SlideShare a Scribd company logo
1 of 29
บทที่ 7
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
มโนทัศน์(Concept)
ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กาหนดขึ้นเป็นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ
เริ่มตั้งแต่การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร
ก า ร น าห ลั ก สู ต ร ไ ป ใ ช้ ใ น ส ถ า น ก า ร ณ์ จ ริ ง ร ว ม ทั้ ง ก า ร ป ร ะ เมิ น ผ ล ห ลั ก สู ต ร
โดยห วังว่าขั้น ตอน การพัฒ น าห ลักสู ตรที่ส มบรู ณ์ที่จะ ทาให้ได้หลักสู ตรมีประ สิ ทธิภ าพ
ซึ่งขั้นตอนในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนสาคัญ 5ขั้นตอนที่สาคัญ คือ 1.
การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ 2.การร่างหลักสูตร 3.การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร 4.
การนาหลักสูตรไปใช้ และ 5. การประเมินผลหลักสูตร
ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
1. มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษา
2. สามารถนาความรู้มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาได้อย่างถูกต้อง
สาระเนื้อหา(Content)
การจัดการศึกษาเท่าที่ผ่าน มา โรงเรียน ส่วนให ญ่ที่ใช้ตารา เอกสาร รวมทั้งสื่อต่างๆ
ที่ จั ด พิ ม พ์ จ า ก ห น่ ว ย ง า น ก ล า ง เ ป็ น ห ลั ก ใ น ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น
ถึ ง แ ม้ ว่ า ส ภ า พ บ ริ บ ท แ ล ะ แ ว ด ล้ อ ม โ ร ง เ รี ย น จ ะ แ ต ก ต่ า ง กั น
แ ต่เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ใ น ก า ร จัด ก า ร เรี ย น ก า ร ส อ น ก ลั บ เห มื อ น กั น ทั่ ว ป ร ะ เ ท ศ
อย่าง ไรก็ต ามได้มีค วามพ ยายามใ ห้ โรง เรี ยน พัฒ น าห ลักสู ตรดัง ที่ ก าห น ด ไว้ใ น คู่มือ
เปิ ดโอกาสให้ โรง เรี ยน สามารถพัฒ น าห ลักสู ตรใ ห้ สอดคล้อง กับสภ าพ ของ ท้องถิ่น ได้
ทั้ ง นี้ เนื่ อ ง จา ก ค รู ข าด ค วา ม รู้ ค ว าม เข้า ใ จ รว ม ทั้ ง ทั ก ษ ะ ใ น ก าร พั ฒ น า ห ลัก สู ต ร
ข า ด ก า ร ส นั บ ส นุ น จ า ก ผู้ บ ริ ห า ร แ ล ะ ข าด ก า ร มี ส่ ว น ร่ว ม ข อ ง ค น ใ น ท้ อ ง ถิ่ น
การจัดการเรียน การสอนส่วน ใหญ่เน้น ครูเป็ น ศูน ย์กลาง เน้น การท่องจามากกว่าปฏิบัติจริง
ดังนั้นการเปลี่ยนบทบาทของโรงเรียนจากการเป็นผู้ใช้หลักสูตรที่มีผู้จัดทาให้มาเป็นการพัฒนาหลักสูตรด้วยตน
เ อ ง จ า เ ป็ น ต้ อ ง มี ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม ใ ห้ บุ ค ล า ก ร ใ น โ ร ง เ รี ย น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนหรือรู้แบบการพัฒนาหลักสูตรและมีความสามารถเ
พียงพอที่จะนาความรู้ไปใช้พัฒนาหลักสูตรด้วยตนเองได้ทั้งนี้โดยหวังว่าหลักสูตรที่โรงเรียนพัฒนาขึ้น
จ ะ ท า ใ ห้ นั ก เ รี ย น ไ ด้ เ รี ย น รู้ เ รื่ อ ง ร า ว ที่ เ ป็ น จ ริ ง
ส า ม า ร ถ น า ค ว า ม รู้ ที่ ไ ด้ รั บ จ า ก โ ร ง เรี ย น ม า ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ ใ น ชี วิต ป ร ะ จ า วัน
เล็งเห็นความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้กับการนาไปใช้ก่อให้เกิดความรัก ผูกพันกับชุมชนที่อยู่อาศัย
น อ ก จาก นั้ น ยัง เป็ น จุ ด เริ่ ม ต้น ที่ ดี ข อ ง ค ว าม สั ม พั น ธ์ ระ ห ว่าง ชุม ช น กับ โร ง เรี ย น
เ นื่ อ ง จ า ก ห ลั ก ส า คั ญ ข อ ง ก า ร พั ฒ น า ห ลั ก สู ต ร โ ร ง เ รี ย น ก็ คื อ
การให้บุคลากรในโรงเรียนและชุมชนร่วมกันตัดสินใจเกี่ยวกับการดาเนินทางหลักสูตร ซึ่งมีทั้งการร่วมคิด
ร่วมทา ร่วมประเมินผล เพื่อให้การศึกษาของเยาวชนเป็ นไปตามความต้องการของครอบครัว ชุมชน
สั ง ค ม แ ล ะ ป ร ะ เ ท ศ ช า ติ
สมดังเจตนารมณ์ของการจัดการศึกษาดังที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
1. ความจาเป็นของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
ข้อกฎหมายที่สถานศึกษาต้องไปดาเนินการให้สถานศึกษาหรือโรงเรียนสามารถพัฒนาหลักสูตรได้เอ
ง ภ า ย ใ ต้ ก ร อ บ ข อ ง ห ลั ก สู ต ร แ ก น ก ล า ง เ ป็ น เ รื่ อ ง ที่ จ ะ ต้ อ ง มี
การเตรียมการให้พร้อมเพื่อตอบสนองการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ไ ด้ ก า ห น ด แ น ว ก า ร จั ด ก า ร ศึ ก ษ า ใ น ม า ต ร า 22
ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีควา
มสาคัญที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
และ ใ น มาตรา 23 กาห น ดการจัดการศึกษา ทั้งการศึกษ าใน ระ บบ การศึกษ าน อกระ บ บ
และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้น ความสามารถทั้งความรู้ คุณ ธรรม กระบวน การเรียน รู้
และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา ในเรื่องต่อไปนี้
1.ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคมได้แก่ครอบครัว ชุมชน ชาติ
แ ล ะ สั ง ค ม โ ล ก
รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการปกครองในระบอบประช
าธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. ค ว า ม รู้ แ ล ะ ทั ก ษ ะ ด้ า น วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี
รวม ทั้ ง ค วาม รู้แ ล ะ ค วาม เข้าใ จแ ล ะ ป ระ ส บ ก ารณ์ เรื่ อ ง ก ารจัด ก าร ก ารบ ารุ ง รัก ษ า
การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน
3.ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬ า ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้
ภูมิปัญญา
4. ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง
5.ส่งเสริมการสนับสนุน ให้ผู้สอน สามารถจัดบรรยากาศสภ าพ แวดล้อม สื่อการเรียน
แ ล ะ อ า น ว ย ค ว า ม ส ะ ด ว ก เพื่ อ ใ ห้ ผู้ เรี ย น เ กิ ด ก า ร เรี ย น รู้ แ ล ะ มี ค ว า ม ร อ บ รู้
ร ว ม ทั้ ง ส า ม า ร ถ ใ ช้ ใ น ก า ร วิ จั ย เ ป็ น ส่ ว น ห นึ่ ง ข อ ง ก ร ะ บ ว น ก า ร เ รี ย น รู้
ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอน และแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ
6.จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา
ผู้ปกครองและบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
จากข้อกาหน ดจากมาตรา 22, 23, 24 ของพระ ราช บัญญัติการศึกษาแห่งช าติ พ .ศ. 2524
นาไปสู่การกาหนดคุณภาพมาตรฐานของผู้จบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งที่ผ่านมาในอดีต กรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ (2544: 4) กาหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 ดังนี้ คือ
1. เ ห็ น คุ ณ ค่ า ข อ ง ต น เ อ ง มี วิ นั ย ใ น ต น เ อ ง
ป ฏิ บั ติ ต น ต าม ห ลัก ธ ร ร มข อ ง พุ ท ธ ศ าส น าห รื อ ศ าส น าที่ ต น นั บ ถื อ มีคุณ ธ ร ร ม
จริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์
2. ความคิดสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ใฝ่เรียน รักการอ่าน รักการเรียน และรักการค้นคว้า
3.มีความรู้อันเป็ นสากล ที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ
มี ทั ก ษ ะ แ ล ะ ศั ก ย ภ า พ ใ น ก า ร จั ด ก า ร ก า ร สื่ อ ส า ร แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี
ปรับวิธีการคิดวิธีการทางานได้เหมาะสมกับสถานการณ์
4.มีทักษะและกระบวนการ โดยเฉพ าะทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทักษะการคิดและ
การสร้างปัญญา และทักษะในการดาเนินชีวิต
5. รักการออกกาลังกาย ดูแลตนเองให้มีสุขภาพและบุคลิกภาพที่ดี
6. มีประสิทธิภาพในการผลิตและการบริโภค มีค่านิยมเป็นผู้ผลิตมากกว่าผู้บริโภค
7. เข้าใจใ น ประ วัติศาส ตร์ ของ ช าติไท ย ภูมิใ จใ น ความเป็ น ไทย เป็ น พ ลเมือง ดี
ยึดมั่นในวิถีและการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
8. มีจิ ต ส านึ ก ใ น ก าร อ นุ รัก ษ์ ภ าษ าไท ย ศิ ล ป ะ วัฒ น ธ ร รม ป ระ เ พ ณี กีฬ า
ภูมิปัญญาไทยทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาสิ่งแวดล้อม
9. รักประเทศชาติและท้องถิ่น มุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามให้สังคม
2. ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
สกิลเบ็ก (Skilbeck,1984: 2) ได้ให้ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนไว้ว่า หมายถึง
ก า ร ว า ง แ ผ น ก า ร อ อ ก แ บ บ ก า ร น า ไ ป ใ ช้ แ ล ะ ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล
ก า ร ก า ห น ด ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง นั ก เ รี ย น ด า เ นิ น ก า ร โ ด ย ส ถ า น ศึ ก ษ า
เน้นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างบุคลากรภายในสถานศึกษา ไม่ใช่กาหนดจากบุคคลภายนอก
แฮร์ริสัน (Marshand others.1990:48) ให้ความหมายการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า 1.
เป็นแผนงานที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ 2.เป็นสิ่งที่นาไปปฏิบัติได้จริงและมีผลเกิดขึ้นกับบุคคลที่เกี่ยวข้องจริง 3.
เป็ น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง ไ ด้ รั บ ท ร า บ ทั้ ง 3 ข้ อ มี ค ว า ม เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั น
เพื่อให้หลักสูตรได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของผู้เรียนมากขึ้น
เอ็กเกิลส ตัน (Eggleston, 1980: 7) ได้ให้ ความหมายการพัฒ น าหลักสู ตรโรงเรียน ว่า
เป็นการพัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับสภาพและความต้องการของนักเรียนในแต่ละโรงเรียน
โดยมีการวางแผนนาไปใช้และประเมินร่วมกัน มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและชุมชน เช่น บุคลากร
อาค ารส ถ าน ที่ วัส ดุอุป ก รณ์ ต่าง ๆ เป็ น พั น ธกิจร่วมกัน ระ ห ว่าง โรง เรี ยน แ ละ ชุมช น
ค รู ไ ด้ แ ส ด ง ศั ก ย ภ า พ อ ย่า ง เ ต็ มที่ เป็ น ห ลั ก สู ต ร ที่ โ ร ง เรี ย น ไ ด้ รั บ ป ร ะ โ ย ช น์
โรงเรียนเป็นผู้ทาให้เกิดสัมฤทธิ์ผลมากกว่าเป็นเพียงเจ้าของหลักสูตร
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544:28-29) ได้กล่าวถึงการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า
คือพันธกิจหรือภาระหน้าที่ที่สถานศึกษาและชุมชนร่วมกันในการพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมกับยุคสมัย
โดยกาหนดเป็นวิสัยทัศน์ เป้าหมาย มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
เพื่อให้ครูทุกคนนาไปออกแบบการเรียนการสอนมีการวางแผนร่วมกันทั้งสถานศึกษาเป็นหลักสูตรที่ครอบคลุม
ภาระงานการจัดการศึกษาทุกด้านของสถานศึกษา
สรุป การพัฒน าห ลักสูตรสถานศึกษาในความหมายต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นสรุปว่า
ก า ร พั ฒ น า ห ลั ก สู ต ร คื อ
แผนประสบการณ์หรือแผนการจัดการเรียนการสอนที่เกิดจากการตัดสินใจร่วมกันระหว่างบุคลากรทั้งภายในแล
ะภายนอกของโรงเรียน เพื่อกาหนดการเรียนรู้ของนักเรียน มีการวางแผนนาไปใช้และประเมินผลร่วมกัน
3. แนวคิดการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เป็ น แนวคิดภายใต้พื้น ฐาน ของการ
บ ริ ห า ร ง า น ที่ ใ ช้ โ ร ง เ รี ย น เ ป็ น ฐ า น ( School-Based Management - SBM)
ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งให้สถานศึกษามีอิสระและมีความคล่องตัวในการบริหารงานด้านวิชาการ ด้านการเงิน
ด้ า น ก า ร บ ริ ห า ร ง า น บุ ค ค ล แ ล ะ ก า ร บ ริ ห า ร ทั่ ว ไ ป
เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจโดยมีความเชื่อว่าการตัดสินใจที่ดีที่สุดจากการตัดสินใจของคณะ
บุ ค ค ล ที่ อ ยู่ใ ก ล้ชิ ด แ ล ะ มีส่ว น เกี่ย วข้อ ง กับ นั ก เรี ยน มาก ที่ สุ ด ( Wohlsletter, 1995:22-25)
แนวคิดนี้เริ่มในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีแบบของบริหารจัดการแตกต่างกันไปตามมลรัฐ และในระหว่าง
พ . ศ . 2503-2522
วงการศึกษาของสหรัฐอเมริกาได้มีการปรับปรุงการดาเนินงานทางการศึกษาเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยนาความคิดจากความสาเร็จของการพัฒนาองค์การทางอุตสาหกรรมที่ทาองค์การให้มีประสิทธิภาพในการ
ทางาน ส่งผลให้การปฏิบัติงานมีคุณภาพ สร้างผลกาไรและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าและผู้เกี่ยวข้อง ดังนั้น
แนวทางที่จะทาให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น ต้องปรับปรุงและพัฒนาองค์การ การบริหารโรงเรียนเสียใหม่
มีการกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษาไปยังโรงเรียนให้มากขึ้นมีการนาวิชาการบริหารงบประมา
ณด้วน ตน เอง (Self-Budgeting School) การพัฒน าหลักสู ตรสถาน ศึกษา ( School-Based Curriculum
Development) การพัฒนาบุคลากรโดยใช้โรงเรียนเป็ นฐาน (School-Based Student Counseling) เข้ามาใช้
(สานักคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ,2543:12)
เซ็น (Chen,H.L.S.,2000:3) กล่าวว่า โดยพื้นฐานแล้วความคิดในการจัดทาหลักสูตรโรงเรียนก็คือ
โรงเรียนเป็ นที่ที่ดีที่สุดในการออกแบบหลักสูตร เพราะเป็ นสถานที่ผู้เรียนและครูมีปฏิสัมพันธ์กัน
เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการกระทา และมีผลโดยตรงต่อโรงเรียนและมีส่วนร่วมในการนานวัตกรรมใหม่ๆ
มาใช้ในการศึกษา เพราะเป็ นที่ประจักษ์แล้วว่าการใช้หลักสูตรแกนกลางเป็นสิ่งที่เป็ นนามธรรม
เพ ราะไม่ได้คานึ งถึงความแตกต่างของโรงเรี ยน น โยบายที่จะให้โรง เรียน พัฒ น าหลักสู ตร
เป็ น ก ารเป ลี่ ยน จ าก ก ารสั่ ง ก ารจ าก ห น่ วย ง าน ก ล าง มายัง ห น่ ว ยป ฏิ บั ติ ( Top-Down)
ม า เ ป็ น ก า ร จั ด ท า จ า ก ห น่ ว ย ป ฏิ บั ติ ขึ้ น ไ ป ( Bottom-Up)
ซึ่งเป็ น ความคิดเช่น เดียวกับการให้โรงเรียน บริหารการจัดการเอง ( School-Based Management)
แ ล ะ เ ป็ น ค ว า ม คิ ด ที่ น า ม า จ า ก ป ร ะ เ ท ศ ท า ง ต ะ วั น ต ก ดั ง นั้ น
การนามาใช้จะต้องนามาปรับให้เหมาะสมด้วยหวังว่าทุกโรงเรียนจะเป็นแกนในการปฏิรูปการศึกษา
ค รู ทุ ก ค น เ ป็ น นั ก อ อ ก แ บ บ ห ลั ก สู ต ร ( Curriculum Designer)
และทุกห้องเรียนเป็นห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับหลักสูตรใหม่ๆ
ส าห รั บ ป ร ะ เท ศ ไท ย เอ ง แ น ว คิ ด ใ น ก าร พั ฒ น าห ลัก สู ต รส ถ าน ศึ ก ษ าคื อ
ต้อ ง ก ารก ระ จายอ าน าจ ใ ห้ กับ โรง เรี ยน ส ามา รถ ตัด สิ น ใ จเกี่ยวกับ ห ลัก สู ต รได้เอ ง
เพราะเท่าที่ผ่านมามีปัญหาเกิดขึ้นจากการรวมอานาจการบริหารการศึกษาไว้ที่ส่วนกลางคือที่กระทรวงศึกษาธิก
าร ดังที่ คณ ะ กรรมการปฏิบัติระ บบบริ หารการศึกษาใ น กระ ทรวง ศึกษ าธิการกล่าวไว้ว่า
ลักษณะเช่นนี้ก่อให้เกิดปัญหาดังนี้
1. ปัญหาการรวมอานาจไว้ที่ส่วนกลางทาให้เกิดปัญหาคือ
1.1 ก่อให้เกิดความล่าช้าในการอนุมัติ อนุญาต
1.2 ข า ด ค ว า ม เ ป็ น อิ ส ร ะ ใ น ก า ร คิ ด ก า ร ตั ด สิ น ใ จ ใ น ร ะ ดั บ ล่ า ง
และระดับปฏิบัติของหน่วยงานในพื้นที่และสถานศึกษา
1.3 ก าร บ ริ ห ารแ ล ะ ก าร ตัด สิ น ใ จข อ ง ห น่ ว ยง าน ระ ดับ ล่าง ไ ม่อ าจท าไ ด้
ไ ม่ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ค ว า ม จ า เ ป็ น แ ล ะ ค ว า ม เ ร่ ง ด่ ว น ใ น ก า ร แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า
และตอบสนองตามความต้องการของนักเรียนและประชาชน หรือชุมชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม
1.4 ท า ใ ห้ สิ้ น เ ป ลื อ ง ง บ ป ร ะ ม า ณ แ ล ะ ท รั พ ย า ก ร
เนื่องจากการจัดสรรที่ไม่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการที่แท้จริง
ก า ร ม อ บ อ า น า จ ห รื อ แ บ่ ง อ า น า จ
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการบริหารงานตามระเบียบแบบแผนการบริหารการเงิน และการบริหารงานบุคคล
ส่วนการมอบอานาจในเรื่องของนโยบายแผนงาน และวิชาการมีเป็ นส่วนน้อยคือเพียงร้อยละ 0.4
ของลักษณะงานที่มอบอานาจไปทั้งหมด
2.ปัญหาด้านหลักสูตรและการเรียนการสอน ก็มีการกาหนดและควบคุมจากส่วนการสูงมาก
แม้มีความพ ยายาม ให้ ส ถาน ศึกษ าแล ะ ห น่วยง าน ใ น พื้ น ที่พัฒ น าห ลักสู ต รใ น ท้อ งถิ่ น
ก็ไม่เกิดผลเท่าที่ควรทั้งนี้เนื่องจาก
2.1 ก ร อ บ ห ลั ก สู ต ร แ ล ะ ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล
เป็นสาเหตุสาคัญในการสกัดกั้นการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร
2.2 ค ว า ม วิ ต ก กั ง ว ล ข อ ง ส ถ า น ศึ ก ษ า แ ล ะ ค รู ผู้ ส อ น
ที่เกรงว่าจะไม่สามารถดาเนินการได้ครบตามระเบียบและกฎเกณฑ์ดังกล่าว
2.3รูปแบบการจัดการเรียนการสอนของครูที่ยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ส่งเสริมศักยภาพ
และความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน
2.4ระบบรวมศูนย์ในเรื่องการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการเรียนการสอน รวมทั้งการควบคุม
จัดสรรและกาหนดคุณลักษณะจากส่วนกลางก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทาให้สถานศึกษามิอาจจัดรายวิชาที่สนองความต้
องการของนักเรียนและความต้องการชุมชนได้
3. ปัญหาจากการใช้หลักสูตรเดียวกันทั่วประเทศ ก่อให้เกิดผลต่อผู้ปฏิบัติตามหลักสูตร
3.1 ผู้บริหารโรงเรียนบางส่วนขาดความรู้ ความเข้าใจในหลักสูตร
3.2 ครูไม้เข้าใจหลักการ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
3.3 เนื้อหาวิชามีความยาก ไม่สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น
3.4 ครูไม่เข้าใจวิธีการจัดการเรียนการสอน จึงจัดการเรียนการสอนที่ยึดครูเป็นศูนย์กลาง
3.5การจัดส่งเอกสารประกอบหลักสูตรไปยังโรงเรียนมีความล่าช้า ไม่ทันเปิดภาคการศึกษา
จานวนที่จัดส่งไปให้ไม่เพียงพอ
4. ปัญหาในการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นก็คือ
4.1 การขาดบุคลากร
4.2 ขาดความร่วมมือและสนับสนุน
4.3 ขาดวิทยากร
4.4 ขาดความรู้
4.5 ขาดการเก็บรวบรวมข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
4.6 ครูไม่ปรับหลักสูตรสอนตามหลักสูตรแกนกลาง
4.7 ไม่ปรับปรุงสื่อ เอกสาร
4.8 ครูไม่มีความรู้และขาดทักษะในการดาเนินการ
จากรายงานการวิจัยและพัฒนาระบบการประเมินผลภายในของสถานศึกษาพบว่าสถานศึกษาที่มีหลัก
สูตรและเนื้อหาสาระที่เหมาะสมกับท้องถิ่นและผู้เรียน มีเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียนคือ
1. นักเรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเองและชุมชนและตัวเองอาศัยอยู่น้อยหรืออาจไม่เกี่ยวข้อง
2.ทาให้การเรียนรู้เป็นเรื่องไม่สนุก เพราะประโยชน์ในการนาไปใช้ในชีวิตประจาวันมีไม่มาก
ไ ม่ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ท ฤ ษ ฎี ก า ร เ รี ย น รู้ เ ช่ น ท ฤ ษ ฎี ก า ร เ รี ย น รู้ ปั ญ ญ า นิ ย ม
ที่เชื่อว่าการรู้เกิดจากการที่ผู้เรียนเป็นผู้ริเริ่มเป็นผู้กระทาที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้าผู้เรียนต้องเป็นผู้ลงมือกระทา
การพัฒน าห ลักสู ตรระ ดับช าติ เป็ น ห น้าที่ของกรมวิช าการ กระทรวงศึกษาธิ การ
ส่วน ก ารพั ฒ น าห ลัก สู ต ร ส ถ าน ศึ ก ษ า เป็ น ห น้ าที่ ขอ ง โร ง เรี ย น ที่ ต้อ ง ด าเนิ น ก าร
เงื่อนไขสาคัญที่ทาให้การจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาประสบความสาเร็จมีดังนี้ (Cohen, 1985:1158)
1. ต้องมีการมอบอานาจส่วนกลางไปยังระดับโรงเรียนในท้องถิ่นในลักษณะการกระจายอานาจ
2.
บุคลากรในโรงเรียนมีความยินดีในการมีส่วนร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษาและบุคคลเหล่านั้นมีทั
กษะในการวินิจฉัยความจาเป็นของนักเรียน
3. บุคลากรมีความสามารถเพียงพอในการรับผิดชอบงานและตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร
เงื่อนไขดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการที่กาหนดให้มีการ
กระจายอานาจการบริหารไปยังสถานศึกษา ให้สถานศึกษามีอานาจในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ
ได้เองซึ่งแนวทางที่กาหนดไว้มีดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2543:3)
1. ยึ ด โ รง เ รี ยน เป็ น ศู น ย์ ก ล าง ใ น ก า ร ตัด สิ น ใ น ( School-Based Decision Making)
เป็นแนวคิดที่มุ่งให้โรงเรียนมีอิสระในการตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยยึดประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสาคัญ
2. ก า ร มี ส่ ว น ร่ ว ม แ ล ะ ก า ร ร่ ว ม คิ ด ร่ ว ม ท า ( Participation and Collaboration)
การศึกษาเป็นเรื่องของสาธารณชน มิใช่การรับผิดชอบของใครแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป
3.การกระจายอานาจ (Decentralization) เป็นการคืนอานาจการจัดการศึกษาให้กับผู้ใกล้ชิดเด็กได้แก่
โ ร ง เ รี ย น ผู้ บ ริ ห า ร ก า ร ศึ ก ษ า ค รู ชุ ม ช น
เป็ น ความเชื่อว่าผู้มีส่วน ได้เสียต่อการศึกษาหรือผู้ที่อยู่ใกล้เด็กสามารถจัดการศึกษาได้ดีที่สุ ด
ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและชุมชน อานาจการตัดสินใจควรอยู่ในระดับปฏิบัติคือสถานศึกษา
4. ภ า ร กิ จ ที่ ต ร ว จ ส อ บ ไ ด้ ( Accountability) ต้ อ ง มี ก า ร ก า ห น ด ห น้ า ที่
ความรับผิดชอบและภารกิจของผู้บริหาร ครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษาและชุมชนอย่างชัดเจน
แ ล ะ ภ า ร กิ จ เ ห ล่ า นี้ ต้ อ ง ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ ค ว า ม ส า เ ร็ จ ไ ด้
เพื่อเป็นหลักประกันคุณภาพการศึกษาให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
4. ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่จะนามาใช้ดาเนินการการนาแนวคิดและรูปแบบจากพระรา
ช บัญ ญัติการศึกษาแห่ง ช าติ พ .ศ. 2542 ใ น มาตรา 27 วรรคส องที่กาหน ดให้ สถาน ศึกษ า
ขั้นพื้นฐานมีหน้าที่จัดทาสาระของหลักสูตรที่สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาใน
ชุมชนและสังคมภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึ่งประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม
และประ เทศช าติ รวมทั้ง แน วคิดและ รูปแบบของ นักพัฒน าห ลักสู ตร เช่น ไทเลอร์ ทาบา
เซย์เลอร์ อเล็กซาน เดอร์และ เลวิส โอลิวา สกิลเบ็กมาร์ช และคณะ เอ็กเกิลสตัน วอล์คเกอร์
และ รูปแบบการพัฒน าหลักสูตรของไทย องกรมวิชาการ และ กรมการศึกษาน อกโรงเรี ยน
มากาหนดเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กาหนดขึ้น เป็ นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ
เริ่มตั้งแต่การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร
ก า ร น าห ลั ก สู ต ร ไ ป ใ ช้ ใ น ส ถ า น ก า ร ณ์ จ ริ ง ร ว ม ทั้ ง ก า ร ป ร ะ เมิ น ผ ล ห ลั ก สู ต ร
โดยห วังว่าขั้น ตอน การพัฒ น าห ลักสู ตรที่ส มบูรณ์ ท าใ ห้ ได้ห ลัก สู ตรที่มีป ระ สิ ท ธิ ภ าพ
กล่าวโดยสรุปขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนที่สาคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้คือ
ขั้นที่1การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ ได้แก่
1.1 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการของชุมชน
1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน
1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง
ขั้นที่2การร่างหลักสูตร
2.1 การกาหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร
2.2 การกาหนดเนื้อหาสาระ
2.3 การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อต่างๆ
2.4 การกาหนดวิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน
ขั้นที่3การตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร
ขั้นที่4การนาหลักสูตรไปใช้
ขั้นที่5การประเมินผลหลักสูตร
รายละเอียดในแต่ละขั้นตอนมีดังนี้
ขั้ น ที่ 1 ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ วิ เ ค ร า ะ ห์ ข้ อ มู ล พื้ น ฐ า น
ใ น ก ารพั ฒ น าห ลัก สู ตร จาเป็ น ต้อง ศึก ษ าแ ละ วิเคราะ ห์ ข้อ มูล พื้ น ฐาน ใ น ด้าน ต่าง ๆ
เพื่อใช้ในการกาหนดองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรซึ่งได้แก่วัตถุประสงค์ของหลักสูตร เนื้อหาสาระ
กิ จ ก ร ร ม ใ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น / สื่ อ
การวัดและประเมินผลผู้เรียนซึ่งข้อมูลพื้นฐานที่ได้จากการศึกษาช่วยในการกาหนดวัตถุประสงค์หรือการกาหน
ดสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ วัตถุประสงค์จะเป็ นตัวกาหนดเนื้อหาสาระที่ควรจัดให้ผู้เรียน
ซึ่งอยู่ในลักษณะรายวิชา หลังจากนั้นจึงนามากาหนดกิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน สื่อการเรียนรู้ต่างๆ
ร ว ม ทั้ ง ก า ร ก าห น ด วิธี ก า ร วัด แ ล ะ ป ร ะ เมิ น ผ ล ผู้ เรี ย น ว่า จ ะ ใ ช้ วิธี ก า ร อ ย่าง ไ ร
ซึ่งการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรควรประกอบด้วย
1.1การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน เนื่องจากโรงเรียนที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้
ทั ก ษ ะ แ ล ะ วัฒ น ธ ร ร ม ข อ ง ชุ ม ช น ช่ว ย เต รี ย ม ค น ใ ห้ กับ ชุ ม ช น แ ล ะ สั ง ค ม
ดัง นั้ น การพัฒ น าห ลักสู ตรเพื่ อให้ ผู้เรียน เป็ น ผู้มีความรู้ความสามารถและ ประ สบการณ์
มี ค ว า ม คิ ด ริ เ ริ่ ม ส ร้ า ง ส ร ร ค์ คิ ด เป็ น ท า เป็ น แ ล ะ เ ป็ น ส ม า ชิ ก ที่ ดี ข อ ง สั ง ค ม
จาเป็ น ต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับสภ าพ และความต้องการของชุมชน หรือสังคมที่โรงเ รียน ตั้งอยู่
เพื่ อใ ห้ ห ลักสู ตรที่พัฒ น าขึ้ น มีความทัน ส มัยเห มาะ ส มกับก ารเป ลี่ยน แป ลง ของชุมช น
การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชนมีการศึกษาในหลายด้าน เช่น การศึกษาสาธารณูปโภค สิ่งแวดล้อม
การประกอบอาชีพ ในปัจจุบันและแนวโน้มของอาชีพในอนาคต สุขภาพอนามัยขนบธรรมเนียมประเพณี
วั ฒ น ธ ร ร ม ค่ า นิ ย ม ท รั พ ย า ก ร ต่ า ง ๆ ปั ญ ห า ข อ ง ชุ ม ช น
ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนอาจศึกษาจากการสารวจสอบถามสัมภาษณ์บุคคลในชุมชน และศึกษาจากเอกสาร
รายงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกาหนดแนวทางในการตอบสนองความต้องการของชุมชนในพื้นที่ได้
ข้อมูลของชุมชนที่สาคัญมีดังต่อไปนี้
1. ข้อมูลสภาพทั่วไปของชุมชน แผนที่ชุมชน แสดงที่ตั้งของสถาน ที่ต่างๆ เช่น
สิ่งสาคัญในชุมชน เช่น วัด โรงเรียน เทศบาล ธนาคาร ฯลฯ รวมทั้งลักษณะการตั้งบ้านเรือนภายในชุมชน
ประวัติความเป็นมาและสภาพของชุมชน จานวนประชากร แยกตามเพศ อายุ จานวนครัวเรือน ศาสนา
สถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น
2.ข้อมูลด้านการศึกษา จานวนผู้จบการศึกษาในระดับต่างๆ จานวนนักเรียนในระดับต่างๆ
เช่น ประถม มัธยม ฯลฯ จานวนครูที่สอนในระดับต่างๆ จานวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น
ศึกษานิเทศก์ ฯลฯ
3. ข้อมูลศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน ภาษาท้องถิ่น โบราณสถาน
โบราณวัตถุภายในชุมชน ดนตรี เพลง การแสดงพื้นบ้านของชุมชน วรรณกรรม ตานานพื้นบ้านของชุมชน
4.ข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจอาชีพ/รายได้ของคนในชุมชน ปฏิทิน การปฏิบัติงานของชุมชน
เช่น ช่วงเดือนการเก็บเกี่ยวข้าว ช่วงเวลาการเก็บเงาะ การตัดยาง เป็นต้น รวมทั้งทรัพยากรที่มีในชุมชน เช่น
ป่าไม้ แร่ธาตุ แหล่งน้า และพืชเศรษฐกิจหลักของชุมชน
5. ภูมิปั ญญาท้องถิ่น ทาเนี ยบชื่อ ที่อยู่ ความรู้ความสามารถ ความชาน าญของ
แต่ละบุคคลปัญหาชุมชน
6. ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในชุมชน เช่น ยาเสพติด พืชผลราคาตก โจรผู้ร้ายชุกชุม
นอกจาการศึกษาและสารวจสภาพและความต้องการของชุมชน รวมทั้งข้อมูลที่สาคัญของชุมชนแล้ว
ต้อง มีการส ารวจส ภ าพ และ ค วามต้อง การข อง ผู้เรี ยน ทั้ ง ด้าน ร่าง กาย อารมณ์ สั งค ม
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถได้จากครูในโรงเรียน ผู้ปกครอง และตัวนักเรียนเอง
วิธีการศึกษาชุมชน สามารถดาเนินการได้ดังนี้
1. ศึ ก ษ า จ า ก เ อ ก ส า ร ต่า ง ๆ จั ด เ ป็ น ข้ อ มู ล ทุ ติ ย ภู มิ ( Secondary Data)
ซึ่ ง เป็ น ข้ อ มู ล ที่ มี ผู้ จัด พิ ม พ์ ห รื อ ร ว บ ร ว ม ไ ว้อ ยู่ใ น รู ป เ อ ก ส าร สิ่ ง พิ ม พ์ ต่า ง ๆ
เอกสารเหล่านี้สามารถค้นคว้าศึกษาได้จากห้องสมุดจากหน่วยงานต่างๆ ที่รวบรวมจัดเก็บไว้
2. ศึ ก ษ าจ าก ก า ร ส า ร ว จ ชุ ม ช น จัด เป็ น ข้ อ มู ล ป ฐ ม ภู มิ ( Primary Data)
ซึ่งผู้ต้องการใช้ข้อมูลเป็ นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากชุมชน ทาให้ได้เห็ นสภ าพ ที่แท้จริง
และ สร้าง ความสัมพัน ธ์ อัน ดีกับชุมช น ด้วย ซึ่ งการสารวจชุมช น ต้องใ ช้วิธี การต่าง ๆ กัน
เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับความเป็ น จริง วิธีการต่างๆได้แก่การสัมภาษณ์ การสอบถาม
และการสังเกตเป็นต้น
จากการศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน นาข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาจัดลาดับความสาคัญ
โดยกาหนดเป็นหัวเรื่องที่ต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้ เช่น ในชุมชนมีปัญหายาเสพติด สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
ภ า ว ะ โ ล ก ร้ อ น มี ก า ร ท า ล า ย ท รั พ ย า ก ร ธ ร ร ม ช า ติ เ ห ล่ า นี้ เ ป็ น ต้ น
หรืออาจเป็นเรื่องที่ชุมชนต้องการถ่ายทอดวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนให้กับนักเรียนได้เรียนรู้สิ่งเหล่า
นี้ จัด แ ยก เป็ น ห มว ด ห มู่ใ ห้ ชั ด เจ น ว่า อ ะ ไร เป็ น ปั ญ ห าเร่ง ด่วน ที่ ต้ อ ง ก ารแ ก้ไ ข
หรืออะไรเป็นสิ่งที่ต้องการให้นักเรียนรู้เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมของชุมชนในการดาเนินงานขั้นตอนนี้มีความสา
คัญที่ต้องให้ ผู้มีส่วน เกี่ยวข้อง กับชุมช น เช่น ผู้ปกครอง กรรมการโรงเรียน คน ใน ชุมช น
รวมทั้งนักเรียน ได้เข้ามามีส่วน ร่วมใน การแสดงความคิดเห็ น ร่วมกับครู ผู้บริห ารโรงเรียน
เพื่อนาไปสู่ข้อสรุปของการจัดลาดับความสาคัญของปัญหา หรือเรื่องราวที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้
1.2 ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ศั ก ย ภ า พ ข อ ง โ ร ง เ รี ย น
การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนเป็นการศึกษาสภาพทั่วไปของโรงเรียนในด้านต่างๆ เช่น บุคลากร
ง บ ป ร ะ ม า ณ อุ ป ก ร ณ์ แ ล ะ สื่ อ ต่ า ง ๆ อ า ค า ร ส ถ า น ที่ ห้ อ ง เ รี ย น
ปัญหาที่เกิดจากการใช้หลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน
ข้ อ มู ล เ ห ล่ า นี้ จ ะ ช่ ว ย ใ น ก า ร พิ จ า ร ณ า ว่า โ ร ง เ รี ย น มี ค ว า ม พ ร้ อ ม ห รื อ ไ ม่
มีผลต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกแนวทางการพัฒนาหลักสูตรอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับศักยภาพของโรงเรียนมาก
ที่ สุ ด ข้อ มูล ต่าง ๆ เห ล่านี้ ได้จ าก เอ ก ส า ร ราย ง าน ต่าง ๆ เช่น ส ถิ ติ ข อ ง โร ง เรี ย น
รายงานการประเมินคุณภาพของโรงเรียน การสารวจภายในโรงเรียน เป็นต้น
1.3 ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ห ลั ก สู ต ร แ ก น ก ล า ง
เนื่องจากปัจจุบันเป็นระยะเวลาที่เราผ่านการใช้หลักสูตรมาหลายครั้งจนปัจจุบันกาลังจะนาหลักสูตรการศึกษาขั้
นพื้น ฐาน พุทธศักราช 2551มาใช้กับโรงเรียน น าร่องจาน วน 555 แห่ง ใน ปี การศึกษา 2552
แ ล ะ ค า ด ว่า จ ะ น า ม า ใ ช้ ค ร บ ทุ ก ชั้ น ใ น ปี ก า ร ศึ ก ษ า 2 5 5 3 ดั ง นั้ น
การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางใช้แนวทางการวิเคราะห์ดังนี้
1. หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) ให้พิจารณาจาก
1.1 จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
1.2 จุดประสงค์รายวิชา (ความมุ่งหวังที่ต้องการ)
1.3 เนื้อหาสาระ (โครงสร้างหลักสูตร)
1.4
กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลการเรียนรู้
2. ห ลักสู ตรการศึกษาขั้น พื้น ฐาน พุทธศักราช 2544
ให้พิจารณาจาก
2.1 มาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร
2.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น
- 8 กลุ่มสาระ
- กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
2.3 การจัดการเรียนรู้
2.4 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
ซึ่งสถานศึกษาแต่ละแห่งควรนาข้อมูลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่ประกอบด้วยการศึกษาส
ภาพและความต้องการของชุมชน การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนและการวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง
สรุปได้ดังนี้
1.1 การศึกษาและความต้องการของชุมชน
- สภาพทั่วไปของชุมชน
- การศึกษา
- ศิลปวัฒนธรรม - หัวเรื่อง
- เศรษฐกิจ
- ภูมิปัญญาท้องถิ่น
- ปัญหาของชุมชน
1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน
- บุคลากร
ข้อกาหนดใ
นการร่างห
ลักสูตร
- หัวเรื่อง
- จัดลาดับ
- งบประมาณ
- อุปกรณ์/สื่อต่างๆ
- อาคารสถานที่
- ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน
1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง 1.
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2544 ให้พิจารณาจากมาตรฐานการ
เรียนรู้ของหลักสูตร
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น
- 8 กลุ่มวิชา
- กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
การจัดการเรียนรู้
การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้
2. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 255 1
ให้พิจารณาจาก
ปรับมาตรฐานการเรียนรู้จากหลักสูตรการศึกษา
ขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น
- 8 กลุ่มวิชา (เท่าเดิม)
- วิสัยทัศน์
- พันธกิจ
- คุณลักษณะอันพึงประสงค์
- สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
- กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
- กิจกรรมสาธารณประโยชน์
การจัดการเรียนรู้
การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้
การตัดสินใจพัฒน
าหลักสูตรในเรื่อง
ใด
ข้อกาหนดใ
นการร่างหลั
กสูตร
ขั้น ที่ 2 การร่างหลักสู ตร เป็ น การกาหน ดแผนการจัดประสบการณ์ หรือการกาหน ด
แน วทางการจัดการเรียน การสอน ให้แก่ผู้เรียน ซึ่ งประกอบด้วยจุดประ สง ค์ เนื้ อหาสาระ
กิจกรรมและ วิธี วัดและ ประ เมิน ผลผู้เรี ยน เพื่ อให้ ผู้เรียน มีความรู้ ความส ามารถ ทักษ ะ
และทัศนคติตามเป้าหมายที่กาหนดไว้
ใน การร่างห ลักสู ตรสถาน ศึกษาจะต้องน าข้อมูลที่ได้จากการศึกษาใน ขั้น ที่ 1 คือ
ข้อมูลพื้น ฐาน ที่จาเป็ น ได้แก่ สภ าพ และความต้องการของชุมช น ศักยภ าพ ของ โรง เรียน
หลักสูตรแกนกลางที่กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้วิชาที่ต้องการพัฒนา ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ คือ
2.1 การกาหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
1. จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ทั่ ว ไ ป
เป้ าห มายห รื อสิ่ ง ที่ มุ่ง ห วัง ใ ห้ เกิด กับ ผู้เรี ยน ห ลัง จากที่ ผู้เรี ยน ได้เรี ยน รู้สิ่ ง นั้ น ๆ แล้ว
ต้อ ง น าข้อ มูล ที่ ได้จากก ารเก็บ ร วบ รวม ใ น ขั้น ที่ 1 มาก าห น ด เป็ น จุ ดป ร ะ ส ง ค์ ทั่วไ ป
ต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง การกาหนดจุดประสงค์ต้องเขียนด้วยภาษาที่ชัดเจน
เข้าใจง่ายและสามารถนาไปปฏิบัติได้จริงภายใต้ศักยภาพของแต่ละสถานศึกษา
ตัวอย่าง การกาห นดจุดประสงค์ทั่วไปของหลักสูตร “การทาผลไม้แปรรูป คือ
ให้นักเรียนมีความรู้และทักษะในการทาผลไม้แปรรูป”
2. จุดประสงค์การเรียนรู้
- บอกความหมายของ “ผลไม้แปรรูป” ได้
- สามารถทาผลไม้แปรรูปได้
- มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพการทาผลไม้แปรรูป
- สามารถบรรจุหีบห่อที่สวยงามได้
- สามารถตั้งราคาขายที่เหมาะสมได้
ฯลฯ
2.2 การกาหนดเนื้ อหาสาระ เนื้อหาสาระเป็นองค์ประกอบที่สาคัญในการพัฒนาหลักสูตร
ทั้งนี้ เนื่องจากเนื้อหาสาระเป็น เครื่องมือหรือสื่อกลางที่จะพาผู้เรียนไปยังวัตถุประสงค์ที่ วางไว้
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาใช้เนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับชุมชนที่เป็นบริบทของโรงเรียนให้สอดคล้องกับจุ
ด ป ร ะ ส ง ค์ ที่ ว า ง ไ ว้
มีความยากง่ายสอดคล้องเหมาะสมกับวัยหรือลาดับขั้นของการพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ
รวมทั้งประ สบการณ์เดิมของผู้เรียน มีประโยช น์ ต่อผู้เรียน ที่จะน าไปใช้ใน ชีวิตประจาวัน
เนื้อหาที่เลือกมาสามารถจัดให้ผู้เรียนได้โดยพิจารณาถึงความพร้อมศักยภาพของโรงเรียน บุคลากรที่เป็นผู้สอน
วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ตัวอย่างการพัฒนาหลักสูตร “การทาผลไม้แปรรูป” ประกอบด้วยเนื้อหาสาระดังนี้
- ลักษณะและชนิดของผลไม้ที่นามาแปรรูป
- ขั้นตอนการทาผลไม้แปรรูป
- การทาความสะอาดเครื่องใช้
- การบรรจุหีบห่อ
- การตั้งราคาขาย
ฯลฯ
2.3การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน คือ
กิจกรรมที่ทั้งผู้เรียนเป็ นผู้กระทา และกิจกรรมที่ผู้สอนเป็นผู้กระทา มีการใช้สื่อการเรียนการสอนต่างๆ
เพื่อให้ ผู้เรียน เกิดการเรี ยน รู้กิจกรรมใน การจัดการเรี ยน การสอน การบรรยาย การสาธิ ต
ผู้เรียนมีการซักถามโต้ตอบ การลงมือปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระที่กาหนดขึ้น
ค รู ต้ อ ง ค า นึ ง ถึ ง พื้ น ฐ า น แ ล ะ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ เ ดิ ม ข อ ง ผู้ เ รี ย น
การกาห น ดกิจกรรมการเรี ยน การสอน ต้อง สอดคล้อ งกับ ประ สบ การณ์ เดิมของ ผู้เรี ยน
ซึ่ ง อ าจ มี ก าร น าสื่ อ ทั้ ง ใ น ด้าน วัส ดุ อุ ป ก ร ณ์ แ ล ะ บุ ค ค ล ส ถ า น ที่ ที่ อ ยู่ใ น ชุ ม ช น
เข้ามาก าห น ด เป็ น กิจ กร รมที่ เป็ น รู ป ธ ร รม เพื่ อ ใ ห้ การ เรี ยน รู้ เชื่ อ มโยง กับ ชุมช น
ส่งผลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนอันเนื่องมาจากการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กาหนดไว้ได้
กิจกรรมการเรียนการสอน ได้แก่กิจกรรมในลักษณะต่อไปนี้คือ ศึกษา ทดลอง สารวจ ฝึกปฏิบัติ
วิเค ราะ ห์ อ ภิ ป ราย สั มมน า ระ ด มค ว ามคิด ฯ ล ฯ ตัว อ ย่าง กิจก รร ม “ศึ ก ษ า” ไ ด้แ ก่
(กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ , 2539:9)
- ฟังคาอธิบายจากครู
- ค้นคว้าจากห้องสมุดของโรงเรียน
- ค้นคว้าจากแหล่งวิทยาการอื่นๆ
- เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในท้องถิ่นมาบรรยาย
- ออกไปสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เกี่ยวข้องในท้องถิ่น
- ออกไปสารวจดูสภาพจริงในพื้นที่
- สังเกตสิ่งแวดล้อมรอบข้าง
- ออกไปทัศน์ศึกษา
- รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
- นาหรือพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้
ฯลฯ
น อ ก จ า ก ก า ร จั ด กิ จ ก ร ร ม ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ ล้ ว
ครูยังสามารถจัดทาสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ที่กาหนดไว้โดยการจัดสื่อต่างๆ
เพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนได้ดังนี้ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ , 2539: 17-18)
1.หนังสื อเรียน เป็ น หนังสื อที่กระทรวงศึกษาธิการกาหน ดให้ใช้สาหรับการเรียน
มีสาระตรงตามที่ระบุไว้ในหลักสูตรอย่างถูกต้อง อาจมีลักษณะเป็นเล่ม เป็นแผ่นหรือเป็นชุดก็ได้
2. คู่ มื อ ค รู แ ผ น ก า ร ส อ น แ น ว ก า ร ส อ น ห รื อ เ อ ก ส า ร อื่ น ๆ
ที่จัดทาขึ้นเพื่อช่วยครูในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ละรายวิชาให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของหลักสูตร
3. ห นั ง สื อ เ ส ริ ม ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์
เป็ น ห นั ง สื อที่จัดท าขึ้ น โดยคานึ ง ถึง ประ โยช น์ ใ น ด้าน การศึกษาห าความรู้ของ ตน เอ ง
ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ความซาบซึ้งในคุณค่าของภาษา การเสริมสร้างทักษะและนิสัยรักการอ่าน
ก าร เพิ่ ม พู น ค วา ม รู้ ค ว าม เข้ าใ จ ใ น สิ่ ง ที่ เรี ย น รู้ ต าม ห ลัก สู ต ร ใ ห้ ก ว้าง ข ว าง ขึ้ น
ห นั ง สื อ ป ร ะ เ ภ ท นี้ โ ร ง เรี ย น ค ว ร จัด ห าไ ว้บ ริ ก าร ค รู แ ล ะ นั ก เรี ย น ใ น โ ร ง เ รี ย น
หนังสือเสริมประสบการณ์จาแนกออกเป็น 4 ประเภท คือ
3.1 ห นั ง สื อ อ่ า น น อ ก เ ว ล า
เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนดให้ใช้ในการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งตามหลักสูตรนอกเหนือจากหนังสือ
เ รี ย น ส า ห รั บ ใ ห้ นั ก เ รี ย น อ่ า น น อ ก เ ว ล า เ รี ย น
โดยถือว่าเป็นกิจกรรรมการเรียนเกี่ยวกับหนังสือนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตามหลักสูตร
3.2 ห นั ง สื อ อ่ า น เ พิ่ ม เ ติ ม เ ป็ น ห นั ง สื อ ที่ มี ส า ร ะ
ส า ห รั บ ใ ห้ นั ก เ รี ย น อ่ า น เ พื่ อ ศึ ก ษ า ห า ค ว า ม รู้ เ พิ่ ม เ ติ ม ด้ ว ย ต น เ อ ง
ต า ม ค ว า ม เห ม า ะ ส ม กับ วัย แ ล ะ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร อ่า น ข อ ง แ ต่ล ะ บุ ค ค ล
หนังสือประเภทนี้เคยเรียกว่าหนังสืออ่านประกอบ
3.3 ห นั ง สื อ อุ เ ท ศ
เป็นหนังสือใช้ค้นคว้าสาหรับอ้างอิงเกี่ยวกับการเรียนโดยมีการเรียบเรียงเชิงวิชาการ
3.4 ห นั ง สื อ ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร อ่ า น
เป็ น หนังสือที่จัดทาขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เน้นไปในทางส่งเสริมให้ผู้อ่านเกิดทักษะในการอ่าน
และมีนิสัยรักการอ่านมากยิ่งขึ้น อาจเป็นหนังสือสารคดี นวนิยาย นิทาน ฯลฯ ที่มีลักษณะไม่ขัดต่อวัฒนธรรม
ประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ให้ความรู้ มีคติและสารประโยชน์
4.แบบฝึกหัด เป็ นสื่อการเรียนสาหรับให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เพื่อช่วยเสริมให้เกิดทักษะ
และความแตกฉานในบทเรียน
5. สื่อการเรียนการสอนอื่นๆ เช่น สื่อประสม วีดีทัศน์ แถบบันทึกเสียง ภาพพลิก แผ่นภาพ เป็นต้น
สื่ อก ารเรี ย น ก ารส อ น ดัง ก ล่าวข้าง ต้น โร ง เรี ยน ส ามารถ เลือ กใ ช้ ป รับ ป รุ ง
หรือจัดทาขึ้นเพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ตามความเหมาะสม
2.4 ก ารก าห น ด วิธี วัด แล ะ ป ระ เมิน ผ ลผู้เรี ยน เนื่ อง จากก ารพัฒ น าห ลักสู ต ร
จุดประสงค์ชัดเจน ที่กาห น ดความคาดหวังใน คุณลักษะต่างๆ ที่ต้องการให้เกิดขึ้น กับผู้เรียน
ร ว ม ทั้ ง วิ ธี ก า ร ด า เ นิ น ก า ร เ พื่ อ ใ ห้ บ ร ร ลุ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ที่ ก า ห น ด ไ ว้
การที่ผู้ใช้หลักสูตรหรือครูทราบว่าผลที่เกิดจากการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างไร มีส่งใดที่ต้องปรับปรุง
แ ก้ ไ ข ผู้ เ รี ย น ไ ด้ บ ร ร ลุ ต า ม จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ที่ ตั้ ง ไ ว้ ห รื อ ไ ม่เ พี ย ง ใ ด นั้ น
ต้องมีวิธีการวัดและประเมิน ผลการเรียน รู้ของผู้เรี ยน รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้วัดและประเมิน ผล
ซึ่งการวัดและประเมินต่อผู้สอนที่ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียนรวมทั้งตัวผู้สอนเองช่วยให้ผู้สอนทราบคุณภ
าพการจัดการเรียนการสอน ซึ่งรวมถึงคุณภาพของหลักสูตร นาไปสู่การปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
ซึ่งการวัดและประเมินผลผู้เรียนมีทั้งก่อนการจัดการเรียนการสอน ระหว่างและสิ้นสุดการจัดการเรียนการสอน
แล้วแต่ความเหมาะสม
ขั้ น ที่ 3 การต รว จส อบ คุณ ภาพ ข อ งห ลั กสู ต ร เมื่อ ร่าง ห ลักสู ตรเรี ยบร้อยแล้ว
ก่อน ที่จะ น าไปใ ช้กับ นั กเรี ยน จาเป็ น ต้อง มีการตรวจส อบคุณ ภ าพ ของ ห ลักสู ตรก่อ น
เพื่ อ ห า ข้ อ บ ก พ ร่ อ ง แ ล ะ ป รั บ ป รุ ง แ ก้ ไ ข ใ ห้ เ ห ม า ะ ส ม แ ล ะ ส ม บู ร ณ์ ที่ สุ ด
สิ่งที่ต้องพิจารณาในการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรคือ ความสอดคล้องขององค์ประกอบต่างๆ ได้แก่
จุดประสงค์ เนื้อหาสาระ การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ วิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน
ซึ่งวิธีการตรวจสอบกระทาได้โดย
1.คณะทางานร่างหลักสูตรเป็นกลุ่มบุคคลที่พัฒนาหลักสูตรขึ้นมาเช่น คณะครู ผู้บริหารผู้ปกครอง
คนในชุมชน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
2.ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเป็ นผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านเนื้อหาสาระ ด้านสื่อการเรียนรู้
ด้านหลักสูตรและการสอน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
3.การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจอยู่ในลักษณะของการจัดประชุม/สัมมนา
เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อนาสู่การปรับปรุงหลักสูตร
ขั้ น ที่ 4 ก า ร น า ห ลั ก สู ต ร ไ ป ใ ช้
หลังจากที่มีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรละปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรที่ร่างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
ขั้ น ต่ อ ไ ป คื อ ก า ร น า ห ลั ก สู ต ร ไ ป ใ ช้ ซึ่ ง เ ป็ น ขั้ น ต อ น ที่ มี ค ว า ม ส า คั ญ ม า ก
ครูที่เป็นผู้ปฏิบัติการหลักในการพัฒนาหลักสูตรเป็นผู้นาหลักสูตรไปใช้ ด้วยการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน
ครู ก าห น ดวิธี ก ารจัดก าร เรี ยน ก ารส อน กาห น ดร ายล ะ เอี ยด กิจ กรร มใ น แต่ล ะ ค าบ
พร้อมทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ การประสานงานกับบุคคลที่จะเข้ามาช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
รวมทั้งการจัดเตรียมสื่อการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพของชุมชน ภาพประกอบ 26สรุปดังนี้
ภาพประกอบ 26 สรุปขั้นตอนการนาหลักสูตรไปใช้
จากภ าพ สรุปข้าง ต้น พ บว่า การน าห ลักสู ตรไปใ ช้ สิ่ ง ที่ต้อง คานึ ง ถึงสิ่ ง แรกคือ
จุดประสงค์ของหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมากาหนดไว้ว่าอย่างไรหลังจากนั้นจึงพิจารณาจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่
ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนนามาสู่การจัดการเรียนการสอน/กิจกรรมในแต่ละคาบและในการจัดกิจกรรมจาเป็น
ต้องคานึงถึงสื่อที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ซึ่งสื่อการเรียนรู้ได้แก่ เอกสาร/ตารา
วิธีและประเมินผลผู้เรียน
สื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้
จุดประสงค์ของหลักสูตร
จุดประสงค์พฤติกรรมหลัก
สูตร
แผนการเรียนรู้/
กิจกรรมแต่ละคาบ -
ระหว่างการจัดการเรียนก
ารสอน
-
สิ้นสุดการจัดการเรียนกา
รสอน
เอกสาร/
ตารา
แบบฝึกหัด โสตทัศนูปกรณ์ บุคคล
- ครู
- วิทยากร
ชุมชน
- วิทยากร
นอกชุมชน
สถาบันทางสังคม
- โรงเรียน
กลุ่มโรงเรียน
- สมาคมต่างๆ
- ธนาคาร/มูลนิธิ
ฯลฯ
สิ่งเกิดเองตาม
ธรรมชาติ
- ป่าไม้
- แม่น้า/ลาคลอง
- ทะเล
- ภูเขา
ฯลฯ
แบบฝึกหัด โสตทัศนูปกรณ์ ต่างๆ นอกจากนั้นยังสามารถเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เช่น จากบุคคลได้แก่
ครู วิทยากรในและนอกชุมชน สถาบัน ทางสังคม ได้แก่ โรงเรียน กลุ่มโรงเรียน สมาคมต่างๆ
ธนาคาร/มูลนิธิ ฯลฯ หรือเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่อยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ แม่น้า ลาคลอง ทะเล ภูเขา
เหล่านั้นเป็นต้น
เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดการเรียนการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ .ศ .2542 ต า ม ม า ต ร า 22 ซึ่ ง บั ญ ญั ติ ไ ว้ว่า “ก า ร จั ด ก า ร ศึ ก ษ า ต้ อ ง ยึ ด ห ลั ง ว่า
ผู้เรียนทุกคน มีความสามารถเรียน รู้และพัฒน าตน เองได้ และ ถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุ ด
กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ”
การน าหลักสูตรไปใช้จัดการเรียน การสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ซึ่งในที่ นี้ การเรียน รู้ หมายถึง
การป รับ เป ลี่ ยน ไป ใ น ท าง ที่ดี ขึ้ น (ส านั ก ง าน คณ ะ กรรม การศึ กษ าแห่ ง ช าติ ,2542 : 7)
การจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มีดังนี้
(สานักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ,2542 :9-15)
1 . ก า ร เ รี ย น รู้ โ ด ย ส ร้ า ง อ ง ค์ ค ว า ม รู้ ด้ ว ย ต น เ อ ง ห ม า ย ถึ ง
ก า ร เ รี ย น รู้ ที่ เ ป็ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ส ร้ า ง ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ แ ล ะ สิ่ ง ต่ า ง ๆ
ใ ห้ มี ค ว า ม ห ม า ย ต่ อ ต น เ อ ง จ า ก ป ฏิ สั ม พั น ธ์ กั บ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม
โ ด ย ก า ร ใ ช้ ก ร ะ บ ว น ก า ร คิ ด แ ล ะ แ ส ว ง ห า ค ว าม รู้ ค ว บ คู่ไ ป กับ ก าร ป ฏิ บั ติ จ ริ ง
ให้ผู้เรียนค้น พบข้อความรู้และประสบการณ์ด้วยตน เอง ครูเป็ นผู้อานวยการเรียน รู้ จัดโอกาส
จัดบรรยากาศสิ่งแวดล้อมและแหล่งวิทยาการ ให้เอื้อต่อการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเรียนรู้
ข อ บ เข ต เนื้ อ ห า ข อ ง ก า ร เ รี ย น รู้ โ ด ย ส ร้ า ง อ ง ค์ ค ว า ม รู้ ด้ ว ย ต น เ อ ง คื อ
การฝึกทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ การสร้างแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ใฝ่เรียน
กลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (participatory learning : pl)
กระบวนทางปัญญา 10ขั้น ของ ศ. นพ.ประเวศ วะสี ซึ่งได้แก่การสังเกต การบันทึก การนาเสนอ การฟัง
การถาม-ตอบ การตั้งสมมติฐาน การค้นหาคาตอบ การวิจัย การเชื่อมโยง การบูรณาการ และการเรียบเรียง
2. ก า ร เ รี ย น รู้ เรื่ อ ง ข อ ง ต น เอ ง ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม ห ม าย ถึ ง
ก าร เ รี ย น รู้ เพื่ อ เชื่ อ มโ ย ง ค ว า มสั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่าง ร่า ง ก า ย แ ล ะ จิ ต ใ จ ข อ ง ต น เอ ง
การรับรู้และตระหนังในตนเองสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมให้สอดคล้องกับค่านิยมที่ดีงาม
ยึ ด มั่ น ใ น คุ ณ ธ ร ร ม จ ริ ย ธ ร ร ม มี ค ว า ม เ พี ย ร พ ย า ย า ม ใ น ก า ร ท า ค ว า ม ดี
ก า ร เ ส ริ ม ส ร้ า ง ลั ก ษ ณ ะ นิ สั ย แ ล ะ สุ น ท รี ย ภ า พ ค ว า ม ดี ง า ม ใ น ต น เ อ ง
การเรียนรู้เพื่อให้สามารถดารงชีวิตอยู่ได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการตระหนักถึงคุณค่า
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7

More Related Content

What's hot (10)

School curiculum
School curiculumSchool curiculum
School curiculum
 
คู่มือกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
คู่มือกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้คู่มือกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
คู่มือกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
หลักสูตรแกนกลาง 51
หลักสูตรแกนกลาง 51หลักสูตรแกนกลาง 51
หลักสูตรแกนกลาง 51
 
วิสัยทัศน์ของหลักสูตร
วิสัยทัศน์ของหลักสูตรวิสัยทัศน์ของหลักสูตร
วิสัยทัศน์ของหลักสูตร
 
นโยบาย กระทรวงศึกษา 58
นโยบาย กระทรวงศึกษา 58นโยบาย กระทรวงศึกษา 58
นโยบาย กระทรวงศึกษา 58
 
ยุทธศาสตร์ กศน ปี 2560
ยุทธศาสตร์ กศน ปี 2560ยุทธศาสตร์ กศน ปี 2560
ยุทธศาสตร์ กศน ปี 2560
 
บทที่ 2++77
บทที่  2++77บทที่  2++77
บทที่ 2++77
 
B2
B2B2
B2
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 

Similar to บทที่ 7

บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7kanwan0429
 
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือหลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือwatdang
 
หลักสูตรส่วนที่ ๑
หลักสูตรส่วนที่ ๑หลักสูตรส่วนที่ ๑
หลักสูตรส่วนที่ ๑rampasri
 
หลักสูตรส่วนนำต้น ปลาย. 55 doc
หลักสูตรส่วนนำต้น ปลาย. 55 docหลักสูตรส่วนนำต้น ปลาย. 55 doc
หลักสูตรส่วนนำต้น ปลาย. 55 dockrupornpana55
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11wanneemayss
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826gam030
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11benty2443
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11nattawad147
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8kanwan0429
 
ร่างหลักสูตรสถานศึกษา เนื้อหาโรงเรียน
ร่างหลักสูตรสถานศึกษา เนื้อหาโรงเรียนร่างหลักสูตรสถานศึกษา เนื้อหาโรงเรียน
ร่างหลักสูตรสถานศึกษา เนื้อหาโรงเรียนNattayaporn Dokbua
 

Similar to บทที่ 7 (20)

บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
หลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางหลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลาง
 
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือหลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ
 
หลักสูตรส่วนที่ ๑
หลักสูตรส่วนที่ ๑หลักสูตรส่วนที่ ๑
หลักสูตรส่วนที่ ๑
 
หลักสูตรส่วนนำต้น ปลาย. 55 doc
หลักสูตรส่วนนำต้น ปลาย. 55 docหลักสูตรส่วนนำต้น ปลาย. 55 doc
หลักสูตรส่วนนำต้น ปลาย. 55 doc
 
กรอบนโยบายรัฐบาล
กรอบนโยบายรัฐบาลกรอบนโยบายรัฐบาล
กรอบนโยบายรัฐบาล
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
ร่างหลักสูตรสถานศึกษา เนื้อหาโรงเรียน
ร่างหลักสูตรสถานศึกษา เนื้อหาโรงเรียนร่างหลักสูตรสถานศึกษา เนื้อหาโรงเรียน
ร่างหลักสูตรสถานศึกษา เนื้อหาโรงเรียน
 

More from Theerayut Ponman (20)

บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บรรณานุกรม
บรรณานุกรมบรรณานุกรม
บรรณานุกรม
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 

บทที่ 7

  • 1. บทที่ 7 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา มโนทัศน์(Concept) ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กาหนดขึ้นเป็นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ เริ่มตั้งแต่การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร ก า ร น าห ลั ก สู ต ร ไ ป ใ ช้ ใ น ส ถ า น ก า ร ณ์ จ ริ ง ร ว ม ทั้ ง ก า ร ป ร ะ เมิ น ผ ล ห ลั ก สู ต ร โดยห วังว่าขั้น ตอน การพัฒ น าห ลักสู ตรที่ส มบรู ณ์ที่จะ ทาให้ได้หลักสู ตรมีประ สิ ทธิภ าพ ซึ่งขั้นตอนในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนสาคัญ 5ขั้นตอนที่สาคัญ คือ 1. การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ 2.การร่างหลักสูตร 3.การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร 4. การนาหลักสูตรไปใช้ และ 5. การประเมินผลหลักสูตร ผลการเรียนรู้(Learning Outcome) 1. มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษา 2. สามารถนาความรู้มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาได้อย่างถูกต้อง สาระเนื้อหา(Content) การจัดการศึกษาเท่าที่ผ่าน มา โรงเรียน ส่วนให ญ่ที่ใช้ตารา เอกสาร รวมทั้งสื่อต่างๆ ที่ จั ด พิ ม พ์ จ า ก ห น่ ว ย ง า น ก ล า ง เ ป็ น ห ลั ก ใ น ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ถึ ง แ ม้ ว่ า ส ภ า พ บ ริ บ ท แ ล ะ แ ว ด ล้ อ ม โ ร ง เ รี ย น จ ะ แ ต ก ต่ า ง กั น แ ต่เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ใ น ก า ร จัด ก า ร เรี ย น ก า ร ส อ น ก ลั บ เห มื อ น กั น ทั่ ว ป ร ะ เ ท ศ อย่าง ไรก็ต ามได้มีค วามพ ยายามใ ห้ โรง เรี ยน พัฒ น าห ลักสู ตรดัง ที่ ก าห น ด ไว้ใ น คู่มือ เปิ ดโอกาสให้ โรง เรี ยน สามารถพัฒ น าห ลักสู ตรใ ห้ สอดคล้อง กับสภ าพ ของ ท้องถิ่น ได้ ทั้ ง นี้ เนื่ อ ง จา ก ค รู ข าด ค วา ม รู้ ค ว าม เข้า ใ จ รว ม ทั้ ง ทั ก ษ ะ ใ น ก าร พั ฒ น า ห ลัก สู ต ร ข า ด ก า ร ส นั บ ส นุ น จ า ก ผู้ บ ริ ห า ร แ ล ะ ข าด ก า ร มี ส่ ว น ร่ว ม ข อ ง ค น ใ น ท้ อ ง ถิ่ น การจัดการเรียน การสอนส่วน ใหญ่เน้น ครูเป็ น ศูน ย์กลาง เน้น การท่องจามากกว่าปฏิบัติจริง ดังนั้นการเปลี่ยนบทบาทของโรงเรียนจากการเป็นผู้ใช้หลักสูตรที่มีผู้จัดทาให้มาเป็นการพัฒนาหลักสูตรด้วยตน
  • 2. เ อ ง จ า เ ป็ น ต้ อ ง มี ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม ใ ห้ บุ ค ล า ก ร ใ น โ ร ง เ รี ย น โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนหรือรู้แบบการพัฒนาหลักสูตรและมีความสามารถเ พียงพอที่จะนาความรู้ไปใช้พัฒนาหลักสูตรด้วยตนเองได้ทั้งนี้โดยหวังว่าหลักสูตรที่โรงเรียนพัฒนาขึ้น จ ะ ท า ใ ห้ นั ก เ รี ย น ไ ด้ เ รี ย น รู้ เ รื่ อ ง ร า ว ที่ เ ป็ น จ ริ ง ส า ม า ร ถ น า ค ว า ม รู้ ที่ ไ ด้ รั บ จ า ก โ ร ง เรี ย น ม า ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ ใ น ชี วิต ป ร ะ จ า วัน เล็งเห็นความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้กับการนาไปใช้ก่อให้เกิดความรัก ผูกพันกับชุมชนที่อยู่อาศัย น อ ก จาก นั้ น ยัง เป็ น จุ ด เริ่ ม ต้น ที่ ดี ข อ ง ค ว าม สั ม พั น ธ์ ระ ห ว่าง ชุม ช น กับ โร ง เรี ย น เ นื่ อ ง จ า ก ห ลั ก ส า คั ญ ข อ ง ก า ร พั ฒ น า ห ลั ก สู ต ร โ ร ง เ รี ย น ก็ คื อ การให้บุคลากรในโรงเรียนและชุมชนร่วมกันตัดสินใจเกี่ยวกับการดาเนินทางหลักสูตร ซึ่งมีทั้งการร่วมคิด ร่วมทา ร่วมประเมินผล เพื่อให้การศึกษาของเยาวชนเป็ นไปตามความต้องการของครอบครัว ชุมชน สั ง ค ม แ ล ะ ป ร ะ เ ท ศ ช า ติ สมดังเจตนารมณ์ของการจัดการศึกษาดังที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 1. ความจาเป็นของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ข้อกฎหมายที่สถานศึกษาต้องไปดาเนินการให้สถานศึกษาหรือโรงเรียนสามารถพัฒนาหลักสูตรได้เอ ง ภ า ย ใ ต้ ก ร อ บ ข อ ง ห ลั ก สู ต ร แ ก น ก ล า ง เ ป็ น เ รื่ อ ง ที่ จ ะ ต้ อ ง มี การเตรียมการให้พร้อมเพื่อตอบสนองการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ไ ด้ ก า ห น ด แ น ว ก า ร จั ด ก า ร ศึ ก ษ า ใ น ม า ต ร า 22 ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีควา มสาคัญที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และ ใ น มาตรา 23 กาห น ดการจัดการศึกษา ทั้งการศึกษ าใน ระ บบ การศึกษ าน อกระ บ บ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้น ความสามารถทั้งความรู้ คุณ ธรรม กระบวน การเรียน รู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา ในเรื่องต่อไปนี้ 1.ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคมได้แก่ครอบครัว ชุมชน ชาติ แ ล ะ สั ง ค ม โ ล ก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการปกครองในระบอบประช าธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2. ค ว า ม รู้ แ ล ะ ทั ก ษ ะ ด้ า น วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี รวม ทั้ ง ค วาม รู้แ ล ะ ค วาม เข้าใ จแ ล ะ ป ระ ส บ ก ารณ์ เรื่ อ ง ก ารจัด ก าร ก ารบ ารุ ง รัก ษ า การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน
  • 3. 3.ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬ า ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ ภูมิปัญญา 4. ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง 5.ส่งเสริมการสนับสนุน ให้ผู้สอน สามารถจัดบรรยากาศสภ าพ แวดล้อม สื่อการเรียน แ ล ะ อ า น ว ย ค ว า ม ส ะ ด ว ก เพื่ อ ใ ห้ ผู้ เรี ย น เ กิ ด ก า ร เรี ย น รู้ แ ล ะ มี ค ว า ม ร อ บ รู้ ร ว ม ทั้ ง ส า ม า ร ถ ใ ช้ ใ น ก า ร วิ จั ย เ ป็ น ส่ ว น ห นึ่ ง ข อ ง ก ร ะ บ ว น ก า ร เ รี ย น รู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอน และแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ 6.จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครองและบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ จากข้อกาหน ดจากมาตรา 22, 23, 24 ของพระ ราช บัญญัติการศึกษาแห่งช าติ พ .ศ. 2524 นาไปสู่การกาหนดคุณภาพมาตรฐานของผู้จบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งที่ผ่านมาในอดีต กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544: 4) กาหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 ดังนี้ คือ 1. เ ห็ น คุ ณ ค่ า ข อ ง ต น เ อ ง มี วิ นั ย ใ น ต น เ อ ง ป ฏิ บั ติ ต น ต าม ห ลัก ธ ร ร มข อ ง พุ ท ธ ศ าส น าห รื อ ศ าส น าที่ ต น นั บ ถื อ มีคุณ ธ ร ร ม จริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์ 2. ความคิดสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ใฝ่เรียน รักการอ่าน รักการเรียน และรักการค้นคว้า 3.มีความรู้อันเป็ นสากล ที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ มี ทั ก ษ ะ แ ล ะ ศั ก ย ภ า พ ใ น ก า ร จั ด ก า ร ก า ร สื่ อ ส า ร แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี ปรับวิธีการคิดวิธีการทางานได้เหมาะสมกับสถานการณ์ 4.มีทักษะและกระบวนการ โดยเฉพ าะทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทักษะการคิดและ การสร้างปัญญา และทักษะในการดาเนินชีวิต 5. รักการออกกาลังกาย ดูแลตนเองให้มีสุขภาพและบุคลิกภาพที่ดี 6. มีประสิทธิภาพในการผลิตและการบริโภค มีค่านิยมเป็นผู้ผลิตมากกว่าผู้บริโภค 7. เข้าใจใ น ประ วัติศาส ตร์ ของ ช าติไท ย ภูมิใ จใ น ความเป็ น ไทย เป็ น พ ลเมือง ดี ยึดมั่นในวิถีและการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 8. มีจิ ต ส านึ ก ใ น ก าร อ นุ รัก ษ์ ภ าษ าไท ย ศิ ล ป ะ วัฒ น ธ ร รม ป ระ เ พ ณี กีฬ า ภูมิปัญญาไทยทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาสิ่งแวดล้อม 9. รักประเทศชาติและท้องถิ่น มุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามให้สังคม
  • 4. 2. ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สกิลเบ็ก (Skilbeck,1984: 2) ได้ให้ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนไว้ว่า หมายถึง ก า ร ว า ง แ ผ น ก า ร อ อ ก แ บ บ ก า ร น า ไ ป ใ ช้ แ ล ะ ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล ก า ร ก า ห น ด ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง นั ก เ รี ย น ด า เ นิ น ก า ร โ ด ย ส ถ า น ศึ ก ษ า เน้นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างบุคลากรภายในสถานศึกษา ไม่ใช่กาหนดจากบุคคลภายนอก แฮร์ริสัน (Marshand others.1990:48) ให้ความหมายการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า 1. เป็นแผนงานที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ 2.เป็นสิ่งที่นาไปปฏิบัติได้จริงและมีผลเกิดขึ้นกับบุคคลที่เกี่ยวข้องจริง 3. เป็ น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง ไ ด้ รั บ ท ร า บ ทั้ ง 3 ข้ อ มี ค ว า ม เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั น เพื่อให้หลักสูตรได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของผู้เรียนมากขึ้น เอ็กเกิลส ตัน (Eggleston, 1980: 7) ได้ให้ ความหมายการพัฒ น าหลักสู ตรโรงเรียน ว่า เป็นการพัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับสภาพและความต้องการของนักเรียนในแต่ละโรงเรียน โดยมีการวางแผนนาไปใช้และประเมินร่วมกัน มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและชุมชน เช่น บุคลากร อาค ารส ถ าน ที่ วัส ดุอุป ก รณ์ ต่าง ๆ เป็ น พั น ธกิจร่วมกัน ระ ห ว่าง โรง เรี ยน แ ละ ชุมช น ค รู ไ ด้ แ ส ด ง ศั ก ย ภ า พ อ ย่า ง เ ต็ มที่ เป็ น ห ลั ก สู ต ร ที่ โ ร ง เรี ย น ไ ด้ รั บ ป ร ะ โ ย ช น์ โรงเรียนเป็นผู้ทาให้เกิดสัมฤทธิ์ผลมากกว่าเป็นเพียงเจ้าของหลักสูตร กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544:28-29) ได้กล่าวถึงการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า คือพันธกิจหรือภาระหน้าที่ที่สถานศึกษาและชุมชนร่วมกันในการพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมกับยุคสมัย โดยกาหนดเป็นวิสัยทัศน์ เป้าหมาย มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เพื่อให้ครูทุกคนนาไปออกแบบการเรียนการสอนมีการวางแผนร่วมกันทั้งสถานศึกษาเป็นหลักสูตรที่ครอบคลุม ภาระงานการจัดการศึกษาทุกด้านของสถานศึกษา สรุป การพัฒน าห ลักสูตรสถานศึกษาในความหมายต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นสรุปว่า ก า ร พั ฒ น า ห ลั ก สู ต ร คื อ แผนประสบการณ์หรือแผนการจัดการเรียนการสอนที่เกิดจากการตัดสินใจร่วมกันระหว่างบุคลากรทั้งภายในแล ะภายนอกของโรงเรียน เพื่อกาหนดการเรียนรู้ของนักเรียน มีการวางแผนนาไปใช้และประเมินผลร่วมกัน 3. แนวคิดการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เป็ น แนวคิดภายใต้พื้น ฐาน ของการ บ ริ ห า ร ง า น ที่ ใ ช้ โ ร ง เ รี ย น เ ป็ น ฐ า น ( School-Based Management - SBM) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งให้สถานศึกษามีอิสระและมีความคล่องตัวในการบริหารงานด้านวิชาการ ด้านการเงิน
  • 5. ด้ า น ก า ร บ ริ ห า ร ง า น บุ ค ค ล แ ล ะ ก า ร บ ริ ห า ร ทั่ ว ไ ป เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจโดยมีความเชื่อว่าการตัดสินใจที่ดีที่สุดจากการตัดสินใจของคณะ บุ ค ค ล ที่ อ ยู่ใ ก ล้ชิ ด แ ล ะ มีส่ว น เกี่ย วข้อ ง กับ นั ก เรี ยน มาก ที่ สุ ด ( Wohlsletter, 1995:22-25) แนวคิดนี้เริ่มในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีแบบของบริหารจัดการแตกต่างกันไปตามมลรัฐ และในระหว่าง พ . ศ . 2503-2522 วงการศึกษาของสหรัฐอเมริกาได้มีการปรับปรุงการดาเนินงานทางการศึกษาเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยนาความคิดจากความสาเร็จของการพัฒนาองค์การทางอุตสาหกรรมที่ทาองค์การให้มีประสิทธิภาพในการ ทางาน ส่งผลให้การปฏิบัติงานมีคุณภาพ สร้างผลกาไรและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าและผู้เกี่ยวข้อง ดังนั้น แนวทางที่จะทาให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น ต้องปรับปรุงและพัฒนาองค์การ การบริหารโรงเรียนเสียใหม่ มีการกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษาไปยังโรงเรียนให้มากขึ้นมีการนาวิชาการบริหารงบประมา ณด้วน ตน เอง (Self-Budgeting School) การพัฒน าหลักสู ตรสถาน ศึกษา ( School-Based Curriculum Development) การพัฒนาบุคลากรโดยใช้โรงเรียนเป็ นฐาน (School-Based Student Counseling) เข้ามาใช้ (สานักคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ,2543:12) เซ็น (Chen,H.L.S.,2000:3) กล่าวว่า โดยพื้นฐานแล้วความคิดในการจัดทาหลักสูตรโรงเรียนก็คือ โรงเรียนเป็ นที่ที่ดีที่สุดในการออกแบบหลักสูตร เพราะเป็ นสถานที่ผู้เรียนและครูมีปฏิสัมพันธ์กัน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการกระทา และมีผลโดยตรงต่อโรงเรียนและมีส่วนร่วมในการนานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการศึกษา เพราะเป็ นที่ประจักษ์แล้วว่าการใช้หลักสูตรแกนกลางเป็นสิ่งที่เป็ นนามธรรม เพ ราะไม่ได้คานึ งถึงความแตกต่างของโรงเรี ยน น โยบายที่จะให้โรง เรียน พัฒ น าหลักสู ตร เป็ น ก ารเป ลี่ ยน จ าก ก ารสั่ ง ก ารจ าก ห น่ วย ง าน ก ล าง มายัง ห น่ ว ยป ฏิ บั ติ ( Top-Down) ม า เ ป็ น ก า ร จั ด ท า จ า ก ห น่ ว ย ป ฏิ บั ติ ขึ้ น ไ ป ( Bottom-Up) ซึ่งเป็ น ความคิดเช่น เดียวกับการให้โรงเรียน บริหารการจัดการเอง ( School-Based Management) แ ล ะ เ ป็ น ค ว า ม คิ ด ที่ น า ม า จ า ก ป ร ะ เ ท ศ ท า ง ต ะ วั น ต ก ดั ง นั้ น การนามาใช้จะต้องนามาปรับให้เหมาะสมด้วยหวังว่าทุกโรงเรียนจะเป็นแกนในการปฏิรูปการศึกษา ค รู ทุ ก ค น เ ป็ น นั ก อ อ ก แ บ บ ห ลั ก สู ต ร ( Curriculum Designer) และทุกห้องเรียนเป็นห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับหลักสูตรใหม่ๆ ส าห รั บ ป ร ะ เท ศ ไท ย เอ ง แ น ว คิ ด ใ น ก าร พั ฒ น าห ลัก สู ต รส ถ าน ศึ ก ษ าคื อ ต้อ ง ก ารก ระ จายอ าน าจ ใ ห้ กับ โรง เรี ยน ส ามา รถ ตัด สิ น ใ จเกี่ยวกับ ห ลัก สู ต รได้เอ ง เพราะเท่าที่ผ่านมามีปัญหาเกิดขึ้นจากการรวมอานาจการบริหารการศึกษาไว้ที่ส่วนกลางคือที่กระทรวงศึกษาธิก
  • 6. าร ดังที่ คณ ะ กรรมการปฏิบัติระ บบบริ หารการศึกษาใ น กระ ทรวง ศึกษ าธิการกล่าวไว้ว่า ลักษณะเช่นนี้ก่อให้เกิดปัญหาดังนี้ 1. ปัญหาการรวมอานาจไว้ที่ส่วนกลางทาให้เกิดปัญหาคือ 1.1 ก่อให้เกิดความล่าช้าในการอนุมัติ อนุญาต 1.2 ข า ด ค ว า ม เ ป็ น อิ ส ร ะ ใ น ก า ร คิ ด ก า ร ตั ด สิ น ใ จ ใ น ร ะ ดั บ ล่ า ง และระดับปฏิบัติของหน่วยงานในพื้นที่และสถานศึกษา 1.3 ก าร บ ริ ห ารแ ล ะ ก าร ตัด สิ น ใ จข อ ง ห น่ ว ยง าน ระ ดับ ล่าง ไ ม่อ าจท าไ ด้ ไ ม่ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ค ว า ม จ า เ ป็ น แ ล ะ ค ว า ม เ ร่ ง ด่ ว น ใ น ก า ร แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า และตอบสนองตามความต้องการของนักเรียนและประชาชน หรือชุมชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม 1.4 ท า ใ ห้ สิ้ น เ ป ลื อ ง ง บ ป ร ะ ม า ณ แ ล ะ ท รั พ ย า ก ร เนื่องจากการจัดสรรที่ไม่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการที่แท้จริง ก า ร ม อ บ อ า น า จ ห รื อ แ บ่ ง อ า น า จ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการบริหารงานตามระเบียบแบบแผนการบริหารการเงิน และการบริหารงานบุคคล ส่วนการมอบอานาจในเรื่องของนโยบายแผนงาน และวิชาการมีเป็ นส่วนน้อยคือเพียงร้อยละ 0.4 ของลักษณะงานที่มอบอานาจไปทั้งหมด 2.ปัญหาด้านหลักสูตรและการเรียนการสอน ก็มีการกาหนดและควบคุมจากส่วนการสูงมาก แม้มีความพ ยายาม ให้ ส ถาน ศึกษ าแล ะ ห น่วยง าน ใ น พื้ น ที่พัฒ น าห ลักสู ต รใ น ท้อ งถิ่ น ก็ไม่เกิดผลเท่าที่ควรทั้งนี้เนื่องจาก 2.1 ก ร อ บ ห ลั ก สู ต ร แ ล ะ ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล เป็นสาเหตุสาคัญในการสกัดกั้นการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร 2.2 ค ว า ม วิ ต ก กั ง ว ล ข อ ง ส ถ า น ศึ ก ษ า แ ล ะ ค รู ผู้ ส อ น ที่เกรงว่าจะไม่สามารถดาเนินการได้ครบตามระเบียบและกฎเกณฑ์ดังกล่าว 2.3รูปแบบการจัดการเรียนการสอนของครูที่ยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ส่งเสริมศักยภาพ และความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน 2.4ระบบรวมศูนย์ในเรื่องการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการเรียนการสอน รวมทั้งการควบคุม จัดสรรและกาหนดคุณลักษณะจากส่วนกลางก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทาให้สถานศึกษามิอาจจัดรายวิชาที่สนองความต้ องการของนักเรียนและความต้องการชุมชนได้ 3. ปัญหาจากการใช้หลักสูตรเดียวกันทั่วประเทศ ก่อให้เกิดผลต่อผู้ปฏิบัติตามหลักสูตร 3.1 ผู้บริหารโรงเรียนบางส่วนขาดความรู้ ความเข้าใจในหลักสูตร
  • 7. 3.2 ครูไม้เข้าใจหลักการ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 3.3 เนื้อหาวิชามีความยาก ไม่สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น 3.4 ครูไม่เข้าใจวิธีการจัดการเรียนการสอน จึงจัดการเรียนการสอนที่ยึดครูเป็นศูนย์กลาง 3.5การจัดส่งเอกสารประกอบหลักสูตรไปยังโรงเรียนมีความล่าช้า ไม่ทันเปิดภาคการศึกษา จานวนที่จัดส่งไปให้ไม่เพียงพอ 4. ปัญหาในการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นก็คือ 4.1 การขาดบุคลากร 4.2 ขาดความร่วมมือและสนับสนุน 4.3 ขาดวิทยากร 4.4 ขาดความรู้ 4.5 ขาดการเก็บรวบรวมข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน 4.6 ครูไม่ปรับหลักสูตรสอนตามหลักสูตรแกนกลาง 4.7 ไม่ปรับปรุงสื่อ เอกสาร 4.8 ครูไม่มีความรู้และขาดทักษะในการดาเนินการ จากรายงานการวิจัยและพัฒนาระบบการประเมินผลภายในของสถานศึกษาพบว่าสถานศึกษาที่มีหลัก สูตรและเนื้อหาสาระที่เหมาะสมกับท้องถิ่นและผู้เรียน มีเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียนคือ 1. นักเรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเองและชุมชนและตัวเองอาศัยอยู่น้อยหรืออาจไม่เกี่ยวข้อง 2.ทาให้การเรียนรู้เป็นเรื่องไม่สนุก เพราะประโยชน์ในการนาไปใช้ในชีวิตประจาวันมีไม่มาก ไ ม่ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ท ฤ ษ ฎี ก า ร เ รี ย น รู้ เ ช่ น ท ฤ ษ ฎี ก า ร เ รี ย น รู้ ปั ญ ญ า นิ ย ม ที่เชื่อว่าการรู้เกิดจากการที่ผู้เรียนเป็นผู้ริเริ่มเป็นผู้กระทาที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้าผู้เรียนต้องเป็นผู้ลงมือกระทา การพัฒน าห ลักสู ตรระ ดับช าติ เป็ น ห น้าที่ของกรมวิช าการ กระทรวงศึกษาธิ การ ส่วน ก ารพั ฒ น าห ลัก สู ต ร ส ถ าน ศึ ก ษ า เป็ น ห น้ าที่ ขอ ง โร ง เรี ย น ที่ ต้อ ง ด าเนิ น ก าร เงื่อนไขสาคัญที่ทาให้การจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาประสบความสาเร็จมีดังนี้ (Cohen, 1985:1158) 1. ต้องมีการมอบอานาจส่วนกลางไปยังระดับโรงเรียนในท้องถิ่นในลักษณะการกระจายอานาจ 2. บุคลากรในโรงเรียนมีความยินดีในการมีส่วนร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษาและบุคคลเหล่านั้นมีทั กษะในการวินิจฉัยความจาเป็นของนักเรียน 3. บุคลากรมีความสามารถเพียงพอในการรับผิดชอบงานและตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร
  • 8. เงื่อนไขดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการที่กาหนดให้มีการ กระจายอานาจการบริหารไปยังสถานศึกษา ให้สถานศึกษามีอานาจในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้เองซึ่งแนวทางที่กาหนดไว้มีดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2543:3) 1. ยึ ด โ รง เ รี ยน เป็ น ศู น ย์ ก ล าง ใ น ก า ร ตัด สิ น ใ น ( School-Based Decision Making) เป็นแนวคิดที่มุ่งให้โรงเรียนมีอิสระในการตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยยึดประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสาคัญ 2. ก า ร มี ส่ ว น ร่ ว ม แ ล ะ ก า ร ร่ ว ม คิ ด ร่ ว ม ท า ( Participation and Collaboration) การศึกษาเป็นเรื่องของสาธารณชน มิใช่การรับผิดชอบของใครแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป 3.การกระจายอานาจ (Decentralization) เป็นการคืนอานาจการจัดการศึกษาให้กับผู้ใกล้ชิดเด็กได้แก่ โ ร ง เ รี ย น ผู้ บ ริ ห า ร ก า ร ศึ ก ษ า ค รู ชุ ม ช น เป็ น ความเชื่อว่าผู้มีส่วน ได้เสียต่อการศึกษาหรือผู้ที่อยู่ใกล้เด็กสามารถจัดการศึกษาได้ดีที่สุ ด ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและชุมชน อานาจการตัดสินใจควรอยู่ในระดับปฏิบัติคือสถานศึกษา 4. ภ า ร กิ จ ที่ ต ร ว จ ส อ บ ไ ด้ ( Accountability) ต้ อ ง มี ก า ร ก า ห น ด ห น้ า ที่ ความรับผิดชอบและภารกิจของผู้บริหาร ครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษาและชุมชนอย่างชัดเจน แ ล ะ ภ า ร กิ จ เ ห ล่ า นี้ ต้ อ ง ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ ค ว า ม ส า เ ร็ จ ไ ด้ เพื่อเป็นหลักประกันคุณภาพการศึกษาให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง 4. ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่จะนามาใช้ดาเนินการการนาแนวคิดและรูปแบบจากพระรา ช บัญ ญัติการศึกษาแห่ง ช าติ พ .ศ. 2542 ใ น มาตรา 27 วรรคส องที่กาหน ดให้ สถาน ศึกษ า ขั้นพื้นฐานมีหน้าที่จัดทาสาระของหลักสูตรที่สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาใน ชุมชนและสังคมภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึ่งประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประ เทศช าติ รวมทั้ง แน วคิดและ รูปแบบของ นักพัฒน าห ลักสู ตร เช่น ไทเลอร์ ทาบา เซย์เลอร์ อเล็กซาน เดอร์และ เลวิส โอลิวา สกิลเบ็กมาร์ช และคณะ เอ็กเกิลสตัน วอล์คเกอร์ และ รูปแบบการพัฒน าหลักสูตรของไทย องกรมวิชาการ และ กรมการศึกษาน อกโรงเรี ยน มากาหนดเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กาหนดขึ้น เป็ นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ เริ่มตั้งแต่การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร ก า ร น าห ลั ก สู ต ร ไ ป ใ ช้ ใ น ส ถ า น ก า ร ณ์ จ ริ ง ร ว ม ทั้ ง ก า ร ป ร ะ เมิ น ผ ล ห ลั ก สู ต ร
  • 9. โดยห วังว่าขั้น ตอน การพัฒ น าห ลักสู ตรที่ส มบูรณ์ ท าใ ห้ ได้ห ลัก สู ตรที่มีป ระ สิ ท ธิ ภ าพ กล่าวโดยสรุปขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนที่สาคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้คือ ขั้นที่1การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ ได้แก่ 1.1 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการของชุมชน 1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน 1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง ขั้นที่2การร่างหลักสูตร 2.1 การกาหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร 2.2 การกาหนดเนื้อหาสาระ 2.3 การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อต่างๆ 2.4 การกาหนดวิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน ขั้นที่3การตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร ขั้นที่4การนาหลักสูตรไปใช้ ขั้นที่5การประเมินผลหลักสูตร รายละเอียดในแต่ละขั้นตอนมีดังนี้ ขั้ น ที่ 1 ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ วิ เ ค ร า ะ ห์ ข้ อ มู ล พื้ น ฐ า น ใ น ก ารพั ฒ น าห ลัก สู ตร จาเป็ น ต้อง ศึก ษ าแ ละ วิเคราะ ห์ ข้อ มูล พื้ น ฐาน ใ น ด้าน ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการกาหนดองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรซึ่งได้แก่วัตถุประสงค์ของหลักสูตร เนื้อหาสาระ กิ จ ก ร ร ม ใ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น / สื่ อ การวัดและประเมินผลผู้เรียนซึ่งข้อมูลพื้นฐานที่ได้จากการศึกษาช่วยในการกาหนดวัตถุประสงค์หรือการกาหน ดสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ วัตถุประสงค์จะเป็ นตัวกาหนดเนื้อหาสาระที่ควรจัดให้ผู้เรียน ซึ่งอยู่ในลักษณะรายวิชา หลังจากนั้นจึงนามากาหนดกิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน สื่อการเรียนรู้ต่างๆ ร ว ม ทั้ ง ก า ร ก าห น ด วิธี ก า ร วัด แ ล ะ ป ร ะ เมิ น ผ ล ผู้ เรี ย น ว่า จ ะ ใ ช้ วิธี ก า ร อ ย่าง ไ ร ซึ่งการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรควรประกอบด้วย 1.1การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน เนื่องจากโรงเรียนที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ ทั ก ษ ะ แ ล ะ วัฒ น ธ ร ร ม ข อ ง ชุ ม ช น ช่ว ย เต รี ย ม ค น ใ ห้ กับ ชุ ม ช น แ ล ะ สั ง ค ม ดัง นั้ น การพัฒ น าห ลักสู ตรเพื่ อให้ ผู้เรียน เป็ น ผู้มีความรู้ความสามารถและ ประ สบการณ์ มี ค ว า ม คิ ด ริ เ ริ่ ม ส ร้ า ง ส ร ร ค์ คิ ด เป็ น ท า เป็ น แ ล ะ เ ป็ น ส ม า ชิ ก ที่ ดี ข อ ง สั ง ค ม จาเป็ น ต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับสภ าพ และความต้องการของชุมชน หรือสังคมที่โรงเ รียน ตั้งอยู่
  • 10. เพื่ อใ ห้ ห ลักสู ตรที่พัฒ น าขึ้ น มีความทัน ส มัยเห มาะ ส มกับก ารเป ลี่ยน แป ลง ของชุมช น การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชนมีการศึกษาในหลายด้าน เช่น การศึกษาสาธารณูปโภค สิ่งแวดล้อม การประกอบอาชีพ ในปัจจุบันและแนวโน้มของอาชีพในอนาคต สุขภาพอนามัยขนบธรรมเนียมประเพณี วั ฒ น ธ ร ร ม ค่ า นิ ย ม ท รั พ ย า ก ร ต่ า ง ๆ ปั ญ ห า ข อ ง ชุ ม ช น ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนอาจศึกษาจากการสารวจสอบถามสัมภาษณ์บุคคลในชุมชน และศึกษาจากเอกสาร รายงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกาหนดแนวทางในการตอบสนองความต้องการของชุมชนในพื้นที่ได้ ข้อมูลของชุมชนที่สาคัญมีดังต่อไปนี้ 1. ข้อมูลสภาพทั่วไปของชุมชน แผนที่ชุมชน แสดงที่ตั้งของสถาน ที่ต่างๆ เช่น สิ่งสาคัญในชุมชน เช่น วัด โรงเรียน เทศบาล ธนาคาร ฯลฯ รวมทั้งลักษณะการตั้งบ้านเรือนภายในชุมชน ประวัติความเป็นมาและสภาพของชุมชน จานวนประชากร แยกตามเพศ อายุ จานวนครัวเรือน ศาสนา สถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น 2.ข้อมูลด้านการศึกษา จานวนผู้จบการศึกษาในระดับต่างๆ จานวนนักเรียนในระดับต่างๆ เช่น ประถม มัธยม ฯลฯ จานวนครูที่สอนในระดับต่างๆ จานวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น ศึกษานิเทศก์ ฯลฯ 3. ข้อมูลศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน ภาษาท้องถิ่น โบราณสถาน โบราณวัตถุภายในชุมชน ดนตรี เพลง การแสดงพื้นบ้านของชุมชน วรรณกรรม ตานานพื้นบ้านของชุมชน 4.ข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจอาชีพ/รายได้ของคนในชุมชน ปฏิทิน การปฏิบัติงานของชุมชน เช่น ช่วงเดือนการเก็บเกี่ยวข้าว ช่วงเวลาการเก็บเงาะ การตัดยาง เป็นต้น รวมทั้งทรัพยากรที่มีในชุมชน เช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ แหล่งน้า และพืชเศรษฐกิจหลักของชุมชน 5. ภูมิปั ญญาท้องถิ่น ทาเนี ยบชื่อ ที่อยู่ ความรู้ความสามารถ ความชาน าญของ แต่ละบุคคลปัญหาชุมชน 6. ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในชุมชน เช่น ยาเสพติด พืชผลราคาตก โจรผู้ร้ายชุกชุม นอกจาการศึกษาและสารวจสภาพและความต้องการของชุมชน รวมทั้งข้อมูลที่สาคัญของชุมชนแล้ว ต้อง มีการส ารวจส ภ าพ และ ค วามต้อง การข อง ผู้เรี ยน ทั้ ง ด้าน ร่าง กาย อารมณ์ สั งค ม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถได้จากครูในโรงเรียน ผู้ปกครอง และตัวนักเรียนเอง วิธีการศึกษาชุมชน สามารถดาเนินการได้ดังนี้ 1. ศึ ก ษ า จ า ก เ อ ก ส า ร ต่า ง ๆ จั ด เ ป็ น ข้ อ มู ล ทุ ติ ย ภู มิ ( Secondary Data) ซึ่ ง เป็ น ข้ อ มู ล ที่ มี ผู้ จัด พิ ม พ์ ห รื อ ร ว บ ร ว ม ไ ว้อ ยู่ใ น รู ป เ อ ก ส าร สิ่ ง พิ ม พ์ ต่า ง ๆ เอกสารเหล่านี้สามารถค้นคว้าศึกษาได้จากห้องสมุดจากหน่วยงานต่างๆ ที่รวบรวมจัดเก็บไว้
  • 11. 2. ศึ ก ษ าจ าก ก า ร ส า ร ว จ ชุ ม ช น จัด เป็ น ข้ อ มู ล ป ฐ ม ภู มิ ( Primary Data) ซึ่งผู้ต้องการใช้ข้อมูลเป็ นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากชุมชน ทาให้ได้เห็ นสภ าพ ที่แท้จริง และ สร้าง ความสัมพัน ธ์ อัน ดีกับชุมช น ด้วย ซึ่ งการสารวจชุมช น ต้องใ ช้วิธี การต่าง ๆ กัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับความเป็ น จริง วิธีการต่างๆได้แก่การสัมภาษณ์ การสอบถาม และการสังเกตเป็นต้น จากการศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน นาข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาจัดลาดับความสาคัญ โดยกาหนดเป็นหัวเรื่องที่ต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้ เช่น ในชุมชนมีปัญหายาเสพติด สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ภ า ว ะ โ ล ก ร้ อ น มี ก า ร ท า ล า ย ท รั พ ย า ก ร ธ ร ร ม ช า ติ เ ห ล่ า นี้ เ ป็ น ต้ น หรืออาจเป็นเรื่องที่ชุมชนต้องการถ่ายทอดวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนให้กับนักเรียนได้เรียนรู้สิ่งเหล่า นี้ จัด แ ยก เป็ น ห มว ด ห มู่ใ ห้ ชั ด เจ น ว่า อ ะ ไร เป็ น ปั ญ ห าเร่ง ด่วน ที่ ต้ อ ง ก ารแ ก้ไ ข หรืออะไรเป็นสิ่งที่ต้องการให้นักเรียนรู้เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมของชุมชนในการดาเนินงานขั้นตอนนี้มีความสา คัญที่ต้องให้ ผู้มีส่วน เกี่ยวข้อง กับชุมช น เช่น ผู้ปกครอง กรรมการโรงเรียน คน ใน ชุมช น รวมทั้งนักเรียน ได้เข้ามามีส่วน ร่วมใน การแสดงความคิดเห็ น ร่วมกับครู ผู้บริห ารโรงเรียน เพื่อนาไปสู่ข้อสรุปของการจัดลาดับความสาคัญของปัญหา หรือเรื่องราวที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้ 1.2 ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ศั ก ย ภ า พ ข อ ง โ ร ง เ รี ย น การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนเป็นการศึกษาสภาพทั่วไปของโรงเรียนในด้านต่างๆ เช่น บุคลากร ง บ ป ร ะ ม า ณ อุ ป ก ร ณ์ แ ล ะ สื่ อ ต่ า ง ๆ อ า ค า ร ส ถ า น ที่ ห้ อ ง เ รี ย น ปัญหาที่เกิดจากการใช้หลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ข้ อ มู ล เ ห ล่ า นี้ จ ะ ช่ ว ย ใ น ก า ร พิ จ า ร ณ า ว่า โ ร ง เ รี ย น มี ค ว า ม พ ร้ อ ม ห รื อ ไ ม่ มีผลต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกแนวทางการพัฒนาหลักสูตรอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับศักยภาพของโรงเรียนมาก ที่ สุ ด ข้อ มูล ต่าง ๆ เห ล่านี้ ได้จ าก เอ ก ส า ร ราย ง าน ต่าง ๆ เช่น ส ถิ ติ ข อ ง โร ง เรี ย น รายงานการประเมินคุณภาพของโรงเรียน การสารวจภายในโรงเรียน เป็นต้น 1.3 ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ห ลั ก สู ต ร แ ก น ก ล า ง เนื่องจากปัจจุบันเป็นระยะเวลาที่เราผ่านการใช้หลักสูตรมาหลายครั้งจนปัจจุบันกาลังจะนาหลักสูตรการศึกษาขั้ นพื้น ฐาน พุทธศักราช 2551มาใช้กับโรงเรียน น าร่องจาน วน 555 แห่ง ใน ปี การศึกษา 2552 แ ล ะ ค า ด ว่า จ ะ น า ม า ใ ช้ ค ร บ ทุ ก ชั้ น ใ น ปี ก า ร ศึ ก ษ า 2 5 5 3 ดั ง นั้ น การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางใช้แนวทางการวิเคราะห์ดังนี้ 1. หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) ให้พิจารณาจาก 1.1 จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
  • 12. 1.2 จุดประสงค์รายวิชา (ความมุ่งหวังที่ต้องการ) 1.3 เนื้อหาสาระ (โครงสร้างหลักสูตร) 1.4 กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลการเรียนรู้ 2. ห ลักสู ตรการศึกษาขั้น พื้น ฐาน พุทธศักราช 2544 ให้พิจารณาจาก 2.1 มาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร 2.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น - 8 กลุ่มสาระ - กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 2.3 การจัดการเรียนรู้ 2.4 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ซึ่งสถานศึกษาแต่ละแห่งควรนาข้อมูลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่ประกอบด้วยการศึกษาส ภาพและความต้องการของชุมชน การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนและการวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง สรุปได้ดังนี้ 1.1 การศึกษาและความต้องการของชุมชน - สภาพทั่วไปของชุมชน - การศึกษา - ศิลปวัฒนธรรม - หัวเรื่อง - เศรษฐกิจ - ภูมิปัญญาท้องถิ่น - ปัญหาของชุมชน 1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน - บุคลากร ข้อกาหนดใ นการร่างห ลักสูตร - หัวเรื่อง - จัดลาดับ
  • 13. - งบประมาณ - อุปกรณ์/สื่อต่างๆ - อาคารสถานที่ - ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน 1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง 1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2544 ให้พิจารณาจากมาตรฐานการ เรียนรู้ของหลักสูตร สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น - 8 กลุ่มวิชา - กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การจัดการเรียนรู้ การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ 2. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 255 1 ให้พิจารณาจาก ปรับมาตรฐานการเรียนรู้จากหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น - 8 กลุ่มวิชา (เท่าเดิม) - วิสัยทัศน์ - พันธกิจ - คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน - กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน - กิจกรรมสาธารณประโยชน์ การจัดการเรียนรู้ การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ การตัดสินใจพัฒน าหลักสูตรในเรื่อง ใด ข้อกาหนดใ นการร่างหลั กสูตร
  • 14. ขั้น ที่ 2 การร่างหลักสู ตร เป็ น การกาหน ดแผนการจัดประสบการณ์ หรือการกาหน ด แน วทางการจัดการเรียน การสอน ให้แก่ผู้เรียน ซึ่ งประกอบด้วยจุดประ สง ค์ เนื้ อหาสาระ กิจกรรมและ วิธี วัดและ ประ เมิน ผลผู้เรี ยน เพื่ อให้ ผู้เรียน มีความรู้ ความส ามารถ ทักษ ะ และทัศนคติตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ ใน การร่างห ลักสู ตรสถาน ศึกษาจะต้องน าข้อมูลที่ได้จากการศึกษาใน ขั้น ที่ 1 คือ ข้อมูลพื้น ฐาน ที่จาเป็ น ได้แก่ สภ าพ และความต้องการของชุมช น ศักยภ าพ ของ โรง เรียน หลักสูตรแกนกลางที่กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้วิชาที่ต้องการพัฒนา ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ คือ 2.1 การกาหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ 1. จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ทั่ ว ไ ป เป้ าห มายห รื อสิ่ ง ที่ มุ่ง ห วัง ใ ห้ เกิด กับ ผู้เรี ยน ห ลัง จากที่ ผู้เรี ยน ได้เรี ยน รู้สิ่ ง นั้ น ๆ แล้ว ต้อ ง น าข้อ มูล ที่ ได้จากก ารเก็บ ร วบ รวม ใ น ขั้น ที่ 1 มาก าห น ด เป็ น จุ ดป ร ะ ส ง ค์ ทั่วไ ป ต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง การกาหนดจุดประสงค์ต้องเขียนด้วยภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่ายและสามารถนาไปปฏิบัติได้จริงภายใต้ศักยภาพของแต่ละสถานศึกษา ตัวอย่าง การกาห นดจุดประสงค์ทั่วไปของหลักสูตร “การทาผลไม้แปรรูป คือ ให้นักเรียนมีความรู้และทักษะในการทาผลไม้แปรรูป” 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ - บอกความหมายของ “ผลไม้แปรรูป” ได้ - สามารถทาผลไม้แปรรูปได้ - มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพการทาผลไม้แปรรูป - สามารถบรรจุหีบห่อที่สวยงามได้ - สามารถตั้งราคาขายที่เหมาะสมได้ ฯลฯ 2.2 การกาหนดเนื้ อหาสาระ เนื้อหาสาระเป็นองค์ประกอบที่สาคัญในการพัฒนาหลักสูตร ทั้งนี้ เนื่องจากเนื้อหาสาระเป็น เครื่องมือหรือสื่อกลางที่จะพาผู้เรียนไปยังวัตถุประสงค์ที่ วางไว้ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาใช้เนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับชุมชนที่เป็นบริบทของโรงเรียนให้สอดคล้องกับจุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ที่ ว า ง ไ ว้ มีความยากง่ายสอดคล้องเหมาะสมกับวัยหรือลาดับขั้นของการพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งประ สบการณ์เดิมของผู้เรียน มีประโยช น์ ต่อผู้เรียน ที่จะน าไปใช้ใน ชีวิตประจาวัน
  • 15. เนื้อหาที่เลือกมาสามารถจัดให้ผู้เรียนได้โดยพิจารณาถึงความพร้อมศักยภาพของโรงเรียน บุคลากรที่เป็นผู้สอน วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ตัวอย่างการพัฒนาหลักสูตร “การทาผลไม้แปรรูป” ประกอบด้วยเนื้อหาสาระดังนี้ - ลักษณะและชนิดของผลไม้ที่นามาแปรรูป - ขั้นตอนการทาผลไม้แปรรูป - การทาความสะอาดเครื่องใช้ - การบรรจุหีบห่อ - การตั้งราคาขาย ฯลฯ 2.3การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน คือ กิจกรรมที่ทั้งผู้เรียนเป็ นผู้กระทา และกิจกรรมที่ผู้สอนเป็นผู้กระทา มีการใช้สื่อการเรียนการสอนต่างๆ เพื่อให้ ผู้เรียน เกิดการเรี ยน รู้กิจกรรมใน การจัดการเรี ยน การสอน การบรรยาย การสาธิ ต ผู้เรียนมีการซักถามโต้ตอบ การลงมือปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระที่กาหนดขึ้น ค รู ต้ อ ง ค า นึ ง ถึ ง พื้ น ฐ า น แ ล ะ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ เ ดิ ม ข อ ง ผู้ เ รี ย น การกาห น ดกิจกรรมการเรี ยน การสอน ต้อง สอดคล้อ งกับ ประ สบ การณ์ เดิมของ ผู้เรี ยน ซึ่ ง อ าจ มี ก าร น าสื่ อ ทั้ ง ใ น ด้าน วัส ดุ อุ ป ก ร ณ์ แ ล ะ บุ ค ค ล ส ถ า น ที่ ที่ อ ยู่ใ น ชุ ม ช น เข้ามาก าห น ด เป็ น กิจ กร รมที่ เป็ น รู ป ธ ร รม เพื่ อ ใ ห้ การ เรี ยน รู้ เชื่ อ มโยง กับ ชุมช น ส่งผลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนอันเนื่องมาจากการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กาหนดไว้ได้ กิจกรรมการเรียนการสอน ได้แก่กิจกรรมในลักษณะต่อไปนี้คือ ศึกษา ทดลอง สารวจ ฝึกปฏิบัติ วิเค ราะ ห์ อ ภิ ป ราย สั มมน า ระ ด มค ว ามคิด ฯ ล ฯ ตัว อ ย่าง กิจก รร ม “ศึ ก ษ า” ไ ด้แ ก่ (กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ , 2539:9) - ฟังคาอธิบายจากครู - ค้นคว้าจากห้องสมุดของโรงเรียน - ค้นคว้าจากแหล่งวิทยาการอื่นๆ - เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในท้องถิ่นมาบรรยาย - ออกไปสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เกี่ยวข้องในท้องถิ่น - ออกไปสารวจดูสภาพจริงในพื้นที่ - สังเกตสิ่งแวดล้อมรอบข้าง - ออกไปทัศน์ศึกษา - รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
  • 16. - นาหรือพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ ฯลฯ น อ ก จ า ก ก า ร จั ด กิ จ ก ร ร ม ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ ล้ ว ครูยังสามารถจัดทาสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ที่กาหนดไว้โดยการจัดสื่อต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนได้ดังนี้ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ , 2539: 17-18) 1.หนังสื อเรียน เป็ น หนังสื อที่กระทรวงศึกษาธิการกาหน ดให้ใช้สาหรับการเรียน มีสาระตรงตามที่ระบุไว้ในหลักสูตรอย่างถูกต้อง อาจมีลักษณะเป็นเล่ม เป็นแผ่นหรือเป็นชุดก็ได้ 2. คู่ มื อ ค รู แ ผ น ก า ร ส อ น แ น ว ก า ร ส อ น ห รื อ เ อ ก ส า ร อื่ น ๆ ที่จัดทาขึ้นเพื่อช่วยครูในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ละรายวิชาให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของหลักสูตร 3. ห นั ง สื อ เ ส ริ ม ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ เป็ น ห นั ง สื อที่จัดท าขึ้ น โดยคานึ ง ถึง ประ โยช น์ ใ น ด้าน การศึกษาห าความรู้ของ ตน เอ ง ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ความซาบซึ้งในคุณค่าของภาษา การเสริมสร้างทักษะและนิสัยรักการอ่าน ก าร เพิ่ ม พู น ค วา ม รู้ ค ว าม เข้ าใ จ ใ น สิ่ ง ที่ เรี ย น รู้ ต าม ห ลัก สู ต ร ใ ห้ ก ว้าง ข ว าง ขึ้ น ห นั ง สื อ ป ร ะ เ ภ ท นี้ โ ร ง เรี ย น ค ว ร จัด ห าไ ว้บ ริ ก าร ค รู แ ล ะ นั ก เรี ย น ใ น โ ร ง เ รี ย น หนังสือเสริมประสบการณ์จาแนกออกเป็น 4 ประเภท คือ 3.1 ห นั ง สื อ อ่ า น น อ ก เ ว ล า เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนดให้ใช้ในการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งตามหลักสูตรนอกเหนือจากหนังสือ เ รี ย น ส า ห รั บ ใ ห้ นั ก เ รี ย น อ่ า น น อ ก เ ว ล า เ รี ย น โดยถือว่าเป็นกิจกรรรมการเรียนเกี่ยวกับหนังสือนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตามหลักสูตร 3.2 ห นั ง สื อ อ่ า น เ พิ่ ม เ ติ ม เ ป็ น ห นั ง สื อ ที่ มี ส า ร ะ ส า ห รั บ ใ ห้ นั ก เ รี ย น อ่ า น เ พื่ อ ศึ ก ษ า ห า ค ว า ม รู้ เ พิ่ ม เ ติ ม ด้ ว ย ต น เ อ ง ต า ม ค ว า ม เห ม า ะ ส ม กับ วัย แ ล ะ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร อ่า น ข อ ง แ ต่ล ะ บุ ค ค ล หนังสือประเภทนี้เคยเรียกว่าหนังสืออ่านประกอบ 3.3 ห นั ง สื อ อุ เ ท ศ เป็นหนังสือใช้ค้นคว้าสาหรับอ้างอิงเกี่ยวกับการเรียนโดยมีการเรียบเรียงเชิงวิชาการ 3.4 ห นั ง สื อ ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร อ่ า น เป็ น หนังสือที่จัดทาขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เน้นไปในทางส่งเสริมให้ผู้อ่านเกิดทักษะในการอ่าน และมีนิสัยรักการอ่านมากยิ่งขึ้น อาจเป็นหนังสือสารคดี นวนิยาย นิทาน ฯลฯ ที่มีลักษณะไม่ขัดต่อวัฒนธรรม ประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ให้ความรู้ มีคติและสารประโยชน์
  • 17. 4.แบบฝึกหัด เป็ นสื่อการเรียนสาหรับให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เพื่อช่วยเสริมให้เกิดทักษะ และความแตกฉานในบทเรียน 5. สื่อการเรียนการสอนอื่นๆ เช่น สื่อประสม วีดีทัศน์ แถบบันทึกเสียง ภาพพลิก แผ่นภาพ เป็นต้น สื่ อก ารเรี ย น ก ารส อ น ดัง ก ล่าวข้าง ต้น โร ง เรี ยน ส ามารถ เลือ กใ ช้ ป รับ ป รุ ง หรือจัดทาขึ้นเพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ตามความเหมาะสม 2.4 ก ารก าห น ด วิธี วัด แล ะ ป ระ เมิน ผ ลผู้เรี ยน เนื่ อง จากก ารพัฒ น าห ลักสู ต ร จุดประสงค์ชัดเจน ที่กาห น ดความคาดหวังใน คุณลักษะต่างๆ ที่ต้องการให้เกิดขึ้น กับผู้เรียน ร ว ม ทั้ ง วิ ธี ก า ร ด า เ นิ น ก า ร เ พื่ อ ใ ห้ บ ร ร ลุ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ที่ ก า ห น ด ไ ว้ การที่ผู้ใช้หลักสูตรหรือครูทราบว่าผลที่เกิดจากการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างไร มีส่งใดที่ต้องปรับปรุง แ ก้ ไ ข ผู้ เ รี ย น ไ ด้ บ ร ร ลุ ต า ม จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ที่ ตั้ ง ไ ว้ ห รื อ ไ ม่เ พี ย ง ใ ด นั้ น ต้องมีวิธีการวัดและประเมิน ผลการเรียน รู้ของผู้เรี ยน รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้วัดและประเมิน ผล ซึ่งการวัดและประเมินต่อผู้สอนที่ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียนรวมทั้งตัวผู้สอนเองช่วยให้ผู้สอนทราบคุณภ าพการจัดการเรียนการสอน ซึ่งรวมถึงคุณภาพของหลักสูตร นาไปสู่การปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งการวัดและประเมินผลผู้เรียนมีทั้งก่อนการจัดการเรียนการสอน ระหว่างและสิ้นสุดการจัดการเรียนการสอน แล้วแต่ความเหมาะสม ขั้ น ที่ 3 การต รว จส อบ คุณ ภาพ ข อ งห ลั กสู ต ร เมื่อ ร่าง ห ลักสู ตรเรี ยบร้อยแล้ว ก่อน ที่จะ น าไปใ ช้กับ นั กเรี ยน จาเป็ น ต้อง มีการตรวจส อบคุณ ภ าพ ของ ห ลักสู ตรก่อ น เพื่ อ ห า ข้ อ บ ก พ ร่ อ ง แ ล ะ ป รั บ ป รุ ง แ ก้ ไ ข ใ ห้ เ ห ม า ะ ส ม แ ล ะ ส ม บู ร ณ์ ที่ สุ ด สิ่งที่ต้องพิจารณาในการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรคือ ความสอดคล้องขององค์ประกอบต่างๆ ได้แก่ จุดประสงค์ เนื้อหาสาระ การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ วิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน ซึ่งวิธีการตรวจสอบกระทาได้โดย 1.คณะทางานร่างหลักสูตรเป็นกลุ่มบุคคลที่พัฒนาหลักสูตรขึ้นมาเช่น คณะครู ผู้บริหารผู้ปกครอง คนในชุมชน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 2.ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเป็ นผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านเนื้อหาสาระ ด้านสื่อการเรียนรู้ ด้านหลักสูตรและการสอน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 3.การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจอยู่ในลักษณะของการจัดประชุม/สัมมนา เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อนาสู่การปรับปรุงหลักสูตร ขั้ น ที่ 4 ก า ร น า ห ลั ก สู ต ร ไ ป ใ ช้ หลังจากที่มีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรละปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรที่ร่างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
  • 18. ขั้ น ต่ อ ไ ป คื อ ก า ร น า ห ลั ก สู ต ร ไ ป ใ ช้ ซึ่ ง เ ป็ น ขั้ น ต อ น ที่ มี ค ว า ม ส า คั ญ ม า ก ครูที่เป็นผู้ปฏิบัติการหลักในการพัฒนาหลักสูตรเป็นผู้นาหลักสูตรไปใช้ ด้วยการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน ครู ก าห น ดวิธี ก ารจัดก าร เรี ยน ก ารส อน กาห น ดร ายล ะ เอี ยด กิจ กรร มใ น แต่ล ะ ค าบ พร้อมทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ การประสานงานกับบุคคลที่จะเข้ามาช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ รวมทั้งการจัดเตรียมสื่อการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพของชุมชน ภาพประกอบ 26สรุปดังนี้ ภาพประกอบ 26 สรุปขั้นตอนการนาหลักสูตรไปใช้ จากภ าพ สรุปข้าง ต้น พ บว่า การน าห ลักสู ตรไปใ ช้ สิ่ ง ที่ต้อง คานึ ง ถึงสิ่ ง แรกคือ จุดประสงค์ของหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมากาหนดไว้ว่าอย่างไรหลังจากนั้นจึงพิจารณาจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนนามาสู่การจัดการเรียนการสอน/กิจกรรมในแต่ละคาบและในการจัดกิจกรรมจาเป็น ต้องคานึงถึงสื่อที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ซึ่งสื่อการเรียนรู้ได้แก่ เอกสาร/ตารา วิธีและประเมินผลผู้เรียน สื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ จุดประสงค์ของหลักสูตร จุดประสงค์พฤติกรรมหลัก สูตร แผนการเรียนรู้/ กิจกรรมแต่ละคาบ - ระหว่างการจัดการเรียนก ารสอน - สิ้นสุดการจัดการเรียนกา รสอน เอกสาร/ ตารา แบบฝึกหัด โสตทัศนูปกรณ์ บุคคล - ครู - วิทยากร ชุมชน - วิทยากร นอกชุมชน สถาบันทางสังคม - โรงเรียน กลุ่มโรงเรียน - สมาคมต่างๆ - ธนาคาร/มูลนิธิ ฯลฯ สิ่งเกิดเองตาม ธรรมชาติ - ป่าไม้ - แม่น้า/ลาคลอง - ทะเล - ภูเขา ฯลฯ
  • 19. แบบฝึกหัด โสตทัศนูปกรณ์ ต่างๆ นอกจากนั้นยังสามารถเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เช่น จากบุคคลได้แก่ ครู วิทยากรในและนอกชุมชน สถาบัน ทางสังคม ได้แก่ โรงเรียน กลุ่มโรงเรียน สมาคมต่างๆ ธนาคาร/มูลนิธิ ฯลฯ หรือเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่อยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ แม่น้า ลาคลอง ทะเล ภูเขา เหล่านั้นเป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดการเรียนการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ .ศ .2542 ต า ม ม า ต ร า 22 ซึ่ ง บั ญ ญั ติ ไ ว้ว่า “ก า ร จั ด ก า ร ศึ ก ษ า ต้ อ ง ยึ ด ห ลั ง ว่า ผู้เรียนทุกคน มีความสามารถเรียน รู้และพัฒน าตน เองได้ และ ถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุ ด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ” การน าหลักสูตรไปใช้จัดการเรียน การสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ซึ่งในที่ นี้ การเรียน รู้ หมายถึง การป รับ เป ลี่ ยน ไป ใ น ท าง ที่ดี ขึ้ น (ส านั ก ง าน คณ ะ กรรม การศึ กษ าแห่ ง ช าติ ,2542 : 7) การจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มีดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ,2542 :9-15) 1 . ก า ร เ รี ย น รู้ โ ด ย ส ร้ า ง อ ง ค์ ค ว า ม รู้ ด้ ว ย ต น เ อ ง ห ม า ย ถึ ง ก า ร เ รี ย น รู้ ที่ เ ป็ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ส ร้ า ง ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ แ ล ะ สิ่ ง ต่ า ง ๆ ใ ห้ มี ค ว า ม ห ม า ย ต่ อ ต น เ อ ง จ า ก ป ฏิ สั ม พั น ธ์ กั บ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม โ ด ย ก า ร ใ ช้ ก ร ะ บ ว น ก า ร คิ ด แ ล ะ แ ส ว ง ห า ค ว าม รู้ ค ว บ คู่ไ ป กับ ก าร ป ฏิ บั ติ จ ริ ง ให้ผู้เรียนค้น พบข้อความรู้และประสบการณ์ด้วยตน เอง ครูเป็ นผู้อานวยการเรียน รู้ จัดโอกาส จัดบรรยากาศสิ่งแวดล้อมและแหล่งวิทยาการ ให้เอื้อต่อการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเรียนรู้ ข อ บ เข ต เนื้ อ ห า ข อ ง ก า ร เ รี ย น รู้ โ ด ย ส ร้ า ง อ ง ค์ ค ว า ม รู้ ด้ ว ย ต น เ อ ง คื อ การฝึกทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ การสร้างแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ใฝ่เรียน กลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (participatory learning : pl) กระบวนทางปัญญา 10ขั้น ของ ศ. นพ.ประเวศ วะสี ซึ่งได้แก่การสังเกต การบันทึก การนาเสนอ การฟัง การถาม-ตอบ การตั้งสมมติฐาน การค้นหาคาตอบ การวิจัย การเชื่อมโยง การบูรณาการ และการเรียบเรียง 2. ก า ร เ รี ย น รู้ เรื่ อ ง ข อ ง ต น เอ ง ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม ห ม าย ถึ ง ก าร เ รี ย น รู้ เพื่ อ เชื่ อ มโ ย ง ค ว า มสั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่าง ร่า ง ก า ย แ ล ะ จิ ต ใ จ ข อ ง ต น เอ ง การรับรู้และตระหนังในตนเองสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมให้สอดคล้องกับค่านิยมที่ดีงาม ยึ ด มั่ น ใ น คุ ณ ธ ร ร ม จ ริ ย ธ ร ร ม มี ค ว า ม เ พี ย ร พ ย า ย า ม ใ น ก า ร ท า ค ว า ม ดี ก า ร เ ส ริ ม ส ร้ า ง ลั ก ษ ณ ะ นิ สั ย แ ล ะ สุ น ท รี ย ภ า พ ค ว า ม ดี ง า ม ใ น ต น เ อ ง การเรียนรู้เพื่อให้สามารถดารงชีวิตอยู่ได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการตระหนักถึงคุณค่า