More Related Content
Similar to 5.ฮอร์โมน (20)
More from Wichai Likitponrak (20)
5.ฮอร์โมน
- 2. ฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อและอวัยวะสาคัญ (ENDOCRINE SYSTEM)
• 1. ต่อมไร้ท่อและฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อ
• 2. ระบบต่อมไร้ท่อในสัตว์มีกระดูกสันหลัง (มนุษย์)
• 2.1 สมองส่วนไฮโปทาลามัส
• 2.2 ต่อมใต้สมองส่วนหน้า/ส่วนกลาง/ส่วนหลัง
• 2.3 ต่อมไพเนียล
• 2.4 ต่อมไทรอยด์และพาราไทรอยด์
• 2.5 ต่อมหมวกไตชั้นนอก/ชั้นใน
• 2.6 ต่อมเพศ : รังไข่และอัณฑะ ฯลฯ
- 4. ระบบต่อมไร้ท่อ (ENDOCRINE SYSTEM)
• ต่อมไร้ท่อ (endocrine gland) ต่อมที่หลั่งสารและไปมีผลต่อ
เซลล์เป้าหมายโดยผ่าน extracellular fluid เช่น กระแส
เลือด ซึ่งแตกต่างกับ ต่อมมีท่อ (exocrine gland) ซึ่งเป็น
ต่อมที่หลั่งสารและไปมีผลต่อเซลล์เป้าหมายโดยผ่านท่อ
- 5. ฮอร์โมน (HORMONE)
• ฮอร์โมน หมายถึงสารเคมีที่สร้างมาจากเซลล์ของต่อมไร้ท่อ
(endocrine cell) และไปมีผลควบคุมการทางานของ
เซลล์เป้าหมายที่อยู่ห่างออกไป โดยขนส่งไปตามกระเส
เลือด
• การทางานของร่างกายที่ควบคุมโดยฮอร์โมนหรือสารเคมี
เรียก chemical control และเรียกกลุ่มสารเคมีดังกล่าวว่า
chemical messenger หรือ molecular messenger :
ตัวนาข่าว (ตัวที่ 1 ,2 ,….)
- 7. เนื้อเยื่อ ต่อมไร้ท่อ ประเภทฮอร์โมน
Ectoderm Pituitary gland , pineal gland, adrenal medulla amine, protein
Mesoderm Adrenal cortex, testis , ovary steroid
Endoderm Thyroid gland , parathyroid gland , Islet of Langerhans amine, protein
7
พัฒนาการของต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อในคนมีต้นกำเนิดมำจำกเนื้อเยื่อ 3 ชั้น และเริ่มเจริญตั้งแต่ระยะเอ็มบริโออำยุประมำณ 4-12
สัปดำห์ และกลำยเป็นต่อมที่สมบูรณ์เต็มที่เมื่อเอ็มบริโออำยุประมำณ 7-16 สัปดำห์
- 8. ประเภทของต่อมไร้ท่อ
สามารถแบ่งตามความสาคัญของฮอร์โมนที่ต่อมไร้ท่อสร้างขึ้นมาได้เป็น 2
ประเภท คือ
1) ต่อมไร้ท่อที่จาเป็นต่อชีวิต (Essential endocrine gland) เป็นต่อมไร้
ท่อที่จาเป็นอย่างมากต่อร่างกาย ถ้าหากขาดต่อมต่อไปนี้แล้วแล้วทาให้
เสียชีวิตทันที ได้แก่ ต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid) ต่อมหมวกไต
ชั้นนอก (adrenal cortex) และต่อมไอส์เลตของตับอ่อน (islets of
Langerhans)
2) ต่อมไร้ท่อที่ไม่จาเป็นต่อชีวิต (Non - Essential endocrine gland)
เป็นต่อมที่ไม่จาเป็นหรือจาเป็นน้อยมากต่อร่างกาย ถ้าหากขาดต่อม
ต่อไปนี้แล้วไม่ทาให้ถึงตาย ได้แก่ ต่อมใต้สมอง (pituitary) ต่อมไทรอยด์
(thyroid) ต่อมหมวกไตชั้นใน (adrenal medulla) ต่อมไพเนียล
(pineal) ต่อมไทมัส (thymus) ต่อมเพศ (gonads) เป็นต้น
- 9. 9
การค้นพบฮอร์โมน
ค.ศ. 1848 Arnold A. Berthold ทดลองตัดอัณฑะของลูกไก่ตัวผู้ออก ไก่สามารถเจริญเติบโตได้แต่ลักษณะทางเพศเปลี่ยนแปลงไป คือ
หงอนและเหนียงคอมีขนาดเล็ก เมื่อนาอัณฑะใส่กลับไปในไก่ตัวผู้ที่ถูกตัดอัณฑะออกและปล่อยให้เจริญเติบโตระยะหนึ่ง ปรากฏว่าหงอนและ
เหนียงคอขยายใหญ่เหมือนไก่ตัวผู้ปกติ สรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงหงอนและเหนียงคอซึ่งเป็นลักษณะจาเพาะของไก่ตัวผู้เกี่ยวข้องกับ
อัณฑะ
- 10. 10
การค้นพบฮอร์โมน
ค.ศ. 1868 Paul Langerhans ศึกษาตับอ่อนและสังเกตพบกลุ่มเซลล์ที่แตกต่างจากเนื้อเยื่อส่วนใหญ่กระจายอยู่เป็น
หย่อมๆ มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงมาก ต่อมามีการตั้งชื่อกลุ่มเซลล์เหล่านี้ว่า กลุ่มเซลล์ไอส์เลต ออฟ ลังเกอร์ฮันส์
ค.ศ. 1883 E. Kocher ทดลองตัดต่อมไทรอยด์ของคนไข้คนหนึ่งออก พบว่า มีอาการผิดปกติอ่อนเพลีย บวมที่ใบหน้า มือ
และเท้า ผิวหนังแห้งเป็นสะเก็ด สมองเสื่อม
ค.ศ.1895 Magnus Levy นาต่อมไทรอยแกะมาทาให้แห้งแล้วบดละเอียดให้คนปกติกิน ปรากฏว่า ทาให้เมทาบอลิซึมสูง
และต่อมาสามารถรักษาคนไข้ที่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ได้สาเร็จโดยให้กินต่อมไทรอยด์แกะบดละเอียด
ค.ศ.1905 David Marine พบว่า คนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเลจะเป็นโรคคอหอยพอกน้อยกว่าคนที่อยู่ไกลทะเลและเสนอให้เติม
ไอโอดีนในน้าดื่ม
- 12. • ค.ศ. 1889 Johann Von Mering และ Oscar Minkovski แสดงให้เห็นว่าการตัดตับอ่อนของสุนัขมีผลต่อการย่อยอาหารประเภทลิพิด
ผลการทดลองที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ มีมดขึ้นปัสสาวะของสุนัขที่ถูกตัดตับอ่อนซึ่งแตกต่างจากสุนัขปกติ ต่อมาอีก 2 สัปดาห์
สุนัขที่ถูกตัดตับอ่อนตาย
• ค.ศ. 1896 C.Z. Boumann วิเคราะห์เนื้อเยื่อต่างๆ ของคนพบว่าเซลล์ในต่อมไทรอยด์มีปริมาณไอโอดีนสูงกว่าเซลล์ในส่วนอื่นถึง 100
เท่า
• ค.ศ. 1920 ศัลยแพทย์ชาวแคนาดาชื่อ F.G. Banting และนักศึกษาแพทย์ชื่อ C.H. Best แห่งมหาวิทยาลัยโตรอนโต ได้พบหลักฐานบาง
ประการที่ทาให้ทราบว่าไอส์เลตออฟลังเกอร์ฮันส์ผลิตสารควบคุมระดับน้าตาลในเลือด จึงทาการทดลองโดยมัดท่อตับอ่อนของสุนัข
พบว่าตับอ่อนไม่สามารถสร้างเอนไซม์ได้อีกต่อไป แต่ไอส์เลตออฟลังเกอร์ฮันส์ยังคงทางานปกติ และได้สกัดอินซูลินออกมาได้เมื่อ
นาไปฉีดให้กับสุนัขที่เป็นโรคเบาหวานภายหลังจากถูกตัดตับอ่อนออกแล้ว ปรากฏว่าสุนัขสามารถมีชีวิตเป็นปกติและสามารถลดระดับ
น้าตาลในเลือดลงได้จากผลงานนี้ช่วยชีวิตคนที่เป็นโรคเบาหวานไว้ได้จานวนมากทาให้ Banting ได้รับรางวัลโนเบลในปี พ.ศ. 2466
12
การค้นพบฮอร์โมน
- 15. ฮอร์โมน สามารถแบ่งประเภทตามลักษณะทางเคมีออกเป็น 3 กลุ่มหลัก
1. ฮอร์โมนกลุ่มอะมีน (amine) ประกอบด้วย กรดอะมิโนที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก ละลายน้าได้ และเก็บสะสมไว้ในต่อมที่ผลิตในรูป
คอลลอยด์ (colloid) หรือ แกรนูล (granule) เมื่อถูกส่งเข้ากระแสเลือด อาจจับกับพลาสมาโปรตีน ได้แก่ ไทรอกซิน และ
อะดรีนาลิน เป็น
2. ฮอร์โมนกลุ่มโปรตีนหรือพอลิเพปไทด์ (polypeptide) ประกอบด้วย กรดอะมิโนหลายโมเลกุลมาเรียงต่อกัน มีน้าหนักโมเลกุล
มาก ละลายน้าได้และเก็บไว้ในรูปแรนูล ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพฮอร์โมนอิสระ ได้แก่ โกรทฮอร์โมน อินซูลิน กลูคากอน โพรแลก
ติน วาโซเพรสซิน และพาราทอร์โมน เป็นต้น
3. ฮอร์โมนกลุ่มสเตอรอยด์ (steroid) ประกอบด้วย สารสเตอรอยด์ ละลายในไขมันและไม่เก็บสะสมในต่อที่ผลิต จะหลั่งสู่กระแส
เลือดและจับกับโปรตีนที่จาเพาะในพลาสมา การออกฤทธิ์นาน ได้แก่ ฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมหมวกไตชั้นนอก และฮอร์โมนเพศ
เป็นต้น
- 21. ไฮโปทาลามัส (HYPOTHALAMUS)
ไฮโปทาลามัสเป็นโครงสร้างของสมองที่
อยู่ใต้ทาลามัส (thalamus) แต่เหนือก้าน
สมอง (brain stem) ทาหน้าที่เชื่อมโยงการ
ทางานของระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อ
โครงสร้างนี้เป็นโครงสร้างหลักที่อยู่ด้านล่าง
ของ diencephalon พบในสมองของสัตว์
เลี้ยงลูกด้วยน้านมทุกชนิด ในมนุษย์มีขนาด
ประมาณเมล็ดอัลมอนด์
ฮอร์โมนจากไฮโพทาลามัสหลั่งออกมา
เป็น releasing hormone (RH) และ
inhibiting hormone (IH) มีผลไปควบคุม
การทางานของต่อมใต้สมอง
- 22. ฮอร์โมนที่หลั่งจากไฮโปทาลามัส
• ฮอร์โมนกระตุ้นการหลั่ง GH (GH releasing
hormone ,GHRH)
• ฮอร์โมนยับยั้งการหลั่ง GH (GH inhibiting
hormone ,GHIH)
• ฮอร์โมนกระตุ้นการหลั่งโพรแลกติน (prolactin
releasing hormone ,PRH)
• ฮอร์โมนกระตุ้นการหลั่งของต่อมไทรอยด์
(thyroid releasing hormone ,TRH) กระตุ้น
การหลั่ง TSH
• ฮอร์โมนกระตุ้นการหลั่ง Gn (gonadotrophin
releasing hormone ,GnRH) กระตุ้นการหลั่ง
FSHและ LH
- 23. 1. ต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior pituitary)
2. ต่อมใต้สมองส่วนกลาง (intermediate pituitary)***
3. ต่อมใต้สมองส่วนหลัง (Posterior pituitary)
ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง (PITUITARY)
ต่อมใต้สมองเป็นต่อมไร้ท่อ อยู่บริเวณตรงกลางสมองแบ่งได้ เป็น 3 ส่วน คือ
- 26. - ฮอร์โมนเมลาโนไซต์ (Melanocyte stimulating hormone) หรือ MSH ทา
หน้าที่ทาให้รงควัตถุภายในเซลล์ผิวหนังกระจายไปทั่วเซลล์
ต่อมใต้สมองส่วนกลำง ทำหน้ำที่ผลิตฮอร์โมน ดังนี้
- 27. ต่อมใต้สมองส่วนหลัง (Posterior pituitary gland or neurohypophysis)
- ฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมใต้สมองส่วนหลังสร้างมา
จากเซลล์ประสาทของไฮโปทาลามัส
- โดยเซลล์ประสาทจะยื่นส่วน axon มาในต่อมใต้
สมองส่วนหลัง
- ต่อมใต้สมองส่วนหลังหรือนิวโรไฮโพไฟซีส ไม่ได้
สร้างฮอร์โมนเอง แต่ฮอร์โมนถูกสร้างมาจาก นิวโร
ซีครีทอรีเซลล์ของไฮโพทาลามัสโดยกลุ่มเซลล์
เหล่านี้จะมีแอกซอนมาสิ้นสุดอยู่ภายในต่อมใต้
สมองส่วนหลัง และเข้าสู่กระแสเลือด
- 32. ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland)
• ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมไร้ท่อซึ่งอยู่บริเวณลาคอหน้ากล่องเสียงเป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในคนปกติมีน้าหนักประมาณ
25 กรัม เจริญมาจากเนื้อเยื่อตัวอ่อนชั้นใน (endoderm) ซึ่งอยู่ที่ฐานของคอหอย แล้วแทรกตัวเข้าไปอยู่หน้าต่อหลอดลม
แบ่งออกเป็น 2 พูและเชื่อมกันตรงกลางด้วยส่วนที่เรียกว่า isthmus
• ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนที่สามารถดึงไอโอดีนจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ได้ต่อมไทรอยด์จะประกอบด้วยถุงหุ้มที่เป็น
connective tissue ซึ่งเป็นที่สร้างฮอร์โมน เรียกว่า thyroid follicle เป็นที่สร้างและหลั่งฮอร์โมน thyroxine และ
triiodothyronine ซึ่งมีไอโอดีนเป็นส่วนประกอบแล้วเก็บไว้ในของเหลวที่อยู่ตรงกลาง เรียกว่า โพรงถุงไทรอยด์ หรือ
colloid ซึ่งมีส่วนประกอบเป็น glycoprotein เรียกว่า thyroglobulin ไกลโคโปรตีนคือโปรตีนเชิงซ้อนซึ่งมีหมู่ของ
คาร์โบไฮเดรตทาพันธะโควาเลนต์กับโปรตีน
• ฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมไทรอยด์มี 2 ชนิด คือ
• ไทรอกซิน (Thyroxine) และไตรไอโอโดไทโรนีน (triiodothyronine)
• แคลซิโตนิน (Calcitonin)
- 34. ความผิดปกติเกี่ยวกับฮอร์โมนไทรอกซิน
1. ครีทินิซึม (cretinism) เป็นความผิดปกติของร่างกายเนื่องจากการขาดฮอร์โมนไทรอกซินตั้งแต่วัยเด็กจะมีผลให้พัฒนาการทาง
ร่างกายและสมองด้อยลง การเจริญของกระดูกลดลง ร่างกายจึงเตี้ยแคระ แขนขาสั้น ผิวหยาบแห้ง และระดับสติปัญญาต่ากว่าปกติ
2. มิกซีดีมา (myxedema) เป็นความผิดปกติของร่างกายเนื่องจากขาดฮอร์โมนไทรอกซินในผู้ใหญ่ ทาให้มีอาการเหนื่อยง่าย อัตรา
เมทาบอลิซึมต่า น้าหนักเพิ่ม กล้ามเนื้ออ่อนแรง เฉื่อยชา ความจาเสื่อม
3. คอพอก (simple goiter) เป็นความผิดปกติเนื่องจากร่างกายขาดไอโอดีน ทาให้ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนไทรอกซิน จึงมีผลไป
กระตุ้นให้ไฮโพทาลามัสหลั่ง TRH ออกมากระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าหลั่ง TSH ออกมากระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้สามารถสร้าง
ฮอร์โมนไทรอกซิน แต่ก็สร้างฮอร์โมนไม่ได้เพราะขาดไอโอดีน ทาให้ไม่สามารถไปยับยั้งการหลั่ง TSH นานๆ เข้าต่อมไทรอยด์
ขยายขนาดโตขึ้นเกิดเป็นคอพอก ซึ่งสามารถรักษาให้ทายได้โดยให้ร่างกายได้รับไอโอดีนในปริมาณสูงๆ
4.คอพอกเป็นพิษ (toxic goiter) เป็นความผิดปกติเนื่องจากร่างกายหลั่งไทรอกซินมากกว่าปกติจึงมีผลทาให้อัตราเมทาบอลิซึมสูง
กล้ามเนื้อและประสาททางานมากกว่าปกติ เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นแรง และเร็ว รู้สึกหิวบ่อย และกินจุแต่น้าหนักตัวลดนอนไม่หลับ
หงุดหงิดฉุนเฉียว และมีอาการตาโปนด้วย เรียก คอกพอกและตาโปน (exophthalamic goiter)
- 36. - ต่อมพาราไทรอยด์เป็นต่อมเล็กๆ มีทั้งหมด 4 ต่อมโดยที่
อยู่ติดกับด้านหลังของต่อมไทรอยด์ 2 ข้าง ซึ่งพบข้าง
ละ 2 ต่อม มีความสาคัญในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้น
- พาราทอร์โมน (parathormone ,PTH) ทาหน้าที่รักษา
สมดุลและ ฟอสฟอรัสในร่างกายให้คงที่
- มีผลกระตุ้นให้มีการเพิ่มแคลเซียมและฟอสฟอรัส
- ถ้ามีระดับแคลเซียมต่าในเลือดจะกระตุ้นให้มีการหลั่ง
ฮอร์โมนมากขึ้น
- ถ้าหลั่งฮอร์โมนมากเกินไปจะทาให้มีการสะสมแคลเซียม
ที่ไตที่เส้นเลือด กระดูกเสียแคลเซียมมากเกินไป หักง่าย
เป็นโรคกระดูกพรุน (ในคนปกติระดับแคลเซียมใน
พลาสมา 10 มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
ฮอร์โมนจากต่อมพาราไทรอยด์ (Parathyriod gland)
- 40. ตับอ่อน (pancreas)
1. กลุ่มเซลล์แอซินาร์ (acinar cell) เป็นกลุ่มเซลล์ซึ่งเป็นส่วนของต่อมมีท่อที่ทาหน้าที่สร้างและหลั่งน้าย่อยเข้าสู่ลาไส้เล็กทางท่อ
ลาเลียง
2. กลุ่มเซลล์ไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ ฮานส์ (Islets of Langerhans) เป็นกลุ่มเซลล์เล็กๆ จานวนมากกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ ซึ่งเป็น
ส่วนของต่อมไร้ท่อทาหน้าที่สร้างและหลั่งฮอร์โมน มีปริมาณ 1–3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์ทั้งหมด 6 ชนิด แต่มี 4 ชนิดที่
เป็นเปปไทด์ฮอร์โมน ได้แก่
2.1 เอ หรือ แอลฟาเซลล์ ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 20 ของไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ ทาหน้าที่ผลิตฮอร์โมนกลูคากอน
2.2 บี หรือ เบตาเซลล์ มีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 75 ของไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ ทาหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน
2.3 ดี หรือ เดต้าเซลล์ มีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 5-10 ของไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ ทาหน้าที่ผลิตฮอร์โมนโซมาโทสเตทิน
(somatostatin)
2.4 พีพี หรือ เอฟเซลล์ เพนคริเอติก พอลิเปปไทด์ มีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 1-2 ของไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ ทาหน้าที่ผลิตเพนคริ
เอติก พอลิเปปไทด์ (pancreatic polypeptide) ทาหน้าที่ลดการดูดซึมอาหารที่กระเพาะและลาไส้ (gastrointestinal function)
- 42. Diabetes mellitus (โรคเบาหวาน) สภาวะที่ระดับน้าตาลในเลือดสูงกว่าปกติ (คนปกติ =
90mg/100ml) อาจเกิดเนื่องจากร่างกายขาด insulin หรือเซลล์เป้าหมายไม่ตอบสนองต่อinsulin
- 44. ต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) เป็นต่อมไร้ท่อที่สร้างฮอร์โมนมากชนิดที่สุดกว่า 50 ชนิด สร้างและหลั่ง
ฮอร์โมนสเตอรอยด์ซึ่งสังเคราะห์มาจากคอเลสเตอรอลรวมอยู่กับไลโพโปรตีนในกระแสเลือดและผ่านเข้าสู่เซลล์ของต่อมโดย
ผ่านตัวรับที่เยื่อหุ้มเซลล์ภายในเซลล์คอเลสเตอรอลจะถูกเปลี่ยนโดยเอนไซม์หลายชนิด เมื่อร่างกายต้องการใช้ฮอร์โมน
เอนไซม์เหล่านี้จะถูกกระตุ้นให้สังเคราะห์ฮอร์โมนสเตอรอยด์และปล่อยออกสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีสเตอรอยด์เก็บ
ไว้ในเซลล์แบ่งเป็น 3 ชั้น ตามลักษณะการเรียงตัวของเซลล์ คือ
1. ต่อมหมวกไตชั้นนอกส่วนนอกสุด (Zona glomerulosa) สร้างและหลั่งฮอร์โมน mineralocorticoid ตัวอย่างของฮอร์โมนใน
กลุ่มนี้ ได้แก่ aldosterone ซึ่งทาหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้าและเกลือแร่ในร่างกาย
2. ต่อมหมวกไตชั้นนอกส่วนกลาง (Zona fasciculate) สร้างฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์ ตัวอย่างของฮอร์โมนในกลุ่มนี้ ได้แก่
cortisol , cortisone และ corticosterone ซึ่งทาหน้าที่ควบคุม metabolism ของคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน รวมทั้งช่วย
ร่างกายทนต่อความเครียดได้
3. ต่อมหมวกไตชั้นนอกส่วนใน (Zona reticularis) สร้างฮอร์โมนเพศ ได้แก่ estrogenprogesterone และ androgen ซึ่งมี
ปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับฮอร์โมนที่สร้างจากอวัยวะเพศ ซึ่งมีบทบาทควบคุมการแสดงลักษณะทางเพศที่สอง
เซลล์ส่วนกลางและส่วนในของต่อมหมวกไตชั้นนอกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ACTH จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ส่วนเซลล์
ส่วนนอกถูกควบคุมโดยฮอร์โมน angiotensin ซึ่งเป็นสารที่ได้จากการทาปฏิกิริยาของเรนินกับ พลาสมาโปรตีนในไต
- 45. ต่อมหมวกไตชั้นใน (adrenal medulla) สร้างฮอร์โมนได้ 2 ชนิด ได้แก่ ฮอร์โมนเอพิเนฟริน (epinephrine
hormone) หรือ อะดรีนาลิน (adrenalin hormone) และฮอร์โมนนอร์อิพิเนฟริน (norepinephrine hormone) หรือ นอร์
อะดรีนาลิน (noradrenalin hormone) การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตชั้นในจะอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบประสาทอัต
โนวัติ ในภาวะปกติจะหลั่งฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดนี้ในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอารมณ์อย่างรุนแรง ไฮโพ
ทาลามัสจะกระตุ้นการหลั่งอะดรีนาลินมากกว่าปกติ ทาให้ระดับน้าตาลในเลือดสูงเมทาบอลิซึมเพิ่มมากขึ้นทาให้ร่างกายมีพลังงาน
เพิ่มสูงขึ้นมากจนสามารถทาสิ่งต่างๆได้ทั้งที่ภาวะปกติทาไม่ได้
- 48. โรคแอดดิสัน (Addison’s disease) เกิดจากต่อมหมวกไตชั้นนอกถูกทาลายจนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนได้ จะทาให้คนไข้
ซูปผอม ผิวหนังตกกระ ร่างกายไม่สามารถรักษาสมดุลของแร่ธาตุได้จึงเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตายได้
- 49. ต่อมเพศ (Gonad)
เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว(puberty) ไฮโพทา
ลามัสและต่อมใต้สมองส่วนหน้าจะสร้าง gonadotropin
releasing hormone หรือที่เรียกว่า Gn-RH ออกมา ซึ่ง
ฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้หลั่ง
follicle stimulating hormone เรียกย่อว่า FSH และ
LH มีผลให้ในเพศหญิงอวัยวะที่เรียกว่ารังไข่และในเพศ
ชายอวัยวะที่เรียกว่าอัณฑะ ทาหน้าที่เป็นต่อมไร้ท่อผลิต
ฮอร์โมน โดยในเพศชาย การสร้าง LH และ FSH อยู่ใน
อัตราค่อน ข้างสม่าเสมอ แต่ในเพศหญิงการสร้าง LH
และ FSH จะเปลี่ยนแปลงไปไม่คงที่ขึ้นอยู่กับระยะเวลา
ก่อนหรือหลังตกไข่
- 50. ฮอร์โมนจากอวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
อัณฑะ (testis) เป็นอวัยวะเพศของผู้ชายอยู่ในถุงอัณฑะ
(scrotum) มีอยู่ 2 ข้างซ้ายและขวา ระยะแรกอยู่ในช่องท้อง ก่อน
คลอดเล็กน้อยจึงออกมาอยู่ในถุงอัณฑะทาให้อุณหภูมิของอัณฑะต่า
กว่าอุณหภูมิของร่างกายประมาณ 2 องศาเซลเซียส ทาหน้าที่ในการ
ผลิตสร้างตัวอสุจิและผลิตฮอร์โมนเพศชายที่สาคัญได้แก่ เทสโท
สเทอโรน (testosterone)
ส่วนของอัณฑะที่ทาหน้าที่เป็นต่อมไร้ท่อที่ทาหน้าที่ผลิต
ฮอร์โมนเพศชาย คือ เซลล์เลย์ดิก (Leydig cell) หรืออินเตอร์สติ
เชียลเซลล์ (interstitial cell) อยู่ในเนื้อเยื่อที่แทรกอยู่ระหว่างท่อ
เซมินิเฟอรัส (seminiferous tubule) ทาหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศ
ชายเทสโทสเทอโรนและสร้างเอสโทรเจนในจานวนน้อยด้วย FSH
จะควบคุมการสร้างตัวอสุจิให้มีการสร้างอสุจิในท่ออสุจิ ฮอร์โมน
LH หรือ ICSH จะกระตุ้นให้เซลล์เลย์ดิก (Leydig cell) สร้าง
ฮอร์โมนที่เรียกว่า แอนโดรเจน (androgen) ส่วนใหญ่เป็นเทสโท
สเทอโรนโดย FSH จะชักนาให้เกิดตัวรับของ LH บนเซลล์เลย์ดิก
- 52. • รังไข่ (Ovary) ตั้งอยู่ที่อุ้งเชิงกราน 2 ข้างของมดลูก ทาหน้าที่
สร้างเซลล์สืบพันธุ์และเป็นต่อมไร้ท่อ โดยผลิตฮอร์โมนเพศหญิง
คือ ฮอร์โมน estrogen และ progesterone ซึ่งเป็นสเตรอยด์ ระดับ
ของฮอร์โมนจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของรอบประจาเดือน
โดยเซลล์ที่สามารถสร้างฮอร์โมน ได้แก่
1. ทีคา อินเทอร์นาเซลล์ (theca interna cell) ทาหน้าที่สร้างฮอร์โมน
แอนโดรเจน ผ่านเข้าสู่ granulosa cell หลังจากนั้นเอนไซม์
aromatase จะเปลี่ยน androgen หรือ testosterone ไปเป็น estrogen
เข้ากระแสเลือดไปที่อวัยวะเป้าหมาย เช่น ที่สมอง หลอดเลือด
อวัยวะสืบพันธุ์ ระบบการขับถ่ายปัสสาวะ เป็นต้น
2. ลูเทียว เซลล์ (luteal cell) หลังจากตกไข่แล้ว granulosa cell จะ
เปลี่ยนไปเป็นเซลล์ลูเทียว ทาหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอ
โรนจานวนมากและมีการสร้างฮอร์โมนเอสโทรเจนบ้างเล็กน้อย
ฮอร์โมนจากอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
- 55. รก (PLACENTA)
• การตกไข่ การปฏิสนธิ การแบ่งเซลล์ และการฝังตัวของตัวอ่อนที่โพรงมดลูกซึ่งใช้เวลาประมาณ 7 วัน ภายหลังการฝังตัวของตัว
อ่อน ส่วนเซลล์โทรโฟบลาสทจะเจริญไปเป็นรก รกทาหน้าที่ 2 ประการคือ ทาหน้าที่แลกเปลี่ยนอาหาร อากาศและของเสียจาก
ทารกในครรภ์ของทารกในครรภ์ และทาหน้าที่เป็นต่อมไร้ท่อชั่วคราวในมดลูก ซึ่งสามารถผลิตฮอร์โมนมากมายที่จาเป็น
ระหว่างตั้งครรภ์และเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับกลไกลการเจ็บครรภ์รวมทั้งฮอร์โมน เอสโทรเจนและฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน
- 56. • มีลักษณะเป็นพู 2 พู อยู่บริเวณทรวงอกรอบเส้นเลือด ใหญ่ของหัวใจ ต่อมไทมัสจะเจริญเต็มที่ตั้งแต่เป็นทารกอยู่ใรครรภ์มารดาและมี
ขนาด ใหญ่มากเมื่อยังมีอายุน้อย แต่เมื่ออายุมากขึ้นขนาดของต่อมไทมัสจะเล็กลงและฝ่ อไป ในที่สุด
• ต่อมไทมัสทาหน้าที่ สร้างฮอร์โมน thymosin ซึ่งมีหน้าที่ในการกระตุ้น เนื้อเยื่อต่อมไทมัสเอง ซึ่งเป็นอวัยวะน้าเหลือง สร้าง
T-lymphocyte หรือ T-cell ซึ่งเป็น เซลล์ที่สาคัญในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยการทาลายเซลล์แปลกปลอมที่
เกิดขึ้น และ กระตุ้นการทางานของ B-cell ให้สร้าง antibody ขึ้นมาต่อต้านสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคให้หมดฤทธิ์ไป
ต่อมไทมัส (THYMUS GLAND)