รำคาน
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2559
ชื่อโครงงาน Admission
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1. นางสาว วิชญกานต์ วงศ์สุนทร เลขที่ 20 ชั้น 6/6
2. นางสาว มธุรดา งามตา เลขที่ 24ชั้น 6/6
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2559
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม 2
1.วิชญกานต์ วงศ์สุนทร เลขที่20 2. มธุรดา งามตา เลขที่24
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
ระบบ Admission
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Admission System
ประเภทโครงงาน ประเภทการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1. นางสาว วิชญกานต์ วงศ์สุนทร เลขที่ 20 ชั้น 6/6
2. นางสาว มธุรดา งามตา เลขที่ 24ชั้น 6/6
ชื่อที่ปรึกษา
ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน
ภาคเรียนที่1-2ปีการศึกษา2559
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
แอดมิชชั่น หรือ Admission ชื่อเต็มๆว่า ระบบกลางคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา
(Central University Admissions System: CUAS)นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า ที่มีความ
ต้องการจะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ต้องสอบ แล้วนาคะแนนสอบที่ได้มายื่นเลือกคณะ จะมีข้อยกเว้นเกี่ยวกับ
การแอดมิชชั่นอยู่บ้าง เนื่องจากมหาวิทยาลัยหลายๆที่ไม่มีความเชื่อมั่นในการสอบแอดมิชชั่น จึงได้จัดการสอบตรงขึ้น
โดยเฉพาะคณะทางด้านแพทย์ส่วนใหญ่จะรับเฉพาะการสอบตรง ไม่ค่อยจะได้เห็นคณะด้านแพทย์ที่รับเด็กที่ผ่านการ
สอบแอดมิชชั่นเท่าไหร่กันนัก และยังเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็วด้วย บางมหาวิทยาลัยรับผ่านแอดมิชชั่นปีที่
แล้วแต่ไม่รับผ่านแอดมิชชั่นปีนี้ ต้องติดตามข่าวกันอย่างละเอียดปีต่อปีกันเลยทีเดียว ตรงกันข้ามกับการสอบตรงซึ่ง
รับทุกปี
แนวคิดจากการทาโครงงานเรื่องนี้คือ ข้าพเจ้าได้รับแรงบัลดาลใจจากการที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่
ข้าพเจ้านั้นใฝ่ฝัน ทาให้มีแรงผลักดัน มีกาลังใจในการเตรียมตัวสอบ ดังนั้นข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ทาโครงงานทั้งสองคน
นั้นได้คิดที่จะได้ทาโครงงานเรื่องนี้ และตัวข้าพเจ้าและเพื่อนเองก็อยู่ในช่วงเวลาที่จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะ
ที่ใช่
- 3. 3
โดยจะมีการอัพเดทข้อมูลและข่าวสารต่างๆเกี่ยวกับการรับตรงในแต่ละมหาวิทยาลัยต่างๆ มีคลิปวิดิโอ
สาหรับการสอนแต่ละวิชาและเคล็ดลับต่างๆที่พิชิตคะแนนสูงๆ เทคนิคการจัดอันดับ4อันดับจากการเลือกลาดับ
Admission
การวางแผนสาหรับการสอบติด การรู้จักตัวเองว่าจะเรียนในคณะไหน มหาวิทยาลัยอะไรที่เหมาะกับตัวของเรา
สัดส่วนคะแนนต่างๆที่จะนามาคิดเป็นคะแนนสาหรับการยื่นศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่ตนเองต้องการ
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1.เพื่อเป็นแหล่งติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
2.เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้กับผู้ที่สนใจ
3.เพื่อเป็นแนวทางสาหรับผู้ที่กาลังจะยื่นคะแนนแอดมิชชั่น
4.เพื่อฝึกการทางานร่วมกันเป็นหมู่คณะ
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
อัพเดตข้อมูลเกี่ยวกับ Gat/Pat,O-Net,9วิชาสามัญ,เฉลยข้อสอบเก่า
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
ระบบแอดมิชชั่นนี้ บริหารงานโดย สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือที่รู้จักกันดีใน
ชื่อว่า สทศ. โดยที่หน้าที่ของสทศ. คือพัฒนาข้อสอบเพื่อวัดและประเมินมาตรฐานการศึกษา วัดความรู้ความสามารถ
ของผู้เข้าสอบแต่ละคน สทศ.จะรับผิดชอบการประเมินผลด้านการศึกษาให้กับนักเรียนที่เรียนหลักสูตรไทย ใน
ประเทศไทย หลายครั้งด้วยกันคือ ป.3, ป.6, ม.3, และ ม.6 แต่ในการสอบแอดมิชชั่นนั้นจะนับกันเฉพาะ การสอบ
วัดผลในระดับชั้น ม.6 เท่านั้น ยังมีอีก 1 องค์การที่จะไม่กล่าวถึงก็คงจะไม่ได้ คือ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้วาง
มาตรฐานหลักสูตรการศึกษาให้กับโรงเรียนต่าง ๆ ในประเทศไทย เรียกง่าย ๆ ว่า กระทรวงศึกษาเป็นผู้กาหนด
หลักสูตร โรงเรียนมีหน้าที่สอนนักเรียนตามหลักสูตร และสทศ. มีหน้าที่สอบวัดผลโรงเรียนและนักเรียนแต่ละคนตาม
หลักสูตรนั่นเอง
ก่อนอื่นมาทาความรู้จักกับระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีก่อน ระบบแรก คือ
“เอ็นทรานซ์” คือระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา โดยการสอบแข่งขันคัดเลือกรวมกล่าวคือ
ระบบเอ็นทรานซ์เน้นการสอบแข่งขันด้วยการทาทุกวิธีทางเพื่อให้สอบติดพฤติกรรมการเรียนในโรงเรียนถูกเบี่ยงเบียน
ไปสู่การเรียนพิเศษตามสถาบันกวดวิชาเด็กทิ้งการเรียนในห้องเรียนให้ความสาคัญน้อยลงไม่สนใจวิชาประกอบเน้น
เฉพาะวิชาหลักที่จะใช้สอบเอ็นทรานซ์จนกระทั่งไม่มาโรงเรียนแต่ไปหมกตัวอยู่ตามสถาบันกวดวิชาต่าง ๆลด
ความสาคัญของการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้วมุ่งเน้นแต่ปฏิบัติการล่าฝันวันเอ็นทรานซ์เพียงอย่างเดียวทาให้เด็กขาด
คุณภาพทางการศึกษามีความรู้แบบขาดๆ รู้ไม่ลึกไม่จริงไม่ถ่องแท้ สุดท้ายก็ประยุกต์ใช้ไม่เป็น กลายเป็นคนที่เรียนจบ
แต่รู้ไม่ครบถ้วนกระบวนการ“แอดมิชชั่น”คือระบบกลางการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา (Central
University Admissions System – CUAS ) โดยการคัดเลือกบนพื้นฐานของผลการศึกษา กล่าวคือเน้นความสาคัญ
ของผลการศึกษาและการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระเป็นหลัก ต้องการให้เด็กเรียนจบครบถ้วนทุกกระบวนการ ทุกคะแนนมี
ความหมายหมด ทาให้เด็กให้ความสาคัญกับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลักเพราะต้องใส่ใจทุกคะแนนที่ได้ วิชาไหนที่
- 4. 4
เด็กรักและถนัดก็จะช่วยดึงเกรดเฉลี่ยให้ดีขึ้นส่วนวิชาไหนที่มีปัญหาหรือที่ชอบเด็กก็จะใส่ใจพยายามแก้ไขเพื่อคะแนน
ที่จะได้มาช่วยเพิ่มค่าGPAให้สูงขึ้นดังนั้นแอดมิชชั่นจึงไม่ได้เป็นระบบการศึกษาแบบ One Stop Service รวดเดียว
เบ็ดเสร็จ แต่เป็นระบบที่ผสมผสานองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ส่วนผลที่ได้จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่น
ตั้งใจ กอบโกยความรู้ของแต่ละคน
1. O-NET (Ordinary National Education Test) หรือการสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน ในตอนนี้
จะพูดถึงการสอบ O-NET ในระดับชั้น ม.6 เพียงอย่างเดียว แนวคิดของ O-NET คือ การวัดผลของโรงเรียนแต่ละ
โรงเรียนว่า ได้สอนนักเรียนของตัวเองตามหลักสูตรกระทรวงขนาดไหน ข้อสอบ O-NET นี้จะเป็นข้อสอบง่ายๆที่วัด
เฉพาะพื้นฐานจริงๆเท่านั้น
2. GAT (Genetal Aptitude Test) หรือมีชื่อเป็นภาษาไทยสั้นๆว่า การสอบความถนัดทั่วไป ซึ่งจะเน้น
เนื้อหาทางด้าน การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์การแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ รวมไปถึงการสื่อสารด้วย
ภาษาอังกฤษ ข้อสอบ GAT นี้จะมีความซับซ้อนมากกว่าความยาก
3. PAT (Professional Aptitude Test) หรือมีชื่อเป็นภาษาไทยสั้นๆว่า การสอบความถนัดเฉพาะด้าน/
วิชาการ เป็นข้อสอบที่ยากที่สุดในสามตัวที่พูดถึง วิชาเฉพาะด้านที่มีสอบคือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ พื้นฐาน
วิศวกรรม พื้นฐานสถาปัตยกรรม พื้นฐานความเป็นครู และวิชาด้านภาษาอื่นๆนอกเหนือจากภาษาอังกฤษ
4. GPAX หรือผลการเรียนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่า จะมีผลต่อคะแนน
รวม 10%
GPA หรือคะแนนสะสมรายวิชาตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ 3-5 กลุ่ม
จาก 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยในปีการศึกษา 2549 ให้ค่าน้าหนัก 20% ในปีการศึกษา 2550 ให้ค่าน้าหนัก 30%
และในปีการศึกษา 2551 ให้ค่าน้าหนัก 40%
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
1. เลือกหัวข้อที่สนใจ
2. กาหนดหัวข้อย่อย
3. รวบรวมข้อมูล
4. นาข้อมูลมาเรียบเรียงเนื้อหา
5. จัดทาเป็นพาวเวอร์พอยท์
6. ตรวจสอบความถูกต้อง
7. นาเสนอข้อมูล
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
1. คอมพิวเตอร์
2. อินเตอร์เนต
งบประมาณ
ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
- 5. 5
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน /
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล / / /
3 จัดทาโครงร่างงาน / /
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน / /
5 ปรับปรุงทดสอบ / /
6 การทาเอกสารรายงาน / /
7 ประเมินผลงาน / /
8 นาเสนอโครงงาน / /
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
1. ผู้ที่ศึกษาได้แนวทางที่ถูกต้องและชัดเจน
2. เป็นประโยชน์แต่ผู้ที่กาลังจะยื่นคะแนนแอดมิชชัน
3.ได้รู้จักความสามัคคีจากการทางานเป็นหมู่คณะ
สถานที่ดาเนินการ
1. โรงเรียนยุพราชวิทยาลัยเชียงใหม่
2. บ้านนักเรียน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
1.กลุ่มสาระการเรียนรู้แนะแนว
2.กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
3.กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
4.กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
5.กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
http://krupom.sbp.ac.th/?p=96
http://www.ed-th.com/admission-university/
http://guru.sanook.com/2260/
http://www.tewfree.com/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B4
%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-admission-
%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8
%A3/