More Related Content
More from Anana Anana (15)
ใบพืชNet
- 2. จุดประสงค์ การเรียนรู้ เพือให้ นักเรียนสามารถ
่
1. สื บค้ นข้ อมูล ทดลอง อธิบาย และอภิปรายเกียวกับโครงสร้ าง
่
และหน้ าทีของใบ
่
2. สื บค้ นข้ อมูล ทดลอง และสรุ ปเกียวกับโครงสร้ างภายใน
่
ของใบ
- 3. โครงสร้ างของใบพืช
ใบ ( Leaves )
เป็ นอวัยวะทีเ่ จริญออกไปบริเวณด้ านข้ าง โดยมีตาเเหน่ งอย่ ู
ํ
ทีข้อปล้ องของต้ น และกิง ใบส่ วนใหญ่ มกแผ่ แบน และมีสี
่ ่ ั
เขยวของคลอโรฟิลล์ รูปร่างและขนาดของใบแตกต่างกนไป
ี ั
ตามชนิดของพช ื
หน้าทหลกของใบ คอใช้ในการสังเคราะห์แสง การหายใจ
ี่ ั ื
และการคายนํา
้
- 4. ใบแท้ ทีครบส่ วน (complete leaf) จะประกอบไป
่
ด้ วย แผ่ นใบ ก้ านใบ และหูใบ ครบท้ง 3 ส่ วน หากขาดส่ วน
ั
หน่ึงส่ วนใด จะเป็ นใบทีไม่ ครบส่ วน (incomplete
่
leaf)
- 6. ส่ วนประกอบของใบ แบ่ งเป็ น 3 ส่วน ได้แก่
1. แผ่นใบหรือตัวใบ (blade หรือ lamina) เป็นส่วน
สํ าคัญมากของใบ ลักษณะเป็ นแผ่ นแบนบาง เพือเพิมพืนที่ให้
่ ่ ้
คลอโรฟี ลล์ในใบมีโอกาสสั มผัสหรือได้ รับแสงแดดให้ มากที่สุด
และช่ วยในการระบายความร้ อนได้ ดขึน ี ้
ตัวใบมีรูปร่ างลักษณะแตกต่ างกันขึนอยู่กบชนิดของพืช เช่ น มี
้ ั
รูปร่างคล้ายใบหอก ลูกธนู หัวใจ ไต เคยว ช้อน เป็นรูปไข่
ี
แหลม ยาว เป็นเส้น เป็นต้น
- 8. แผ่ นใบ ประกอบด้ วย ปลายใบ (apex) ขอบใบ
(margin) และฐานใบ(base) ภายในแผ่ นใบมี
เส้ นเล็ก ๆ อยู่มากมาย เส้ นเหล่ านี ้ คือเส้ นใบ(vein)
และมีเส้ นใบย่ อย(veinlet) ที่มีขนาดใหญ่ เล็ก
ลดหล่ ันกันไป
- 10. ถ้ าเป็ นพืชใบเลียงคู่ตรงกลางแผ่ นใบจะมีเส้ นกลางใบ
้
(midrib) ติดต่ อจากก้ านใบไปจนถึงปลายใบ ซึ่งมีขนาด
ใหญ่ ทสุด ประกอบด้ วยท่ อลําเลียง จะเชื่อมถึงกันหมด และ
ี่
จะเชื่อมไปยังก้ านใบรวมทั้งท่ อลําเลียงของลําต้ น และราก
อกด้วย
ี
- 13. การจัดเรียงตัวของเส้ นใบ แบ่ งออกเป็ น 2 แบบ คือ
-การจัดเรียงตัวของเส้ นใบแบบตาข่ าย ( netted venation )
พบในพืชใบเลียงคู่ทวไป โดยเส้ นใบย่ อยหรือเส้ นแขนง
้ ั่
จะแตกกงก้านออกจากเส้นกลางใบเป็นเส้นเลกลงตามลาดบ
ิ่ ็ ํ ั
และ สานกนเป็นร่างแห หรือแบบตาข่าย
ั
ถ้ ามีเส้ นกลางใบ และมีเส้ นใบย่อยแตกออกจากเส้ นกลางใบ
ลักษณะเช่นนี ้เรี ยกว่า pinnately netted venation
ถ้ าแตกจากโคนของใบ ไม่มีเส้ นใบกลางใบ แบบนี ้เรี ยกว่า
palmately netted venation
- 20. ผิวด้ านบนส่ วนที่รับแสงเรี ยกว่ า หลังใบ (dorsal
side) ส่ วนด้ านล่ างที่ไม่ ได้ รับแสง เรี ยกว่ า ท้ องใบ
(ventral side) ทางด้ านหลังใบมักมีสีเขียวเข้ มและ
ผิวเรี ยบกว่ าด้ านท้ องใบ แต่ เส้ นใบทางด้ านท้ องใบจะ
นูนออกมาเหนได้ชัดเจนกว่า
็
- 23. 2.ก้ านใบ (petiole หรือ stalk) เป็ นส่ วนของใบทีเ่ ชื่อม
ระหว่างตวใบกบลาต้นหรือกงก้าน พชบางชนิดมก้าน บางชนด
ั ั ํ ่ิ ื ี ิ
ไม่มก้านใบ มีหน้ าทีในการลําเลียงนําและธาตุอาหารจากราก
ี ่ ้
ลาต้น ผ่านก้านใบไปยงแผ่นใบ และลาเลยงอาหารทแผ่นใบผลต
ํ ั ํ ี ่ี ิ
ขนมา ผ่านเส้นใบ เส้นกลางใบมายงก้านใบ และไปยงส่วนอน ๆ
ึ้ ั ั ่ื
ของพช ื
ก้ านใบพืชใบเลียงคู่มักเรียวเล็กลักษณะกลมหรือค่ อนข้ างกลม แต่
้
ในพืชใบเลียงเดียวมักมีก้านใบแผ่ เป็ นแผ่ นหุ้มข้ อของลําต้ น
้ ่
เรียกว่ า กาบใบ (leaf sheath)
- 29. 3. ฐานใบ (base) เป็ นส่ วนทียดติดกับลําต้ นหรือกิง ใบพืช
่ึ ่
บางชนิดทีฐานใบจะมีใบเล็กๆ มอนเดยว หรือสองอน มกมี
่ ีั ี ั ั
สี เขียวในการสั งเคราะห์ แสง เรียกว่ า หูใบ (stipule)
หูใบมักมีอายุไม่ นาน และจะหลุดร่ วงไป มีรูปร่ างต่ างกัน
ขึนกับชนิดของพืช เช่ น เป็ นแผ่ นสี เขียวคล้ ายแผ่ นใบ
้
เป็ นเกล็ด เป็ นหนาม เช่ น ใบชบา ใบมะขาม ใบกุหลาบ
เป็ นต้ น
- 32. การจัดเรียงของใบตดกบลาต้น (Phyllotaxis)
ิ ั ํ
เป็นการปรับตวของพช ให้ใบได้มโอกาสได้รับแสงแดด
ั ื ี
เต็มทีทุกใบ โดยไม่ มการบดบังกัน
่ ี
แบ่งออกได้กว้าง ๆ 3 แบบ คือ
- แบบสลับ (alternate หรือ spiral) เช่ น น้ อยหน่ า
กระดงงา จําปี
ั
- แบบตรงข้ าม (opposite) เช่ น ขีเ้ หล็ก
- แบบวง (whorled หรือ verticillate) เช่น สาหร่ายหาง
กระรอก พุดซ้ อน บานบุรี ยีโถ่
- 34. ใบขี ้เหล็ก
การเรียงตัวของใบแบบตรงกันข้ าม (opposite)
- 35. บานบุรี ยี่โถ
การเรี ยงตัวของใบแบบวง (whorled หรือ verticillate)
- 37. ชนิดของใบ
1. ใบแท้ (foliage leaf) คือ ใบปกติของพืชทัวไป อาจ ่
เป็ นแผ่ นแบนหรือเรียวเล็ก มีสีเขียว ทําหน้ าทีหลักในการ
่
สังเคราะห์แสง หายใจ และคายนํา จาแนกได้เป็น
้ ํ
- ใบเดียว (simple leaf) คือ ใบทีมีแผ่ นใบเพียงแผ่ นเดียว
่ ่
ติดอยู่บนก้ านใบทีแตกออกจากกิงหรือลําต้ น เช่ น ใบมะม่ วง
่ ่
ชมพู่ กล้ วย ข้ าว ฟักทอง ใบเดียวบางชนิดอาจมีขอบใบเว้ าหยักลึก
่
เข้ าไปมากจนดูคล้ ายใบประกอบ เช่ น ใบมะละกอ สาเก
มันสํ าปะหลัง
- 42. - ใบประกอบ (compound leaf) คือ ใบทีมีแผ่ นใบ
่
มากกว่ าหนึ่ง เกิดบนก้ านใบอันเดียวกัน แต่ ละใบของใบประกอบ
เรียกว่ า ใบย่ อย (leaflet) ก้ านใบย่ อย เรียกว่ า เพทโอลูล
ิ
(petiolule) หรือ petiolet ใบประกอบจะมีตาทีซอกใบ ทีตดกับ
่ ่ ิ
ลาต้นเท่าน้ัน และไม่มหูใบ (แต่ ส่วนทีเ่ ป็ นก้ านใบ
ํ ี
ย่ อยจะไม่ พบตา) เช่น ขเี้ หลก ใบจามจุรี ซึ่งต่ างจากใบเดียวทีมีตา
็ ่ ่
ข้างหรือตายอด และหูใบ
ใบประกอบแผ่ นใบย่ อยจะแก่ พร้ อม ๆ กัน แต่ถ้าเป็นกงของใบเดยว
่ิ ่ี
ใบตอนโคนจะแก่ กว่ าใบตอนปลายกิง เช่ น ใบมะยม ผักหวานบ้ าน
่
ลูกใต้ ใบ - ใบเดียว
่
- 43. ใบประกอบยงจําแนกยอยได้ดงนี ้ คือ
ั ่ ั
- ใบประกอบแบบฝ่ามือ (palmately compound
leaf) เชน มะขามเทศ ยางพารา ถวเหลือง ถวฝักยาว
่ ั่ ั่
ผกแวน ใบน่น
ั ่ ุ
- ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound
leaf) เชน ใบกหลาบ ใบมะขาม ใบจามจรี
่ ุ ุ
- 45. ใบประกอบแบบขนนก ใบประกอบแบบขนนก
ปลายคี่ ปลายคู่
(odd-pinnate) (even-pinnate)
- 46. ใบประกอบแบบขนนกสองชัน
้ ใบประกอบแบบขนนกสามชัน
้
(bi-pinnately (tri-pinnately
compound leaves) compound leaves)
- 53. 2. ใบเลียง (cotyledon) คือใบของต้ นอ่ อนหรือ
้
เอมบริโอ และเป็นใบแรกทงอกออกมาจากเมลด ทาหน้าที่
็ ี่ ็ ํ
ช่วยสะสม หรือสร้างอาหารเพอการเจริญเติบโตของต้นอ่อน
ื่
ในขณะทีเ่ มล็ดเริ่มงอก และยังไม่ มใบแท้
ี
- 55. 3. ใบดอก (floral leaf) คอ เป็ นใบทีเ่ ปลียนแปลงไป
ื ่
มสีสวยงามคล้ายกลบดอก เพอทาหน้าทล่อแมลงในการ
ี ี ื่ ํ ี่
ผสมเกสร เช่ น หน้ าวัว คริสต์ มาส เฟื่ องฟา เป็ นต้ น
้
- 57. ใบประดับ (Bract)
เป็ นใบที่เปลียนแปลงไป ทําหน้ าทีช่วยรองรับดอก
่ ่
หรือช่อดอก อยู่บริเวณซอกใบ และมกมสีเขยว แต่
ั ี ี
อาจมีสีอนก็ได้ ใบประดับมิได้ เป็ นส่ วนใดส่ วนหนึ่ง
ื่
ของดอก ตัวอย่ างเช่ น กาบปลีของกล้ วย กาบเขียง
ของมะพร้าว และหมากซึ่งมีสีเขียว อาจจัดใบดอก
และใบประดับไว้ เป็ นชนิดเดียวกัน แต่ ถ้ามีสีสวยงาม
เรียกว่า ใบดอก
57
- 60. 4. ใบเกล็ด (scale leaf หรือ cataphyll) คือใบที่
เจริญมาเพอทาหน้าทห่อห้ ุมปองกนตา และใบอ่อนไม่ให้
ื่ ํ ี่ ้ ั
ได้ รับอันตราย โดยทัวไปไม่ มสีเขียว ลักษณะเป็ นแผ่ นเล็ก ๆ
่ ี
คล้ายเกลด บางชนิดมขนาดใหญ่ทาหน้าทสะสมอาหาร เช่น
็ ี ํ ี่
หัวหอม กระเทียม
- 63. โครงสร้ างภายในของใบ
1) เอพิเดอร์ มส (epidermis) เป็ นเนือเยือผิวชั้นนอก
ิ ้ ่
ทีมความหนาเพียงชั้นเดียวอยู่นอกสุ ด มีอยู่ท้งด้ านหลังใบ
่ ี ั
(upper epidermis) และ ด้านท้องใบ (lower
epidermis) มีควทินหนา โดยเฉพาะเอพเิ ดอร์มสด้าน
ิ ิ
บน (upper epidermis) ปองกนการระเหยนํา
้ ั ้
ปกตเิ ซลล์ของเอพิเดอร์ มสไม่มคลอโรฟีลล์ ยกเว้นใน
ิ ี
เซลล์ คุมเท่ านั้น
- 67. เอพเิ ดอร์มิส ประกอบด้ วยเซลล์ทมรูปร่างเป็นรูป
่ี ี
สี่ เหลียมผืนผ้ าเรียงตัวกันเพียงชั้นเดียว ไม่ มีคลอโรพลาสต์
่
มีหน้ าทีช่วยปองกันโครงสร้ างอืนของใบทีอยู่ถดไป และช่วย
่ ้ ่ ่ ั
ปองกันไม่ ให้ นําระเหยออกจากใบมากเกิน
้ ้
เซลล์บางเซลล์จะเปลยนไปเป็นเซลล์คุม (guard
่ี
cell) เป็นคู่ๆ มรูปร่างคล้ายเมลดถว 1 คู่ มาประกบกัน ทําให้
ี ็ ่ั
เกดรู ตรงกลางขน คอ ส่วนของปากใบ (stoma หรือ
ิ ึ้ ื
stomata) ทาหน้ าทีแลกเปลียนแก๊ส และไอนํา ระหว่าง
ํ ่ ่ ้
ภายใน และภายนอกใบ ภายในเซลล์คุมมีคลอโรพลาสต์
- 71. โดยทัวไปพบปากใบทีผวใบด้ านล่ าง(ท้องใบ)มากกว่า
่ ่ ิ
ด้ านบน (หลงใบ) แต่ พชบางชนิดมีจํานวนปากใบ ทั้ง
ั ื
ด้ านบน และด้ านล่ างใกล้ เคียงกัน เช่ น ข้ าวโพด
พืชทีใบลอยปริ่มนํา เช่ น บัวสาย จะมีปากใบอยู่เฉพาะทาง
่ ้
ด้ านบนของใบเท่ านั้น
พชทจมอย่ ูใต้นํา เช่น สาหร่ายหางกระรอก จะไม่มปากใบ
ื ี่ ้ ี
- 73. 2) มีโซฟีลล์ (mesophyll) เป็ นเนือเยือทีอยู่ระหว่ าง
้ ่ ่
เอพิเดอร์ มสทั้งสองด้ าน ประกอบด้ วยเนือเยือพาเรงคิมา
ิ ้ ่
ท่มคลอโรพลาสต์อยู่มาก ทําให้ เห็นใบเป็ นสี เขียว และช่ วย
ี ี
สังเคราะห์แสง
- 76. โดยทัวไปพบเซลล์ ทมรูปร่ างแตกต่ างกันเป็ น 2 แบบ คือ
่ ี่ ี
- พาลิเสดมีโซฟี ลล์ (palisade mesophyll) เป็ น
ชันที่ตดกับเอพิเดอร์ มสด้ านบน ประกอบด้ วยเซลล์
้ ิ ิ
ที่มีรูปร่ างยาวเรี ยงต่ อกันในแนวตังฉากกับเอพิเดอร์
้
มส โดยไม่ มีช่องว่ างระหว่ างเซลล์ อาจมีชันเดียว
ิ ้
หรื อหลายชัน ภายในเซลล์ มีคลอโรพลาสต์ อยู่เป็ น
้
จานวนมาก จนเป็นบริเวณท่ ีมีการสังเคราะห์ด้วย
ํ
แสงมากที่สุด
- 77. - สปันจีมโซฟีลล์ (spongy mesophyll) เป็ นชั้นที่
ี
อย่ ูถัดลงมาจากพาลเิ สดมีโซฟีลล์ จนถึงเอพเิ ดอร์มสด้านล่ าง
ิ
ประกอบด้ วยเซลล์ ทมรูปร่ างค่ อนข้ างกลมเรียงตัวหลวมๆ
ี่ ี
ไม่ เป็ นระเบียบ จึงเกิดช่ องว่ างระหว่ างเซลล์ ช่ วยให้ เซลล์
สั มผัสอากาศภายในใบได้ มาก จึงเอืออํานวยต่ อการ
้
แลกเปลยนแก๊ส และไอนําระหว่างเซลล์กบสิ่งแวดล้อม
ี่ ้ ั
ภายในมีคลอโรพลาสต์ไม่ หนาแน่ น จึงเกิดกระบวนการ
สังเคราะห์ด้วยแสงได้น้อยกว่าช้ันพาลเิ สดมีโซฟีลล์
- 78. 3) กลุ่มท่ อลําเลียงของใบ หรื อ มัดท่ อลําเลียง
(Vascular bundle) เป็ นกลุ่มเซลล์ ท่ ทาหน้ าที่
ี ํ
ลําเลียงนํา เกลือแร่ และอาหาร ไปสู่ส่วนต่ างๆ ของ
้
ใบ แทรกอยู่ในชันสปั นจีมีโซฟี ลล์ ประกอบด้ วย ไซเล็ม
้
และโฟลเอ็ม ตามปกติเส้ นใบจะอยู่กันเป็ นย่ อมๆ ในชัน ้
สปันจีมีโซฟี ลล์ (spongy mesophyll) เส้ นใบเส้ น
ใหญ่ ท่ สุด คือ เส้ นกลางใบ แล้ วแยกแขนงจากเส้ นกลางใบ
ี
(midrib) เป็ นเส้ นเล็กลงเรื่ อยๆออกไปมากมาย
- 79. มดท่อลาเลยงจะล้อมรอบด้วยกล่ มเซลล์ทเี่ รียกว่า บันเดิล
ั ํ ี ุ
ชีท (bundle sheath) เช่ น ข้ าวโพด ช่ วยทําให้ มดท่ อ ั
ลําเลียงแข็งแรงขึน ซึ่งบันเดิลชีทอาจจะเป็ นเนือเยือพาเรง
้ ้ ่
คมา หรือสเกลอเรงคมา 1-2 ชั้น ส่ วนใหญ่ จะอยู่ในช้ันสปันจี
ิ ิ
มีโซฟีลล์ ทําให้ เห็นเส้ นใบนูนขึนมาทางด้ านท้ องใบ
้
- 86. หน้ าที่ของใบ
ใบมีหน้าท่ สาคญ 3 ประการคือ
ี ํ ั
1. สร้ างอาหารด้ วยวิธีการสังเคราะห์ ด้วยแสง
(Photosynthesis)
2. แลกเปล่ ียนแก๊สหรือการหายใจ
(respiration)
3. คายนํา (transpiration) การคายนําเป็น
้ ้
การปรับอุณหภูมิภายในต้ นพืชไม่ ให้ สูงมาก ในวันที่มีอากาศ
ร้อนพชจะคายนํามากกว่าวนท่ อากาศปกติ
ื ้ ั ี
- 88. 2) ช่วยยด และคาจุนลาต้น (supporting leaf) โดย
ึ ํ้ ํ
ใบเปลียนไปเป็ นมือเกาะ (tendril) เช่ น มือเกาะของต้ น
่
ตําลึง มะระ บวบ ถั่วลันเตา แตงกวา ฟักทอง เป็ นต้ น
- 89. 3) ช่วยปองกนลาต้น –ใบเปลียนเป็ นหนาม (leaf spine)
้ ั ํ ่
ช่วยปองกนอนตรายจากภายนอก ตลอดจนสัตว์และแมลงที่
้ ั ั
จะมากดกน อกท้งช่วยลดการคายนําของพช เช่น กระะบอง
ั ิ ี ั ้ ื
เพชร (ใบ) ป่ านศรนารายณ์ (ขอบใบ) สั บปะรด (ขอบใบ)
มะขามเทศ (หูใบ)
- 91. 4) ใบสื บพันธุ์ (reproductive leaf) หรือ แพร่ พนธุ์ ั
เป็ นใบทีเ่ ปลียนไปทําหน้ าทีสืบพันธุ์ เช่ น ใบโคมญีปุ่น
่ ่ ่
ใบควาตายหงายเป็น เป็ นต้ น
ํ่
- 92. 5) ช่ วยในการผสมพันธุ์ ใบดอกหรื อใบประดับ (bract)
เป็ นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทําหน้ าที่รองรั บดอกหรื อ
ช่ อดอก อาจมีสีเขียวหรื อสีอ่ ืน ๆ คล้ ายกลีบดอก เพื่อ
ช่ วยในการล่ อแมลงให้ ผสมเกสร เช่ น เฟื่ องฟา หน้ าวัว
้
- 95. 6) ใบเกล็ด (Scale leaf) เป็ นใบทีเ่ ปลียนแปลงไปเป็ น
่
เกล็ดเล็กๆ ใบเกล็ดมักไม่ มี คลอโรฟิ ลล์ เช่ น ใบเกล็ดของขิง
ข่ า เผือก
- 97. เป็ นใบที่ เกลดห้ ุมตา (Bud scale)
็
เปลี่ยนแปลงไป
ทําหน้าที่หุมตา
้
หรือคลุมตาไว ้
เม่ือตา
เจริญเติบโต
ออกมา จึงดนให้ั
เกลดหุมตาหลุด
็ ้
ไปพบในต้นยาง
จําปี สาเก
เป็ นตน้ เกล็ดตา (Bud scale) 97
- 98. 7) ใบดักจับแมลง (carnivorous leaf หรือ
insectivorous leaf) เป็ นใบทีเ่ ปลียนแปลงไปเป็ น
่
กบดกแมลง หรือสัตว์เลก ๆ เช่น หม้อข้าวหม้อแกงลง
ั ั ็ ิ
หยาดนําค้าง กาบคอยแครง สาหร่ายข้ าวเหนียว
้
- 99. ใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous
leaf)
เป็ นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็ นกับดักแมลง หรื อสัตว์ขนาดเล็ก
ภายในกบดกมีต่อมสร้างเอนไซมประเภทโพรทีเอส
ั ั ์
่ ่
(Protease) ท่ียอยโปรตีนสัตว์ที่ติดอยูในกับดักได้ พืชชนิดนี้มี
ใบปกติที่สามารถสังเคราะห์แสงได้เหมือนพืชทัว ๆ ไป แต่
่
ั ่
พืชเหล่านี้มกอยูในที่มีความชื้นมากกว่าปกติ อาจขาดธาตุ
อาหารบางชนิด เช่น ไนโตรเจน จึงต้องมีส่วนที่เปลี่ยนแปลง
ไปเป็ นกับดัก เช่น ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง (หรื อน้ าเตาฤๅษี)
ํ ้
ต้นกาบหอยแครง ต้นหยาดนํ้าค้าง ต้นสาหร่ ายข้าวเหนียว
หรื อสาหร่ ายนา (ไม่ใช่สาหร่ าย แต่เป็ นพืชนํ้าขนาดเล็ก)
เป็ นต้น 99
- 104. แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf)
ของ
แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) ต้นกาบหอยแครง (Carnivorous Plant Website, 2006)
ของ
ต้นหยาดนําค้าง (Carnivorous Plant Website, 2006)
้
104
- 108. สาหร่ายข้าวเหนียวเป็นหนงในกลม พืช “นักล่าแมลง” อวัยวะพิเศษที่มน
ึ่ ุ่ ั
สร้ างขึ ้นมาสําหรับเป็ น “กับดัก” ก็ตดอยูตามลําต้ นและตามซอกใบ กับดัก
ิ ่
นี ้เป็ น “ถุง” มีขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตรเท่านันเอง “ถงกบดก” เป็ น
้ ุ ั ั
เหมือนกระเป๋ าลมที่พองได้ ลีบแบนได้ (มีปากถุงเป็ นปากแคบๆ มีฝาปิ ด-
เปิดได้ สาหร่ายข้าวเหนียวต้นหนงมีกบดกเอาไว้หาอาหารหลายร้อยถง
ึ่ ั ั ุ
1. เมื่อมีเหยื่อผ่านเข้ ามาสัมผัสอวัยวะบริ เวณปากถุงด้ านนอก ปากถุงจะ
เปิ ดออก
2. เมื่อปากถุงเปิ ดออก จะเกิดแรงดูดเอานํ ้ารวมทังเหยื่อเข้ าสูภายในถุง
้ ่
3. หลังจากนันฝาก็จะปิ ดลง เหยื่อหมดทางออก และตายในที่สด
้ ุ
4. นํ ้าย่อยภายในถุงทําการย่อยเนื ้อของเหยื่อ
5. และดูดซึม นําไปเป็ นอาหารเลี ้ยงลําต้ นต่อไป
- 112. 8) ทนลอย (Floating leaf ) พืชนํ ้าบางชนิด เชน ผกตบชวา
ุ่ ่ ั
สามารถลอยนํ ้าอยได้ โดยอาศยก้านใบพองโตออก ภายในมีเนื ้อ
ู่ ั
อยกนอยางหลวมๆ และมีชองวางอากาศใหญ่ทําให้มีอากาศอยู่
ู่ ั ่ ่ ่
มาก จงชวยพยงให้ลําต้นลอยนํ ้าอยได้
ึ ่ ุ ู่