7. 7
4. วันนี้อากาศร้อนก็ต่อเมื่อวันนี้ฝนตก
การเชื่อมประพจน์ด้วยตัวเชื่อม “และ”
ถ้า p และ q เป็นประพจน์ จะเรียกประพจน์ “p และ q ” ว่าประพจน์ร่วม(conjunction) ของ
p กับ q เขียนแทนด้วย “pq”
ค่าความจริงของประพจน์ pq เขียนแทนด้วยตาราง ดังนี้
p q pq
T
T
F
F
T
F
T
F
T ***
F
F
F
ตัวอย่าง 2+2 =4 และ 2*2 = 4 (T)
2*2=2 และ 2+2 = 4 (F)
2*0=0 และ ศูนย์เป็นจานวนเฉพาะ (F)
2*0 = 0 และ ศูนย์เป็นจานวนคี่ (F)
การเชื่อมประพจน์ด้วยตัวเชื่อม “หรือ”
ถ้า p และ q เป็นประพจน์ จะเรียกประพจน์ “p หรือ q ” ว่าประพจน์เลือก(Disjunction)
ของ p กับ q เขียนแทนด้วย “pq”
ค่าความจริงของประพจน์ pq เขียนแทนด้วยตาราง ดังนี้
P q pq
T
T
F
F
T
F
T
F
T
T
T
F ***
ตัวอย่าง 2 เป็นจานวนคู่ หรือ 0 เป็นจานวนคู่ (T)
2 เป็นจานวนคู่ หรือ 0 เป็นจานวนคี่ (T)
0 เป็นจานวนเต็มบวก หรือ 0 เป็นจานวนเต็มคู่ (T)
0 เป็นจานวนเต็มคี่ หรือ 0 เป็นจานวนเต็มบวก (F)
8. 8
การเชื่อมประพจน์ด้วยตัวเชื่อม “ถ้า…….แล้ว”
ถ้า p และ q เป็นประพจน์ จะเรียกประพจน์ “p และ q ” ว่าประพจน์มีเงื่อนไข(Conditional)
ของ p กับ q เขียนแทนด้วย “pq”
ค่าความจริงของประพจน์ pq เขียนแทนด้วยตาราง ดังนี้
P q pq
T
T
F
F
T
F
T
F
T
F ***
T
T
ตัวอย่าง ถ้า 2 เป็นจานวนคู่ แล้ว 4 เป็นจานวนคู่ (T)
ถ้า 2 เป็นจานวนคู่ แล้ว 3 เป็นจานวนคู่ (F)
ถ้า 3 เป็นจานวนคู่แล้ว 2 เป็นจานวนคู่ (T)
ถ้า 3 เป็นจานวนคู่แล้ว 2 เป็นจานวนคี่ (T)
การเชื่อมประพจน์ด้วยตัวเชื่อม “ …….ก็ต่อเมื่อ…….”
ถ้า p และ q เป็นประพจน์ จะเรียกประพจน์ “p และ q ” ว่าประพจน์แบบเงื่อนไขสองทาง
(Biconditional) ของ p กับ q เขียนแทนด้วย “pq”ซึ่งเป็นประพจน์ที่มีความหมายเหมือนกันกับ
(pq) (qp)= pq
ค่าความจริงของประพจน์ pq เขียนแทนด้วยตาราง ดังนี้
p q pq pq pq (pq) (qp) pq
T
T
F
F
T
F
T
F
T
F
F
F
T
T
T
F
T
F
T
T
T
F
F
T
T
F
F
T
ตัวอย่าง 4 เป็นจานวนคู่ ก็ต่อเมื่อ 4 หาร 2 ลงตัว (T)
3 เป็นจานวนคู่ ก็ต่อเมื่อ 4 หาร 2 ลงตัว (F)
3 เป็นจานวนก็ต่อเมื่อ 3 หาร 2 ลงตัว (F)
3 เป็นจานวนคู่ก็ต่อเมื่อ 3 หาร 2 ลงตัว (T)
9. 9
นิเสธของประพจน์
ถ้า p เป็นประพจน์นิเสธ(Negation or Denial) ของประพจน์ p คือประพจน์ที่มีค่าความจริง
ตรงกันข้ามกับประพจน์ p เขียนแทนด้วย p
ค่าความจริงของ p เขียนแทนด้วยตารางดังนี้
p p
T
F
F
T
ตัวอย่าง
ให้ p แทนประพจน์ วันนี้อากาศร้อน (T)
p แทนประพจน์ วันนี้อากาศไม่ร้อน (F)
ค่าความจริงของประพจน์
การสร้างตารางค่าความจริง ตารางค่าความจริงของประพจน์ใดประพจน์หนึ่งในกรณีต่าง ๆ
ที่เป็นไปได้ดังต่อไปนี้
ตัวอย่าง จงสร้างตารางค่าความจริงของประพจน์ p(pq)
วิธีทา
p q pq p( pq)
T
T
F
F
T
F
T
F
T
T
T
F
T
T
T
T
จะเห็นได้ว่าประพจน์ p(pq) เกิดจากประพจน์ p เชื่อมกับประพจน์ q ซึ่งแต่ละ
ประพจน์อาจจะมีค่าความจริงเป็นจริงหรือเท็จ เมื่อสร้างตารางค่าความจริงของประพจน์จะมีกรณี
ต่าง ๆ ที่อาจเป็นไปได้ 4 กรณี
10. 10
ตัวอย่าง จงสร้างตารางค่าความจริงของประพจน์ (pq) r
วิธีทา
p q r pq (pq) r
T
T
T
T
F
F
F
F
T
T
F
F
T
T
F
F
T
F
T
T
T
F
T
F
T
T
T
T
F
F
F
F
T
F
T
T
T
T
T
T
จะเห็นได้ว่าประพจน์ (pq) r เกิดจากประพจน์ p , q และ r ซึ่งแต่ละประพจน์อาจมีค่า
ความจริงเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ซึ่งเป็นไปได้ 2 กรณี เมื่อสร้างตารางค่าความจริงของประพจน์จะมี
กรณีต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นไปได้ 8 กรณี คือ ประพจน์ p,qและ r 3 ประพจน์ เกิดได้จาก 23
= 8
ให้ P และ Q เป็นประพจน์ จะกล่าวว่า P และ Q สมมูลกัน (equivalent) ก็ต่อเมื่อ ทั้งสอง
ประพจน์มีค่าความจริงเหมือนกันทุกกรณี เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ PQ
ให้ P เป็นประพจน์ จะกล่าวว่า P เป็นสัจนิรันดร์ (Tautology) ถ้า P มีค่าความจริงเป็นจริง
ทุกกรณี และจะกล่าวว่า P เป็นข้อขัดแย้ง (Contradiction) ถ้า P มีค่าความจริงเป็นเท็จทุกกรณี
ดังนั้น นิเสธของข้อขัดแย้งจะเป็นสัจนิรันดร์ และในทางกลับกันนิเสธของสัจนิรันดร์จะ
เป็นข้อขัดแย้ง
ทฤษฎีบท 1.1 สาหรับประพจน์ p,q และ r จะได้ว่า
1. pq (pq)(qp)
2. (pq) (p)(q)
3. (pq) (p) (q)
4. pq (p)q
5. ( pq) p(q)
6. p(qr)(pq)(pr)
7. p (qr)(pq)(pr)
ประโยคเปิด(Open Sentence)
คือข้อความที่อยู่ในรูปประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธ ที่มีตัวแปรและเมื่อแทนค่าของตัวแปร
นั้น จะได้ค่าความจริงแน่นอน หรือเป็นประพจน์
11. 11
เรียกหมู่ หรือเซตของสิ่งของที่นามาแทนในประโยคเปิดแล้วมีค่าความจริงแน่นอน หรือ
เป็นประพจน์ ว่า เอกภพสัมพัทธ์ (universal)
สัญลักษณ์ นิยมใช้ P(x), P(x , y),Q(x , y) แทนประโยคเปิดที่มีตัวแปรระบุในวงเล็บ
ตัวอย่าง ข้อความต่อไปนี้เป็นประโยคเปิด
เธอเป็นนางสาวไทย
x+3 5 3x + 2 = 5
เขาเป็นนายกรัฐมนตรี
ประโยคเปิดเหล่านี้ จะเป็นประพจน์ที่มีค่าความจริงแน่นอนเมื่อแทนค่าตัวแปรแบบ
เฉพาะเจาะจงลงไป
ประโยคเปิดเป็นประพจน์ได้เมื่อมีตัวบ่งปริมาณกากับ
ตัวบ่งปริมาณ(Quantifier)
คือคาบอกกล่าวกาหนดขีดจากัดของปริมาณ หรือขอบเขตของตัวแปรในประโยคเปิด ตัว
บ่งปริมาณมี 2 แบบคือ
1. ตัวบ่งปริมาณสาหรับทุกตัว(Universal Quantifier)
บอกในรูปคากล่าว เช่น สาหรับทุกๆค่าของ x ……………
สาหรับแต่ละค่าของ x……………
เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ x อ่านว่า for all x
เช่น ให้เอกภพสัมพัทธ์คือเซตของจานวนเต็ม
จะได้ว่า x[x >3] ความหมายคือ สมาชิกทุกตัวในจานวนเต็มมีค่ามากกว่า 3
ซึ่งมีค่าความจริงเป็นเท็จ นั่นคือประพจน์
2. ตัวบ่งปริมาณสาหรับตัวมีจริง (Existential Quantifier)
บอกในรูปคากล่าว เช่น มีบางตัวของ x ที่………………..
มีสมาชิก x บางตัวที่……………………
มีหนึ่งตัวซึ่ง…………………….
เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ x อ่านว่า for some x
เช่น ให้เอกภพสัมพัทธ์คือเซตของจานวนเต็ม
จะได้ว่าx[x>3] ความหมายคือ มีสมาชิก x บางตัวในจานวนเต็ม มีค่ามากกว่า 3
ซึ่งจะเป็นประพจน์ที่มีค่าความจริงเป็นจริง
เรียกข้อความที่ประกอบด้วยมีประโยคเปิดและตัวบ่งปริมาณว่า ประพจน์ที่มีตัวบ่งปริมาณ
12. 12
บทนิยาม ให้ P(x) เป็นประโยคเปิดที่ x เป็นตัวแปร กาหนด
ประโยค x[P(x)] อ่านว่า สาหรับทุก x ซึ่ง P(x)
ประโยค x[P(x)] อ่านว่า มี x ซึ่ง P(x)
ดังนั้นประโยค x[P(x)] มีค่าความจริงเป็นจริง ถ้าทุก x ในเอกภพสัมพัทธ์เมื่อแทนใน
P(x) แล้วมีค่าความจริงเป็นจริง
และประโยคx[P(x)] มีค่าความจริงเป็นจริงถ้ามี a ในเอกภพสัมพัทธ์เมื่อแทนใน P(x)
แล้ว P(a) มีค่าความจริงเป็นจริง
สรุปค่าความจริงของประพจน์ที่มีตัวบ่งปริมาณ เมื่อ U แทนเอกภพสัมพัทธ์
ประพจน์ เป็นจริงก็ต่อเมื่อ เป็นเท็จก็ต่อเมื่อ
x[P(x)] P(x) เป็นจริง สาหรับทุก x ใน U
x[P(x)] มี a ใน U ที่ทาให้ P(a) เป็นจริง
x[~P(x)]
x[~P(x)]
ข้อสังเกต
1. ~x[P(x)] x[~P(x)]
2. ~x[P(x)] x[~P(x)]
ตัวอย่าง ให้เอกภพสัมพัทธ์คือ เซตของจานวนจริงทั้งหมด
1. x[x10] เป็นเท็จ เนื่องจากมีจานวนจริง x มากมายที่ซึ่ง x10 ไม่เป็นจริง เช่น 5<10
2. x[x+3x+1] เป็นจริง เนื่องจาก 31 ดังนั้น x+3x+1 สาหรับทุกจานวนจริง x
3. x[x-2] เป็นจริง เนื่องจากมีจานวนจริง a=0 ซึ่ง 0-2
4. x[x2
<-2] เป็นเท็จ เนื่องจาก x2
0 > -2 สาหรับทุกจานวนจริง x
ประพจน์ที่มีตัวบ่งปริมาณอาจมีตัวเชื่อมอยู่ ในการแปลงประพจน์ที่เป็นข้อความเป็น
สัญลักษณ์ต้องระมัดระวังในการใช้ตัวเชื่อมเพื่อให้ได้ความหมายที่ตรงกัน
พิจารณาประโยคต่อไปนี้ จานวนเต็มคู่ทุกจานวนหารด้วยสองลงตัว
จะเห็นว่าในประโยคดังกล่าวมีตัวบ่งปริมาณสาหรับทุกตัวอยู่ และถ้าเราให้ P(x) แทนประโยค x
เป็นจานวนเต็มคู่ และให้ Q(x) แทนประโยค x หารด้วยสองลงตัว เราจะเขียนรูปสัญลักษณ์ของ
ประโยคข้างต้นได้เป็น x[P(x)Q(x)]
** ประพจน์ที่มีตัวบ่งปริมาณสาหรับทุกตัว โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้ตัวเชื่อม
14. 14
วิธีการพิสูจน์
1. การพิสูจน์ประพจน์ qp
การพิสูจน์ประพจน์ qp คือการแสดงว่า qp เป็นการอ้างเหตุผลอย่างสมเหตุสมผล
นั่นคือจะแสดงว่า ข้อตั้ง หรือ เหตุ p มีผลบังคับให้เกิด ข้อสรุป หรือ ผล q
ในที่นี้เราจะกล่าวถึงวิธีการพิสูจน์ประพจน์ qp 2 วิธี คือ
1.1 การพิสูจน์ตรง (directed proof)
1.2 การพิสูจน์แย้งสลับที่ (contrapositive proof)
1.1 การพิสูจน์ qp โดยวิธีพิสูจน์ตรง (Direct Proof)
เนื่องจาก qp เป็นเท็จได้เพียงกรณีเดียวคือ กรณีที่ p เป็นจริง และ q เป็นเท็จ
ดังนั้นในการพิสูจน์ว่า qp เป็นจริง เราต้องแสดงว่าไม่เกิดกรณีที่ p เป็นจริง และ q เป็นเท็จ
นั่นคือเราต้องแสดงว่า ถ้าเราให้ p เป็นจริงแล้ว q ต้องเป็นจริง
การพิสูจน์วิธีนี้มีเค้าโครงการพิสูจน์ดังนี้
สมมติ p
เพราะฉะนั้น q
ดังนั้น qp
บทนิยาม ให้ m และ n เป็นจานวนเต็ม จะกล่าวว่า
1. n เป็นจานวนคู่ (even number) ก็ต่อเมื่อ มีจานวนเต็ม k ซึ่ง n=2k
2. n เป็นจานวนคี่ (odd number) ก็ต่อเมื่อ มีจานวนเต็ม k ซึ่ง n=2k+1
3. m หาร n ลงตัว ก็ต่อเมื่อ มีจานวนเต็ม k ซึ่ง n=km
เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ m|n
ตัวอย่าง 1 กาหนดให้a เป็นจานวนเต็มใดๆ จงพิสูจน์ว่า
ถ้า a เป็นจานวนคู่ แล้ว 4a เป็นจานวนคู่
15. 15
ตัวอย่าง 2 กาหนดให้ a และ b เป็นจานวนเต็มใดๆ จงพิสูจน์ว่า
ถ้า a เป็นจานวนคู่ และb เป็นจานวนคี่ แล้ว ba เป็นจานวนคี่
ตัวอย่าง 3 กาหนดให้ ba, และ c เป็นจานวนเต็มใดๆ จงพิสูจน์ว่า
ถ้า ba | และ cb | แล้ว ca |
1.2 การพิสูจน์ qp โดยใช้การแย้งสลับที่ (Contrapositive)
เนื่องจาก pqqp ~~ ดังนั้น ในการพิสูจน์ว่า qp เป็นจริง
เราจะพิสูจน์ q p เป็นจริงแทน โดยใช้วิธีพิสูจน์ตรง
การพิสูจน์วิธีนี้มีเค้าโครงการพิสูจน์ดังนี้
สมมติ q~
เพราะฉะนั้น p~
ดังนั้น pq ~~
นั่นคือ qp
16. 16
ตัวอย่าง 4 กาหนดให้ a เป็นจานวนเต็มใดๆ จงพิสูจน์ว่า
ถ้า 2
a เป็นจานวนคี่ แล้ว a เป็นจานวนคี่
ตัวอย่าง 5 กาหนดให้ a เป็นจานวนเต็มใดๆ จงพิสูจน์ว่า
ถ้า 2
|4 a แล้ว a เป็นจานวนคู่
ตัวอย่าง 6 กาหนดให้ a และ b เป็นจานวนเต็มใดๆ จงพิสูจน์ว่า
ถ้า ab เป็นจานวนคู่ แล้ว a หรือ b เป็นจานวนคู่
17. 17
2. การพิสูจน์ประพจน์ p โดยข้อขัดแย้ง (Contradiction)
เนื่องจากประพจน์ p p (qq) ดังนั้นในการพิสูจน์ว่าประพจน์ p เป็นจริง
เราจะพิสูจน์ประพจน์ p (qq) แทน ซึ่งจะได้ผลสรุปเป็นข้อขัดแย้งกัน
การพิสูจน์วิธีนี้มีเค้าโครงการพิสูจน์ดังนี้
สมมติ p~
เพราะฉะนั้น r
เพราะฉะนั้น r~
ดังนั้น rr ~ เกิดข้อขัดแย้ง
นั่นคือ p
บทนิยาม จะเรียก x ว่า จานวนตรรกยะ ถ้าจานวนเต็ม m และ n≠0 ซึ่ง x=m/n
จะเรียก x ว่า จานวนอตรรกยะ ถ้า x ไม่เป็นจานวนตรรกยะ
ตัวอย่าง 7 จงพิสูจน์ว่า 2 จานวนอตรรกยะ
พิสูจน์ สมมติว่า 2 ไม่เป็นจานวนอตรรกยะ
ดังนั้น 2 เป็นจานวนตรรกยะ โดยนิยามของจานวนตรรกยะ และ 02 จะได้ว่า
y
x
2 โดยที่ x และ y เป็นจานวนเต็มบวกที่มี 1 เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่หาร x และ y ลงตัว
ดังนั้น 2
2
2
y
x
จะได้ว่า 22
2 xy ดังนั้น 2
x เป็นจานวนคู่ จะได้ว่า x เป็นจานวนคู่
ให้ mx 2 โดยที่ m เป็นจานวนเต็ม
จะได้ว่า 22
)2(2 my นั่นคือ 22
2my ดังนั้น 2
y เป็นจานวนคู่ จะได้ว่า y เป็นจานวนคู่
นั่นคือ 2 หาร x และ y ลงตัว เกิดข้อขัดแย้ง
ดังนั้น 2 จานวนอตรรกยะ
ตัวอย่าง 8 จงพิสูจน์ว่า 2log จานวนอตรรกยะ
18. 18
3. การพิสูจน์ประพจน์ qp โดยข้อขัดแย้ง
การพิสูจน์ประพจน์ qp โดยข้อขัดแย้งพิสูจน์ได้ทานองเดียวกับหัวข้อที่ผ่านมา
โดยเราจะสมมติให้ ( )p q เป็นจริงแล้วหาข้อขัดแย้ง
เนื่องจาก ( )p q p q ดังนั้นขั้นแรกเราจึงสมมุติให้ p q เป็นจริง
แล้วจึงหาข้อขัดแย้ง
การพิสูจน์วิธีนี้มีเค้าโครงการพิสูจน์ดังนี้
สมมติ p และ q~
เพราะฉะนั้น r
เพราะฉะนั้น r~
ดังนั้น rr ~ เกิดข้อขัดแย้ง
นั่นคือ qp
ตัวอย่าง 9 กาหนดให้ m เป็นจานวนเต็มใดๆ จงพิสูจน์ว่า
ถ้า 2
m เป็นจานวนคี่ แล้ว m เป็นจานวนคี่
ตัวอย่าง 10 กาหนดให้ x เป็นจานวนจริงใด ๆ จงพิสูจน์ว่า
ถ้า 32 xx แล้ว 3x
19. 19
4. การพิสูจน์ประพจน์ qp (If and only if)
เนื่องจาก ( ) ( )p q p q q p ดังนั้น
การพิสูจน์วิธีนี้มีเค้าโครงการพิสูจน์ประพจนดังนี้
(i) qp
(ii) pq
ดังนั้น qp
หมายเหตุ การพิสูจน์ qp และ pq จะพิสูจน์โดยการพิสูจน์ตรง หรือ โดยการแย้งสลับที่
หรือ โดยข้อขัดแย้ง
ตัวอย่าง 11 กาหนดให้ a เป็นจานวนเต็ม จงพิสูจน์ว่า
a เป็นจานวนคี่ ก็ต่อเมื่อ 1a เป็นจานวนคู่
ตัวอย่าง 12 กาหนดให้ m เป็นจานวนเต็มใดๆ จงพิสูจน์ว่า
ถ้า 2
m เป็นจานวนคี่ ก็ต่อเมื่อ m เป็นจานวนคี่
20. 20
5. การพิสูจน์ประพจน์ rqp
เนื่องจาก )()( rqrprqp
ดังนั้น การพิสูจน์วิธีนี้มีเค้าโครงการพิสูจน์ดังนี้
(i) พิสูจน์ rp
(ii) พิสูจน์ rq
ดังนั้น )()( rqrp
นั่นคือ rqp
หมายเหตุ การพิสูจน์แบบนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การพิสูจน์โดยการแจงกรณี
ทานองเดียวกันเราสามารถพิสูจน์ประพจน์ rppp n 21 ได้เช่นกัน
โดยมีเค้าโครงการพิสูจน์ดังนี้
กรณีที่ 1 พิสูจน์ rp 1
กรณีที่ 2 พิสูจน์ rp 2
กรณีที่ n พิสูจน์ rpn
ดังนั้น rppp n 21
ตัวอย่าง 13 จงพิสูจน์ว่า ถ้า a เป็นจานวนเต็ม แล้ว 2
3 aa เป็นจานวนคู่
21. 21
ตัวอย่างที่ 14 สาหรับจานวนจริง x ใด ๆ ค่าสัมบูรณ์ของ x เขียนแทนด้วย || x
นิยามโดย
x
x
x ||
0,
0,
x
x
จงพิสูจน์ว่า |||| xx
6. การพิสูจน์ประพจน์ qp
เนื่องจาก qpqp ~
การพิสูจน์วิธีนี้มีเค้าโครงการพิสูจน์ดังนี้
สมมติ p~
เพราะฉะนั้น q
ดังนั้น qp ~
นั่นคือ qp
ตัวอย่างที่ 15 กาหนดให้ x เป็นจานวนจริงใด ๆ จงพิสูจน์ว่า
ถ้า 0342
xx แล้ว 1x หรือ 3x
22. 22
ตัวอย่าง 16 สาหรับจานวนเต็มบวก m และ n ใด ๆ
จงพิสูจน์ว่า ถ้า mnn 3
แล้ว n เป็นจานวนคี่ หรือ 6m
การพิสูจน์ประพจน์ที่มีตัวบ่งปริมาณ
1. การพิสูจน์ประพจน์ในรูป )]([ xpx โดยตรง
การพิสูจน์วิธีนี้มีเค้าโครงการพิสูจน์ดังนี้
เลือก a ในเอกภพสัมพัทธ์
)(ap เป็นจริง
ดังนั้น )]([ xpx
ตัวอย่าง 1 จงพิสูจน์ว่า มีจานวนเต็ม x ซึ่ง xxx 2
ตัวอย่าง 2 จงพิสูจน์ว่า มีจานวนจริง x ซึ่ง 13 x
23. 23
2. การพิสูจน์ประพจน์ในรูป )]([ xpx โดยตรง
การพิสูจน์วิธีนี้มีเค้าโครงการพิสูจน์ดังนี้
ให้ x เป็นสมาชิกในเอกภพสัมพัทธ์
ดังนั้น )(xp เป็นจริง
ดังนั้น )]([ xpx
ตัวอย่าง 3 จงพิสูจน์ว่า สาหรับจานวนเต็ม a ใด ๆ
ถ้า a เป็นจานวนคู่ แล้ว 2
|4 a และ 2
a เป็นจานวนคู่
ตัวอย่าง 4 จงพิสูจน์ว่า สาหรับจานวนเต็ม a ใด ๆ
จะได้ว่า aa 2
เป็นจานวนคู่ และ 32
aa เป็นจานวนคี่
24. 24
3. การพิสูจน์ประพจน์ในรูป )]([ xpx โดยข้อขัดแย้ง
การพิสูจน์วิธีนี้มีเค้าโครงการพิสูจน์ดังนี้
สมมติว่ามี t เป็นสมาชิกในเอกภพสัมพัทธ์ ซึ่ง )(~ tp
เพราะฉะนั้น QQ ~ เกิดข้อขัดแย้ง
ดังนั้น )]([ xpx
ตัวอย่าง 5 จงพิสูจน์ว่า สาหรับจานวนเต็ม a ใด ๆ
ถ้า a เป็นจานวนคี่ แล้ว 2
a เป็นจานวนคี่
ตัวอย่าง 6 จงพิสูจน์ว่า สาหรับจานวนเต็ม a ใด ๆ
ถ้า 2
a เป็นจานวนคี่ แล้ว a เป็นจานวนคี่
4. การพิสูจน์ประพจน์ในรูป )]([ xpx ว่าเป็นเท็จ
การพิสูจน์ )]([ xpx ว่าเป็นเท็จ จะต้องแสดงว่ามี t ที่เป็นสมาชิกในเอกภพสัมพัทธ์
ซึ่งทาให้ )(tp เป็นเท็จ ดังนั้นจะได้ว่า )]([ xpx เป็นเท็จ
ตัวอย่าง 7 จงพิสูจน์ว่า x [ ถ้า x เป็นจานวนจริง แล้ว xx 2
] เป็นเท็จ
ตัวอย่าง 8 จงพิสูจน์ว่า x [ ถ้า x เป็นจานวนเฉพาะ แล้ว x เป็นจานวนคี่ ] เป็นเท็จ