SlideShare a Scribd company logo
1 of 12
Download to read offline
บทที่ 8
การวางแผนพัฒนาหลักสูตร
มโนทัศน์(Concept)
การวางแผนจัดทาหลักสูตรบุคคลที่มีหน้าที่วางแผนจัดทาหลักสูตรต้องร่วมกันจัดทาแผนและจัดทา
หลักสูตรตามขั้นตอนอย่างละเอียดสามารถตรวจสอบแต่ละขั้นว่าเป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้หรือไม่
อย่างไร หากมีปัญหาก็สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ การกาหนดแผนการเรียนการสอนในหลักสูตรจะช่วย
ให้ทราบว่าจะต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด และอย่างไร ทั้งยังสามารถกาหนดสื่อการเรียนการ
สอนการประเมินผลเพื่อให้เหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ทั้งรายกลุ่ม และรายบุคคล
ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
1. มีความรู้ ความเข้าใจ การวางแผนพัฒนาหลักสูตร
2. มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น และแหล่งเรียนรู้
3. สามารถให้ข้อเสนอแนะในการแต่งตั้งคณะกรรมการและหน้าที่รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับ
การวางแผนพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นได้
สาระเนื้อหา(Content)
การวางแผนพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรเป็นสิ่งที่นักศึกษาต้องดาเนินการอยู่เสมอและจะกระทาทุกครั้งเมื่อสังคมมีสิ่งหนึ่ง
สิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นจะทาให้ผู้เรียนได้
เพิ่มพูนประสบการณ์ขึ้นมาใหม่และพร้อมที่จะนาประสบการณ์และความรู้ที่เกิดขึ้นมานั้นไปพัฒนาตนและ
สังคมให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น
Saylor and Alexander (1966 : 7) ได้สรุปว่า การวางแผนพัฒนาหลักสูตร ต้องประกอบด้วยสิ่งต่างๆ
ดังนี้
1. หลักสูตร
1.1 ตัวผู้เรียนเอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและสังคมเองมองเห็นนักเรียนคืออะไร มีส่วน
เกี่ยวข้องกับสังคมอย่างไรบ้าง สังคมต้องการอะไรจากนักเรียน และนักเรียนต้องการอะไรทั้งในแง่ของส่วน
บุคคล และสังคม
1.2 หน้าที่และจุดมุ่งหมายของโรงเรียนคืออะไร โรงเรียนมีแนวคิดยึดปรัชญาสาขาใดและมีแนว
ปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายนั้นอย่างไร
1.3 ธรรมชาติของความรู้นั้นเป็นอย่างไร ขอบข่ายของความรู้ที่จาเป็นต้องศึกษานั้นมีมากน้อยแค่
ไหน อย่างไร อะไรเป็นสิ่งจาเป็นก่อนและหลังหรือลาดับของความรู้เป็นอย่างไร
1.4 กระบวนการการเรียนรู้เป็นอย่างไร ลาดับหรือขั้นตอนของการเรียนรู้เป็ นอย่างไร สิ่งที่
นักพัฒนาหลักสูตรต้องคานึงถึงการพัฒนาหลักสูตรในขั้นตอนแรกก็คือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสังคม ปรัชญา
ผู้เรียน และกระบวนการเรียนรู้
2. บุคคลที่ทาหน้าที่วางแผนพัฒนาหลักสูตร
2.1 นักการศึกษาในทุกระดับ ตั้งแต่อนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา นักวิชาการ
นักวิจัย เป็นต้น
2.2 ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น นักเรียน ผู้ปกครอง สมาชิกในชุมชนและ
สมาคมต่างๆ เป็นต้น
3. ผู้ตัดสินใจเลือกใช้หลักสูตร
ผู้ทาหน้าที่เลือกใช้หลักสูตร คือ นักพัฒนาหลักสูตรซึ่งประกอบด้วยครู นักศึกษา ผู้บริหารการศึกษา
ผู้ปกครอง ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ประกอบขึ้นเป็นกรรมการดาเนินการพัฒนาหลักสูตร โดยทาหน้าที่คัดเลือก
และจัดระบบเนื้อหาสาระตลอดทั้งแบบเรียนกาหนดระบบการเรียน การสอน และการตัดสินใจเลือกนั้นกระทา
ตามลาดับและขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบรรพต สุวรรณประเสริฐ (2544: 16) ได้เสนอรูปแบบการวางแผน
หลักสูตรซึ่งต้องมีองค์ประกอบสาคัญได้แก่การกาหนดหลักสูตรนักวางแผนหลักสูตรการตัดสินใจหลักสูตร
และแผนหลักสูตร
การกาหนด
หลักสูตร
นักวางแผน
หลักสูตร
การตัดสินใจ
หลักสูตร
แผนหลักสูตร
- ผู้เรียน :
คุณค่าทาง
สังคมและ
ความ
ต้องการ
-จุดมุ่งหมาย
ของ
การศึกษา
-จุดมุ่งหมาย
ของ
โรงเรียน
หรือ
สถานศึกษา
- ธรรมชาติ
ของความรู้
กระบวนการ
เรียนรู้
แนวคิด
- นักศึกษาทุก
ระดับ
- ผู้เรียนและ
ผู้ปกครอง
- บุคลากรที่
เกี่ยวข้องกับ
การศึกษาทุก
ระดับ
หน้าที่
รับผิดชอบใน
การรวบรวม
แผนหลักสูตร
ต่างๆ เพื่อ
สร้างแผน
หลักสูตร
ใครทา
การตัดสินใจ
กระทาโดยกลุ่ม
นักวางแผน
หลักสูตรเพื่อให้
ได้หลักสูตรที่ดี
และเลือกเนื้อหาที่
มีประสิทธิภาพ
ต่อผู้เรียนเป็น
รายบุคคลการ
ตัดสินใจกระทา
ในหลายระดับ
เช่น ระดับชาติ
ระดับจังหวัด
ระดับท้องถิ่น
และระดับใน
แต่ละชั้นเรียน
มีผล
อะไร
แผนหลักสูตร
เขียนไว้เป็น
แนวทาง
ปฏิบัติสาหรับ
ผู้เกี่ยวข้องใน
การจัดโอกาส
ทางการเรียนรู้
ให้กับผู้เรียน
การจัด
ประสบการณ์
การเรียนการ
สอนให้
สอดคล้องกับ
กลุ่มผู้เรียน
และผู้เรียน
เป็นรายบุคคล
ภาพประกอบ 28 กระบวนการวางแผนหลักสูตร
การวางแผนการพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการที่สาคัญอย่างหนึ่งของการพัฒนาหลักสูตรที่จะทาให้
หลักสูตรเกิดความสมบูรณ์ ดังนั้น ก่อนที่จะพัฒนาหลักสูตรนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องกาหนดแผนการพัฒนา
หลักสูตร จะต้องกาหนดแผนการพัฒนาหลักสูตรดังนี้
1. การศึกษาปัญหาหรือการกาหนดปัญหาที่เกิดขึ้นในหลักสูตรเดิม
2.การกาหนดข้อมูลเพื่อให้สอดคล้องกับปัญหาข้อมูลที่กาหนดจะต้องเป็นข้อมูลที่สนองตอบต่อ
ปัญหาที่ได้มาจากการศึกษาปัญหา
3. การกาหนดสมมติฐานว่าหลักสูตรที่จะต้องได้รับการพัฒนานั้นจะบังเกิดผลต่อผู้เรียนอย่างไร
4.กาหนดแนวทางในการดาเนินงานขั้นตอนในการดาเนินงานจะต้องกาหนดเวลาอย่างแน่นอนเพื่อจะ
ได้เห็นกระบวนการพัฒนาหลักสูตรตั้งแต่ต้นจนสาเร็จ
5. การคัดเลือกบุคลากรมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาหลักสูตรจะสาเร็จได้นั้นจาเป็นต้องมี
บุคคลากรที่มีคุณภาพในการทางานบุคลากรที่ควรกาหนดในแผนได้แก่ นักพัฒนาหลักสูตร นักวิชาการศึกษา
ศึกษานิเทศก์และครูผู้สอน
1. การเรียนการสอนโดยการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น
โลกในยุคมีความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างมาก และไม่หยุดยั้ง ทาให้ข้อมูล
ข่าวสาร ความรู้ต่างๆ แพร่ถึงกันทั่วโลกได้อย่าสะดวกและรวดเร็วโลกในปัจจุบันจึงเป็นโลกไร้พรมแดน การ
จัดการศึกษาจึงต้องพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคัดสรรหรือนาความรู้ ข่าวสาร ข้อมูลต่างๆอันเป็นสากลมาพัฒนา
ความเจริญก้าวหน้าของตน สังคม และประเทศชาติได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
การจัดการศึกษานอกจากจะพัฒนาผู้เรียนให้มีความสากลแล้วยังจะต้องคงทนความเป็นท้องถิ่นของ
ผู้เรียนไว้ด้วย ผู้เรียนจึงสามารถดารงชีวิตได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนกับสภาพต่างๆ ในท้องถิ่นอย่างมีความสุข
มีความรัก มีความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน สามารถไก้ไขและพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม การจัดการ
ศึกษาต้องร่วมมือกันระหว่างโรงเรียนกับท้องถิ่น เป็นทวิภาคีร่วมกันในการสร้างเสริมประสบการณ์การเรียนรู้
ของผู้เรียนและแก้ปัญหาในชุมชนหรือท้องถิ่น
ความหมายของแหล่งการเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศและประสบการณ์ที่สนับสนุนส่งเสริมสร้าง
ให้ผู้เรียนใฝ่เรียน ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัยอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เพื่อ
เสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (กระทรวงศึกษาธิการ : 43)
จากความหมายของแหล่งการเรียนรู้ที่กล่าวข้างต้น อาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราเป็น
แหล่งการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น การเรียนรู้จึงเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ โรงเรียนที่มีฐานะรับผิดชอบโดยตรงใน
การจัดการศึกษา จึงต้องสร้างหรือจัดหาแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายขึ้นในโรงเรียน นอกจากนี้ ใน
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 29 ได้เน้นให้สถานศึกษาร่วมกับบุคล ครอบครัว ชุมชน
องค์กรชุมชน องค์กรปกครองท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ
และสถาบันสังคมอื่น จัดกบวนการเรียนรู้ภายในชุมชนเพื่อพัฒนาชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพ ปัญหาและความ
ต้องการ ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนในทุกสถานศึกษา ครูต้องเปลี่ยนวิธีการสอนจากการเรียนในหนังสื่อ
หรือในห้องเรียน ไปสู่การเรียนรู้ตามสภาพจริงในชุมชนหรือท้องถิ่น จึงจะเอื้อให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการจัด
หรือพัฒนาการศึกษา และเอื้อต่อสถานศึกษาหรือผู้เรียนในกรมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน
2. แหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียน
แหล่งการเรียนรู้ที่โรงเรียนสามารถจัดดาเนินการเพื่อให้ครู อาจารย์ และผู้เรียน ได้ศึกษาหาความรู้
และประสบการณ์ มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับกาลังความสามารถของโรงเรียนแต่ละแห่ง ตัวอย่างเช่น ห้องสมุด
โรงเรียน ห้องสมุดหมวดวิชา ห้องสมุดเคลื่อนที่ มุมหนังสือในห้องเรียน ห้องพิพิธภัณฑ์ ห้องมัลติมีเดีย ห้อง
คอมพิวเตอร์ ห้องอินเตอร์เน็ต ศูนย์วิชาการ ศูนย์วิทยาบริการ ศูนย์สื่อการเรียนการสอน ศูนย์พัฒนากิจกรรม
การเรียนการสอน สวนพฤกษศาสตร์ สวนวรรณคดี สวนสมุนไพร สวนสุขภาพ สวนหนังสือ สวนธรรมะ
ฯลฯ
3. แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นซึ่งจะเอื้อประโยชน์ในการเรียนรู้ที่หลากหลายในการจัดการเรียนการสอนมี
6 ประเภท ดังนี้
1. บุคคล หมายถึง ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในงานเฉพาะสาขาหรืองานอาชีพต่างๆ
ซึ่งโรงเรียนอาจเชิญมาเป็นวิทยากรในบางชั่วโมง หรืออาจจ้างสอนเป็นรายวิชาหรือเชิญเป็นอาสาสมัครสอน
เป็นพิเศษ ได้แก่ เกษตร กานัน ผู้ใหญ่บ้าน นักธุรกิจ พระสงฆ์ ช่างฝีมือ เกษตรตาบล ผู้ที่ประสบความสาเร็จใน
การประกอบอาชีพ ผู้ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นต้น
2. สถาบัน หน่วยงาน หรือองค์กรทางสังคม แบ่งได้ 2 ประเภทดังนี้
2.1 สถานศึกษา พัฒนาและให้บริการประชาชน หมายถึง หน่วยงานที่ให้การศึกษา พัฒนา
ความรู้ ความสามารถ เจตคติ ได้แก่ โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย สถานีอนามัย โรงพยาบาล ห้องสมุด วัด
สถานีทดลองข้าว สถานีประมง พิพิธภัณฑ์ ศูนย์ฝึกอบรม ฯลฯ เป็นต้น
2.2 สถานประกอบการทางธุรกิจ การค้า อุตสาหกรรม และอาชีพอิสระ ได้แก่ ร้านค้า โรงงาน
ฟาร์ม ฟาร์มเลี้ยงไก่ ร้านซ่อมรถจักรยาน ร้านขายอาหาร ไร่ข้าวโพด นาเกลือ สวนมะม่วง ฯลฯ เป็นต้น
3. สถานที่ที่เป็นแหล่งธรรมชาติ ได้แก่ แม่น้า ทะเล ภูเขา ป่าไม้น้าตก ห้วย หนอง คลอง บึง ฯลฯ เป็น
ต้น
4. วัสดุและเศษวัสดุต่างๆที่มีในท้องถิ่น แบ่งได้ 2 ประเภทคือ
4.1 วัสดุและเศษวัสดุที่ได้จากธรรมชาติ ได้แก่ แร่ธาตุ ดิน หิน ทราย พืช เปลือกไม้เมล็ดข้าว
ใบไม้ดอกไม้ผลไม้ฯลฯ เป็นต้น
4.2 วัสดุและเศษวัสดุที่ได้จากการผลิตหรือการประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์ ได้แก่ กระดาษ กล่อง
กระดาษ ขวดแก้ว ขวดพลาสติก เศษไม้ เศษผ้า เศษกระดาษ เศษกระจก กระป๋ อง ฝาขวดน้าอัดลม ฯลฯ เป็น
ต้น
5. สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น แผ่นพับ วารสาร หนังสือพิมพ์หนังสือ รูปภาพ ฯลฯ
6. สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น อินเตอร์เน็ต แผ่นซีดี – รอม บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(CAI) วีดีทัศน์ ภาพยนตร์ฯลฯ
4. ประโยชน์ของการเรียนการสอนโดยการใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
การใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น มีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน ดังนี้
1.ทาให้นักเรียนรู้จัก และใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆที่มีอยู่และหาได้ง่าย ในท้องถิ่นของตน สามารถนา
ความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษามาพัฒนาชีวิต ความเป็ นอยู่หรือการนามาใช้ประโยชน์ใน
ชีวิตประจาวันได้ สามารถปรับการดาเนินชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น จึงสามารถอยู่กับท้องถิ่นได้อย่าง
เป็นสุข
2.ทาให้นักเรียนรัก ภูมิใจ มองเห็นคุณค่า หวงแหน อนุรักษ์ และช่วยทานุบารุงรักษาท้องถิ่นของตน
เพราะนักเรียนได้พึ่งพาแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ที่มีในท้องถิ่นในการพัฒนาศักยภาพของตน ถ้าแหล่งการเรียนรู้
ต่างๆ ต้องศูนย์เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ก็จะส่งผลให้คุณภาพชีวิตของนักเรียนต้องลดน้อยถอยลงหรือได้
ผลกระทบตามไปด้วย
3.ช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ เพราะนักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงได้เห็นจริงและได้
ปฏิบัติจริงด้วยตนเอง การนาวิทยากรมาสู่ห้องเรียนหรือการพานักเรียนไปศึกษานอกโรงเรียน ทาให้นักเรียนได้
เปลี่ยนบรรยากาศจากการเรียนที่จาเจ ไปสู่การเรียนที่แปลกใหม่ นักเรียนจึงเกิดความสนใจและความ
กระตือรือร้นในการเรียน นอกจากนี้ การนาวัสดุในท้องถิ่นมาจัดการเรียนการสอนยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของ
ผู้ปกครอง และของทางราชการอีกด้วย
4.ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนครูหรือขาดครูที่มีความรู้ความชานาญในการสอนบางเนื้อหาบทเรียน การ
นาวิทยากรในท้องถิ่นที่มีความรู้ ความสามารถมากกว่าครูมาช่วยสอนทาให้นักเรียนได้รับความรู้ ความเข้าใจ
อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ เต็มตามหลักสูตร
5.การใช้วิทยากรหรือแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น ทาให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนกับชุมชน เกิด
ความเข้าใจกัน ให้ความร่วมมือและให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการจัดการศึกษาหรือพัฒนาท้องถิ่นให้
เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น
5. แนวทางการใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
การใช้แหล่งการเรียนในท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ต่อการเรียนการสอนมีแนวทางกว้างๆ ดังนี้
1.สารวจข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น จัดทาระบบการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ทันสมัย
สะดวกต่อการค้นหา
2.ศึกษาหลักสูตรและเอกสารประกอบหลักสูตรต่างๆเพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมที่จะใช้แหล่งการ
เรียนรู้ในท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับหลักสูตร
3.ประยุกต์ใช้วัสดุและเศษวัสดุที่มีในท้องถิ่นในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดหลักการหรือ
ความคิดรวบยอดตามหลักสูตรแกนกลาง ทดลองใช้จนเกิดความมั่นใจแล้วจึงได้นามาให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติ
4.ครูและนักเรียนร่วมมือกันเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้ในท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ เพื่อ
ประโยชน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
5.บันทึกผลการเรียนการสอนโดยการใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น ทั้งเป็นลายลักษณ์อักษรและรูปภาพ
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนา ปรับปรุง หรือนามาใช้ในโอกาสต่อไป
6.ปรับปรุง แก้ไข พัฒนา การเรียนการสอนโดยใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นให้ดีขึ้นอยู่เสมอ ซึ่ง
นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อคุณภาพของการเรียนการสอนแล้ว ยังเห็นการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์กิจกรรมของ
โรงเรียนได้ด้วย
6. หลักการจัดหาแหล่งการเรียนรู้
ในแต่ละท้องถิ่นย่อมมีแหล่งการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป การจัดหาแหล่งการเรียนรู้เพื่อการเรียนการ
สอน มีหลัก 6 ประการดังนี้ (คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติสานักงาน 2524 :9-10)
1.ความเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น แหล่งการเรียนรู้ที่จะนามาใช้จัดการเรียนการสอนควรเหมาะสมกับ
สภาพต่างๆ ในท้องถิ่น เช่น สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อาชีพหลักของประชาชน ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี
เศรษฐกิจเป็นต้น
2.ความสะดวกในการเดินทางและการติดต่อ แหล่งการเรียนรู้ที่ดี ต้องเป็นแหล่งที่เดินทาง ไปมา และ
สามารถติดต่อสื่อสารได้สะดวก เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายต่างๆ ทาให้ได้รับประโยชน์อย่างคุ้มค่า
3.ความประหยัดและประโยชน์ การใช้แหล่งเรียนรู้ที่ดีต้องคานึงถึงเวลาและเงินที่ต้องใช้ในการ
ดาเนินการและประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับด้วย ถ้านามาใช้แล้วเสียเงินและเวลามากแต่ได้ประโยชน์น้อยก็ไม่
สมควรใช้ เช่น พาไปศึกษาที่ซึ่งห่างไกลจากโรงเรียนมาก ครูและนักเรียนต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการ
เดินทางมาก ทาให้นักเรียนเหนื่อยจึงไม่มีความสนใจเท่าที่ควร
4.ความเหมาะสมกับบทเรียนและวัยของผู้เรียน เช่น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ควรเป็นเรื่องง่ายๆ
ที่ไม่สลับซับซ่อนนัก หรือให้ดูโดยรวม ไม่ต้องดูส่วนย่อยๆ เช่น พาไปดูโรงงานทอผ้าควรให้ดูเกี่ยวกับ สถานที่
วัตถุดิบ และผลผลิต ไม่ควรดูกระบวนการผลิต นอกจากนี้ วิทยากรควรใช้ภาษาง่ายๆ ที่เด็กในวัยนี้เขาใจได้ดี
5.ความปลอดภัยและความถูกต้อง หมายถึง ความปลอดภัยทั้งในการเดินทาง ในขณะศึกษาหาความรู้
และในการนาไปใช้ด้วย ส่วนความถูกต้องนั้น หมายถึง ความรู้หรือประสบการณ์ที่ได้รับจะต้องถูกต้อง ตรง
ตามหลักวิชา
6.ความรู้และประโยชน์ที่หลากหลากหลาย เช่น พานักเรียนไปดูการทาและจาหน่ายเครื่องจักสาน
นักเรียนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับวัสดุดิบที่ใช้ กระบวนการผลิต รูปแบบของชิ้นงาน การประดิษฐ์ลวดลายต่างๆ
ประโยชน์ในการใช้งาน การจัดจาหน่าย ได้เห็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในการดัดแปลงวัสดุที่มีในท้องถิ่นให้
เป็นประโยชน์ ได้เห็นวิธีการจัดร้าน วิธีการคิดราคาสินค้า เป็ นการศึกษาแบบบูรณาการทั้งในด้านการทางาน
การประกอบอาชีพในชุมชน การประกอบธุรกิจ การรวมกลุ่ม ความคิดสร้างสรรค์ และศิลปวัฒนธรรมของ
ท้องถิ่น เป็นต้น
7. ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและการใช้หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่น
ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร
ต้องมีการร่วมมือกันหลายฝ่ายเพื่อให้ผลงานออกมาตรงเป้าหมาย ได้แก่
1.นักบริหารหลักสูตร ได้แก่ อธิบดีกรมวิชาการ ผู้อานวยการศูนย์พัฒนาหลักสูตร ผู้อานวยการศูนย์
พัฒนาหนังสือฯ
2. นักวิชาการ ได้แก่ อาจารย์ในมหาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆ
3. ครู อาจารย์ศึกษานิเทศก์
4. นักบริหาร ได้แก่ ผู้บริหารในระดับต่างๆ
5. บุคคลภายนอก ได้แก่ บุคคลอื่นๆ นอกจากที่กล่าวมาและเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตร
6. หน่วยสนับสนุนการใช้หลักสูตร ได้แก่
- หน่วยผลิตชุดการสอน และวัสดุอุปกรณ์
- หน่วยผลิตสื่อสารการเรียนการสอนอื่น ๆ
- หน่วยนิเทศและประสานงาน
- หน่วยทดสอบและประเมินผลการเรียนในโรงเรียน
- หน่วยแนะแนวในโรงเรียน
การใช้หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่น
เนื้อหาสาระของหลักสูตรท้องถิ่น แยกได้4 ประเภท คือ
1. เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ศาสนา เศรษฐกิจ
ของท้องถิ่น
2. เนื้อหาที่เกี่ยวกับจุดเด่นของท้องถิ่นที่ผู้เรียนควรทราบ เพื่อให้เกิดความภูมิใจ
3. เนื้อหาที่เกี่ยวกับนโยบาย วิสัยทัศน์ของท้องถิ่น
4. เนื้อหาที่เกี่ยวกับนโยบาย ของประเทศที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น
วิธีนาเนื้อหาท้องถิ่นมาสู่หลักสูตรและการสอน
1. สารวจสภาพภูมิอากาศ ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ศาสนา เศรษฐกิจของท้องถิ่น โดยได้จาก
การอ่านเอกสารจากหน่วยงานปกครอง หน่วยงานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว หน่วยงานที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์
เอกสารในห้องสมุดที่เกี่ยวกับท้องถิ่น แล้วนามาวิเคราะห์ สรุป เป็นเนื้อหาสาระของท้องถิ่น
ตัวอย่าง: จังหวัดนครพนม
1. จุดเด่นของจังหวัดนครพนมที่จะมาใส่ในหลักสูตรท้องถิ่น สรุปได้ดังนี้
1) ภาคภูมิศาสตร์ เป็นจังหวัดชายแดนที่ติดต่อกับประเทศลาว และใกล้กับประเทศเวียตนาม
2) ประวัติศาสตร์ จังหวัดนครพนม เป็นจังหวัดชายแดนตั้งเลียบชายฝั่งขวาของแม่น้าโขง ตรง
ข้ามกับเมืองท่าแขก ริมฝั่งแม่น้าโขง ในดินแดนที่ราบสูง อดีตเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์
อันรุ่งเรือง ได้ถูกเปลี่ยนเป็น "มรุกขนคร" และต่อมาได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น "นครพนม" แขวง
คาม่วนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์และ
เก่าแก่
3) ศาสนา มีศาสนาสาคัญ คือ ศาสนาพุทธ คริสต์ ที่ทาให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่าง
มีสันติ
4) สถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดนครพนม คือ พระธาตุพนม นอกจากนี้ยังมีพระธาตุอื่นๆ ที่ชาว
จังหวัดนครพนมเคารพนับถือ ได้แก่ พระธาตุประสิทธิ์ พระธาตุท่าอุเทน พระธาตุเรณู พระ
ธาตุศรีคุณ พระธาตุนคร และพระธาตุมหาชัย เป็นต้น ซึ่งถือเป็นเมืองพระธาตุโดยแท้ 5 ) ค า ข วั ญ
ได้แก่: พระธาตุพนมค่าล้า วัฒนธรรมหลากหลาย เรณูผู้ไท เรือไฟโสภางามตาฝั่งโขง
6) ต้นไม้ประจาจังหวัด: กันเกรา (Fagraea fragrans)
2. นาเนื้อหาดังกล่าวมาพิจารณาว่าจะเกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรู้ใดตัวอย่างจังหวัดนครพนม
สาระการเรียนรู้ เนื้อหาท้องถิ่น เช่น
1. ภาษาไทย ภาษา 7 ชนเผ่า
สาระการเรียนรู้ เนื้อหาท้องถิ่น เช่น
2. คณิตศาสตร์ ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ หาด เกาะ ดินฟ้าอากาศ
ที่ทากิน อาชีพ สภาพทางเศรษฐกิจและ
สังคม
3. วิทยาศาสตร์ วิธีทาเกษตร การดูแลสภาพป่าต่างๆ
4. สังคมวิทยา ศาสนาวัฒนธรรม วัฒนธรรมของคน วิถีชีวิตความเป็ นอยู่
อาหาร อาชีพ และเศรษฐกิจสังคม
5. สุขศึกษา พลศึกษา คุณค่าทางโภชนาการ
6. ศิลปะ การทอผ้ามัดหมี่ ลายผ้าทอ
7. การงาน อาชีพ และเทคโนโลยี เน้นอาชีพของคนนครพนม การเกษตร
8. ภาษาต่างประเทศ ภาษาอังกฤษ
3. นาเนื้อหามาผสมผสานกับเนื้อหาในหลักสูตรใหม่ อาจทาได้หลายลักษณะ เช่น
ก) ใช้เป็นเนื้อหาสอน เช่น เมื่อสอนเรื่อง ตนเองและครอบครัวก็ใช้สภาพจริงเป็นเนื้อหา
ข) ใช้เป็นแบบฝึกหัดให้นักเรียนไปทา เช่น การประกอบอาชีพของคนในท้องถิ่นมีกี่อาชีพ
อะไรบ้าง มีผู้ทาร้อยละเท่าไร
ค) ใช้เป็นโครงงาน ให้นักเรียนไปหาทางแก้ไข
ง) ใช้ปัญหาเป็นฐาน ให้นักเรียนไปหาทางแก้ไข
จ) ใช้เป็นประเด็น ให้นักเรียนไปค้นคว้า ตัวอย่างเช่น นครพนม แปลว่า มีลักษณะอย่างไร มาก
น้อยเพียงใด มีอะไรสูญหายไปบ้างหรือไม่ ถ้าสูญหายทาไมจึงสูญหายไป
ฉ) ใช้เป็นสถานที่ไปทัศนศึกษา เช่น พระธาตุต่างๆ
สรุป(Summary)
การวางแผนพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น ในที่นี้เป็นการนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มา
จัดทาเป็นหลักสูตรสถานศึกษา ใช้ข้อมูลหรือแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น กล่าวคือ การวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูล
ท้องถิ่น แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น และทรัพยากรบุคคลในท้องถิ่น มาบูรณาการการจัดกระบวนการทางการศึกษา
การสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการวางแผนพัฒนาหลักสูตรจะเริ่มต้นจากการ
วิเคราะห์ หลักสูตรเดิมที่ใช้กันอยู่ก่อนแล้วว่ามีผลต่อการใช้ปัจจุบันอย่างไรหากหลักสูตรเดิมไม่สนองต่อความ
ต้องการของสังคมและผู้เรียนในปัจจุบันอันจะส่งผลไปสู่อนาคตเพื่อการผลิตคนสู่อนาคตแล้วก็ให้นาผลที่ได้มา
เป็นข้อมูลในการวางแผนสร้างหลักสูตรใหม่
การจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพและแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น เริ่มจากครู
และนักเรียนร่วมกันสารวจและจัดทาข้องมูลเกี่ยวกับบุคลากร องค์กรทางสังคม แหล่งการเรียนรู้ทางธรรมชาติ
และวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นที่สามารถนามาใช้ประกอบการเรียนการสอนเนื้อหาต่างๆ ไว้อย่างเป็นระบบ
ระเบียบเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ครูอาจจะพาผู้เรียนไปศึกษาและฝึกการทางานในสถานที่จริงที่บ้านหรือ
หน่วยงาน หรือสถานประกอบการต่างๆ ที่มีในท้องถิ่น ครูอาจจะเชิญผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่ประสบ
ความสาเร็จในการประกอบอาชีพต่างๆ มาเป็นวิทยากรในโรงเรียน การเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้
เรียนรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นของตน จะทาให้ผู้เรียนไม่เกิดความแปลกแยกกับท้องถิ่น สามารถนาเนินชีวิตและพัฒนา
ท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงรอบๆ ตัว การเปิดโอกาสให้บุคลากรในท้องถิ่นเข้า
มามีส่วนร่วมในการเรียนการสอน เป็นการประสานความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนและชุมชน เป็นการผนึก
กาลังร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์พัฒนาการศึกษาและท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้าตามความต้องการและเหมาะสม
สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาที่มั่นคง
และยั่งยืน
ตรวจสอบทบทวน(Self-Test)
1. การนากระบวนการพัฒนาหลักสูตรมาใช้ ในการวางแผนพัฒนาหลักสูตร จะมีสาระสาคัญใน
ประเด็นใดบ้าง
2. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรสถานศึกษา และหลักสูตรท้องถิ่น เหมือนหรือ
แตกต่างกันอย่างไร
กิจกรรม(Activity)
1. สืบค้นจากหนังสือหรือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เรื่อง การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
หลักสูตรท้องถิ่น
2. ศึกษาทาความเข้าใจเพิ่มเติมจาก สุเทพ อ่วมเจริญ การพัฒนาหลักสูตร : ทฤษฎีและการปฏิบัติ
“ปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตร : ปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิด SU Model”
3. แลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนนักศึกษา หรือผู้รู้ เกี่ยวกับการฝึกปฏิบัติการวางแผนพัฒนาหลักสูตร/
โดยอาศัยแนวคิดแบบจาลอง SU Model หรือเลือกจากแบบจาลองที่นักพัฒนาหลักสูตรนาเสนอไว้

More Related Content

What's hot

การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญอรรถกร ใจชาย
 
คู่มือกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
คู่มือกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้คู่มือกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
คู่มือกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ทศพล พรหมภักดี
 
การสอนแบบบรรยาย(Lecture)
การสอนแบบบรรยาย(Lecture)การสอนแบบบรรยาย(Lecture)
การสอนแบบบรรยาย(Lecture)jaacllassic
 
เทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
เทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
เทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางKunwater Tianmongkon
 
ตัวอย่างแผนการสอน
ตัวอย่างแผนการสอนตัวอย่างแผนการสอน
ตัวอย่างแผนการสอนParichart Ampon
 
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง Proud N. Boonrak
 
ครูผู้ช่วย ภารกิจ
ครูผู้ช่วย ภารกิจครูผู้ช่วย ภารกิจ
ครูผู้ช่วย ภารกิจShe's Kukkik Kanokporn
 
การจัดการเรียนการสอน
การจัดการเรียนการสอนการจัดการเรียนการสอน
การจัดการเรียนการสอนananphar
 
วิธีสอนการสร้างความคิดรวบยอด
วิธีสอนการสร้างความคิดรวบยอดวิธีสอนการสร้างความคิดรวบยอด
วิธีสอนการสร้างความคิดรวบยอดKiingz Phanumas
 
รูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอนรูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอนwannaphakdee
 
ครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วยครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วยNoppasorn Boonsena
 
รูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณี
รูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณีรูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณี
รูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณีParichart Ampon
 
วิธีการสอนโดยใช้ศูนย์การเรียนรู้
วิธีการสอนโดยใช้ศูนย์การเรียนรู้วิธีการสอนโดยใช้ศูนย์การเรียนรู้
วิธีการสอนโดยใช้ศูนย์การเรียนรู้Diiz Yokiiz
 

What's hot (15)

การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
 
คู่มือกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
คู่มือกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้คู่มือกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
คู่มือกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
 
การสอนแบบบรรยาย(Lecture)
การสอนแบบบรรยาย(Lecture)การสอนแบบบรรยาย(Lecture)
การสอนแบบบรรยาย(Lecture)
 
เทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
เทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
เทคนิคการสอนและรูปแบบที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
 
ตัวอย่างแผนการสอน
ตัวอย่างแผนการสอนตัวอย่างแผนการสอน
ตัวอย่างแผนการสอน
 
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
 
แนวทางลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
แนวทางลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้แนวทางลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
แนวทางลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
 
ครูผู้ช่วย ภารกิจ
ครูผู้ช่วย ภารกิจครูผู้ช่วย ภารกิจ
ครูผู้ช่วย ภารกิจ
 
การจัดการเรียนการสอน
การจัดการเรียนการสอนการจัดการเรียนการสอน
การจัดการเรียนการสอน
 
วิธีสอนการสร้างความคิดรวบยอด
วิธีสอนการสร้างความคิดรวบยอดวิธีสอนการสร้างความคิดรวบยอด
วิธีสอนการสร้างความคิดรวบยอด
 
รูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอนรูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอน
 
วิธีการสอนแบบบรรยาย
วิธีการสอนแบบบรรยายวิธีการสอนแบบบรรยาย
วิธีการสอนแบบบรรยาย
 
ครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วยครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วย
 
รูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณี
รูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณีรูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณี
รูปแบบการสอนดร.ทิศนา แขมณี
 
วิธีการสอนโดยใช้ศูนย์การเรียนรู้
วิธีการสอนโดยใช้ศูนย์การเรียนรู้วิธีการสอนโดยใช้ศูนย์การเรียนรู้
วิธีการสอนโดยใช้ศูนย์การเรียนรู้
 

Similar to บทที่ 8 (20)

บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่8
บทที่8บทที่8
บทที่8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่8
บทที่8บทที่8
บทที่8
 
บทที่8
บทที่8บทที่8
บทที่8
 
บทที่8
บทที่8บทที่8
บทที่8
 
บทที่8
บทที่8บทที่8
บทที่8
 
บทที่8
บทที่8บทที่8
บทที่8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
Learning by project
Learning by projectLearning by project
Learning by project
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 

More from katay sineenart

More from katay sineenart (11)

บรรณานุกรม
บรรณานุกรมบรรณานุกรม
บรรณานุกรม
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 

บทที่ 8

  • 1. บทที่ 8 การวางแผนพัฒนาหลักสูตร มโนทัศน์(Concept) การวางแผนจัดทาหลักสูตรบุคคลที่มีหน้าที่วางแผนจัดทาหลักสูตรต้องร่วมกันจัดทาแผนและจัดทา หลักสูตรตามขั้นตอนอย่างละเอียดสามารถตรวจสอบแต่ละขั้นว่าเป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้หรือไม่ อย่างไร หากมีปัญหาก็สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ การกาหนดแผนการเรียนการสอนในหลักสูตรจะช่วย ให้ทราบว่าจะต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด และอย่างไร ทั้งยังสามารถกาหนดสื่อการเรียนการ สอนการประเมินผลเพื่อให้เหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ทั้งรายกลุ่ม และรายบุคคล ผลการเรียนรู้(Learning Outcome) 1. มีความรู้ ความเข้าใจ การวางแผนพัฒนาหลักสูตร 2. มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น และแหล่งเรียนรู้ 3. สามารถให้ข้อเสนอแนะในการแต่งตั้งคณะกรรมการและหน้าที่รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับ การวางแผนพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นได้ สาระเนื้อหา(Content) การวางแผนพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาหลักสูตรเป็นสิ่งที่นักศึกษาต้องดาเนินการอยู่เสมอและจะกระทาทุกครั้งเมื่อสังคมมีสิ่งหนึ่ง สิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นจะทาให้ผู้เรียนได้ เพิ่มพูนประสบการณ์ขึ้นมาใหม่และพร้อมที่จะนาประสบการณ์และความรู้ที่เกิดขึ้นมานั้นไปพัฒนาตนและ สังคมให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น Saylor and Alexander (1966 : 7) ได้สรุปว่า การวางแผนพัฒนาหลักสูตร ต้องประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ดังนี้
  • 2. 1. หลักสูตร 1.1 ตัวผู้เรียนเอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและสังคมเองมองเห็นนักเรียนคืออะไร มีส่วน เกี่ยวข้องกับสังคมอย่างไรบ้าง สังคมต้องการอะไรจากนักเรียน และนักเรียนต้องการอะไรทั้งในแง่ของส่วน บุคคล และสังคม 1.2 หน้าที่และจุดมุ่งหมายของโรงเรียนคืออะไร โรงเรียนมีแนวคิดยึดปรัชญาสาขาใดและมีแนว ปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายนั้นอย่างไร 1.3 ธรรมชาติของความรู้นั้นเป็นอย่างไร ขอบข่ายของความรู้ที่จาเป็นต้องศึกษานั้นมีมากน้อยแค่ ไหน อย่างไร อะไรเป็นสิ่งจาเป็นก่อนและหลังหรือลาดับของความรู้เป็นอย่างไร 1.4 กระบวนการการเรียนรู้เป็นอย่างไร ลาดับหรือขั้นตอนของการเรียนรู้เป็ นอย่างไร สิ่งที่ นักพัฒนาหลักสูตรต้องคานึงถึงการพัฒนาหลักสูตรในขั้นตอนแรกก็คือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสังคม ปรัชญา ผู้เรียน และกระบวนการเรียนรู้ 2. บุคคลที่ทาหน้าที่วางแผนพัฒนาหลักสูตร 2.1 นักการศึกษาในทุกระดับ ตั้งแต่อนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา นักวิชาการ นักวิจัย เป็นต้น 2.2 ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น นักเรียน ผู้ปกครอง สมาชิกในชุมชนและ สมาคมต่างๆ เป็นต้น 3. ผู้ตัดสินใจเลือกใช้หลักสูตร ผู้ทาหน้าที่เลือกใช้หลักสูตร คือ นักพัฒนาหลักสูตรซึ่งประกอบด้วยครู นักศึกษา ผู้บริหารการศึกษา ผู้ปกครอง ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ประกอบขึ้นเป็นกรรมการดาเนินการพัฒนาหลักสูตร โดยทาหน้าที่คัดเลือก และจัดระบบเนื้อหาสาระตลอดทั้งแบบเรียนกาหนดระบบการเรียน การสอน และการตัดสินใจเลือกนั้นกระทา ตามลาดับและขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบรรพต สุวรรณประเสริฐ (2544: 16) ได้เสนอรูปแบบการวางแผน หลักสูตรซึ่งต้องมีองค์ประกอบสาคัญได้แก่การกาหนดหลักสูตรนักวางแผนหลักสูตรการตัดสินใจหลักสูตร และแผนหลักสูตร
  • 3. การกาหนด หลักสูตร นักวางแผน หลักสูตร การตัดสินใจ หลักสูตร แผนหลักสูตร - ผู้เรียน : คุณค่าทาง สังคมและ ความ ต้องการ -จุดมุ่งหมาย ของ การศึกษา -จุดมุ่งหมาย ของ โรงเรียน หรือ สถานศึกษา - ธรรมชาติ ของความรู้ กระบวนการ เรียนรู้ แนวคิด - นักศึกษาทุก ระดับ - ผู้เรียนและ ผู้ปกครอง - บุคลากรที่ เกี่ยวข้องกับ การศึกษาทุก ระดับ หน้าที่ รับผิดชอบใน การรวบรวม แผนหลักสูตร ต่างๆ เพื่อ สร้างแผน หลักสูตร ใครทา การตัดสินใจ กระทาโดยกลุ่ม นักวางแผน หลักสูตรเพื่อให้ ได้หลักสูตรที่ดี และเลือกเนื้อหาที่ มีประสิทธิภาพ ต่อผู้เรียนเป็น รายบุคคลการ ตัดสินใจกระทา ในหลายระดับ เช่น ระดับชาติ ระดับจังหวัด ระดับท้องถิ่น และระดับใน แต่ละชั้นเรียน มีผล อะไร แผนหลักสูตร เขียนไว้เป็น แนวทาง ปฏิบัติสาหรับ ผู้เกี่ยวข้องใน การจัดโอกาส ทางการเรียนรู้ ให้กับผู้เรียน การจัด ประสบการณ์ การเรียนการ สอนให้ สอดคล้องกับ กลุ่มผู้เรียน และผู้เรียน เป็นรายบุคคล ภาพประกอบ 28 กระบวนการวางแผนหลักสูตร การวางแผนการพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการที่สาคัญอย่างหนึ่งของการพัฒนาหลักสูตรที่จะทาให้ หลักสูตรเกิดความสมบูรณ์ ดังนั้น ก่อนที่จะพัฒนาหลักสูตรนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องกาหนดแผนการพัฒนา หลักสูตร จะต้องกาหนดแผนการพัฒนาหลักสูตรดังนี้ 1. การศึกษาปัญหาหรือการกาหนดปัญหาที่เกิดขึ้นในหลักสูตรเดิม 2.การกาหนดข้อมูลเพื่อให้สอดคล้องกับปัญหาข้อมูลที่กาหนดจะต้องเป็นข้อมูลที่สนองตอบต่อ ปัญหาที่ได้มาจากการศึกษาปัญหา
  • 4. 3. การกาหนดสมมติฐานว่าหลักสูตรที่จะต้องได้รับการพัฒนานั้นจะบังเกิดผลต่อผู้เรียนอย่างไร 4.กาหนดแนวทางในการดาเนินงานขั้นตอนในการดาเนินงานจะต้องกาหนดเวลาอย่างแน่นอนเพื่อจะ ได้เห็นกระบวนการพัฒนาหลักสูตรตั้งแต่ต้นจนสาเร็จ 5. การคัดเลือกบุคลากรมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาหลักสูตรจะสาเร็จได้นั้นจาเป็นต้องมี บุคคลากรที่มีคุณภาพในการทางานบุคลากรที่ควรกาหนดในแผนได้แก่ นักพัฒนาหลักสูตร นักวิชาการศึกษา ศึกษานิเทศก์และครูผู้สอน 1. การเรียนการสอนโดยการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น โลกในยุคมีความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างมาก และไม่หยุดยั้ง ทาให้ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ต่างๆ แพร่ถึงกันทั่วโลกได้อย่าสะดวกและรวดเร็วโลกในปัจจุบันจึงเป็นโลกไร้พรมแดน การ จัดการศึกษาจึงต้องพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคัดสรรหรือนาความรู้ ข่าวสาร ข้อมูลต่างๆอันเป็นสากลมาพัฒนา ความเจริญก้าวหน้าของตน สังคม และประเทศชาติได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ การจัดการศึกษานอกจากจะพัฒนาผู้เรียนให้มีความสากลแล้วยังจะต้องคงทนความเป็นท้องถิ่นของ ผู้เรียนไว้ด้วย ผู้เรียนจึงสามารถดารงชีวิตได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนกับสภาพต่างๆ ในท้องถิ่นอย่างมีความสุข มีความรัก มีความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน สามารถไก้ไขและพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม การจัดการ ศึกษาต้องร่วมมือกันระหว่างโรงเรียนกับท้องถิ่น เป็นทวิภาคีร่วมกันในการสร้างเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ ของผู้เรียนและแก้ปัญหาในชุมชนหรือท้องถิ่น ความหมายของแหล่งการเรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศและประสบการณ์ที่สนับสนุนส่งเสริมสร้าง ให้ผู้เรียนใฝ่เรียน ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัยอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เพื่อ เสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (กระทรวงศึกษาธิการ : 43) จากความหมายของแหล่งการเรียนรู้ที่กล่าวข้างต้น อาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราเป็น แหล่งการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น การเรียนรู้จึงเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ โรงเรียนที่มีฐานะรับผิดชอบโดยตรงใน การจัดการศึกษา จึงต้องสร้างหรือจัดหาแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายขึ้นในโรงเรียน นอกจากนี้ ใน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 29 ได้เน้นให้สถานศึกษาร่วมกับบุคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น จัดกบวนการเรียนรู้ภายในชุมชนเพื่อพัฒนาชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพ ปัญหาและความ ต้องการ ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนในทุกสถานศึกษา ครูต้องเปลี่ยนวิธีการสอนจากการเรียนในหนังสื่อ
  • 5. หรือในห้องเรียน ไปสู่การเรียนรู้ตามสภาพจริงในชุมชนหรือท้องถิ่น จึงจะเอื้อให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการจัด หรือพัฒนาการศึกษา และเอื้อต่อสถานศึกษาหรือผู้เรียนในกรมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน 2. แหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียน แหล่งการเรียนรู้ที่โรงเรียนสามารถจัดดาเนินการเพื่อให้ครู อาจารย์ และผู้เรียน ได้ศึกษาหาความรู้ และประสบการณ์ มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับกาลังความสามารถของโรงเรียนแต่ละแห่ง ตัวอย่างเช่น ห้องสมุด โรงเรียน ห้องสมุดหมวดวิชา ห้องสมุดเคลื่อนที่ มุมหนังสือในห้องเรียน ห้องพิพิธภัณฑ์ ห้องมัลติมีเดีย ห้อง คอมพิวเตอร์ ห้องอินเตอร์เน็ต ศูนย์วิชาการ ศูนย์วิทยาบริการ ศูนย์สื่อการเรียนการสอน ศูนย์พัฒนากิจกรรม การเรียนการสอน สวนพฤกษศาสตร์ สวนวรรณคดี สวนสมุนไพร สวนสุขภาพ สวนหนังสือ สวนธรรมะ ฯลฯ 3. แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นซึ่งจะเอื้อประโยชน์ในการเรียนรู้ที่หลากหลายในการจัดการเรียนการสอนมี 6 ประเภท ดังนี้ 1. บุคคล หมายถึง ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในงานเฉพาะสาขาหรืองานอาชีพต่างๆ ซึ่งโรงเรียนอาจเชิญมาเป็นวิทยากรในบางชั่วโมง หรืออาจจ้างสอนเป็นรายวิชาหรือเชิญเป็นอาสาสมัครสอน เป็นพิเศษ ได้แก่ เกษตร กานัน ผู้ใหญ่บ้าน นักธุรกิจ พระสงฆ์ ช่างฝีมือ เกษตรตาบล ผู้ที่ประสบความสาเร็จใน การประกอบอาชีพ ผู้ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นต้น 2. สถาบัน หน่วยงาน หรือองค์กรทางสังคม แบ่งได้ 2 ประเภทดังนี้ 2.1 สถานศึกษา พัฒนาและให้บริการประชาชน หมายถึง หน่วยงานที่ให้การศึกษา พัฒนา ความรู้ ความสามารถ เจตคติ ได้แก่ โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย สถานีอนามัย โรงพยาบาล ห้องสมุด วัด สถานีทดลองข้าว สถานีประมง พิพิธภัณฑ์ ศูนย์ฝึกอบรม ฯลฯ เป็นต้น 2.2 สถานประกอบการทางธุรกิจ การค้า อุตสาหกรรม และอาชีพอิสระ ได้แก่ ร้านค้า โรงงาน ฟาร์ม ฟาร์มเลี้ยงไก่ ร้านซ่อมรถจักรยาน ร้านขายอาหาร ไร่ข้าวโพด นาเกลือ สวนมะม่วง ฯลฯ เป็นต้น 3. สถานที่ที่เป็นแหล่งธรรมชาติ ได้แก่ แม่น้า ทะเล ภูเขา ป่าไม้น้าตก ห้วย หนอง คลอง บึง ฯลฯ เป็น ต้น 4. วัสดุและเศษวัสดุต่างๆที่มีในท้องถิ่น แบ่งได้ 2 ประเภทคือ 4.1 วัสดุและเศษวัสดุที่ได้จากธรรมชาติ ได้แก่ แร่ธาตุ ดิน หิน ทราย พืช เปลือกไม้เมล็ดข้าว ใบไม้ดอกไม้ผลไม้ฯลฯ เป็นต้น
  • 6. 4.2 วัสดุและเศษวัสดุที่ได้จากการผลิตหรือการประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์ ได้แก่ กระดาษ กล่อง กระดาษ ขวดแก้ว ขวดพลาสติก เศษไม้ เศษผ้า เศษกระดาษ เศษกระจก กระป๋ อง ฝาขวดน้าอัดลม ฯลฯ เป็น ต้น 5. สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น แผ่นพับ วารสาร หนังสือพิมพ์หนังสือ รูปภาพ ฯลฯ 6. สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น อินเตอร์เน็ต แผ่นซีดี – รอม บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) วีดีทัศน์ ภาพยนตร์ฯลฯ 4. ประโยชน์ของการเรียนการสอนโดยการใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น การใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น มีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน ดังนี้ 1.ทาให้นักเรียนรู้จัก และใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆที่มีอยู่และหาได้ง่าย ในท้องถิ่นของตน สามารถนา ความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษามาพัฒนาชีวิต ความเป็ นอยู่หรือการนามาใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจาวันได้ สามารถปรับการดาเนินชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น จึงสามารถอยู่กับท้องถิ่นได้อย่าง เป็นสุข 2.ทาให้นักเรียนรัก ภูมิใจ มองเห็นคุณค่า หวงแหน อนุรักษ์ และช่วยทานุบารุงรักษาท้องถิ่นของตน เพราะนักเรียนได้พึ่งพาแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ที่มีในท้องถิ่นในการพัฒนาศักยภาพของตน ถ้าแหล่งการเรียนรู้ ต่างๆ ต้องศูนย์เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ก็จะส่งผลให้คุณภาพชีวิตของนักเรียนต้องลดน้อยถอยลงหรือได้ ผลกระทบตามไปด้วย 3.ช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ เพราะนักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงได้เห็นจริงและได้ ปฏิบัติจริงด้วยตนเอง การนาวิทยากรมาสู่ห้องเรียนหรือการพานักเรียนไปศึกษานอกโรงเรียน ทาให้นักเรียนได้ เปลี่ยนบรรยากาศจากการเรียนที่จาเจ ไปสู่การเรียนที่แปลกใหม่ นักเรียนจึงเกิดความสนใจและความ กระตือรือร้นในการเรียน นอกจากนี้ การนาวัสดุในท้องถิ่นมาจัดการเรียนการสอนยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของ ผู้ปกครอง และของทางราชการอีกด้วย 4.ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนครูหรือขาดครูที่มีความรู้ความชานาญในการสอนบางเนื้อหาบทเรียน การ นาวิทยากรในท้องถิ่นที่มีความรู้ ความสามารถมากกว่าครูมาช่วยสอนทาให้นักเรียนได้รับความรู้ ความเข้าใจ อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ เต็มตามหลักสูตร 5.การใช้วิทยากรหรือแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น ทาให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนกับชุมชน เกิด ความเข้าใจกัน ให้ความร่วมมือและให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการจัดการศึกษาหรือพัฒนาท้องถิ่นให้ เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น
  • 7. 5. แนวทางการใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น การใช้แหล่งการเรียนในท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ต่อการเรียนการสอนมีแนวทางกว้างๆ ดังนี้ 1.สารวจข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น จัดทาระบบการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ทันสมัย สะดวกต่อการค้นหา 2.ศึกษาหลักสูตรและเอกสารประกอบหลักสูตรต่างๆเพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมที่จะใช้แหล่งการ เรียนรู้ในท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับหลักสูตร 3.ประยุกต์ใช้วัสดุและเศษวัสดุที่มีในท้องถิ่นในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดหลักการหรือ ความคิดรวบยอดตามหลักสูตรแกนกลาง ทดลองใช้จนเกิดความมั่นใจแล้วจึงได้นามาให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติ 4.ครูและนักเรียนร่วมมือกันเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้ในท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ เพื่อ ประโยชน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 5.บันทึกผลการเรียนการสอนโดยการใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น ทั้งเป็นลายลักษณ์อักษรและรูปภาพ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนา ปรับปรุง หรือนามาใช้ในโอกาสต่อไป 6.ปรับปรุง แก้ไข พัฒนา การเรียนการสอนโดยใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นให้ดีขึ้นอยู่เสมอ ซึ่ง นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อคุณภาพของการเรียนการสอนแล้ว ยังเห็นการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์กิจกรรมของ โรงเรียนได้ด้วย 6. หลักการจัดหาแหล่งการเรียนรู้ ในแต่ละท้องถิ่นย่อมมีแหล่งการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป การจัดหาแหล่งการเรียนรู้เพื่อการเรียนการ สอน มีหลัก 6 ประการดังนี้ (คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติสานักงาน 2524 :9-10) 1.ความเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น แหล่งการเรียนรู้ที่จะนามาใช้จัดการเรียนการสอนควรเหมาะสมกับ สภาพต่างๆ ในท้องถิ่น เช่น สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อาชีพหลักของประชาชน ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี เศรษฐกิจเป็นต้น 2.ความสะดวกในการเดินทางและการติดต่อ แหล่งการเรียนรู้ที่ดี ต้องเป็นแหล่งที่เดินทาง ไปมา และ สามารถติดต่อสื่อสารได้สะดวก เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายต่างๆ ทาให้ได้รับประโยชน์อย่างคุ้มค่า 3.ความประหยัดและประโยชน์ การใช้แหล่งเรียนรู้ที่ดีต้องคานึงถึงเวลาและเงินที่ต้องใช้ในการ ดาเนินการและประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับด้วย ถ้านามาใช้แล้วเสียเงินและเวลามากแต่ได้ประโยชน์น้อยก็ไม่ สมควรใช้ เช่น พาไปศึกษาที่ซึ่งห่างไกลจากโรงเรียนมาก ครูและนักเรียนต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการ เดินทางมาก ทาให้นักเรียนเหนื่อยจึงไม่มีความสนใจเท่าที่ควร
  • 8. 4.ความเหมาะสมกับบทเรียนและวัยของผู้เรียน เช่น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ควรเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่สลับซับซ่อนนัก หรือให้ดูโดยรวม ไม่ต้องดูส่วนย่อยๆ เช่น พาไปดูโรงงานทอผ้าควรให้ดูเกี่ยวกับ สถานที่ วัตถุดิบ และผลผลิต ไม่ควรดูกระบวนการผลิต นอกจากนี้ วิทยากรควรใช้ภาษาง่ายๆ ที่เด็กในวัยนี้เขาใจได้ดี 5.ความปลอดภัยและความถูกต้อง หมายถึง ความปลอดภัยทั้งในการเดินทาง ในขณะศึกษาหาความรู้ และในการนาไปใช้ด้วย ส่วนความถูกต้องนั้น หมายถึง ความรู้หรือประสบการณ์ที่ได้รับจะต้องถูกต้อง ตรง ตามหลักวิชา 6.ความรู้และประโยชน์ที่หลากหลากหลาย เช่น พานักเรียนไปดูการทาและจาหน่ายเครื่องจักสาน นักเรียนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับวัสดุดิบที่ใช้ กระบวนการผลิต รูปแบบของชิ้นงาน การประดิษฐ์ลวดลายต่างๆ ประโยชน์ในการใช้งาน การจัดจาหน่าย ได้เห็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในการดัดแปลงวัสดุที่มีในท้องถิ่นให้ เป็นประโยชน์ ได้เห็นวิธีการจัดร้าน วิธีการคิดราคาสินค้า เป็ นการศึกษาแบบบูรณาการทั้งในด้านการทางาน การประกอบอาชีพในชุมชน การประกอบธุรกิจ การรวมกลุ่ม ความคิดสร้างสรรค์ และศิลปวัฒนธรรมของ ท้องถิ่น เป็นต้น 7. ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและการใช้หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร ต้องมีการร่วมมือกันหลายฝ่ายเพื่อให้ผลงานออกมาตรงเป้าหมาย ได้แก่ 1.นักบริหารหลักสูตร ได้แก่ อธิบดีกรมวิชาการ ผู้อานวยการศูนย์พัฒนาหลักสูตร ผู้อานวยการศูนย์ พัฒนาหนังสือฯ 2. นักวิชาการ ได้แก่ อาจารย์ในมหาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆ 3. ครู อาจารย์ศึกษานิเทศก์ 4. นักบริหาร ได้แก่ ผู้บริหารในระดับต่างๆ 5. บุคคลภายนอก ได้แก่ บุคคลอื่นๆ นอกจากที่กล่าวมาและเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตร 6. หน่วยสนับสนุนการใช้หลักสูตร ได้แก่ - หน่วยผลิตชุดการสอน และวัสดุอุปกรณ์ - หน่วยผลิตสื่อสารการเรียนการสอนอื่น ๆ - หน่วยนิเทศและประสานงาน - หน่วยทดสอบและประเมินผลการเรียนในโรงเรียน - หน่วยแนะแนวในโรงเรียน การใช้หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่น
  • 9. เนื้อหาสาระของหลักสูตรท้องถิ่น แยกได้4 ประเภท คือ 1. เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ศาสนา เศรษฐกิจ ของท้องถิ่น 2. เนื้อหาที่เกี่ยวกับจุดเด่นของท้องถิ่นที่ผู้เรียนควรทราบ เพื่อให้เกิดความภูมิใจ 3. เนื้อหาที่เกี่ยวกับนโยบาย วิสัยทัศน์ของท้องถิ่น 4. เนื้อหาที่เกี่ยวกับนโยบาย ของประเทศที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น วิธีนาเนื้อหาท้องถิ่นมาสู่หลักสูตรและการสอน 1. สารวจสภาพภูมิอากาศ ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ศาสนา เศรษฐกิจของท้องถิ่น โดยได้จาก การอ่านเอกสารจากหน่วยงานปกครอง หน่วยงานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว หน่วยงานที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เอกสารในห้องสมุดที่เกี่ยวกับท้องถิ่น แล้วนามาวิเคราะห์ สรุป เป็นเนื้อหาสาระของท้องถิ่น ตัวอย่าง: จังหวัดนครพนม 1. จุดเด่นของจังหวัดนครพนมที่จะมาใส่ในหลักสูตรท้องถิ่น สรุปได้ดังนี้ 1) ภาคภูมิศาสตร์ เป็นจังหวัดชายแดนที่ติดต่อกับประเทศลาว และใกล้กับประเทศเวียตนาม 2) ประวัติศาสตร์ จังหวัดนครพนม เป็นจังหวัดชายแดนตั้งเลียบชายฝั่งขวาของแม่น้าโขง ตรง ข้ามกับเมืองท่าแขก ริมฝั่งแม่น้าโขง ในดินแดนที่ราบสูง อดีตเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ อันรุ่งเรือง ได้ถูกเปลี่ยนเป็น "มรุกขนคร" และต่อมาได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น "นครพนม" แขวง คาม่วนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์และ เก่าแก่ 3) ศาสนา มีศาสนาสาคัญ คือ ศาสนาพุทธ คริสต์ ที่ทาให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่าง มีสันติ 4) สถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดนครพนม คือ พระธาตุพนม นอกจากนี้ยังมีพระธาตุอื่นๆ ที่ชาว จังหวัดนครพนมเคารพนับถือ ได้แก่ พระธาตุประสิทธิ์ พระธาตุท่าอุเทน พระธาตุเรณู พระ ธาตุศรีคุณ พระธาตุนคร และพระธาตุมหาชัย เป็นต้น ซึ่งถือเป็นเมืองพระธาตุโดยแท้ 5 ) ค า ข วั ญ ได้แก่: พระธาตุพนมค่าล้า วัฒนธรรมหลากหลาย เรณูผู้ไท เรือไฟโสภางามตาฝั่งโขง 6) ต้นไม้ประจาจังหวัด: กันเกรา (Fagraea fragrans) 2. นาเนื้อหาดังกล่าวมาพิจารณาว่าจะเกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรู้ใดตัวอย่างจังหวัดนครพนม สาระการเรียนรู้ เนื้อหาท้องถิ่น เช่น 1. ภาษาไทย ภาษา 7 ชนเผ่า
  • 10. สาระการเรียนรู้ เนื้อหาท้องถิ่น เช่น 2. คณิตศาสตร์ ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ หาด เกาะ ดินฟ้าอากาศ ที่ทากิน อาชีพ สภาพทางเศรษฐกิจและ สังคม 3. วิทยาศาสตร์ วิธีทาเกษตร การดูแลสภาพป่าต่างๆ 4. สังคมวิทยา ศาสนาวัฒนธรรม วัฒนธรรมของคน วิถีชีวิตความเป็ นอยู่ อาหาร อาชีพ และเศรษฐกิจสังคม 5. สุขศึกษา พลศึกษา คุณค่าทางโภชนาการ 6. ศิลปะ การทอผ้ามัดหมี่ ลายผ้าทอ 7. การงาน อาชีพ และเทคโนโลยี เน้นอาชีพของคนนครพนม การเกษตร 8. ภาษาต่างประเทศ ภาษาอังกฤษ 3. นาเนื้อหามาผสมผสานกับเนื้อหาในหลักสูตรใหม่ อาจทาได้หลายลักษณะ เช่น ก) ใช้เป็นเนื้อหาสอน เช่น เมื่อสอนเรื่อง ตนเองและครอบครัวก็ใช้สภาพจริงเป็นเนื้อหา ข) ใช้เป็นแบบฝึกหัดให้นักเรียนไปทา เช่น การประกอบอาชีพของคนในท้องถิ่นมีกี่อาชีพ อะไรบ้าง มีผู้ทาร้อยละเท่าไร ค) ใช้เป็นโครงงาน ให้นักเรียนไปหาทางแก้ไข ง) ใช้ปัญหาเป็นฐาน ให้นักเรียนไปหาทางแก้ไข จ) ใช้เป็นประเด็น ให้นักเรียนไปค้นคว้า ตัวอย่างเช่น นครพนม แปลว่า มีลักษณะอย่างไร มาก น้อยเพียงใด มีอะไรสูญหายไปบ้างหรือไม่ ถ้าสูญหายทาไมจึงสูญหายไป ฉ) ใช้เป็นสถานที่ไปทัศนศึกษา เช่น พระธาตุต่างๆ สรุป(Summary)
  • 11. การวางแผนพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น ในที่นี้เป็นการนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มา จัดทาเป็นหลักสูตรสถานศึกษา ใช้ข้อมูลหรือแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น กล่าวคือ การวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูล ท้องถิ่น แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น และทรัพยากรบุคคลในท้องถิ่น มาบูรณาการการจัดกระบวนการทางการศึกษา การสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการวางแผนพัฒนาหลักสูตรจะเริ่มต้นจากการ วิเคราะห์ หลักสูตรเดิมที่ใช้กันอยู่ก่อนแล้วว่ามีผลต่อการใช้ปัจจุบันอย่างไรหากหลักสูตรเดิมไม่สนองต่อความ ต้องการของสังคมและผู้เรียนในปัจจุบันอันจะส่งผลไปสู่อนาคตเพื่อการผลิตคนสู่อนาคตแล้วก็ให้นาผลที่ได้มา เป็นข้อมูลในการวางแผนสร้างหลักสูตรใหม่ การจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพและแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น เริ่มจากครู และนักเรียนร่วมกันสารวจและจัดทาข้องมูลเกี่ยวกับบุคลากร องค์กรทางสังคม แหล่งการเรียนรู้ทางธรรมชาติ และวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นที่สามารถนามาใช้ประกอบการเรียนการสอนเนื้อหาต่างๆ ไว้อย่างเป็นระบบ ระเบียบเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ครูอาจจะพาผู้เรียนไปศึกษาและฝึกการทางานในสถานที่จริงที่บ้านหรือ หน่วยงาน หรือสถานประกอบการต่างๆ ที่มีในท้องถิ่น ครูอาจจะเชิญผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่ประสบ ความสาเร็จในการประกอบอาชีพต่างๆ มาเป็นวิทยากรในโรงเรียน การเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นของตน จะทาให้ผู้เรียนไม่เกิดความแปลกแยกกับท้องถิ่น สามารถนาเนินชีวิตและพัฒนา ท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงรอบๆ ตัว การเปิดโอกาสให้บุคลากรในท้องถิ่นเข้า มามีส่วนร่วมในการเรียนการสอน เป็นการประสานความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนและชุมชน เป็นการผนึก กาลังร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์พัฒนาการศึกษาและท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้าตามความต้องการและเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาที่มั่นคง และยั่งยืน ตรวจสอบทบทวน(Self-Test) 1. การนากระบวนการพัฒนาหลักสูตรมาใช้ ในการวางแผนพัฒนาหลักสูตร จะมีสาระสาคัญใน ประเด็นใดบ้าง 2. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรสถานศึกษา และหลักสูตรท้องถิ่น เหมือนหรือ แตกต่างกันอย่างไร กิจกรรม(Activity)
  • 12. 1. สืบค้นจากหนังสือหรือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เรื่อง การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตรท้องถิ่น 2. ศึกษาทาความเข้าใจเพิ่มเติมจาก สุเทพ อ่วมเจริญ การพัฒนาหลักสูตร : ทฤษฎีและการปฏิบัติ “ปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตร : ปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิด SU Model” 3. แลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนนักศึกษา หรือผู้รู้ เกี่ยวกับการฝึกปฏิบัติการวางแผนพัฒนาหลักสูตร/ โดยอาศัยแนวคิดแบบจาลอง SU Model หรือเลือกจากแบบจาลองที่นักพัฒนาหลักสูตรนาเสนอไว้