More Related Content
More from nattawad147 (20)
บทที่5
- 3. ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
1. มีความรู้ ความเข้าใจ ในการเขียนประเด็นสาคัญที่ใช้พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตร
ด้าน ต่างๆ ในการพัฒนาหลักสูตร
2. สามารถนาความรู้ในการเขียนประเด็นสาคัญจากข้อมูลพื้นฐานการพัฒนา
หลักสูตรมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาหลักสูตรได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
- 5. มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง ยังมีคนไทยที่พึ่งพาตนเองไม่ได้ ยังมีความไม่ปลอดภัยใน
ชีวิตและทรัพยากร เพราะฉะนั้นในการพัฒนาหลักสูตรระดับต่างๆ ในอนาคตจะต้อง
ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในเรื่องต่างๆ จากหลายๆ แหล่งและจากบุคคลหลายๆ ฝ่ายเพื่อให้
ได้ข้อมูลที่แท้จริงมาพัฒนาหลักสูตร สามารถพัฒนาผู้เรียนให้เจริญเติบโตทั้งทางด้าน
ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และอารมณ์ เป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและ
ประเทศชาติ หรือกล่าวโดยสรุปคือสามารถใช้หลักสูตรเป็นเครื่องมือในการสร้างสังคม
ใหม่ในทิศทางที่ถูกต้องได้
- 6. การพัฒนาหลักสูตรจาเป็นต้องศึกษา วิเคราะห์ สารวจ วิจัย สภาพพื้นฐานด้านต่างๆ
เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะใช้สนับสนุน อ้างอิงในการตัดสินใจดาเนินการต่างๆ
เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ดี สามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ และทัศนคติที่
นาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้
การพัฒนาหลักสูตรเป็นงานที่มีขอบเขตกว้างขวางมาก การที่จัดหลักสูตรให้มี
คุณภาพนั้นผู้พัฒนาหลักสูตรต้องศึกษาข้อมูลหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับตัว
ผู้เรียน ข้อมูลเกี่ยวกับสังคม หรือข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ เพื่อที่ให้ได้
ข้อมูลที่สมจริงที่สุดเพราะข้อมูลเหล่านี้จะช่วยนักพัฒนาหลักสูตรในเรื่องต่างๆ คือ
- 9. ทาบา (Taba, 1962: 16-87) ได้กล่าวว่า การพัฒนาหลักสูตรโดย
ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์จะต้อง คานึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. สังคมและวัฒนธรรม
2. ผู้เรียนและกระบวนการเรียน
3. ธรรมชาติของความรู้
- 10. ไทเลอร์ ( Tyler, 1949:1-43) กล่าวถึงสิ่งที่ควรพิจารณาในการสร้าง
จุดมุ่งหมายของการศึกษา คือ
1. ข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียน ซึ่งได้แก่ ความต้องการของผู้เรียนและ
ความสนใจของผู้เรียน
2. ข้อมูลจากการศึกษาชีวิตภายนอกโรงเรียน
3. ข้อมูลที่ได้จากข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ
4. ข้อมูลทางด้านปัญญา
5. ข้อมูลทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้
- 12. กาญจนา คุณารักษ์ ( 2521: 23-36 ) กล่าวถึงข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนา
หลักสูตรไว้ดังนี้
1. ตัวผู้เรียน
2. สังคมและวัฒนธรรม
3. ธรรมชาติและคุณสมบัติของการเรียนรู้
4. การสะสมความรู้ที่เพียงพอและเป็นไปได้เพื่อการให้การศึกษา
- 13. ธารง บัวศรี (2532:4) กล่าวถึงข้อมูลต่างๆ ในการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้
1. พื้นฐานทางปรัชญา
2. พื้นฐานทางสังคม
3. พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา
4. พื้นฐานทางความรู้และวิทยาการ
5. พื้นที่ทางเทคโนโลยี
6. พื้นฐานทางประวัติศาสตร์
- 14. สงัด อุทรานันท์ (2532 : 46) กล่าวถึงพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้
1. พื้นฐานทางปรัชญา
2. ข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรม
3. พื้นฐานเกี่ยวกับพัฒนาการของผู้เรียน
4. พื้นฐานเกี่ยวทฤษฎีการเรียนรู้
5. ธรรมชาติของความรู้
- 15. สุมิตร คุณานุกร (2520 : 10) กล่าวถึงข้อมูลต่างๆ ในการพัฒนาหลักสูตรจาแนก
ตามแหล่งที่มาได้ 6 ประการ คือ
1. ข้อมูลทางปรัชญา
2. ข้อมูลที่ได้จากนักวิชาการแต่ละสาขา
3. ข้อมูลที่ได้จากจิตวิทยาการเรียนรู้
4. ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาสังคมของผู้เรียน
5. ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
6. ข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการทางเทคโนโลยี
- 16. สาโรช บัวศรี (2514 : 21-22) ได้กล่าวว่า ในการจัดการศึกษาหรือจัด
หลักสูตรต้องอาศัยพื้นฐานหลัก 5 ประการ คือ
1. พื้นฐานทางปรัชญา
2. พื้นฐานทางจิตวิทยา
3. พื้นฐานทางสังคม
4. พื้นฐานทางประวัติศาสตร์
5. พื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี
- 20. 1.1 โครงสร้างของสังคม
โครงสร้างไทยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ลักษณะสังคมชนบทหรือสังคมเกษตรกรรม และ
สังคมเมืองหรือสังคมอุตสาหกรรม ในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีมาก สังคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นแต่ถึงอย่างไรก็ตามสังคมส่วนใหญ่ของ
ประเทศก็ยังมีสภาพเป็นสังคมเกษตรกรรมอยู่ ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรจาเป็ นจะต้องศึกษา
โครงสร้างของสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และแนวโน้มโครงสร้างในอนาคตเพื่อที่จะได้ข้อมูลมา
จัดหลักสูตรว่า จะจัดหลักสูตรอย่างไรเพื่อยกระดับการพัฒนาสังคมเกษตรกรรมและเตรียม
พื้นฐานเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมตามความจาเป็น
- 21. 1.2 ค่านิยมในสังคม
ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่คนในสังคมเดียวกันมองเห็นว่ามีคุณค่าเป็นที่ยอมรับ
หรือเป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไปในสังคมนั้นๆ เนื่องจากการศึกษาเป็นตัวการ
ที่ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม ค่านิยมชนิดไหนที่จะได้รับการ
เปลี่ยนแปลงดารงไว้หรือค่านิยมชนิดไหนควรสร้างขึ้นมาใหม่ เช่น ค่านิยมของ
สังคมไทยเกี่ยวกับความเฉื่อยชา การถือความสัมพันธ์ส่วนตัว การถือ
ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
- 25. 1. มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดี
2. มีอาชีพเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว
3. เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ
4. มีสติปัญญา
5. มีนิสัยรักการทางาน
6. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
- 30. 2.1 การเตรียมกาลังคน
การให้การศึกษาเป็นสิ่งสาคัญในการผลิตกาลังคนในด้านต่างๆ ให้เพียงพอ
พอเหมาะ และสอดคล้องกับความต้องการในแต่ละสาขาวิชาชีพ เพื่อป้ องกันการสูญเปล่า
ทางการศึกษา และเพื่อลดปัญหาการว่างงานอันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ
นอกจากนี้การเตรียมกาลังคนให้สนองความต้องการของประเทศนั้นต้องพิจารณาให้
เหมาะสมกับระดับความ สามารถที่ต้องการ ซึ่งมีทั้งระดับผู้เชี่ยวชาญทางวิชาการสาขา
ต่างๆ ระดับช่างฝีมือ และระดับกรรมกร รวมทั้งต้องพิจารณาถึงแนวโน้มความต้องการ
ทางเศรษฐกิจของประเทศชาติในอนาคตด้วย
- 31. 2.2 การพัฒนาอาชีพ
ประเทศไทยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทางการเกษตร และประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรที่อาศัย
อยู่ในชนบท อาชีพอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและบริการมีอยู่เพียงชุมชนในเมือง ปัจจุบันมี
การโยกย้ายถิ่นที่อยู่เข้ามาทางานอุตสาหกรรมในเมืองใหญ่ ซึ่งทาให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา
เช่นสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เกิดชุมชนแออัด ปัญหาครอบครัว เด็กเร่ร่อน เป็นต้น เพราะฉะนั้น
การพัฒนาหลักสูตรควรเน้นการส่งเสริมอาชีพส่วนใหญ่ของคนในประเทศ จัดหลักสูตรเพื่อ
พัฒนาอาชีพตามศักยภาพและท้องถิ่น เพื่อพัฒนาอาชีพให้เหมาะสมเป็นการยกระดับรายได้
คนในชนบทให้สูงขึ้น เพื่อลดปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน ลดการหลั่งไหลของ
ประชาชนเข้าไปทางานตามเมืองใหญ่ สิ่งเหล่านั้นเป็นหน้าที่สาคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้อง
ร่วมมือร่วมใจกันทาหลักสูตรอาชีพเพื่อพัฒนาอาชีพให้บรรลุผล
- 42. 3.3 รากฐานของประชาธิปไตย จากการที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสม
บูรณาสิทธิราชย์มาเป็นระบบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2475 นั้น ควรรู้ความเข้าใจตลอดจน
ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ เกี่ยวกับประชาธิปไตยในสังคมไทยยังไม่เพียงพอ หลักสูตรในฐานะที่เป็น
เครื่องมือสาหรับพัฒนาคนควรที่จะวางรากฐานที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แก่สังคม เพื่อให้ความรู้
ความเข้าใจให้ถูกต้องซึ่งจะสร้างสรรค์ให้ทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข และไม่มีการเอารัด
เอาเปรียบซึ่งกันและกัน นอกจากนี้การจัดการเรียนการสอน จึงควรมุ่งเน้นพฤติกรรม
ประชาธิปไตยด้วย สาหรับประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมานานแล้ว แต่ทางปฏิบัติ
เราต้องยอมรับว่ายังไม่สมบูรณ์ ดังจะเห็นได้จากการราษฎรส่วนใหญ่ยังไม่รู้ถึงสิทธิหน้าที่ของตน
ต่อรัฐ ไม่รู้ว่าตนเองมีความสาคัญมีส่วนมีเสียงในการปกครอง
- 43. ไม่รู้ว่าการเมืองมีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตประจาวันของตน ไม่เห็นความจาเป็นในการเลือกตั้งเป็น
ต้น การศึกษาควรมีบทบาทสาคัญในการปรับปรุงแก้ไข การจัดการเรียนการสอนควรเน้น
เรื่องความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ให้ประชาชนรู้หน้าที่ของตนในระบอบประชาธิปไตย ให้
สานึกว่าการเมืองและการปกครองเป็นเรื่องของทุกคนในสังคม ทั้งที่ศึกษาอยู่ในระบบและนอก
ระบบ และ หรือจบการศึกษาแล้วได้ศึกษาและนาไปปฏิบัติจริงเพื่อสอดคล้องกับนโยบายที่ว่า
การศึกษาและ หรือจบการศึกษาแล้วได้ศึกษาคือ กระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต เมื่อเป็นเช่น
การจัดหลักสูตรให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองจึงกระทาได้หลายรูปแบบ
เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้ มีจิตสานึกในความร่วมมือ เข้าใจบทบาทตนเองในด้านการเมือง
การปกครองอย่างแท้จริง
- 48. 5. กระตุ้นและปลูกฝังให้มีความตั้งใจเรียน ซื่อสัตย์ รับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัวและ
ประเทศชาติ
6. ฝึกให้ความสนใจและร่วมกันพิจารณาปัญหาต่าง ของสังคมและหาทางแก้ไข
7. หาโอกาสให้ให้ความร่วมมือประกอบกิจกรรมเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม
8. ช่วยแก้ไขค่านิยมที่ไม่เหมาะสมในสังคมและสร้างค่านิยมที่ดีและเหมาะสม
9. ปลูกฝังทัศนคติที่ว่าการเมืองเป็นเรื่องการให้ความร่วมมือ การเสียสละ และการช่วยชาติ
เพื่อบุคคลรุ่นใหม่จะได้เป็นนักการเรียนที่ดี
10. ให้ความรู้และกระตุ้นให้สนใจการเมืองโดยคานึงถึงหลักการ วิธีการ สิทธิหน้าที่ในฐานะ
พลเมืองของประเทศ
- 49. 11. ปลูกฝังให้มีความพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองทั้งในระดับ
โรงเรียน ท้องถิ่น และประเทศชาติ
12. ปลูกฝังให้ผู้เรียนมีแนวคิดว่าทุกคนควรมีบทบาททางการเมือง และการเมืองเป็น
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งทางตรงและทางอ้อม
13. เน้นให้เห็นความสาคัญของการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
จากตัวอย่างดังกล่าวพอจะเป็นแนวทางกาหนดเนื้อหา กิจกรรมการจัดการเรียน
การสอนและประสบการณ์เรียนรู้ไว้เป็นหลักสูตร เพื่อให้ผู้เรียนที่จบการศึกษาเป็นผล
เมืองที่มีคุณภาพสอดคล้องกับระบบการเมืองการปกครองของประเทศ
- 51. 4.1ปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
การขยายตัวของอุตสาหกรรม และการใช้เทคโนโลยี ทาให้เกิดปัญหาสภาวะแวดล้อมทาง
ธรรมชาติในสังคมไทยมากขึ้น เช่น ปัญหาการทาลายป่ าไม้ ปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน
ปัญหาน้าเสีย และอากาศเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ปัญหาต่างๆ สมควรที่จะได้
ศึกษาข้อเท็จจริงถึงสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขเพื่อที่นาไปเป็นข้อมูลในการจัดการศึกษาและ
พัฒนาหลักสูตร เช่น การกาหนดเนื้อหาในเรื่องสภาพแวดล้อม การปลูกฝังการสร้าง
สภาพแวดล้อมที่ดี และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ฉลาดถูกต้อง ซึ่ง
สิ่งเหล่านี้เราสามารถกาหนดลงในเนื้อหาของหลักสูตรในระดับต่างๆ ตามความเหมาะสม เพื่อที่
ปลูกฝังความรับผิดชอบในสิ่งเหล่านี้ให้เกิดในผู้เรียน และประเทศก็จะมีพลเมืองที่รับผิดชอบต่อ
สิ่งแวดล้อมของประเทศ ปัญหาเกี่ยวสิ่งแวดล้อมในอนาคตก็จะได้รับการป้ องกันไม่ให้เกิดขึ้น
- 53. 4.3 ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
โดยพื้นฐานนั้นประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพื้นฐานดั้งเดิมจากเกษตรกรรม ประชาชนส่วนใหญ่ยังมี
พื้นฐานอยากจนและมีการศึกษาต่า ประชาชนเกิดการว่างงาน การย้ายถิ่นทากินชนบทเข้าสู่เมือง หรือ
อัตราค่าจ้างแรงงานต่า สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจยาวนานของประเทศ ประกอบกับใน
ปัจจุบันประเทศต่างๆ ประสบกับภาวะปัญหาทางด้านเศรษฐกิจของโลกทั้งประเทศไทยด้วย ทาให้
ปัญหาทางเศรษฐกิจในอดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มปัญหาที่เกิดในอนาคต เพื่อจะให้นาข้อมูลทาง
เศรษฐกิจของประเทศ โดยกาหนดจุดหมายของหลักสูตร การสร้างหลักสูตรหลายวิชา หรือการบรรจุ
เนื้อหาสาระให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ ทาให้ผู้ที่จบการศึกษาใน
ระดับต่างๆ สามารถออกไปประกอบอาชีพได้ และสามารถดารงอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงทาง
เศรษฐกิจ โดยไม่เป็นปัญหาหรือภาระของสังคม หรือจัดการศึกษาเพื่อให้บุคคลสามารถสร้างงานได้
- 54. 4.4. ปัญหาทางด้านการเมืองการปกครอง
สภาพปัญหาทางด้านการเมืองของไทยเป็นมาอย่างยาวนาน สมควรที่การศึกษาจะเข้าไปมีบทบาท
ในการพัฒนาด้านการเมือง คือการให้ความรู้และปลูกฝังในเรื่องของประชาธิปไตย เพราะประชาชน
ทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งชนบทมีความรู้เข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยไม่ดีพอ ส่วนใหญ่ ยังขาดความ
สานึกและความรับผิดชอบต่อวิถีทางแบบประชาธิปไตย ซึ่งจะเห็นได้จากจานวนผู้ไปใช้เสียงในการ
เลือกตั้งแต่ละครั้งมีจานวนน้อยมากเมื่อเปรียบกับผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งทั้งหมด แม้ว่านักศึกษา
มีอายุที่จะใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้แล้วแต่อัตราส่วนผู้ใช้สิทธิ์ยังน้อยเหมือนเดิม ในเมื่อผู้ได้รับการศึกษาที่มี
ความรู้ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยเป็นอย่างดี ยังขาดความสานึกความรับผิดชอบเช่นนี้
นักพัฒนาหลักสูตรจึงควรที่จะได้ตระหนักและพัฒนาหลักสูตร เนื้อหาวิชาหรือกิจกรรมการเรียนการ
สอนให้สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีจิตสานึก และความรู้สึงรับผิดชอบต่อการปกครองของประเทศ
- 58. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปัจจุบันประเทศไทยได้นาเอาความก้าวหน้าทางด้าน
วิทยาศาสตร์มาใช้ในสังคมอย่างกว้างขวางในทุกๆ ด้าน ทาให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและ
สิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อมดังนั้น การจัดการศึกษาจึงควรจะให้ประชาชน
ตระหนักถึงสภาพข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เป็นผลกระทบจากความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี พร้อมทั้งให้เขาได้รับข้อมูลต่างๆ อย่างเพียงพอ เพื่อให้เขาสามารถเลือก
ตัดสินใจใช้วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ดังนั้น นักพัฒนาหลักสูตรต้องศึกษาข้อมูลทางด้าน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งในปัจจุบันและแนวโน้มความเจริญในอนาคต เพื่อที่จะได้
พัฒนาหลักสูตรเพื่อพัฒนาคนให้สามารถดารงตนอยู่ได้อย่างเหมาะสมในสังคมที่
เปลี่ยนแปลงไป
- 62. 1. มีการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดย่อม รวมทั้งอุตสาหกรรมท้องถิ่นเพิ่มขึ้น
2. งานอาชีพอิสระมีแนวโน้มจะมีความสาเร็จมากขึ้นในอนาคตทั้งนี้เนื่องจากลักษณะ
การผลิตอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มักเป็นการผลิตใช้ทุนมากกว่าใช้แรงงาน
3. ในอนาคตสภาพสังคมจะมีการแข่งขันและต่อสู้เพื่ออยู่รอดเฉพาะตัวเพราะที่ดินทา
กินไม่สามารถขยายเพิ่มให้สมดุลกับประชากรได้ ทาให้เกิดการเข้ามาทางานในเมือง
มากขึ้น และภาคอุตสาหกรรมก็ไม่สามารถรองรับแรงงานได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นการ
แข่งขันเพื่อความอยู่รอดมีมากขึ้น
- 64. 1. เตรียมกาลังคนให้เหมาะสมกับงานด้านอุตสาหกรรมขนาดย่อย และอุตสาหกรรม
ท้องถิ่น โดยเตรียมกาลังคนที่มีคุณภาพทางด้านความรู้ทักษะ และลักษณะนิสัย
ตลอดจนเจตคติที่ดีต่อการทางานอาชีพ
2. ส่งเสริมอาชีพอิสระและเตรียมคนให้เห็นช่องทางในการประกอบอาชีพอิสระมากขึ้น
เพื่อแก้ปัญหาการว่างงานของประชาชนส่วนหนึ่ง
3. การศึกษาในอนาคตควรเน้นไปที่การสร้างค่านิยมด้านความสามัคคีในการอยู่
ร่วมกัน โดยให้ทุกคนรู้จักเสียสละ มุ่งทาประโยชน์ให้แก่สังคมเป็นส่วนใหญ่ และหาจุดยืน
ที่เป็นที่ยอมรับ
- 67. 7.1 ข้อมูลจากนักวิชาการ
นักวิชาการแต่ละสาขาที่มีความรู้ ความสามารถความชานาญเฉพาะทางย่อมรู้ทฤษฎีหลัก
ธรรมชาติโครงสร้าง และระดับความยากง่ายของความรู้แต่ละศาสตร์ของตนเป็นอย่างดี
คณะพัฒนาหลักสูตรต้องปรึกษาและร่วมมือกับนักวิชาการเหล่านี้เกี่ยวกับการกาหนด
จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ในแต่ละสาขาวิชา ในการกาหนดเนื้อหาวิชา ความกว้าง ความลึก
และความต่อเนื่องสัมพันธ์เนื้อหาในเรื่องการปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรของไทยยังขาด
ข้อมูลด้านนี้มาก ทาให้เกิดการสูญเปล่าทางการศึกษานักวิชาการสาขาต่างๆ จึงน่าจะมี
บทบาทในการพัฒนาหลักสูตรโดยร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรในแต่ละสาขา
เพื่อสร้างหลักสูตรที่สมเหตุสมผลและสมจริงทางวิชาการ
- 69. 8. ข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวกับโรงเรียน ชุมชนหรือสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่
ข้อมูลที่สาคัญอีกอย่างหนึ่งที่ควรศึกษาวิเคราะห์ คือข้อมูลที่เกี่ยวกับสภาพทั่วไปของโรงเรียน
เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับจานวนครูในโรงเรียน จานวนอาคารสถานที่หรือห้องเรียนจานวนอุปกรณ์และ
ศักยภาพของโรงเรียนมากที่สุด นอกจากนี้ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนและสภาพสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่ก็
เป็นข้อมูลที่ผู้จัดทาหลักสูตรหรือพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษา เช่น สภาพแวดล้อมและสภาพ
ภูมิศาสตร์ที่ตั้ง หรือสังคมโดยทั่วไปของผู้ใช้หลักสูตรหรือโรงเรียนนั้นเป็นอย่างไร การสนับสนุน
หรือความร่วมมือของชุมชนสังคมที่มีต่อโรงเรียนเป็นอย่างไร ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ใน
การจัดทาหลักสูตร เช่น การกาหนดวิชาเรียนต่างๆ เพราะบางรายวิชาสภาพชุมชนและสังคมไม่
สามารถเอื้ออานวยหรือส่งเสริมเท่าที่ควร การศึกษาก็ไม่บรรลุผล เพราะฉะนั้นการศึกษาข้อมูล
เกี่ยวกับโรงเรียน ชุมชน และสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่จึงเป็นสิ่งที่สาคัญที่ผู้จัดทาหลักสูตรต้องศึกษา
เพื่อให้ได้ข้อมูลมาจัดทาหลักสูตรที่โรงเรียนต่างๆ
- 71. 9. ข้อมูลพื้นฐานทางประวัติศาสตร์และการศึกษาหลักสูตรเดิม
ประวัติศาสตร์มีความสาคัญต่อชีวิตและการกระทาในปัจจุบัน ดังคากล่าวที่ว่า ปัจจุบัน
ผลของอดีตและอนาคตเป็นผลปัจจุบัน เพราะฉะนั้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ และการศึกษา
หลักสูตรในอดีตย่อมมีประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาและการจัดทาหลักสูตรในปัจจุบัน การศึกษา
ไทยกับประวัติศาสตร์ไทยมีความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น เพราะเหตุการณ์ในชาติย่อมมี
ผลกระทบต่อการศึกษาเสมอ นักการศึกษาและนักพัฒนาหลักสูตรจึงจาเป็นต้องมีความรู้หรือ
ข้อมูลศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติ รวมทั้งประวัติศาสตร์ควบคู่กันไป เพราะเราต้อง
อาศัยพื้นฐานทางประวัติศาสตร์มาช่วยในการจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบัน
การศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์
- 72. จะทาให้เราเห็นภาพรวมความเจริญของชาติทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม การเมือง และ
วัฒนธรรมในอดีตที่ผ่านมา รวมทั้งผลกระทบที่มีต่อการศึกษา ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้นักพัฒนา
หลักสูตรต้องวิเคราะห์ว่าการจัดการศึกษาหรือการจัดหลักสูตรอย่างนั้นในสภาพเศรษฐกิจ สังคม
และการเมืองในขณะนั้นมีความถูกต้องและเหมาะสมมากน้อยเพียงใด ส่วนใดเป็นลักษณะของการ
จัดการศึกษาหรือจัดหลักสูตรที่ดี ส่วนใดเป็นลักษณะการจัดทาหลักสูตรที่ผิดพลาดแก่ผู้จัดทา
หลักสูตร การวิเคราะห์อดีตจะช่วยเพิ่มพูนความสามารถในการวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน
- 74. ในการศึกษาประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์การศึกษาควบคู่กันไปนั้น ธารง บัวศรี
(2532:128) ได้แสดงความคิดเห็นว่า หากลองตั้งคาถามต่างๆ แล้วลองพิจารณาหาคาตอบจะ
ช่วยให้เห็นความเหมาะสมของการจัดการศึกษาในขณะนั้น ตัวอย่างคาถาม เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ
สังคม และการเมืองในขณะนั้นเป็นอย่างไร การจัดการศึกษามีจุดมุ่งหมายจะแก้ไขปัญหาดังกล่าว
หรือไม่ วิธีการที่ช่วยแก้ไขปัญหาช่วยได้หรือไม่ การจัดการศึกษามีส่วนช่วยให้ยกระดับเศรษฐกิจ
หรือทาให้ระบบสังคมดีขึ้นหรือไม่ มีสิ่งชี้บอกใดหรือไม่ ที่แสดงว่าหลักสูตรได้คานึงถึงความ
แตกต่างระหว่างบุคคลหรือพัฒนาการของผู้เรียน