ว่าด้วย ทุกคนจะต้องตายควรเมตตากัน พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภกฎุมพีคนหนึ่งผู้มีภรรยาตาย จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้ ได้ยินว่า กฎุมพีนั้น เมื่อภรรยาตายแล้วไม่อาบน้ำ ไม่รับประทานข้าว ไม่ประกอบการงาน ถูกความโศกครอบงำ ไปป่าช้าเที่ยวปริเทวนาการอยู่อย่างเดียว แต่อุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรคโพลงอยู่ในภายในของกฎุมพีนั้น เหมือนประทีปโพลงอยู่ในหม้อฉะนั้น. ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูโลก ได้ทอดพระเนตรเห็นกฎุมพีนั้น ทรงพระดำริว่าเว้นเราเสีย ใครๆ อื่นผู้จะนำความโศกออก แล้วให้โสดาปัตติมรรคแก่กฎุมพีนี้ ย่อมไม่มี เราจักเป็นที่พึ่งอาศัยของกฎุมพีนั้น จึงเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต ทรงพาปัจฉาสมณะไปยังประตูเรือนของกฎุมพีนั้น กฎุมพีได้สดับการเสด็จมา ทรงมีสักการะมีการลุกรับเป็นต้นอันกฎุมพีกระทำแล้ว ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาด แล้วตรัสถามกฎุมพีผู้มานั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งว่า อุบาสก ท่านคิดอะไรหรือ? เมื่อกฎุมพีนั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภรรยาของข้าพระองค์ตาย ข้าพระองค์เศร้าโศกถึงเขาจึงคิดอยู่. จึงตรัสว่า อุบาสก ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่มีการแตกเป็นธรรมดา ย่อมแตกไป เมื่อมันแตกไปจึงไม่ควรคิด แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อภรรยาตายแล้วก็ยังไม่คิดว่า สิ่งที่มีการแตกเป็นธรรมดาได้แตกไปแล้ว อันกฎุมพีนั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้.