SlideShare a Scribd company logo
1 of 112
Download to read offline
3.โครงสร้ างและหน้ าทีของใบ
                      ่
จุดประสงค์ การเรียนรู้ เพือให้ นักเรียนสามารถ
                               ่
1. สื บค้ นข้ อมูล ทดลอง อธิบาย และอภิปรายเกียวกับโครงสร้ าง
                                             ่
   และหน้ าทีของใบ
                ่
2. สื บค้ นข้ อมูล ทดลอง และสรุ ปเกียวกับโครงสร้ างภายใน
                                    ่
   ของใบ
โครงสร้ างของใบพืช
ใบ ( Leaves )
เป็ นอวัยวะทีเ่ จริญออกไปบริเวณด้ านข้ าง โดยมีตาเเหน่ งอย่ ู
                                                ํ
ทีข้อปล้ องของต้ น และกิง ใบส่ วนใหญ่ มกแผ่ แบน และมีสี
  ่                     ่                ั
เขยวของคลอโรฟิลล์ รูปร่างและขนาดของใบแตกต่างกนไป
    ี                                                  ั
ตามชนิดของพช     ื

หน้าทหลกของใบ คอใช้ในการสังเคราะห์แสง การหายใจ
     ี่ ั      ื
และการคายนํา
           ้
ใบแท้ ทีครบส่ วน (complete leaf) จะประกอบไป
          ่
ด้ วย แผ่ นใบ ก้ านใบ และหูใบ ครบท้ง 3 ส่ วน หากขาดส่ วน
                                    ั
หน่ึงส่ วนใด จะเป็ นใบทีไม่ ครบส่ วน (incomplete
                        ่
    leaf)
ใบทีครบส่ วน
    ่
ส่ วนประกอบของใบ แบ่ งเป็ น 3 ส่วน ได้แก่
1. แผ่นใบหรือตัวใบ (blade หรือ lamina) เป็นส่วน
สํ าคัญมากของใบ ลักษณะเป็ นแผ่ นแบนบาง เพือเพิมพืนที่ให้
                                             ่ ่ ้
คลอโรฟี ลล์ในใบมีโอกาสสั มผัสหรือได้ รับแสงแดดให้ มากที่สุด
และช่ วยในการระบายความร้ อนได้ ดขึน ี ้
ตัวใบมีรูปร่ างลักษณะแตกต่ างกันขึนอยู่กบชนิดของพืช เช่ น มี
                                  ้       ั
รูปร่างคล้ายใบหอก ลูกธนู หัวใจ ไต เคยว ช้อน เป็นรูปไข่
                                        ี
แหลม ยาว เป็นเส้น เป็นต้น
ส่ วนประกอบของใบ
แผ่ นใบ ประกอบด้ วย ปลายใบ (apex) ขอบใบ
(margin) และฐานใบ(base) ภายในแผ่ นใบมี
เส้ นเล็ก ๆ อยู่มากมาย เส้ นเหล่ านี ้ คือเส้ นใบ(vein)
และมีเส้ นใบย่ อย(veinlet) ที่มีขนาดใหญ่ เล็ก
ลดหล่ ันกันไป
ลักษณะปลายใบแบบต่างๆ




 ลักษณะขอบใบแบบต่ างๆ
ถ้ าเป็ นพืชใบเลียงคู่ตรงกลางแผ่ นใบจะมีเส้ นกลางใบ
                 ้
(midrib) ติดต่ อจากก้ านใบไปจนถึงปลายใบ ซึ่งมีขนาด
ใหญ่ ทสุด ประกอบด้ วยท่ อลําเลียง จะเชื่อมถึงกันหมด และ
         ี่
จะเชื่อมไปยังก้ านใบรวมทั้งท่ อลําเลียงของลําต้ น และราก
อกด้วย
   ี
การจัดเรียงตัวของเส้ นใบ
การจัดเรียงตัวของเส้ นใบ แบ่ งออกเป็ น 2 แบบ คือ
-การจัดเรียงตัวของเส้ นใบแบบตาข่ าย ( netted venation )
พบในพืชใบเลียงคู่ทวไป โดยเส้ นใบย่ อยหรือเส้ นแขนง
            ้     ั่
จะแตกกงก้านออกจากเส้นกลางใบเป็นเส้นเลกลงตามลาดบ
       ิ่                                 ็        ํ ั
และ สานกนเป็นร่างแห หรือแบบตาข่าย
          ั
ถ้ ามีเส้ นกลางใบ และมีเส้ นใบย่อยแตกออกจากเส้ นกลางใบ
ลักษณะเช่นนี ้เรี ยกว่า pinnately netted venation
 ถ้ าแตกจากโคนของใบ ไม่มีเส้ นใบกลางใบ แบบนี ้เรี ยกว่า
palmately netted venation
ตาข่ ายแบบขนนก
                                            ตาข่ายแบบฝ่ามือ



                 การจัดเรียงตัวของเส้ นใบ
-การจัดเรียงตัวของเส้ นใบแบบขนาน(paralleled venation)
พบในพืชใบเลียงเดียว จะมีเส้ นใบขนาดใหญ่ เท่ ากันเรียงไป
              ้ ่
ในแนวเดียวกันตามยาว จากฐานใบไปสู่ ยอด(ใบเรียงตามยาว
ของใบ) เช่ น ใบไผ่ ใบมะพร้ าว หรือจากกลางใบออกสู่ ขอบ
ใบ (เส้ นใบขนานกันตามขวางของใบ) เช่ น ใบตอง เป็ นต้ น
การจัดเรียงตัวของเส้ นใบแบบขนาน
เส้ นใบขนานเรียงตามยาวของใบ (plamately parallel venation)
เส้นใบขนานกนตามขวางของใบ
              ั
  (pinately parallel venation)
ผิวด้ านบนส่ วนที่รับแสงเรี ยกว่ า หลังใบ (dorsal
side) ส่ วนด้ านล่ างที่ไม่ ได้ รับแสง เรี ยกว่ า ท้ องใบ
(ventral side) ทางด้ านหลังใบมักมีสีเขียวเข้ มและ
ผิวเรี ยบกว่ าด้ านท้ องใบ แต่ เส้ นใบทางด้ านท้ องใบจะ
นูนออกมาเหนได้ชัดเจนกว่า
               ็
ใบ (Leaf)


หลังใบ

                     ท้องใบ




                        21
ท้องใบ




หลังใบ
2.ก้ านใบ (petiole หรือ stalk) เป็ นส่ วนของใบทีเ่ ชื่อม
ระหว่างตวใบกบลาต้นหรือกงก้าน พชบางชนิดมก้าน บางชนด
           ั ั ํ              ่ิ         ื         ี              ิ
ไม่มก้านใบ มีหน้ าทีในการลําเลียงนําและธาตุอาหารจากราก
       ี             ่                ้
ลาต้น ผ่านก้านใบไปยงแผ่นใบ และลาเลยงอาหารทแผ่นใบผลต
  ํ                    ั                ํ ี          ่ี         ิ
ขนมา ผ่านเส้นใบ เส้นกลางใบมายงก้านใบ และไปยงส่วนอน ๆ
    ึ้                              ั                   ั    ่ื
ของพช    ื
 ก้ านใบพืชใบเลียงคู่มักเรียวเล็กลักษณะกลมหรือค่ อนข้ างกลม แต่
                ้
ในพืชใบเลียงเดียวมักมีก้านใบแผ่ เป็ นแผ่ นหุ้มข้ อของลําต้ น
            ้ ่
เรียกว่ า กาบใบ (leaf sheath)
ก้ านใบ
ในพืชใบเลี ้ยงเดี่ยวมักมี
ก้ านใบแผ่เป็ นแผ่นหุ้มข้ อ
ของลําต้ น เรี ยกว่า กาบ
ใบ (Leaf sheath)
ภายในก้ านใบจะมีทอ    ่
ลําเลียง(มีไซเลมและโฟล
                 ็
เอม) ติดต่ออยูกบลําต้ น
    ็           ่ ั
กาบใบ
3. ฐานใบ (base) เป็ นส่ วนทียดติดกับลําต้ นหรือกิง ใบพืช
                                ่ึ                    ่
บางชนิดทีฐานใบจะมีใบเล็กๆ มอนเดยว หรือสองอน มกมี
            ่                    ีั ี                ั ั
สี เขียวในการสั งเคราะห์ แสง เรียกว่ า หูใบ (stipule)
หูใบมักมีอายุไม่ นาน และจะหลุดร่ วงไป มีรูปร่ างต่ างกัน
ขึนกับชนิดของพืช เช่ น เป็ นแผ่ นสี เขียวคล้ ายแผ่ นใบ
   ้
 เป็ นเกล็ด เป็ นหนาม เช่ น ใบชบา ใบมะขาม ใบกุหลาบ
เป็ นต้ น
หูใบกหลาบ
     ุ
การจัดเรียงของใบตดกบลาต้น (Phyllotaxis)
                     ิ ั ํ
เป็นการปรับตวของพช ให้ใบได้มโอกาสได้รับแสงแดด
              ั       ื          ี
เต็มทีทุกใบ โดยไม่ มการบดบังกัน
      ่             ี
 แบ่งออกได้กว้าง ๆ 3 แบบ คือ
- แบบสลับ (alternate หรือ spiral) เช่ น น้ อยหน่ า
   กระดงงา จําปี
         ั
- แบบตรงข้ าม (opposite) เช่ น ขีเ้ หล็ก
- แบบวง (whorled หรือ verticillate) เช่น สาหร่ายหาง
   กระรอก พุดซ้ อน บานบุรี ยีโถ่
ใบน้ อยหน่า




การเรียงตัวของใบแบบสลับ (alternate หรือ spiral)
ใบขี ้เหล็ก




              การเรียงตัวของใบแบบตรงกันข้ าม (opposite)
บานบุรี                                  ยี่โถ




การเรี ยงตัวของใบแบบวง (whorled หรือ verticillate)
ชนิดของใบ
ชนิดของใบ
1. ใบแท้ (foliage leaf) คือ ใบปกติของพืชทัวไป อาจ   ่
เป็ นแผ่ นแบนหรือเรียวเล็ก มีสีเขียว ทําหน้ าทีหลักในการ
                                               ่
สังเคราะห์แสง หายใจ และคายนํา จาแนกได้เป็น
                                   ้ ํ
 - ใบเดียว (simple leaf) คือ ใบทีมีแผ่ นใบเพียงแผ่ นเดียว
        ่                               ่
ติดอยู่บนก้ านใบทีแตกออกจากกิงหรือลําต้ น เช่ น ใบมะม่ วง
                    ่            ่
ชมพู่ กล้ วย ข้ าว ฟักทอง ใบเดียวบางชนิดอาจมีขอบใบเว้ าหยักลึก
                               ่
เข้ าไปมากจนดูคล้ ายใบประกอบ เช่ น ใบมะละกอ สาเก
มันสํ าปะหลัง
ใบเดี่ยว
ใบเดี่ยวแบบต่างๆ
ใบเดี่ยว
ใบเดี่ยว




ใบตอนโคนจะแก่กว่า
ใบตอนปลายกิ่ง เช่ น
ใบมะยม
ผักหวานบ้าน
ลูกใต้ใบ
- ใบประกอบ (compound leaf) คือ ใบทีมีแผ่ นใบ
                                   ่
มากกว่ าหนึ่ง เกิดบนก้ านใบอันเดียวกัน แต่ ละใบของใบประกอบ
เรียกว่ า ใบย่ อย (leaflet) ก้ านใบย่ อย เรียกว่ า เพทโอลูล
                                                       ิ
(petiolule) หรือ petiolet ใบประกอบจะมีตาทีซอกใบ ทีตดกับ
                                                     ่        ่ ิ
ลาต้นเท่าน้ัน และไม่มหูใบ (แต่ ส่วนทีเ่ ป็ นก้ านใบ
   ํ                   ี
ย่ อยจะไม่ พบตา) เช่น ขเี้ หลก ใบจามจุรี ซึ่งต่ างจากใบเดียวทีมีตา
                             ็                              ่ ่
ข้างหรือตายอด และหูใบ
ใบประกอบแผ่ นใบย่ อยจะแก่ พร้ อม ๆ กัน แต่ถ้าเป็นกงของใบเดยว
                                                         ่ิ       ่ี
ใบตอนโคนจะแก่ กว่ าใบตอนปลายกิง เช่ น ใบมะยม ผักหวานบ้ าน
                                   ่
ลูกใต้ ใบ - ใบเดียว
                 ่
ใบประกอบยงจําแนกยอยได้ดงนี ้ คือ
              ั   ่    ั
- ใบประกอบแบบฝ่ามือ (palmately compound
leaf) เชน มะขามเทศ ยางพารา ถวเหลือง ถวฝักยาว
        ่                        ั่   ั่
ผกแวน ใบน่น
 ั ่        ุ
- ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound
leaf) เชน ใบกหลาบ ใบมะขาม ใบจามจรี
          ่     ุ                   ุ
ใบประกอบแบบต่างๆ




             ใบประกอบแบบฝ่ ามือ
ใบประกอบแบบขนนก   ใบประกอบแบบขนนก
ปลายคี่           ปลายคู่
(odd-pinnate)     (even-pinnate)
ใบประกอบแบบขนนกสองชัน
                    ้   ใบประกอบแบบขนนกสามชัน
                                            ้
(bi-pinnately           (tri-pinnately
compound leaves)        compound leaves)
ใบประกอบแบบขนนก   ใบประกอบแบบฝ่ามือ
ใบประกอบแบบขนนก

      ใบจามจุรี
ใบประกอบแบบฝ่ ามือ


                 ใบยางพารา
ใบประกอบของต้ นหางนกยูงไทย



ใบเดี่ยวของต้นไทร                                51
2. ใบเลียง (cotyledon) คือใบของต้ นอ่ อนหรือ
        ้
เอมบริโอ และเป็นใบแรกทงอกออกมาจากเมลด ทาหน้าที่
  ็                      ี่             ็ ํ
ช่วยสะสม หรือสร้างอาหารเพอการเจริญเติบโตของต้นอ่อน
                             ื่
ในขณะทีเ่ มล็ดเริ่มงอก และยังไม่ มใบแท้
                                  ี
ใบเลียง
     ้
3. ใบดอก (floral leaf) คอ เป็ นใบทีเ่ ปลียนแปลงไป
                              ื                ่
มสีสวยงามคล้ายกลบดอก เพอทาหน้าทล่อแมลงในการ
  ี                ี            ื่ ํ        ี่
ผสมเกสร เช่ น หน้ าวัว คริสต์ มาส เฟื่ องฟา เป็ นต้ น
                                          ้
ใบดอก (floral leaf)
ใบประดับ (Bract)

เป็ นใบที่เปลียนแปลงไป ทําหน้ าทีช่วยรองรับดอก
              ่                   ่
หรือช่อดอก อยู่บริเวณซอกใบ และมกมสีเขยว แต่
                                      ั ี ี
อาจมีสีอนก็ได้ ใบประดับมิได้ เป็ นส่ วนใดส่ วนหนึ่ง
          ื่
ของดอก ตัวอย่ างเช่ น กาบปลีของกล้ วย กาบเขียง
ของมะพร้าว และหมากซึ่งมีสีเขียว อาจจัดใบดอก
และใบประดับไว้ เป็ นชนิดเดียวกัน แต่ ถ้ามีสีสวยงาม
เรียกว่า ใบดอก
                                                      57
ใบประดับทีเ่ รียกว่ า กาบ
เขยงของต้นหมาก
  ี
ใบประดับทีเ่ รียกว่ ากาบปลี
ของต้ นกล้ วย




                              ใบประดับทีเ่ รียกว่ ากาบเขียง
                              ของต้ นมะพร้ าว
                                                        59
4. ใบเกล็ด (scale leaf หรือ cataphyll) คือใบที่
เจริญมาเพอทาหน้าทห่อห้ ุมปองกนตา และใบอ่อนไม่ให้
            ื่ ํ      ี่    ้ ั
ได้ รับอันตราย โดยทัวไปไม่ มสีเขียว ลักษณะเป็ นแผ่ นเล็ก ๆ
                    ่        ี
คล้ายเกลด บางชนิดมขนาดใหญ่ทาหน้าทสะสมอาหาร เช่น
          ็              ี        ํ     ี่
หัวหอม กระเทียม
เกลดห้ ุมตา (bud scale )
   ็
ใบเกล็ดของข่า
โครงสร้ างภายในของใบ
1) เอพิเดอร์ มส (epidermis) เป็ นเนือเยือผิวชั้นนอก
               ิ                       ้ ่
ทีมความหนาเพียงชั้นเดียวอยู่นอกสุ ด มีอยู่ท้งด้ านหลังใบ
  ่ ี                                       ั
(upper epidermis) และ ด้านท้องใบ (lower
epidermis) มีควทินหนา โดยเฉพาะเอพเิ ดอร์มสด้าน
                   ิ                               ิ
บน (upper epidermis) ปองกนการระเหยนํา
                               ้ ั                   ้
ปกตเิ ซลล์ของเอพิเดอร์ มสไม่มคลอโรฟีลล์ ยกเว้นใน
                        ิ    ี
เซลล์ คุมเท่ านั้น
เอพเิ ดอร์มิส ประกอบด้ วยเซลล์ทมรูปร่างเป็นรูป
                                            ่ี ี
สี่ เหลียมผืนผ้ าเรียงตัวกันเพียงชั้นเดียว ไม่ มีคลอโรพลาสต์
        ่
มีหน้ าทีช่วยปองกันโครงสร้ างอืนของใบทีอยู่ถดไป และช่วย
         ่ ้                   ่       ่ ั
ปองกันไม่ ให้ นําระเหยออกจากใบมากเกิน
 ้              ้
       เซลล์บางเซลล์จะเปลยนไปเป็นเซลล์คุม (guard
                             ่ี
cell) เป็นคู่ๆ มรูปร่างคล้ายเมลดถว 1 คู่ มาประกบกัน ทําให้
                ี               ็ ่ั
เกดรู ตรงกลางขน คอ ส่วนของปากใบ (stoma หรือ
  ิ               ึ้ ื
stomata) ทาหน้ าทีแลกเปลียนแก๊ส และไอนํา ระหว่าง
                    ํ   ่        ่            ้
ภายใน และภายนอกใบ ภายในเซลล์คุมมีคลอโรพลาสต์
เซลล์ ของเอพเิ ดอร์มสิ
อาจเปลยนแปลงไป
        ่ี
เป็ นเซลล์ คุม ต่ อม
และขน
โดยทัวไปพบปากใบทีผวใบด้ านล่ าง(ท้องใบ)มากกว่า
     ่           ่ ิ
ด้ านบน (หลงใบ) แต่ พชบางชนิดมีจํานวนปากใบ ทั้ง
           ั         ื
ด้ านบน และด้ านล่ างใกล้ เคียงกัน เช่ น ข้ าวโพด
พืชทีใบลอยปริ่มนํา เช่ น บัวสาย จะมีปากใบอยู่เฉพาะทาง
     ่           ้
ด้ านบนของใบเท่ านั้น
พชทจมอย่ ูใต้นํา เช่น สาหร่ายหางกระรอก จะไม่มปากใบ
 ื ี่          ้                             ี
2) มีโซฟีลล์ (mesophyll) เป็ นเนือเยือทีอยู่ระหว่ าง
                                     ้ ่ ่
เอพิเดอร์ มสทั้งสองด้ าน ประกอบด้ วยเนือเยือพาเรงคิมา
           ิ                           ้ ่
ท่มคลอโรพลาสต์อยู่มาก ทําให้ เห็นใบเป็ นสี เขียว และช่ วย
  ี ี
สังเคราะห์แสง
โครงสร้ างภายในของใบ
โครงสร้ างภายในของใบ
โดยทัวไปพบเซลล์ ทมรูปร่ างแตกต่ างกันเป็ น 2 แบบ คือ
       ่           ี่ ี

- พาลิเสดมีโซฟี ลล์ (palisade mesophyll) เป็ น
  ชันที่ตดกับเอพิเดอร์ มสด้ านบน ประกอบด้ วยเซลล์
       ้ ิ                  ิ
  ที่มีรูปร่ างยาวเรี ยงต่ อกันในแนวตังฉากกับเอพิเดอร์
                                      ้
  มส โดยไม่ มีช่องว่ างระหว่ างเซลล์ อาจมีชันเดียว
     ิ                                        ้
  หรื อหลายชัน ภายในเซลล์ มีคลอโรพลาสต์ อยู่เป็ น
                 ้
  จานวนมาก จนเป็นบริเวณท่ ีมีการสังเคราะห์ด้วย
   ํ
  แสงมากที่สุด
- สปันจีมโซฟีลล์ (spongy mesophyll) เป็ นชั้นที่
             ี
อย่ ูถัดลงมาจากพาลเิ สดมีโซฟีลล์ จนถึงเอพเิ ดอร์มสด้านล่ าง
                                                      ิ
ประกอบด้ วยเซลล์ ทมรูปร่ างค่ อนข้ างกลมเรียงตัวหลวมๆ
                      ี่ ี
ไม่ เป็ นระเบียบ จึงเกิดช่ องว่ างระหว่ างเซลล์ ช่ วยให้ เซลล์
สั มผัสอากาศภายในใบได้ มาก จึงเอืออํานวยต่ อการ
                                      ้
แลกเปลยนแก๊ส และไอนําระหว่างเซลล์กบสิ่งแวดล้อม
          ี่               ้                ั
ภายในมีคลอโรพลาสต์ไม่ หนาแน่ น จึงเกิดกระบวนการ
สังเคราะห์ด้วยแสงได้น้อยกว่าช้ันพาลเิ สดมีโซฟีลล์
3) กลุ่มท่ อลําเลียงของใบ หรื อ มัดท่ อลําเลียง
(Vascular bundle) เป็ นกลุ่มเซลล์ ท่ ทาหน้ าที่
                                           ี ํ
ลําเลียงนํา เกลือแร่ และอาหาร ไปสู่ส่วนต่ างๆ ของ
           ้
ใบ แทรกอยู่ในชันสปั นจีมีโซฟี ลล์ ประกอบด้ วย ไซเล็ม
                    ้
และโฟลเอ็ม ตามปกติเส้ นใบจะอยู่กันเป็ นย่ อมๆ ในชัน ้
สปันจีมีโซฟี ลล์ (spongy mesophyll) เส้ นใบเส้ น
ใหญ่ ท่ สุด คือ เส้ นกลางใบ แล้ วแยกแขนงจากเส้ นกลางใบ
        ี
(midrib) เป็ นเส้ นเล็กลงเรื่ อยๆออกไปมากมาย
มดท่อลาเลยงจะล้อมรอบด้วยกล่ มเซลล์ทเี่ รียกว่า บันเดิล
    ั   ํ ี                        ุ
ชีท (bundle sheath) เช่ น ข้ าวโพด ช่ วยทําให้ มดท่ อ ั
ลําเลียงแข็งแรงขึน ซึ่งบันเดิลชีทอาจจะเป็ นเนือเยือพาเรง
                   ้                            ้ ่
คมา หรือสเกลอเรงคมา 1-2 ชั้น ส่ วนใหญ่ จะอยู่ในช้ันสปันจี
  ิ                    ิ
มีโซฟีลล์ ทําให้ เห็นเส้ นใบนูนขึนมาทางด้ านท้ องใบ
                                 ้
โครงสร้ างภายในของใบ
กล่ ุมท่อลาเลยงของใบ
          ํ ี
ใบ
หน้ าที่ของใบ
            ใบมีหน้าท่ สาคญ 3 ประการคือ
                       ี ํ ั
         1. สร้ างอาหารด้ วยวิธีการสังเคราะห์ ด้วยแสง
(Photosynthesis)
          2. แลกเปล่ ียนแก๊สหรือการหายใจ
(respiration)
           3. คายนํา (transpiration) การคายนําเป็น
                   ้                                 ้
การปรับอุณหภูมิภายในต้ นพืชไม่ ให้ สูงมาก ในวันที่มีอากาศ
ร้อนพชจะคายนํามากกว่าวนท่ อากาศปกติ
     ื        ้         ั ี
นอกจากนีอาจเปลียนแปลงไปเพือทําหน้ าทีพเิ ศษอืน ๆ เช่ น
             ้      ่           ่       ่     ่
1) ใบสะสมอาหารและนํา (storage leaf)
                        ้
 เช่ น ใบว่ านหางจระเข้ ใบเลียงของพืช กลีบหัวหอม
                             ้
กาบกล้ วย เป็ นต้ น
2) ช่วยยด และคาจุนลาต้น (supporting leaf) โดย
         ึ     ํ้   ํ
ใบเปลียนไปเป็ นมือเกาะ (tendril) เช่ น มือเกาะของต้ น
       ่
ตําลึง มะระ บวบ ถั่วลันเตา แตงกวา ฟักทอง เป็ นต้ น
3) ช่วยปองกนลาต้น –ใบเปลียนเป็ นหนาม (leaf spine)
        ้ ั ํ             ่
ช่วยปองกนอนตรายจากภายนอก ตลอดจนสัตว์และแมลงที่
      ้ ั ั
จะมากดกน อกท้งช่วยลดการคายนําของพช เช่น กระะบอง
       ั ิ ี ั                  ้     ื
เพชร (ใบ) ป่ านศรนารายณ์ (ขอบใบ) สั บปะรด (ขอบใบ)
มะขามเทศ (หูใบ)
leaf spine
4) ใบสื บพันธุ์ (reproductive leaf) หรือ แพร่ พนธุ์      ั
เป็ นใบทีเ่ ปลียนไปทําหน้ าทีสืบพันธุ์ เช่ น ใบโคมญีปุ่น
               ่             ่                      ่
ใบควาตายหงายเป็น เป็ นต้ น
      ํ่
5) ช่ วยในการผสมพันธุ์ ใบดอกหรื อใบประดับ (bract)
เป็ นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทําหน้ าที่รองรั บดอกหรื อ
ช่ อดอก อาจมีสีเขียวหรื อสีอ่ ืน ๆ คล้ ายกลีบดอก เพื่อ
ช่ วยในการล่ อแมลงให้ ผสมเกสร เช่ น เฟื่ องฟา หน้ าวัว
                                              ้
6) ใบเกล็ด (Scale leaf) เป็ นใบทีเ่ ปลียนแปลงไปเป็ น
                                          ่
เกล็ดเล็กๆ ใบเกล็ดมักไม่ มี คลอโรฟิ ลล์ เช่ น ใบเกล็ดของขิง
ข่ า เผือก
ใบเกลดของข่า
     ็
เป็ นใบที่       เกลดห้ ุมตา (Bud scale)
                     ็
เปลี่ยนแปลงไป
ทําหน้าที่หุมตา
            ้
หรือคลุมตาไว ้
เม่ือตา
เจริญเติบโต
ออกมา จึงดนให้ั
เกลดหุมตาหลุด
     ็ ้
ไปพบในต้นยาง
จําปี สาเก
เป็ นตน้               เกล็ดตา (Bud scale)   97
7) ใบดักจับแมลง (carnivorous leaf หรือ
insectivorous leaf) เป็ นใบทีเ่ ปลียนแปลงไปเป็ น
                                     ่
กบดกแมลง หรือสัตว์เลก ๆ เช่น หม้อข้าวหม้อแกงลง
 ั ั                ็                        ิ
หยาดนําค้าง กาบคอยแครง สาหร่ายข้ าวเหนียว
        ้
ใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous
                               leaf)
เป็ นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็ นกับดักแมลง หรื อสัตว์ขนาดเล็ก
ภายในกบดกมีต่อมสร้างเอนไซมประเภทโพรทีเอส
          ั ั                     ์
                ่                    ่
(Protease) ท่ียอยโปรตีนสัตว์ที่ติดอยูในกับดักได้ พืชชนิดนี้มี
ใบปกติที่สามารถสังเคราะห์แสงได้เหมือนพืชทัว ๆ ไป แต่
                                                ่
              ั ่
พืชเหล่านี้มกอยูในที่มีความชื้นมากกว่าปกติ อาจขาดธาตุ
อาหารบางชนิด เช่น ไนโตรเจน จึงต้องมีส่วนที่เปลี่ยนแปลง
ไปเป็ นกับดัก เช่น ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง (หรื อน้ าเตาฤๅษี)
                                                   ํ ้
ต้นกาบหอยแครง ต้นหยาดนํ้าค้าง ต้นสาหร่ ายข้าวเหนียว
หรื อสาหร่ ายนา (ไม่ใช่สาหร่ าย แต่เป็ นพืชนํ้าขนาดเล็ก)
เป็ นต้น                                                        99
ต้นหยาดนําค้าง
         ้
ต้ นกาบหอยแครง
แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf)
                                                           ของ
แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf)   ต้นกาบหอยแครง (Carnivorous Plant Website, 2006)
ของ
ต้นหยาดนําค้าง (Carnivorous Plant Website, 2006)
         ้
                                                                                                          104
กาบหอยแครงจะจับแมลงโดยการใช้ สีของกาบและกลิ่นของ
นํ ้าหวานที่ผลิตอยูบริ เวณกาบที่มีขนรับการสัมผัส เมื่อแมลงลงมา
                  ่
กินนํ ้าหวานอย่างไม่ระวังตัว ไปแตะกับเส้ นขนที่อยูที่กาบ กาบจะ
                                                  ่
หุบลงอย่างรวดเร็ ว และแมลงก็กลายเป็ นอาหารของกาบหอยแครง
ในท่ีสด ุ
ใบจับแมลง
(Insectivorous leaf หรือ
Carnivorous leaf) ของ
ต้ นหม้ อข่ าวหม้ อแกงลิง
(Carnivorous Plant
Website, 2006)
สาหร่ายข้าวเหนียวเป็นหนงในกลม พืช “นักล่าแมลง” อวัยวะพิเศษที่มน
                              ึ่      ุ่                             ั
สร้ างขึ ้นมาสําหรับเป็ น “กับดัก” ก็ตดอยูตามลําต้ นและตามซอกใบ กับดัก
                                         ิ ่
นี ้เป็ น “ถุง” มีขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตรเท่านันเอง “ถงกบดก” เป็ น
                                                ้       ุ ั ั
เหมือนกระเป๋ าลมที่พองได้ ลีบแบนได้ (มีปากถุงเป็ นปากแคบๆ มีฝาปิ ด-
เปิดได้ สาหร่ายข้าวเหนียวต้นหนงมีกบดกเอาไว้หาอาหารหลายร้อยถง
                                    ึ่ ั ั                         ุ
1. เมื่อมีเหยื่อผ่านเข้ ามาสัมผัสอวัยวะบริ เวณปากถุงด้ านนอก ปากถุงจะ
เปิ ดออก
2. เมื่อปากถุงเปิ ดออก จะเกิดแรงดูดเอานํ ้ารวมทังเหยื่อเข้ าสูภายในถุง
                                                     ้        ่
3. หลังจากนันฝาก็จะปิ ดลง เหยื่อหมดทางออก และตายในที่สด
                   ้                                            ุ
4. นํ ้าย่อยภายในถุงทําการย่อยเนื ้อของเหยื่อ
5. และดูดซึม นําไปเป็ นอาหารเลี ้ยงลําต้ นต่อไป
ใบกําดักของสาหร่ ายข้ าวเหนียว
8) ทนลอย (Floating leaf ) พืชนํ ้าบางชนิด เชน ผกตบชวา
      ุ่                                    ่ ั
สามารถลอยนํ ้าอยได้ โดยอาศยก้านใบพองโตออก ภายในมีเนื ้อ
                ู่        ั
อยกนอยางหลวมๆ และมีชองวางอากาศใหญ่ทําให้มีอากาศอยู่
  ู่ ั ่                ่ ่
มาก จงชวยพยงให้ลําต้นลอยนํ ้าอยได้
         ึ ่  ุ                ู่

More Related Content

What's hot

โครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของรากโครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของรากThanyamon Chat.
 
โครงงาน เพาว์เวอร์พอย
โครงงาน เพาว์เวอร์พอยโครงงาน เพาว์เวอร์พอย
โครงงาน เพาว์เวอร์พอยNick Nook
 
การศึกษาโครงสร้างดอกคาร์เนชั่น พุด และกล้วยไม้ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม.5 ห...
การศึกษาโครงสร้างดอกคาร์เนชั่น พุด และกล้วยไม้ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม.5 ห...การศึกษาโครงสร้างดอกคาร์เนชั่น พุด และกล้วยไม้ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม.5 ห...
การศึกษาโครงสร้างดอกคาร์เนชั่น พุด และกล้วยไม้ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม.5 ห...JittapatS
 
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )พัน พัน
 
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอกการสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอกThanyamon Chat.
 
ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1
ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1
ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1Sumarin Sanguanwong
 
อวัยวะรับความรู้สึก
อวัยวะรับความรู้สึกอวัยวะรับความรู้สึก
อวัยวะรับความรู้สึกThitaree Samphao
 
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชWichai Likitponrak
 
เนื้อเยื่อพืช (T)
เนื้อเยื่อพืช (T)เนื้อเยื่อพืช (T)
เนื้อเยื่อพืช (T)Thitaree Samphao
 
ข้อสอบอัจฉริยะ
ข้อสอบอัจฉริยะข้อสอบอัจฉริยะ
ข้อสอบอัจฉริยะKodchaporn Siriket
 
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่Benjapron Seesukong
 
การลำเลียงน้ำของพืช
การลำเลียงน้ำของพืชการลำเลียงน้ำของพืช
การลำเลียงน้ำของพืชAnana Anana
 
การรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองการรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองsukanya petin
 
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชsukanya petin
 
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊สการคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊สThanyamon Chat.
 
การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง Thitaree Samphao
 
โครงสร้างและหน้าที่ของรากลำต้น
โครงสร้างและหน้าที่ของรากลำต้นโครงสร้างและหน้าที่ของรากลำต้น
โครงสร้างและหน้าที่ของรากลำต้นThanyamon Chat.
 

What's hot (20)

โครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของรากโครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของราก
 
โครงงาน เพาว์เวอร์พอย
โครงงาน เพาว์เวอร์พอยโครงงาน เพาว์เวอร์พอย
โครงงาน เพาว์เวอร์พอย
 
การศึกษาโครงสร้างดอกคาร์เนชั่น พุด และกล้วยไม้ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม.5 ห...
การศึกษาโครงสร้างดอกคาร์เนชั่น พุด และกล้วยไม้ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม.5 ห...การศึกษาโครงสร้างดอกคาร์เนชั่น พุด และกล้วยไม้ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม.5 ห...
การศึกษาโครงสร้างดอกคาร์เนชั่น พุด และกล้วยไม้ จัดทำโดยนักเรียนระดับชั้นม.5 ห...
 
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
 
Lesson3 plamtreproduce2561
Lesson3 plamtreproduce2561Lesson3 plamtreproduce2561
Lesson3 plamtreproduce2561
 
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอกการสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
การสืบพันธุ์ของพืชดอกโครงสร้างดอก
 
ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1
ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1
ใบความรู้เรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิต1
 
อวัยวะรับความรู้สึก
อวัยวะรับความรู้สึกอวัยวะรับความรู้สึก
อวัยวะรับความรู้สึก
 
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
13.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
 
เนื้อเยื่อพืช (T)
เนื้อเยื่อพืช (T)เนื้อเยื่อพืช (T)
เนื้อเยื่อพืช (T)
 
ข้อสอบอัจฉริยะ
ข้อสอบอัจฉริยะข้อสอบอัจฉริยะ
ข้อสอบอัจฉริยะ
 
ใบงานวิทย์ ม.1
ใบงานวิทย์ ม.1ใบงานวิทย์ ม.1
ใบงานวิทย์ ม.1
 
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่
 
Photosynthesis
PhotosynthesisPhotosynthesis
Photosynthesis
 
การลำเลียงน้ำของพืช
การลำเลียงน้ำของพืชการลำเลียงน้ำของพืช
การลำเลียงน้ำของพืช
 
การรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองการรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนอง
 
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
 
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊สการคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
 
การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง
 
โครงสร้างและหน้าที่ของรากลำต้น
โครงสร้างและหน้าที่ของรากลำต้นโครงสร้างและหน้าที่ของรากลำต้น
โครงสร้างและหน้าที่ของรากลำต้น
 

Viewers also liked

การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืชการแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืชLi Yu Ling
 
ใบความรู้ ส่วนประกอบของพืช(ดอก) ป.1+209+dltvscip1+54sc p01 f21-1page
ใบความรู้ ส่วนประกอบของพืช(ดอก) ป.1+209+dltvscip1+54sc p01 f21-1pageใบความรู้ ส่วนประกอบของพืช(ดอก) ป.1+209+dltvscip1+54sc p01 f21-1page
ใบความรู้ ส่วนประกอบของพืช(ดอก) ป.1+209+dltvscip1+54sc p01 f21-1pagePrachoom Rangkasikorn
 
Stemแก้net
Stemแก้netStemแก้net
Stemแก้netAnana Anana
 
3ชีววิทยาม. 5 เทอม 1 การบูรณาการภาษาอังกฤษ (ไฟล์ที่ 3)
3ชีววิทยาม. 5 เทอม 1 การบูรณาการภาษาอังกฤษ (ไฟล์ที่ 3)3ชีววิทยาม. 5 เทอม 1 การบูรณาการภาษาอังกฤษ (ไฟล์ที่ 3)
3ชีววิทยาม. 5 เทอม 1 การบูรณาการภาษาอังกฤษ (ไฟล์ที่ 3)กมลรัตน์ ฉิมพาลี
 
การสะท้อนและการหักเหของแสง
การสะท้อนและการหักเหของแสงการสะท้อนและการหักเหของแสง
การสะท้อนและการหักเหของแสงพัน พัน
 
ผลและเมล็ดแก้
ผลและเมล็ดแก้ผลและเมล็ดแก้
ผลและเมล็ดแก้Anana Anana
 
โครงสร้างและหน้าที่ของพืช
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชโครงสร้างและหน้าที่ของพืช
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชเข็มชาติ วรนุช
 

Viewers also liked (12)

leaf
leafleaf
leaf
 
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืชการแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายน้ำ และการลำเลียงสารในพืช
 
ใบความรู้ ส่วนประกอบของพืช(ดอก) ป.1+209+dltvscip1+54sc p01 f21-1page
ใบความรู้ ส่วนประกอบของพืช(ดอก) ป.1+209+dltvscip1+54sc p01 f21-1pageใบความรู้ ส่วนประกอบของพืช(ดอก) ป.1+209+dltvscip1+54sc p01 f21-1page
ใบความรู้ ส่วนประกอบของพืช(ดอก) ป.1+209+dltvscip1+54sc p01 f21-1page
 
Stemแก้net
Stemแก้netStemแก้net
Stemแก้net
 
การสืบพันธุ์ของพืช2
การสืบพันธุ์ของพืช2การสืบพันธุ์ของพืช2
การสืบพันธุ์ของพืช2
 
3ชีววิทยาม. 5 เทอม 1 การบูรณาการภาษาอังกฤษ (ไฟล์ที่ 3)
3ชีววิทยาม. 5 เทอม 1 การบูรณาการภาษาอังกฤษ (ไฟล์ที่ 3)3ชีววิทยาม. 5 เทอม 1 การบูรณาการภาษาอังกฤษ (ไฟล์ที่ 3)
3ชีววิทยาม. 5 เทอม 1 การบูรณาการภาษาอังกฤษ (ไฟล์ที่ 3)
 
ราก (Root)
ราก (Root)ราก (Root)
ราก (Root)
 
การสะท้อนและการหักเหของแสง
การสะท้อนและการหักเหของแสงการสะท้อนและการหักเหของแสง
การสะท้อนและการหักเหของแสง
 
ผลและเมล็ดแก้
ผลและเมล็ดแก้ผลและเมล็ดแก้
ผลและเมล็ดแก้
 
โครงสร้างและหน้าที่ของพืช
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชโครงสร้างและหน้าที่ของพืช
โครงสร้างและหน้าที่ของพืช
 
แสงและการมองเห็น
แสงและการมองเห็นแสงและการมองเห็น
แสงและการมองเห็น
 
Tipos de muestreos
Tipos de muestreosTipos de muestreos
Tipos de muestreos
 

Similar to ใบพืชNet

ส่วนต่างๆ ของพืช
ส่วนต่างๆ ของพืชส่วนต่างๆ ของพืช
ส่วนต่างๆ ของพืชPress Trade
 
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบโครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบNokko Bio
 
โครงงานเสร็จสมบูรณ์
โครงงานเสร็จสมบูรณ์โครงงานเสร็จสมบูรณ์
โครงงานเสร็จสมบูรณ์Yuporn Tugsila
 
องค์ประกอบของดอก
องค์ประกอบของดอกองค์ประกอบของดอก
องค์ประกอบของดอกKrupoonsawat
 
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบโครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบnokbiology
 
โครงสร้างของดอกไม้
โครงสร้างของดอกไม้โครงสร้างของดอกไม้
โครงสร้างของดอกไม้dnavaroj
 
บทที่ 11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช ใบ (4)
บทที่  11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช   ใบ (4)บทที่  11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช   ใบ (4)
บทที่ 11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช ใบ (4)Pinutchaya Nakchumroon
 
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบโครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบnokbiology
 
กระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบแดงกระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบแดงVaree Supa
 
กล้วยไม้
กล้วยไม้กล้วยไม้
กล้วยไม้saisamorn
 
หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ของพืชดอกได้...
หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ของพืชดอกได้...หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ของพืชดอกได้...
หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ของพืชดอกได้...HatsayaAnantepa
 
โครงสร้างภายในของใบ
โครงสร้างภายในของใบโครงสร้างภายในของใบ
โครงสร้างภายในของใบBiobiome
 
โครงสร้างภายในของใบ
โครงสร้างภายในของใบโครงสร้างภายในของใบ
โครงสร้างภายในของใบBiobiome
 
หญ้าถอดปล้อง
หญ้าถอดปล้องหญ้าถอดปล้อง
หญ้าถอดปล้องphairoa
 

Similar to ใบพืชNet (20)

ส่วนต่างๆ ของพืช
ส่วนต่างๆ ของพืชส่วนต่างๆ ของพืช
ส่วนต่างๆ ของพืช
 
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบโครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
 
โครงงานเสร็จสมบูรณ์
โครงงานเสร็จสมบูรณ์โครงงานเสร็จสมบูรณ์
โครงงานเสร็จสมบูรณ์
 
องค์ประกอบของดอก
องค์ประกอบของดอกองค์ประกอบของดอก
องค์ประกอบของดอก
 
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบโครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
 
Plant ser 144_60_1
Plant ser 144_60_1Plant ser 144_60_1
Plant ser 144_60_1
 
ลำต้น54
ลำต้น54ลำต้น54
ลำต้น54
 
โครงสร้างของดอกไม้
โครงสร้างของดอกไม้โครงสร้างของดอกไม้
โครงสร้างของดอกไม้
 
บทที่ 11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช ใบ (4)
บทที่  11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช   ใบ (4)บทที่  11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช   ใบ (4)
บทที่ 11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช ใบ (4)
 
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบโครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
 
กระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบแดงกระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบแดง
 
Minibook
MinibookMinibook
Minibook
 
สมุนไพร ภูมิปัญญาไทย
สมุนไพร  ภูมิปัญญาไทยสมุนไพร  ภูมิปัญญาไทย
สมุนไพร ภูมิปัญญาไทย
 
Leaf oui
Leaf ouiLeaf oui
Leaf oui
 
กล้วยไม้
กล้วยไม้กล้วยไม้
กล้วยไม้
 
หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ของพืชดอกได้...
หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ของพืชดอกได้...หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ของพืชดอกได้...
หนังสือเล่มเล็กประกอบการศึกษาเรียนรู้ด้านโครงสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ของพืชดอกได้...
 
โครงสร้างภายในของใบ
โครงสร้างภายในของใบโครงสร้างภายในของใบ
โครงสร้างภายในของใบ
 
โครงสร้างภายในของใบ
โครงสร้างภายในของใบโครงสร้างภายในของใบ
โครงสร้างภายในของใบ
 
Plant ser 125_60_4
Plant ser 125_60_4Plant ser 125_60_4
Plant ser 125_60_4
 
หญ้าถอดปล้อง
หญ้าถอดปล้องหญ้าถอดปล้อง
หญ้าถอดปล้อง
 

More from Anana Anana

การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อมแก้ไข
การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อมแก้ไขการตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อมแก้ไข
การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อมแก้ไขAnana Anana
 
การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อม
การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อมการตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อม
การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อมAnana Anana
 
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชAnana Anana
 
การปรับตัวของพืชเพื่อรับแสง
การปรับตัวของพืชเพื่อรับแสงการปรับตัวของพืชเพื่อรับแสง
การปรับตัวของพืชเพื่อรับแสงAnana Anana
 
ปัจจัยบางประการที่มีผลต่อPhotosynthesis
ปัจจัยบางประการที่มีผลต่อPhotosynthesisปัจจัยบางประการที่มีผลต่อPhotosynthesis
ปัจจัยบางประการที่มีผลต่อPhotosynthesisAnana Anana
 
กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของ Co2 ในcam
กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของ Co2   ในcamกลไกการเพิ่มความเข้มข้นของ Co2   ในcam
กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของ Co2 ในcamAnana Anana
 
สังเคราะห์แสง3
สังเคราะห์แสง3สังเคราะห์แสง3
สังเคราะห์แสง3Anana Anana
 
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง2
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง2กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง2
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง2Anana Anana
 
การสังเคราะห์ด้วยแสง1
การสังเคราะห์ด้วยแสง1การสังเคราะห์ด้วยแสง1
การสังเคราะห์ด้วยแสง1Anana Anana
 
การลำเลียงอาหารของพืช
การลำเลียงอาหารของพืชการลำเลียงอาหารของพืช
การลำเลียงอาหารของพืชAnana Anana
 
การลำเลียงสารอาหารของพืช
การลำเลียงสารอาหารของพืชการลำเลียงสารอาหารของพืช
การลำเลียงสารอาหารของพืชAnana Anana
 
การแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำ
การแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำการแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำ
การแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำAnana Anana
 
เนื้อเยื่อพืช Annanet
เนื้อเยื่อพืช Annanetเนื้อเยื่อพืช Annanet
เนื้อเยื่อพืช AnnanetAnana Anana
 
เนื้อเยื่อพืช Annanet
เนื้อเยื่อพืช Annanetเนื้อเยื่อพืช Annanet
เนื้อเยื่อพืช AnnanetAnana Anana
 

More from Anana Anana (15)

การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อมแก้ไข
การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อมแก้ไขการตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อมแก้ไข
การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อมแก้ไข
 
การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อม
การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อมการตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อม
การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อม
 
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
 
การปรับตัวของพืชเพื่อรับแสง
การปรับตัวของพืชเพื่อรับแสงการปรับตัวของพืชเพื่อรับแสง
การปรับตัวของพืชเพื่อรับแสง
 
ปัจจัยบางประการที่มีผลต่อPhotosynthesis
ปัจจัยบางประการที่มีผลต่อPhotosynthesisปัจจัยบางประการที่มีผลต่อPhotosynthesis
ปัจจัยบางประการที่มีผลต่อPhotosynthesis
 
กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของ Co2 ในcam
กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของ Co2   ในcamกลไกการเพิ่มความเข้มข้นของ Co2   ในcam
กลไกการเพิ่มความเข้มข้นของ Co2 ในcam
 
พืชC3 c4
พืชC3 c4พืชC3 c4
พืชC3 c4
 
สังเคราะห์แสง3
สังเคราะห์แสง3สังเคราะห์แสง3
สังเคราะห์แสง3
 
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง2
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง2กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง2
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง2
 
การสังเคราะห์ด้วยแสง1
การสังเคราะห์ด้วยแสง1การสังเคราะห์ด้วยแสง1
การสังเคราะห์ด้วยแสง1
 
การลำเลียงอาหารของพืช
การลำเลียงอาหารของพืชการลำเลียงอาหารของพืช
การลำเลียงอาหารของพืช
 
การลำเลียงสารอาหารของพืช
การลำเลียงสารอาหารของพืชการลำเลียงสารอาหารของพืช
การลำเลียงสารอาหารของพืช
 
การแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำ
การแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำการแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำ
การแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำ
 
เนื้อเยื่อพืช Annanet
เนื้อเยื่อพืช Annanetเนื้อเยื่อพืช Annanet
เนื้อเยื่อพืช Annanet
 
เนื้อเยื่อพืช Annanet
เนื้อเยื่อพืช Annanetเนื้อเยื่อพืช Annanet
เนื้อเยื่อพืช Annanet
 

ใบพืชNet

  • 2. จุดประสงค์ การเรียนรู้ เพือให้ นักเรียนสามารถ ่ 1. สื บค้ นข้ อมูล ทดลอง อธิบาย และอภิปรายเกียวกับโครงสร้ าง ่ และหน้ าทีของใบ ่ 2. สื บค้ นข้ อมูล ทดลอง และสรุ ปเกียวกับโครงสร้ างภายใน ่ ของใบ
  • 3. โครงสร้ างของใบพืช ใบ ( Leaves ) เป็ นอวัยวะทีเ่ จริญออกไปบริเวณด้ านข้ าง โดยมีตาเเหน่ งอย่ ู ํ ทีข้อปล้ องของต้ น และกิง ใบส่ วนใหญ่ มกแผ่ แบน และมีสี ่ ่ ั เขยวของคลอโรฟิลล์ รูปร่างและขนาดของใบแตกต่างกนไป ี ั ตามชนิดของพช ื หน้าทหลกของใบ คอใช้ในการสังเคราะห์แสง การหายใจ ี่ ั ื และการคายนํา ้
  • 4. ใบแท้ ทีครบส่ วน (complete leaf) จะประกอบไป ่ ด้ วย แผ่ นใบ ก้ านใบ และหูใบ ครบท้ง 3 ส่ วน หากขาดส่ วน ั หน่ึงส่ วนใด จะเป็ นใบทีไม่ ครบส่ วน (incomplete ่ leaf)
  • 6. ส่ วนประกอบของใบ แบ่ งเป็ น 3 ส่วน ได้แก่ 1. แผ่นใบหรือตัวใบ (blade หรือ lamina) เป็นส่วน สํ าคัญมากของใบ ลักษณะเป็ นแผ่ นแบนบาง เพือเพิมพืนที่ให้ ่ ่ ้ คลอโรฟี ลล์ในใบมีโอกาสสั มผัสหรือได้ รับแสงแดดให้ มากที่สุด และช่ วยในการระบายความร้ อนได้ ดขึน ี ้ ตัวใบมีรูปร่ างลักษณะแตกต่ างกันขึนอยู่กบชนิดของพืช เช่ น มี ้ ั รูปร่างคล้ายใบหอก ลูกธนู หัวใจ ไต เคยว ช้อน เป็นรูปไข่ ี แหลม ยาว เป็นเส้น เป็นต้น
  • 8. แผ่ นใบ ประกอบด้ วย ปลายใบ (apex) ขอบใบ (margin) และฐานใบ(base) ภายในแผ่ นใบมี เส้ นเล็ก ๆ อยู่มากมาย เส้ นเหล่ านี ้ คือเส้ นใบ(vein) และมีเส้ นใบย่ อย(veinlet) ที่มีขนาดใหญ่ เล็ก ลดหล่ ันกันไป
  • 10. ถ้ าเป็ นพืชใบเลียงคู่ตรงกลางแผ่ นใบจะมีเส้ นกลางใบ ้ (midrib) ติดต่ อจากก้ านใบไปจนถึงปลายใบ ซึ่งมีขนาด ใหญ่ ทสุด ประกอบด้ วยท่ อลําเลียง จะเชื่อมถึงกันหมด และ ี่ จะเชื่อมไปยังก้ านใบรวมทั้งท่ อลําเลียงของลําต้ น และราก อกด้วย ี
  • 11.
  • 13. การจัดเรียงตัวของเส้ นใบ แบ่ งออกเป็ น 2 แบบ คือ -การจัดเรียงตัวของเส้ นใบแบบตาข่ าย ( netted venation ) พบในพืชใบเลียงคู่ทวไป โดยเส้ นใบย่ อยหรือเส้ นแขนง ้ ั่ จะแตกกงก้านออกจากเส้นกลางใบเป็นเส้นเลกลงตามลาดบ ิ่ ็ ํ ั และ สานกนเป็นร่างแห หรือแบบตาข่าย ั ถ้ ามีเส้ นกลางใบ และมีเส้ นใบย่อยแตกออกจากเส้ นกลางใบ ลักษณะเช่นนี ้เรี ยกว่า pinnately netted venation ถ้ าแตกจากโคนของใบ ไม่มีเส้ นใบกลางใบ แบบนี ้เรี ยกว่า palmately netted venation
  • 14. ตาข่ ายแบบขนนก ตาข่ายแบบฝ่ามือ การจัดเรียงตัวของเส้ นใบ
  • 15.
  • 16. -การจัดเรียงตัวของเส้ นใบแบบขนาน(paralleled venation) พบในพืชใบเลียงเดียว จะมีเส้ นใบขนาดใหญ่ เท่ ากันเรียงไป ้ ่ ในแนวเดียวกันตามยาว จากฐานใบไปสู่ ยอด(ใบเรียงตามยาว ของใบ) เช่ น ใบไผ่ ใบมะพร้ าว หรือจากกลางใบออกสู่ ขอบ ใบ (เส้ นใบขนานกันตามขวางของใบ) เช่ น ใบตอง เป็ นต้ น
  • 20. ผิวด้ านบนส่ วนที่รับแสงเรี ยกว่ า หลังใบ (dorsal side) ส่ วนด้ านล่ างที่ไม่ ได้ รับแสง เรี ยกว่ า ท้ องใบ (ventral side) ทางด้ านหลังใบมักมีสีเขียวเข้ มและ ผิวเรี ยบกว่ าด้ านท้ องใบ แต่ เส้ นใบทางด้ านท้ องใบจะ นูนออกมาเหนได้ชัดเจนกว่า ็
  • 21. ใบ (Leaf) หลังใบ ท้องใบ 21
  • 23. 2.ก้ านใบ (petiole หรือ stalk) เป็ นส่ วนของใบทีเ่ ชื่อม ระหว่างตวใบกบลาต้นหรือกงก้าน พชบางชนิดมก้าน บางชนด ั ั ํ ่ิ ื ี ิ ไม่มก้านใบ มีหน้ าทีในการลําเลียงนําและธาตุอาหารจากราก ี ่ ้ ลาต้น ผ่านก้านใบไปยงแผ่นใบ และลาเลยงอาหารทแผ่นใบผลต ํ ั ํ ี ่ี ิ ขนมา ผ่านเส้นใบ เส้นกลางใบมายงก้านใบ และไปยงส่วนอน ๆ ึ้ ั ั ่ื ของพช ื ก้ านใบพืชใบเลียงคู่มักเรียวเล็กลักษณะกลมหรือค่ อนข้ างกลม แต่ ้ ในพืชใบเลียงเดียวมักมีก้านใบแผ่ เป็ นแผ่ นหุ้มข้ อของลําต้ น ้ ่ เรียกว่ า กาบใบ (leaf sheath)
  • 25.
  • 26. ในพืชใบเลี ้ยงเดี่ยวมักมี ก้ านใบแผ่เป็ นแผ่นหุ้มข้ อ ของลําต้ น เรี ยกว่า กาบ ใบ (Leaf sheath) ภายในก้ านใบจะมีทอ ่ ลําเลียง(มีไซเลมและโฟล ็ เอม) ติดต่ออยูกบลําต้ น ็ ่ ั
  • 28.
  • 29. 3. ฐานใบ (base) เป็ นส่ วนทียดติดกับลําต้ นหรือกิง ใบพืช ่ึ ่ บางชนิดทีฐานใบจะมีใบเล็กๆ มอนเดยว หรือสองอน มกมี ่ ีั ี ั ั สี เขียวในการสั งเคราะห์ แสง เรียกว่ า หูใบ (stipule) หูใบมักมีอายุไม่ นาน และจะหลุดร่ วงไป มีรูปร่ างต่ างกัน ขึนกับชนิดของพืช เช่ น เป็ นแผ่ นสี เขียวคล้ ายแผ่ นใบ ้ เป็ นเกล็ด เป็ นหนาม เช่ น ใบชบา ใบมะขาม ใบกุหลาบ เป็ นต้ น
  • 30.
  • 32. การจัดเรียงของใบตดกบลาต้น (Phyllotaxis) ิ ั ํ เป็นการปรับตวของพช ให้ใบได้มโอกาสได้รับแสงแดด ั ื ี เต็มทีทุกใบ โดยไม่ มการบดบังกัน ่ ี แบ่งออกได้กว้าง ๆ 3 แบบ คือ - แบบสลับ (alternate หรือ spiral) เช่ น น้ อยหน่ า กระดงงา จําปี ั - แบบตรงข้ าม (opposite) เช่ น ขีเ้ หล็ก - แบบวง (whorled หรือ verticillate) เช่น สาหร่ายหาง กระรอก พุดซ้ อน บานบุรี ยีโถ่
  • 34. ใบขี ้เหล็ก การเรียงตัวของใบแบบตรงกันข้ าม (opposite)
  • 35. บานบุรี ยี่โถ การเรี ยงตัวของใบแบบวง (whorled หรือ verticillate)
  • 37. ชนิดของใบ 1. ใบแท้ (foliage leaf) คือ ใบปกติของพืชทัวไป อาจ ่ เป็ นแผ่ นแบนหรือเรียวเล็ก มีสีเขียว ทําหน้ าทีหลักในการ ่ สังเคราะห์แสง หายใจ และคายนํา จาแนกได้เป็น ้ ํ - ใบเดียว (simple leaf) คือ ใบทีมีแผ่ นใบเพียงแผ่ นเดียว ่ ่ ติดอยู่บนก้ านใบทีแตกออกจากกิงหรือลําต้ น เช่ น ใบมะม่ วง ่ ่ ชมพู่ กล้ วย ข้ าว ฟักทอง ใบเดียวบางชนิดอาจมีขอบใบเว้ าหยักลึก ่ เข้ าไปมากจนดูคล้ ายใบประกอบ เช่ น ใบมะละกอ สาเก มันสํ าปะหลัง
  • 42. - ใบประกอบ (compound leaf) คือ ใบทีมีแผ่ นใบ ่ มากกว่ าหนึ่ง เกิดบนก้ านใบอันเดียวกัน แต่ ละใบของใบประกอบ เรียกว่ า ใบย่ อย (leaflet) ก้ านใบย่ อย เรียกว่ า เพทโอลูล ิ (petiolule) หรือ petiolet ใบประกอบจะมีตาทีซอกใบ ทีตดกับ ่ ่ ิ ลาต้นเท่าน้ัน และไม่มหูใบ (แต่ ส่วนทีเ่ ป็ นก้ านใบ ํ ี ย่ อยจะไม่ พบตา) เช่น ขเี้ หลก ใบจามจุรี ซึ่งต่ างจากใบเดียวทีมีตา ็ ่ ่ ข้างหรือตายอด และหูใบ ใบประกอบแผ่ นใบย่ อยจะแก่ พร้ อม ๆ กัน แต่ถ้าเป็นกงของใบเดยว ่ิ ่ี ใบตอนโคนจะแก่ กว่ าใบตอนปลายกิง เช่ น ใบมะยม ผักหวานบ้ าน ่ ลูกใต้ ใบ - ใบเดียว ่
  • 43. ใบประกอบยงจําแนกยอยได้ดงนี ้ คือ ั ่ ั - ใบประกอบแบบฝ่ามือ (palmately compound leaf) เชน มะขามเทศ ยางพารา ถวเหลือง ถวฝักยาว ่ ั่ ั่ ผกแวน ใบน่น ั ่ ุ - ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaf) เชน ใบกหลาบ ใบมะขาม ใบจามจรี ่ ุ ุ
  • 44. ใบประกอบแบบต่างๆ ใบประกอบแบบฝ่ ามือ
  • 45. ใบประกอบแบบขนนก ใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ ปลายคู่ (odd-pinnate) (even-pinnate)
  • 46. ใบประกอบแบบขนนกสองชัน ้ ใบประกอบแบบขนนกสามชัน ้ (bi-pinnately (tri-pinnately compound leaves) compound leaves)
  • 47. ใบประกอบแบบขนนก ใบประกอบแบบฝ่ามือ
  • 48. ใบประกอบแบบขนนก ใบจามจุรี
  • 50.
  • 52.
  • 53. 2. ใบเลียง (cotyledon) คือใบของต้ นอ่ อนหรือ ้ เอมบริโอ และเป็นใบแรกทงอกออกมาจากเมลด ทาหน้าที่ ็ ี่ ็ ํ ช่วยสะสม หรือสร้างอาหารเพอการเจริญเติบโตของต้นอ่อน ื่ ในขณะทีเ่ มล็ดเริ่มงอก และยังไม่ มใบแท้ ี
  • 55. 3. ใบดอก (floral leaf) คอ เป็ นใบทีเ่ ปลียนแปลงไป ื ่ มสีสวยงามคล้ายกลบดอก เพอทาหน้าทล่อแมลงในการ ี ี ื่ ํ ี่ ผสมเกสร เช่ น หน้ าวัว คริสต์ มาส เฟื่ องฟา เป็ นต้ น ้
  • 57. ใบประดับ (Bract) เป็ นใบที่เปลียนแปลงไป ทําหน้ าทีช่วยรองรับดอก ่ ่ หรือช่อดอก อยู่บริเวณซอกใบ และมกมสีเขยว แต่ ั ี ี อาจมีสีอนก็ได้ ใบประดับมิได้ เป็ นส่ วนใดส่ วนหนึ่ง ื่ ของดอก ตัวอย่ างเช่ น กาบปลีของกล้ วย กาบเขียง ของมะพร้าว และหมากซึ่งมีสีเขียว อาจจัดใบดอก และใบประดับไว้ เป็ นชนิดเดียวกัน แต่ ถ้ามีสีสวยงาม เรียกว่า ใบดอก 57
  • 58. ใบประดับทีเ่ รียกว่ า กาบ เขยงของต้นหมาก ี
  • 59. ใบประดับทีเ่ รียกว่ ากาบปลี ของต้ นกล้ วย ใบประดับทีเ่ รียกว่ ากาบเขียง ของต้ นมะพร้ าว 59
  • 60. 4. ใบเกล็ด (scale leaf หรือ cataphyll) คือใบที่ เจริญมาเพอทาหน้าทห่อห้ ุมปองกนตา และใบอ่อนไม่ให้ ื่ ํ ี่ ้ ั ได้ รับอันตราย โดยทัวไปไม่ มสีเขียว ลักษณะเป็ นแผ่ นเล็ก ๆ ่ ี คล้ายเกลด บางชนิดมขนาดใหญ่ทาหน้าทสะสมอาหาร เช่น ็ ี ํ ี่ หัวหอม กระเทียม
  • 63. โครงสร้ างภายในของใบ 1) เอพิเดอร์ มส (epidermis) เป็ นเนือเยือผิวชั้นนอก ิ ้ ่ ทีมความหนาเพียงชั้นเดียวอยู่นอกสุ ด มีอยู่ท้งด้ านหลังใบ ่ ี ั (upper epidermis) และ ด้านท้องใบ (lower epidermis) มีควทินหนา โดยเฉพาะเอพเิ ดอร์มสด้าน ิ ิ บน (upper epidermis) ปองกนการระเหยนํา ้ ั ้ ปกตเิ ซลล์ของเอพิเดอร์ มสไม่มคลอโรฟีลล์ ยกเว้นใน ิ ี เซลล์ คุมเท่ านั้น
  • 64.
  • 65.
  • 66.
  • 67. เอพเิ ดอร์มิส ประกอบด้ วยเซลล์ทมรูปร่างเป็นรูป ่ี ี สี่ เหลียมผืนผ้ าเรียงตัวกันเพียงชั้นเดียว ไม่ มีคลอโรพลาสต์ ่ มีหน้ าทีช่วยปองกันโครงสร้ างอืนของใบทีอยู่ถดไป และช่วย ่ ้ ่ ่ ั ปองกันไม่ ให้ นําระเหยออกจากใบมากเกิน ้ ้ เซลล์บางเซลล์จะเปลยนไปเป็นเซลล์คุม (guard ่ี cell) เป็นคู่ๆ มรูปร่างคล้ายเมลดถว 1 คู่ มาประกบกัน ทําให้ ี ็ ่ั เกดรู ตรงกลางขน คอ ส่วนของปากใบ (stoma หรือ ิ ึ้ ื stomata) ทาหน้ าทีแลกเปลียนแก๊ส และไอนํา ระหว่าง ํ ่ ่ ้ ภายใน และภายนอกใบ ภายในเซลล์คุมมีคลอโรพลาสต์
  • 68. เซลล์ ของเอพเิ ดอร์มสิ อาจเปลยนแปลงไป ่ี เป็ นเซลล์ คุม ต่ อม และขน
  • 69.
  • 70.
  • 71. โดยทัวไปพบปากใบทีผวใบด้ านล่ าง(ท้องใบ)มากกว่า ่ ่ ิ ด้ านบน (หลงใบ) แต่ พชบางชนิดมีจํานวนปากใบ ทั้ง ั ื ด้ านบน และด้ านล่ างใกล้ เคียงกัน เช่ น ข้ าวโพด พืชทีใบลอยปริ่มนํา เช่ น บัวสาย จะมีปากใบอยู่เฉพาะทาง ่ ้ ด้ านบนของใบเท่ านั้น พชทจมอย่ ูใต้นํา เช่น สาหร่ายหางกระรอก จะไม่มปากใบ ื ี่ ้ ี
  • 72.
  • 73. 2) มีโซฟีลล์ (mesophyll) เป็ นเนือเยือทีอยู่ระหว่ าง ้ ่ ่ เอพิเดอร์ มสทั้งสองด้ าน ประกอบด้ วยเนือเยือพาเรงคิมา ิ ้ ่ ท่มคลอโรพลาสต์อยู่มาก ทําให้ เห็นใบเป็ นสี เขียว และช่ วย ี ี สังเคราะห์แสง
  • 76. โดยทัวไปพบเซลล์ ทมรูปร่ างแตกต่ างกันเป็ น 2 แบบ คือ ่ ี่ ี - พาลิเสดมีโซฟี ลล์ (palisade mesophyll) เป็ น ชันที่ตดกับเอพิเดอร์ มสด้ านบน ประกอบด้ วยเซลล์ ้ ิ ิ ที่มีรูปร่ างยาวเรี ยงต่ อกันในแนวตังฉากกับเอพิเดอร์ ้ มส โดยไม่ มีช่องว่ างระหว่ างเซลล์ อาจมีชันเดียว ิ ้ หรื อหลายชัน ภายในเซลล์ มีคลอโรพลาสต์ อยู่เป็ น ้ จานวนมาก จนเป็นบริเวณท่ ีมีการสังเคราะห์ด้วย ํ แสงมากที่สุด
  • 77. - สปันจีมโซฟีลล์ (spongy mesophyll) เป็ นชั้นที่ ี อย่ ูถัดลงมาจากพาลเิ สดมีโซฟีลล์ จนถึงเอพเิ ดอร์มสด้านล่ าง ิ ประกอบด้ วยเซลล์ ทมรูปร่ างค่ อนข้ างกลมเรียงตัวหลวมๆ ี่ ี ไม่ เป็ นระเบียบ จึงเกิดช่ องว่ างระหว่ างเซลล์ ช่ วยให้ เซลล์ สั มผัสอากาศภายในใบได้ มาก จึงเอืออํานวยต่ อการ ้ แลกเปลยนแก๊ส และไอนําระหว่างเซลล์กบสิ่งแวดล้อม ี่ ้ ั ภายในมีคลอโรพลาสต์ไม่ หนาแน่ น จึงเกิดกระบวนการ สังเคราะห์ด้วยแสงได้น้อยกว่าช้ันพาลเิ สดมีโซฟีลล์
  • 78. 3) กลุ่มท่ อลําเลียงของใบ หรื อ มัดท่ อลําเลียง (Vascular bundle) เป็ นกลุ่มเซลล์ ท่ ทาหน้ าที่ ี ํ ลําเลียงนํา เกลือแร่ และอาหาร ไปสู่ส่วนต่ างๆ ของ ้ ใบ แทรกอยู่ในชันสปั นจีมีโซฟี ลล์ ประกอบด้ วย ไซเล็ม ้ และโฟลเอ็ม ตามปกติเส้ นใบจะอยู่กันเป็ นย่ อมๆ ในชัน ้ สปันจีมีโซฟี ลล์ (spongy mesophyll) เส้ นใบเส้ น ใหญ่ ท่ สุด คือ เส้ นกลางใบ แล้ วแยกแขนงจากเส้ นกลางใบ ี (midrib) เป็ นเส้ นเล็กลงเรื่ อยๆออกไปมากมาย
  • 79. มดท่อลาเลยงจะล้อมรอบด้วยกล่ มเซลล์ทเี่ รียกว่า บันเดิล ั ํ ี ุ ชีท (bundle sheath) เช่ น ข้ าวโพด ช่ วยทําให้ มดท่ อ ั ลําเลียงแข็งแรงขึน ซึ่งบันเดิลชีทอาจจะเป็ นเนือเยือพาเรง ้ ้ ่ คมา หรือสเกลอเรงคมา 1-2 ชั้น ส่ วนใหญ่ จะอยู่ในช้ันสปันจี ิ ิ มีโซฟีลล์ ทําให้ เห็นเส้ นใบนูนขึนมาทางด้ านท้ องใบ ้
  • 81.
  • 83.
  • 85.
  • 86. หน้ าที่ของใบ ใบมีหน้าท่ สาคญ 3 ประการคือ ี ํ ั 1. สร้ างอาหารด้ วยวิธีการสังเคราะห์ ด้วยแสง (Photosynthesis) 2. แลกเปล่ ียนแก๊สหรือการหายใจ (respiration) 3. คายนํา (transpiration) การคายนําเป็น ้ ้ การปรับอุณหภูมิภายในต้ นพืชไม่ ให้ สูงมาก ในวันที่มีอากาศ ร้อนพชจะคายนํามากกว่าวนท่ อากาศปกติ ื ้ ั ี
  • 87. นอกจากนีอาจเปลียนแปลงไปเพือทําหน้ าทีพเิ ศษอืน ๆ เช่ น ้ ่ ่ ่ ่ 1) ใบสะสมอาหารและนํา (storage leaf) ้ เช่ น ใบว่ านหางจระเข้ ใบเลียงของพืช กลีบหัวหอม ้ กาบกล้ วย เป็ นต้ น
  • 88. 2) ช่วยยด และคาจุนลาต้น (supporting leaf) โดย ึ ํ้ ํ ใบเปลียนไปเป็ นมือเกาะ (tendril) เช่ น มือเกาะของต้ น ่ ตําลึง มะระ บวบ ถั่วลันเตา แตงกวา ฟักทอง เป็ นต้ น
  • 89. 3) ช่วยปองกนลาต้น –ใบเปลียนเป็ นหนาม (leaf spine) ้ ั ํ ่ ช่วยปองกนอนตรายจากภายนอก ตลอดจนสัตว์และแมลงที่ ้ ั ั จะมากดกน อกท้งช่วยลดการคายนําของพช เช่น กระะบอง ั ิ ี ั ้ ื เพชร (ใบ) ป่ านศรนารายณ์ (ขอบใบ) สั บปะรด (ขอบใบ) มะขามเทศ (หูใบ)
  • 91. 4) ใบสื บพันธุ์ (reproductive leaf) หรือ แพร่ พนธุ์ ั เป็ นใบทีเ่ ปลียนไปทําหน้ าทีสืบพันธุ์ เช่ น ใบโคมญีปุ่น ่ ่ ่ ใบควาตายหงายเป็น เป็ นต้ น ํ่
  • 92. 5) ช่ วยในการผสมพันธุ์ ใบดอกหรื อใบประดับ (bract) เป็ นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทําหน้ าที่รองรั บดอกหรื อ ช่ อดอก อาจมีสีเขียวหรื อสีอ่ ืน ๆ คล้ ายกลีบดอก เพื่อ ช่ วยในการล่ อแมลงให้ ผสมเกสร เช่ น เฟื่ องฟา หน้ าวัว ้
  • 93.
  • 94.
  • 95. 6) ใบเกล็ด (Scale leaf) เป็ นใบทีเ่ ปลียนแปลงไปเป็ น ่ เกล็ดเล็กๆ ใบเกล็ดมักไม่ มี คลอโรฟิ ลล์ เช่ น ใบเกล็ดของขิง ข่ า เผือก
  • 97. เป็ นใบที่ เกลดห้ ุมตา (Bud scale) ็ เปลี่ยนแปลงไป ทําหน้าที่หุมตา ้ หรือคลุมตาไว ้ เม่ือตา เจริญเติบโต ออกมา จึงดนให้ั เกลดหุมตาหลุด ็ ้ ไปพบในต้นยาง จําปี สาเก เป็ นตน้ เกล็ดตา (Bud scale) 97
  • 98. 7) ใบดักจับแมลง (carnivorous leaf หรือ insectivorous leaf) เป็ นใบทีเ่ ปลียนแปลงไปเป็ น ่ กบดกแมลง หรือสัตว์เลก ๆ เช่น หม้อข้าวหม้อแกงลง ั ั ็ ิ หยาดนําค้าง กาบคอยแครง สาหร่ายข้ าวเหนียว ้
  • 99. ใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) เป็ นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็ นกับดักแมลง หรื อสัตว์ขนาดเล็ก ภายในกบดกมีต่อมสร้างเอนไซมประเภทโพรทีเอส ั ั ์ ่ ่ (Protease) ท่ียอยโปรตีนสัตว์ที่ติดอยูในกับดักได้ พืชชนิดนี้มี ใบปกติที่สามารถสังเคราะห์แสงได้เหมือนพืชทัว ๆ ไป แต่ ่ ั ่ พืชเหล่านี้มกอยูในที่มีความชื้นมากกว่าปกติ อาจขาดธาตุ อาหารบางชนิด เช่น ไนโตรเจน จึงต้องมีส่วนที่เปลี่ยนแปลง ไปเป็ นกับดัก เช่น ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง (หรื อน้ าเตาฤๅษี) ํ ้ ต้นกาบหอยแครง ต้นหยาดนํ้าค้าง ต้นสาหร่ ายข้าวเหนียว หรื อสาหร่ ายนา (ไม่ใช่สาหร่ าย แต่เป็ นพืชนํ้าขนาดเล็ก) เป็ นต้น 99
  • 101.
  • 103.
  • 104. แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) ของ แสดงใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) ต้นกาบหอยแครง (Carnivorous Plant Website, 2006) ของ ต้นหยาดนําค้าง (Carnivorous Plant Website, 2006) ้ 104
  • 105. กาบหอยแครงจะจับแมลงโดยการใช้ สีของกาบและกลิ่นของ นํ ้าหวานที่ผลิตอยูบริ เวณกาบที่มีขนรับการสัมผัส เมื่อแมลงลงมา ่ กินนํ ้าหวานอย่างไม่ระวังตัว ไปแตะกับเส้ นขนที่อยูที่กาบ กาบจะ ่ หุบลงอย่างรวดเร็ ว และแมลงก็กลายเป็ นอาหารของกาบหอยแครง ในท่ีสด ุ
  • 106. ใบจับแมลง (Insectivorous leaf หรือ Carnivorous leaf) ของ ต้ นหม้ อข่ าวหม้ อแกงลิง (Carnivorous Plant Website, 2006)
  • 107.
  • 108. สาหร่ายข้าวเหนียวเป็นหนงในกลม พืช “นักล่าแมลง” อวัยวะพิเศษที่มน ึ่ ุ่ ั สร้ างขึ ้นมาสําหรับเป็ น “กับดัก” ก็ตดอยูตามลําต้ นและตามซอกใบ กับดัก ิ ่ นี ้เป็ น “ถุง” มีขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตรเท่านันเอง “ถงกบดก” เป็ น ้ ุ ั ั เหมือนกระเป๋ าลมที่พองได้ ลีบแบนได้ (มีปากถุงเป็ นปากแคบๆ มีฝาปิ ด- เปิดได้ สาหร่ายข้าวเหนียวต้นหนงมีกบดกเอาไว้หาอาหารหลายร้อยถง ึ่ ั ั ุ 1. เมื่อมีเหยื่อผ่านเข้ ามาสัมผัสอวัยวะบริ เวณปากถุงด้ านนอก ปากถุงจะ เปิ ดออก 2. เมื่อปากถุงเปิ ดออก จะเกิดแรงดูดเอานํ ้ารวมทังเหยื่อเข้ าสูภายในถุง ้ ่ 3. หลังจากนันฝาก็จะปิ ดลง เหยื่อหมดทางออก และตายในที่สด ้ ุ 4. นํ ้าย่อยภายในถุงทําการย่อยเนื ้อของเหยื่อ 5. และดูดซึม นําไปเป็ นอาหารเลี ้ยงลําต้ นต่อไป
  • 110.
  • 111.
  • 112. 8) ทนลอย (Floating leaf ) พืชนํ ้าบางชนิด เชน ผกตบชวา ุ่ ่ ั สามารถลอยนํ ้าอยได้ โดยอาศยก้านใบพองโตออก ภายในมีเนื ้อ ู่ ั อยกนอยางหลวมๆ และมีชองวางอากาศใหญ่ทําให้มีอากาศอยู่ ู่ ั ่ ่ ่ มาก จงชวยพยงให้ลําต้นลอยนํ ้าอยได้ ึ ่ ุ ู่