More Related Content
More from Oui Nuchanart (20)
Root oui
- 2. • ราก (root)เป็นส่วนประกอบของพืชที่เจริญเติบโตลงสู่ดินตามแรงโน้ม
ถ่วงของโลก เพื่อช่วยยึดลาต้นให้ติดกับพื้นดิน รากส่วนใหญ่ไม่มี
คลอโรฟิลล์
หน้าที่ของราก คือ
3.1 ดูด (Absorption) น้าและแร่ธาตุที่ละลายน้าจากดินเข้าไปในลาต้น
3.2 ลาเลียง (Conduction) น้าและแร่ธาตุรวมทั้งอาหารซึ่งพืชสะสมไว้
ในรากขึ้นสู่ส่วนต่าง ๆ ของลาต้น
3.3 ยึด (Anchorage) ลาต้นให้ติดกับพื้นดิน
3.4 แหล่งสร้างฮอร์โมน (Producing hormones) รากเป็นแหล่ง
สาคัญในการผลิตฮอร์โมนพืชหลายชนิด เช่น ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน
- 5. 1. บริเวณหมวกราก (Root cap)ประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมา (parenchyma)
ที่เรียงกันอย่างหลวมๆ เป็นเซลล์ที่เจริญเต็มที่แล้ว มีหน้าที่ปกคลุมป้องกัน
ไม่ให้เซลล์บริเวณปลายถูกทาลาย มีอายุสั้น เซลล์ด้านนอกหมวกรากมักฉีกขาดง่าย
2. บริเวณเซลล์แบ่งตัว (Region of cell division) อยู่ถัดจากบริเวณหมวกราก
ขึ้นไปเซลล์มีขนาดเล็ก มีผนังเซลล์บาง มีโพรโทพลาซึมปริมาณมากเป็นบริเวณที่มี
การแบ่งเซลล์แบบ Mitosis ทาให้รากเจริญและขยายขนาดยาวขึ้น
โครงสร้างปลายราก
- 6. 3. บริเวณเซลล์ที่มีการยืดตัว (Region of cell elongation)ประกอบด้วย
เซลล์ที่มีรูปร่างยาวซึ่งเกิดมาจากเซลล์ของเนื้อเยื่อเจริญที่แบ่งตัวแล้วอยู่ใน
บริเวณที่สูงกว่าบริเวณเนื้อเยื่อเจริญ ทาให้รากยาวเพิ่มขึ้น
4. บริเวณเซลล์เจริญเติบโตเต็มที่ (Region of maturation) อยู่สูงถัดจาก
บริเวณเซลล์ยืดตัวขึ้นมา เซลล์ในบริเวณนี้เจริญเติบโตเต็มที่แล้วมีการ
เปลี่ยนแปลงไปเป็นเนื้อเยื่อถาวรชนิดต่าง ๆ เช่น xylem phloem
บางเซลล์ในชั้น epidermis จะเปลี่ยนเป็น root hair
- 15. 3. Stele เป็นบริเวณที่อยู่ถัดจากชั้น endodermisเข้าไป พบว่าsteleในราก
จะแคบกว่าชั้น cortexประกอบด้วยชั้นต่างๆดังนี้
3.1 เพริไซเคิล (pericycle)
3.2 มัดท่อลาเลียง (vascular bundle) ซึ่งประกอบด้วย
-phloem
-xylem
- 18. 3.2 Vascular bundle ประกอบด้วย xylem อยู่ตรงใจกลางเรียงเป็น
แฉกโดยมี phloem อยู่ระหว่างแฉก สาหรับพืชใบเลี้ยงคู่ต่อมาจะเกิด
เนื้อเยื่อเจริญ vascular cambium คั่นระหว่าง xylem กับ phloem
ในรากของพืชใบเลี้ยงคู่มีจานวนแฉกน้อยประมาณ 1-5 แฉก โดยมากมัก
มี 4 แฉก ส่วนรากของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวมักมีจานวนแฉกมากกว่า โฟลเอม
อยู่ระหว่างไซเลมและไม่มี cambium กั้น
- 23. จาแนก ตามจุดกาเนิดของราก ดังนี้
1. Primary root เป็นรากที่เจริญมาจาก แรดิเคิล (Radicle) เรียก
รากแก้ว (Tap root)
2. Secondary root เป็นรากที่เจริญมาจาก Primary root เรียก
รากแขนง (Lateral root หรือ Branch root)
3. Adventitious root เป็นรากที่งอกจากส่วนต่าง ๆ ของพืชเช่น
ลาต้นหรือใบ เรียก รากพิเศษ
ชนิดและหน้าที่ของราก
- 25. 2. รากค้าจุน (Prop root หรือ Buttress root) เป็นรากที่แตกออกจากข้อ
ของลาต้นเหนือดินเพื่อพยุงลาต้น เช่น รากข้าวโพด รากเตย ลาเจียก
ไทรย้อย แสม โกงกาง
- 26. 3. รากเกาะ (Climbing root) เป็นรากที่แตกออกจากข้อของลาต้นมาเกาะ
ตามหลัก เพื่อชูลาต้นขึ้นสูง เช่น รากพลู พริกไทย กล้วยไม้ พลูด่าง
- 27. 4. รากหายใจ (Pneumatophore หรือ Aerating root) เป็นรากที่ยื่น
ขึ้นมาจากดินหรือน้าเพื่อรับออกซิเจน เช่น รากลาพู แสม โกงกาง กล้วยไม้
ผักกระเฉด แพงพวยน้า
รากลาพู แสม
- 29. 5. รากปรสิต (Parasitic root) เป็นรากที่แทงเข้าไปในลาต้นของพืช
เพื่อแย่งน้าและอาหารจาก host โฮสต์เช่น รากกาฝาก ฝอยทอง เรียกว่า
Haustorium
- 31. 7. รากสะสมอาหาร (storage root) เป็นรากที่สะสมอาหารพวกแป้ง
โปรตีนหรือน้าตาลไว้ จนรากเปลี่ยนแปลงรูปร่างมีขนาดใหญ่ซึ่งมักจะเรียก
กันว่า“หัว” ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากรากแก้ว เช่น หัวแครอท หัวผักกาด
หรือหัวไชเท้า หัวผักกาดแดงหรือแรดิช (Radish) หัวบีท (Beet root)
และหัวมันแกว ส่วนรากเปลี่ยนแปลงมาจากรากแขนง เช่น มันเทศ รักเร่
กระชาย มันสาปะหลัง
- 33. 8. รากหนาม (Thorn Root) เป็นรากที่มีลักษณะเป็นหนามงอกมาจาก
บริเวณโคนต้น ช่วยป้องกันโคนต้นเช่นโกงกาง รากของปาล์มบางชนิด