรหลังจากนั้นจึงพิจารณาจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิด ขึ้นกับผู้เรียนนามาสู่การจัดการเรียนการสอน/กิจกรรมในแต่ละคาบและในการจัดกิจกรรมจาเป็นต้องคานึงถึง สื่อที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ซึ่งสื่อการเรียนรู้ได้แก่ เอกสาร/ตารา แบบฝึกหัด โสตทัศนูปกรณ์ ต่างๆ นอกจากนั้นยังสามารถเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เช่น จากบุคคลได้แก่ ครู วิทยากร ในและนอกชุมชน สถาบันทางสังคม ได้แก่ โรงเรียน กลุ่มโรงเรียน สมาคมต่างๆ ธนาคาร/มูลนิธิ ฯลฯ หรือ เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่อยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ แม่น้า ลาคลอง ทะเล ภูเขา เหล่านั้นเป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดการเรียนการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ตามมาตรา 22 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลังว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ” การนาหลักสูตรไปใช้จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ ซึ่งในที่นี้ การเรียนรู้ หมายถึง การปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น (สานักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ ,2542 : 7) การจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มีดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ,2542 : 9-15) 1. การเรียนรู้โดยสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง หมายถึง การเรียนรู้ที่เป็ นกระบวนการสร้าง ประสบการณ์และสิ่งต่างๆ ให้มีความหมายต่อตนเองจากปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยการใช้กระบวนการคิด และแสวงหาความรู้ควบคู่ไปกับการปฏิบัติจริง ให้ผู้เรียนค้นพบข้อความรู้และประสบการณ์ด้วยตนเอง ครูเป็น ผู้อานวยการเรียนรู้ จัดโอกาส จัดบรรยากาศสิ่งแวดล้อมและแหล่งวิทยาการ ให้เอื้อต่อการสร้างแรงจูงใจให้เกิด การเรียนรู้ เอกสาร/ ตารา แบบฝึกหัด โสตทัศนูปกรณ์ บุคคล - ครู - วิทยากร ชุมชน - วิทยากร นอกชุมชน สถาบันทางสังคม - โรงเรียน กลุ่มโรงเรียน - สมาคมต่างๆ - ธนาคาร/มูลนิธิ ฯลฯ สิ่งเกิดเองตาม ธรรมชาติ - ป่าไม้ - แม่น้า/ลาคลอง - ทะเล - ภูเขา ฯลฯ
  • 18. ขอบเขตเนื้อหาของการเรียนรู้โดยสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองคือ การฝึกทักษะกระบวนการคิด วิเคราะห์ การสร้างแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ใฝ่เรียน กลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (participatory learning : pl) กระบวนทางปัญญา 10 ขั้น ของ ศ. นพ.ประเวศ วะสี ซึ่งได้แก่ การสังเกต การบันทึก การนาเสนอ การฟัง การ ถาม-ตอบ การตั้งสมมติฐาน การค้นหาคาตอบ การวิจัย การเชื่อมโยง การบูรณาการ และการเรียบเรียง 2. การเรียนรู้เรื่องของตนเอง ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม หมายถึง การเรียนรู้เพื่อเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจของตนเอง การรับรู้และตระหนังในตนเองสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติ และพฤติกรรมให้สอดคล้องกับค่านิยมที่ดีงาม ยึดมั่นในคุณธรรมจริยธรรม มีความเพียรพยายามในการทาความ ดี การเสริมสร้างลักษณะนิสัยและสุนทรียภาพความดีงามในตนเอง การเรียนรู้เพื่อให้สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ อย่างสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม การตระหนักถึงคุณค่า และพัฒนาคุณภาพของธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนขอบเขตเนื้อหา ได้แก่ การเรียนรู้เรื่องตนเองทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การเรียนรู้ เกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และเรื่องศิลปวัฒนธรรมกลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้ใน สถานการณ์จริง การฝึกปฏิบัติ (learning by doing) การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การฝึกทักษะกระบวนการคิด 3. การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษะการดารงชีวิตและการประกอบอาชีพ 3.1 การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษะการดารงชีวิต หมายถึง การเรียนรู้ที่ทาให้ผู้เรียนมีทักษะชีวิตที่ สาคัญจาเป็นคือ การรู้จักคิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความตระหนักรู้ในตน มีความเห็นใจผู้อื่น มีความภูมิใจในตนเอง มีความรับผิดชอบต่อสังคม รู้จักการสร้างสัมพันธภาพและการสื่อสาร รู้จักตัดสินใจและ แก้ปัญหา รู้จัดการจัดการกับอารมณ์และความเครียด ขอบเขตเนื้อหาประกอบด้วยทักษะชีวิตที่สาคัญและจาเป็น ข้างต้น รวมทั้งการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษา การเลือกบริโภคสื่อ ยาเสพติดศึกษา ทักษะการเป็นผู้นา ผู้ตาม การ เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างเพศ การแก้ไขความขัดแย้งและความรุนแรงในครอบครัวและสังคม 3.2 การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษาการประกอบอาชีพ หมายถึง การเรียนรู้เพื่อค้นพบและใช้ศักยภาพ ของตนเพื่อเตรียมตัวประกอบอาชีพให้เหมาะกับตนเอง รู้จักวิธีเลือกประกอบอาชีพสุจริตเหมาะสม สามารถ พึ่งตนเองและเลี้ยงตนเองได้อย่างพอเพียงแก่อัตภาพขอบเขตเนื้อหาประกอบด้วยทักษะเกี่ยวกับการสร้างนิสัยรัก การทางาน มีความขยันหมั่นเพียร มีคุณธรรม 4 ประการ คือ ความอดทน ความซื่อสัตย์รู้จักเสียสระและความ รับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวม รู้จักแก้ปัญหา รวมทักษะในการจัดการ กลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การฝึกปฏิบัติจริง การสาธิต การทดลอง (Experimentation)