SlideShare a Scribd company logo
1 of 46
Download to read offline
เรื่อง ระบบน้้าเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน
รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม 2
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559
คุณครูฐิตารีย์ ส้าเภา
โรงเรียนท่ามะกาวิทยาคม
ส้านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 (กาญจนบุรี-ราชบุรี)
 สืบค้นข้อมูล อภิปราย และสรุปเกี่ยวกับระบบน้้าเหลือง ระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งปัจจัยที่
มีผลต่อการท้างานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
จุดประสงค์การเรียนรู้
 ระบบท่อปลายตันแทรกในเนื้อเยื่อ
 น้าของเหลวส่วนเกินกลับคืนระบบเลือด
 ล้าเลียงสารโดยเฉพาะไขมันเข้าหัวใจ
 ก้าจัดสิ่งแปลกปลอมโดย WBC
 ทิศทางเข้าสู่หัวใจ
 ไม่มีอวัยวะสูบฉีด
 การบีบตัวของ lymphatic duct
 การหดตัวของกล้ามเนื้อลายโดยรอบ
 ลิ้น
 แรงดึงดูดจากการหายใจเข้า ท้าให้หลอด
น้้าเหลืองบริเวณทรวงอกขยาย
ระบบน้้าเหลือง (LYMPHATIC SYSTEM)
น้้าเหลือง (Lymph)
ต่อมน้้าเหลือง (Lymph node)/
อวัยวะน้้าเหลือง (Lymphatic
Organ)
หลอดน้้าเหลือง/ท่อน้้าเหลือง
(Lymph vessel)
ระบบน้้าเหลือง (LYMPHATIC SYSTEM)
 ของเหลวระหว่างเซลล์หรือรอบๆ
เนื้อเยื่อ
 ซึมผ่านผนังหลอดเลือดฝอย ออกมาอยู่
ระหว่างเซลล์
 ของเหลวในเนื้อเยื่อซึมผ่านระบบเลือด
และระบบน้้าเหลือง
 ประกอบด้วย เอนไซม์ ฮอร์โมน กลูโคส
ก๊าซ เซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิด
Lymphocyte และ monocyte
โปรตีนชนิดโกลบูลิน
 หน้าที่ ล้าเลียงอาหารประเภทไขมัน
ก้าจัดสิ่งแปลกปลอม
น้้าเหลือง (LYMPH )
 ท่อตัน พบทั่วร่างกาย
 หลอดน้้าเหลืองฝอยเล็กที่สุด
 มีลิ้นกั้นป้องกันการไหลกลับของ
น้้าเหลือง คล้ายเส้นเลือดเวน
 การหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อรอบๆ
ท่อน้้าเหลืองน้้าเหลืองไหล
 ท่อน้้าเหลืองขนาดเล็กแรงดัน มากกว่า
ท่อขนาดใหญ่
ท่อน้้าเหลือง (LYMPH VESSEL)
ท่อน้้าเหลือง (LYMPH VESSEL)
ท่อน้้าเหลือง (LYMPH VESSEL)
 สร้างน้้าเหลือง
 อยู่ระหว่างทางเดินของท่อน้้าเหลือง
 รูปไข่ ขนาดต่างกัน
 มี Lymphocyte รวมเป็นกระจุก
 คล้ายฟองน้้า
 ต่อมน้้าเหลืองบริเวณโคนขาเรียกว่า ไขดัน
อวัยวะน้้าเหลือง (LYMPHATIC ORGAN)
กลุ่มของต่อมน้้าเหลือง
3 คู่: คอหอย โคนลิ้น และเพดาน
ปาก
Lymphocyte ท้าลายจุลินทรีย์ที่
ผ่านมาในอากาศ
ติดเชื้อจะบวมแดง เรียกว่า ต่อม
ทอนซิลอักเสบ
ต่อมทอนซิล (TONSIL GLAND)
ต่อมน้้าเหลืองที่ใหญ่ที่สุด
ผลิตเซลล์เม็ดเลือดในระยะเอ็มบริโอ
หลังคลอด: สร้าง Antibody
ท้าลาย RBC และ Platelet ที่
หมดอายุ
ผลิตเซลล์เม็ดเลือดเมื่อเกิดมะเร็งเม็ด
เลือด
ม้าม (SPLEEN)
 อยู่ที่ทรวงอก รอบหลอดเลือดใหญ่ของหัวใจ
 สร้าง T-lymphocyte
 ถ้าตัดออกเมื่อเป็นตัวอ่อน ท้าให้สัตว์มีภูมิต้านทานต่้า
อ่อนแอ และตาย
 ต่อต้านเชื้อโรค สารแปลกปลอม และอวัยวะที่ปลูกถ่าย
จากผู้อื่น
 สร้างฮอร์โมน Thymosin กระตุ้นการผลิต antibody
ของพลาสมา
ต่อมไทมัส (THYMUS GLAND)
 น้้าเหลืองจากอวัยวะต่างๆ ถูกดูดซึม
เข้าสู่หลอดน้้าเหลืองฝอย ซึ่งแทรกตัว
อยู่ในอวัยวะ
 ผนังของหลอดน้้าเหลืองฝอยเป็นเยื่อ
บุผิว
 เมื่อหลอดน้้าเหลืองฝอยทั่วร่างกายมา
รวมกันจะเป็นหลอดน้้าเหลืองใหญ่ มี
ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาแล้วล้าเลียง
น้้าเหลืองกลับสู่เส้นเลือดด้าใหญ่กลับ
สู่หัวใจ
 น้้าเหลืองจะปนไปกับเลือด ไปสู่
อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
การล้าเลียงน้้าเหลือง
 ตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสารและแก๊สระหว่างเซลล์กับ
เส้นเลือดฝอย
 ช่วยท้าลายแบคทีเรียและสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย
 ช่วยในการล้าเลียงไขมันจากผนังล้าไส้เข้าสู่กระแสเลือด
 ช่วยในการน้าสารโปรตีนและสารอื่นๆ ที่หลุดออกมาจาก
เส้นเลือดฝอยกลับเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือด
 ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte และ
monocyte
 ช่วยกรองน้้าเหลือง ท้าลายเชื้อโรค และท้าลายเม็ดเลือดที่
หมดอายุ
หน้าที่ของระบบน้้าเหลือง
ระบบภูมิคุ้มกัน (IMMUNE SYSTEM)
 กระบวนการต่อต้านเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
 ภูมิคุ้มกันของร่างกายมี 2 แบบ คือ ภูมิคุ้มกันก่อเอง (active immunization)
และภูมิคุ้มกันรับมา (passive immunization)
 กลไกการสร้างภูมิคุ้มกันมี 2 แบบ คือ แบบไม่จ้าเพาะ (non-specific defense)
และแบบจ้าเพาะ (specific defense)
ระบบภูมิคุ้มกัน (IMMUNE SYSTEM)
 ร่างกายถูกกระตุ้นจาก antigen
 วัคซีนจากจุลินทรีย์ที่ตายแล้ว เช่นวัคซีนป้องกัน
โรคไอกรน ไทฟอยด์ อหิวาตกโรค
 วัคซีนจากจุลินทรีย์ที่ถูกท้าให้อ่อนก้าลังลง เช่น
วัคซีนป้องกันโรควัณโรค โปลิโอ หัด หัดเยอรมัน
คางทูม
 ทอกซอยด์: สารพิษที่ท้าให้หมดสภาพ เช่น โรค
คอตีบ บาดทะยัก
 ข้อดี: เกิดภูมิคุ้มกันอยู่นาน ไม่เกิดการแพ้
 ข้อเสีย: ตอบสนองช้า (ใช้เวลา 4-7 วัน)
ภูมิคุ้มกันก่อเอง (ACTIVE IMMUNIZATION)
 ภูมิคุ้มกันแบบจ้าเพาะ
 รับ antibody เข้าร่างกาย
 เตรียมโดย ฉีดเชื้อโรคที่อ่อนก้าลังเข้าร่างกาย
สัตว์ เพื่อให้สัตว์สร้าง antibody แล้วน้าเลือด
เฉพาะส่วน serum ซึ่งมี antibody มาฉีดให้
ผู้ป่วย
 ต่อต้านเชื้อโรคได้ทันท่วงที
 เช่น ซีรัมแก้พิษงู ซีรัมคอตีบ ซีรัมแก้พิษสุนัขบ้า
 น้้านมน้้าเหลือง ภูมิคุ้มกันจากแม่สู่ลูกโดยผ่าน
ทางรก
 ข้อดี: ตอบสนองทันที
 ข้อเสีย: อาจท้าให้แพ้ อยู่ได้ไม่นาน
ภูมิคุ้มกันรับมา (PASSIVE IMMUNIZATION)
เปรียบเทียบภูมิคุ้มกันก่อเองและภูมิคุ้มกันรับมา
ข้อเปรียบเทียบ ภูมิคุ้มกันก่อเอง ภูมิคุ้มกันรับมา
ความหมาย
การกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี
โดยการใช้เชื้อโรคที่อ่อนแอลง หรือถูก
กระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมโดยตรง
การให้แอนติบอดีกับร่างกาย
โดยตรง ให้เกิดภูมิคุ้มกันทันที
ตัวอย่างภูมิคุ้มกัน
วัคซีนไอกรน ไทฟอยด์ หัด อหิวาตกโรค
วัณโรค โปลิโอ
ทอกซอยด์ของโรคคอตีบและบาดทะยัก
ซีรัมแก้พิษงู พิษสุนัขบ้า
ภูมิคุ้มกันที่ทารกได้จากนมแม่
ข้อดี อยู่ได้นาน ตอบสนองได้ไวและทันที
ข้อเสีย ตอบสนองได้ช้า
อยู่ได้ไม่นาน และอาจเกิดการ
แพ้ซีรัมจากสัตว์ได้
กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบไม่
จ้าเพาะเจาะจง (Nonspecific
defense mechanism)
 กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบ
จ้าเพาะเจาะจง (Specific defense
mechanism (immune response
or immune system)
กลไกการสร้างภูมิคุ้มกัน
 Nonspecific defense mechanism
 First line defense
Skin
Mucous membrane
Secretion of skin
 Second line defense
Phagocytic white blood cell
The inflammatory response
Antimicrobial proteins
กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จ้าเพาะเจาะจง
 สร้างจากส่วนของร่างกาย
 ผิวหนัง: Keratin ป้องกันการเข้าและ
ออกของสิ่งต่างๆ
 เหงือ: เป็นกรด ยับยั้งการเจริญของ
จุลินทรีย์
 จมูกและหู: เมือก
 ตา: น้้าตา
 ปาก: lysosome ท้าลายจุลินทรีย์หรือ
เชื้อโรค
FIRST LINE DEFENSE
 กระเพาะอาหาร: กรดไฮโดรคลอริก
เอนไซม์ท้าลายจุลินทรีย์
 ช่องคลอด: เมือก cilia ดักจับสิ่ง
แปลกปลอม และพัดออกนอกร่างกาย
 Phagocytic white blood cell
 The inflammatory response
 Antimicrobial proteins
 Natural killer cell
SECOND LINE DEFENSE
 เซลล์ที่สามารถท้าหน้าที่ phagocytosis ได้มีหลายชนิด ดังนี้
1. Monocyte (5% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด) ออกจากกระแสเลือด แล้วเคลื่อนเข้า
สู่เนื้อเยื่อ และพัฒนาเป็นเซลล์ macrophage มีช่วงชีวิตค่อนข้างยาว
2. Neutrophil (60-70% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด) มีชีวิต 2-3 วัน สลายไปเมื่อ
ท้าลายสิ่งแปลกปลอม
3. Eosinophil (1.5% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด) ท้าหน้าที่ท้าลายพยาธิขนาดใหญ่
4. Natural Killer cell ท้าลาย virus-infected body cell โดยจับที่เยื่อเซลล์และ
ท้าให้เซลล์แตก
PHAGOCYTIC WHITE BLOOD CELL
 การท้าลายเชื้อโรคและเศษเซลล์ ซ่อมแซมบริเวณบาดแผล
 เมื่อเกิดบาดแผล basophil ในเลือดและ mast cell ที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หลั่ง
histamine และ prostaglandin ท้าให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดไหลมากขึ้น เม็ด
เลือดขาวและสารที่ท้าให้เลือดแข็งตัวเคลื่อนที่มายังบาดแผลได้มากและเร็ว
 Neutrophil เปลี่ยนเป็น macrophage ท้าหน้าที่ phagocytosis เชื้อโรคและเศษ
เซลล์
THE INFLAMMATORY RESPONSE (ตอบสนองโดยการอักเสบ)
 เลือดแข็งตัว ปากแผลปิด
 อาการอักเสบ ประกอบด้วยผื่นแดง ร้อน บวม เนื่องจากของเหลวออก
จากหลอดเลือด และเจ็บปวด
THE INFLAMMATORY RESPONSE (ตอบสนองโดยการอักเสบ)
 โปรตีนในเลือดที่ท้าลายเชื้อจุลินทรีย์ได้
ได้แก่ lysozyme, complement
system, interferon
 complement system : ย่อยสลายเชื้อ
โรคขนาดเล็ก กระตุ้น phagocytosis และ
การท้างานของภูมิคุ้มกัน
 Interferon: หลั่งออกมาจากเซลล์ที่ติดเชื้อ
ไวรัส ป้องกันการรุกรานไปยังเซลล์อื่นที่เป็น
เซลล์ปกติ
ANTIMICROBIAL PROTEINS (โปรตีนต้านจุลชีพ)
 ก้าจัดเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสหรือเซลล์มะเร็งในร่างกาย
NATURAL KILLER CELL
 Specific defense
mechanism (immune
response or immune
system)
 Humoral immune
response (การก้าจัดสิ่ง
แปลกปลอมโดยการหลั่ง
แอนติบอดี)
 Cell-mediated immune
response (การก้าจัดสิ่ง
แปลกปลอมโดยใช้เซลล์เป็น
ตัวกลาง)
กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบจ้าเพาะเจาะจง
 เกี่ยวข้องกับเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด lymphocyte ของเซลล์บี (B-cell) และ
เซลล์ที (T-cell หรือ CD4+)
SPECIFIC DEFENSE MECHANISM
 Lymphocytes แบ่งได้ 2 ชนิด คือ B
lymphocyte และ T lymphocyte
 เจริญจากเซลล์ตั้งต้นชนิดเดียวกัน คือ
Pluripotent stem cell ใน bone marrow
 เซลล์ที่ยังเจริญต่อใน bone marrow สุดท้ายได้
B lymphocyte
 ถ้า lymphocyte stem cell เคลื่อนไปและเกิด
maturation ที่ต่อมไทมัส (thymus gland) จะ
ได้ T cell
 lymphocytes ทั้งสองชนิดจะเคลื่อนไปอยู่ที่
lymphoid tissue เช่น tonsil, lymph node,
spleen
เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน
 T หรือ B cell แต่ละเซลล์จ้าเพาะต่อ Ag แต่ละตัว
 ขั้นตอนการคัดเลือกเพื่อเพิ่มจ้านวน lymphocyte ที่เฉพาะต่อ Ag เรียก Clonal
selection
LYMPHOCYTES
LYMPHOCYTES
1.Ag จับกับ Ag receptor บน B cell หนึ่งๆ
2.B cell ที่มี receptor ที่จ้าเพาะต่อ Ag นั้น
จะเพิ่มจ้านวนได้เป็น clone
3.บางเซลล์พัฒนาไปเป็น short-lived
plasma cell และหลั่ง Ab
4.บางเซลล์พัฒนาไปเป็น long-lived memory cell ที่จะท้าให้เกิดการตอบสนอง
อย่างรวดเร็วเมื่อร่างกายได้รับ Ag เดิม
 การเพิ่มจ้านวนของ Lymphocytes หลังเผชิญกับ Ag ครั้งแรก ใช้เวลา 10-17 วัน เรียก
การตอบสนองในระยะแรกนี้ว่า primary immune response ได้เซลล์ 2 ชนิดคือ
plasma cell (B cell) & effector T cell (T cell)) และ long-lived memory cells
 ถ้าร่างกายเผชิญกับ Ag เดิมอีก จะเกิดการตอบสนองเรียก secondary immune
response ใช้เวลาตอบสนองสั้นลง 2-7 วัน
IMMUNOLOGICAL MEMORY
B-cell
1. Antigen เข้าสู่ร่างกายและถูกท้าลายโดย phagocytosis
2. ชิ้นส่วนของ antigen (Ag) ที่ถูก phagocyte ท้าลายกระตุ้นให้ B-cell เพิ่ม
จ้านวน
3. B-cell เปลี่ยนไปท้าหน้าที่สร้าง antibody (Ab) ที่จ้าเพาะต่อ antigen เรียกว่า
plasma cell และ memory cell
 memory cell: จดจ้า antigen ถ้ามี antigen เดิมเข้ามาในร่างกายอีกครั้ง
memory cell จะแบ่งเซลล์เป็น plasma cell ท้าลายเชื้อโรคนั้น
 plasma cell: สร้าง antibody ที่จ้าเพาะต่อ antigen นั้น
HUMORAL IMMUNE RESPONSE
 Epitope or antigenic determinant เป็นส่วนของ Ag ที่ Ab เข้าไปจับ (Ab จะใช้
ส่วน antigen binding site ในการจับ)
 แบคทีเรียตัวหนึ่ง ๆ อาจมี epitope ส้าหรับจับกับ Ab ได้ถึง 4 ล้านโมเลกุล
โครงสร้างและหน้าที่ของ ANTIBODY
 Ab เป็นโปรตีนชนิด immunoglobulin (Ig)
 โมเลกุลรูปตัว Y
 ส่วนที่เกาะกับ Ag มี 2 ข้าง แต่ละข้างมี 2 แขน แขนสั้นเรียก light chain แขนยาว
เรียก heavy chain
 C ล้าดับกรดอะมิโนคงที่ ส่วน V ล้าดับกรดอะมิโนแตกต่างตาม Ab แต่ละตัว
 V ให้ epitope ของ Ag มาเกาะ
โครงสร้างและหน้าที่ของ ANTIBODY
 Ig M (pentamer): เป็น Ig ที่พบเป็นชนิดแรกเมื่อ
expose กับ Ag พบครั้งแรกในปลาฉลามและปลา
กระดูกแข็ง ขนาดใหญ่ ไม่สามารถผ่านเข้าไปในรก
ได้
 Ig G (monomer) พบมากในกระแสเลือด ผ่านเข้า
ไปในรกได้ ท้าลายแบกทีเรีย, ไวรัส และ toxin
 Ig A (dimer) พบใน mucous และ colostrum
ป้องกันการจับของไวรัส และแบคทีเรียต่อ
epithelial surface
 Ig D (monomer) พบมากที่ผิวของ B cell คาด
ว่าช่วยกระตุ้นการเปลี่ยนจาก B cell ไปเป็น
plasma cell & memory B cell
 Ig E (monomer) จับอยู่ที่ mast cell &
basophil เมื่อถูกกระตุ้นโดย Ag ท้าให้เกิดการหลั่ง
histamine หรือสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้
Immunoglobulin (Ig) มีทั้งหมด 5 ชนิด
 Ab จับกับ Ag เป็น ag-ab complex โดยวิธี agglutination แล้วส่งต่อให้ macrophage
ท้าลาย โดยวิธี phagocytosis หรือ เป็น complex โดยวิธี complement fixation แล้ว
ส่งต่อให้ complement pathway เพื่อท้าให้เซลล์แตก (cell lysis)
การก้าจัด ANTIGEN ของ ANTIBODY
T-cell
ภายในต่อมไทมัส lymphocyte stem cell เจริญไปเป็น T-cell 3 ชนิด
1. เซลล์ทีผู้ช่วย (Helper-T-cell / TH): กระตุ้น lymphocyte ชนิด B ให้สร้าง
antibody ที่จ้าเพาะต่อ Antigen และท้าหน้าที่กระตุ้นการท้างานของ T-cell ชนิดอื่น
2. เซลล์ทีท้าลายสิ่งแปลกปลอม (Cytotoxic T-cell / Tc): ท้าลายเซลล์แปลกปลอม
เช่น เซลล์มะเร็ง เซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส และเซลล์อวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่าย
3. เซลล์ทีกดภูมิคุ้มกัน (Suppressor T-cell / CD8+ / Killer cell / Ts): ควบคุม
การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันให้อยู่ในสภาวะสมดุล โดยสร้างสารไปกดการท้างานของ
B-cell และ T-cell ชนิด TH และ Tc
CELL-MEDIATED IMMUNE RESPONSE
 1. ร่างกายได้รับการติดเชื้อและมีแอนติเจนแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย
 2. Helper T cell เข้าจับกับแอนติเจนของสิ่งแปลกปลอมเพื่อระบุชนิดของ
แอนติเจนที่เข้ามาในร่างกาย
 3. Helper T cell กระตุ้น B cell ให้เปลี่ยนเป็น plasma cell เพื่อหลั่ง
แอนติบอดีออกมาก้าจัดสิ่งแปลกปลอม
 4. Helper T cell กระตุ้น cytotoxic T cell ให้หลั่งสาร/เอนไซม์ ย่อยเซลล์ที่
เกิดการติดเชื้อหรือเซลล์ผิดปกติ เพื่อป้องกันการลุกลามไปยังเซลล์อื่นๆ
การท้างานของเซลล์ ที
การท้างานของเซลล์ ที
SPECIFIC DEFENSE MECHANISM
 ความต้านทานตามธรรมชาติของแต่ละ
บุคคล
 สุขภาพทั่วไปของร่างกาย เช่น สภาพ
ร่างกาย ความเหนื่อย ความเครียด
 อายุ และเพศ
 ภาวะทุพโภชนาการหรือการขาด
สารอาหาร เช่นการขาดวิตามินเอและ
วิตามินซี ท้าให้การท้างานของเม็ดเลือด
ขาวลดลง
 อาชีพ การท้างานและชนิดของงานที่ท้า
 ความเป็นอยู่ทางสังคมและเศรษฐกิจ
ปัจจัยที่มีผลต่อการท้างานของระบบภูมิคุ้มกัน

More Related Content

What's hot

โครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของรากโครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของรากThanyamon Chat.
 
ระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive systemระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive systemsupreechafkk
 
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)Thitaree Samphao
 
Hormone and response plant
Hormone and response plantHormone and response plant
Hormone and response plantThanyamon Chat.
 
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )พัน พัน
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย Thitaree Samphao
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสAomiko Wipaporn
 
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบโครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบThanyamon Chat.
 
ใบกิจกรรมที่ 11 ระบบภูมิคุ้มกันและความผิดปกติ
ใบกิจกรรมที่ 11 ระบบภูมิคุ้มกันและความผิดปกติใบกิจกรรมที่ 11 ระบบภูมิคุ้มกันและความผิดปกติ
ใบกิจกรรมที่ 11 ระบบภูมิคุ้มกันและความผิดปกติAomiko Wipaporn
 
ใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
ใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมีใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
ใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมีwebsite22556
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดWan Ngamwongwan
 
ความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพPinutchaya Nakchumroon
 
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (1- 2560)
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (1- 2560)ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (1- 2560)
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (1- 2560)Thitaree Samphao
 
บทที่ 9 ระบบต่อมไร้ท่อ
บทที่ 9 ระบบต่อมไร้ท่อบทที่ 9 ระบบต่อมไร้ท่อ
บทที่ 9 ระบบต่อมไร้ท่อฟลุ๊ค ลำพูน
 
ระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous systemระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous systemsupreechafkk
 

What's hot (20)

โครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของรากโครงสร้างและหน้าที่ของราก
โครงสร้างและหน้าที่ของราก
 
ระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive systemระบบย่อยอาหาร - Digestive system
ระบบย่อยอาหาร - Digestive system
 
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
 
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
 
Hormone and response plant
Hormone and response plantHormone and response plant
Hormone and response plant
 
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
 
ประชากร1
ประชากร1ประชากร1
ประชากร1
 
ใบงานการย่อยอาหาร Version คุณครู
ใบงานการย่อยอาหาร Version คุณครูใบงานการย่อยอาหาร Version คุณครู
ใบงานการย่อยอาหาร Version คุณครู
 
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบโครงสร้างและหน้าที่ของใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
 
ใบกิจกรรมที่ 11 ระบบภูมิคุ้มกันและความผิดปกติ
ใบกิจกรรมที่ 11 ระบบภูมิคุ้มกันและความผิดปกติใบกิจกรรมที่ 11 ระบบภูมิคุ้มกันและความผิดปกติ
ใบกิจกรรมที่ 11 ระบบภูมิคุ้มกันและความผิดปกติ
 
ใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
ใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมีใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
ใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด
 
เล่มที่ 4 การเคลื่อนที่ของคน
เล่มที่ 4 การเคลื่อนที่ของคนเล่มที่ 4 การเคลื่อนที่ของคน
เล่มที่ 4 การเคลื่อนที่ของคน
 
ความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพ
 
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (1- 2560)
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (1- 2560)ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (1- 2560)
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (1- 2560)
 
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
 
บทที่ 9 ระบบต่อมไร้ท่อ
บทที่ 9 ระบบต่อมไร้ท่อบทที่ 9 ระบบต่อมไร้ท่อ
บทที่ 9 ระบบต่อมไร้ท่อ
 
ระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous systemระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous system
 

Viewers also liked

น้ำเหลืองและภูมิคุ้มกัน
น้ำเหลืองและภูมิคุ้มกันน้ำเหลืองและภูมิคุ้มกัน
น้ำเหลืองและภูมิคุ้มกันwaratree wanapanubese
 
Microsoft word ใบงาน การลำเลียงสารในร่างกายของสัตว์
Microsoft word   ใบงาน การลำเลียงสารในร่างกายของสัตว์Microsoft word   ใบงาน การลำเลียงสารในร่างกายของสัตว์
Microsoft word ใบงาน การลำเลียงสารในร่างกายของสัตว์Thanyamon Chat.
 
อาณาจักรโพรทิสตา
อาณาจักรโพรทิสตาอาณาจักรโพรทิสตา
อาณาจักรโพรทิสตาพัน พัน
 
กลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันโดยการฉีดวัคซีน
กลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันโดยการฉีดวัคซีนกลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันโดยการฉีดวัคซีน
กลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันโดยการฉีดวัคซีนPawat Logessathien
 
Digestivesystem
DigestivesystemDigestivesystem
Digestivesystempanittamon
 
ระบบน้ำเหลืองกับภูมิคุ้มกัน
ระบบน้ำเหลืองกับภูมิคุ้มกันระบบน้ำเหลืองกับภูมิคุ้มกัน
ระบบน้ำเหลืองกับภูมิคุ้มกันThanyamon Chat.
 
การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง Thitaree Samphao
 
Ppt. บาดทะยัก
Ppt. บาดทะยักPpt. บาดทะยัก
Ppt. บาดทะยักPrachaya Sriswang
 
อาณาจักรโพรทิสตา
อาณาจักรโพรทิสตาอาณาจักรโพรทิสตา
อาณาจักรโพรทิสตาพัน พัน
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดjoongka3332
 
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม1
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม1ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม1
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม1Tatthep Deesukon
 
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกbosston Duangtip
 
ระบบน้ำเหลือง
ระบบน้ำเหลืองระบบน้ำเหลือง
ระบบน้ำเหลืองWan Ngamwongwan
 

Viewers also liked (20)

น้ำเหลืองและภูมิคุ้มกัน
น้ำเหลืองและภูมิคุ้มกันน้ำเหลืองและภูมิคุ้มกัน
น้ำเหลืองและภูมิคุ้มกัน
 
แผนBioม.5 2
แผนBioม.5 2แผนBioม.5 2
แผนBioม.5 2
 
อาหารกับการดำรงชีวิต วิทยาศาสตร์ ม.2
อาหารกับการดำรงชีวิต วิทยาศาสตร์ ม.2อาหารกับการดำรงชีวิต วิทยาศาสตร์ ม.2
อาหารกับการดำรงชีวิต วิทยาศาสตร์ ม.2
 
Microsoft word ใบงาน การลำเลียงสารในร่างกายของสัตว์
Microsoft word   ใบงาน การลำเลียงสารในร่างกายของสัตว์Microsoft word   ใบงาน การลำเลียงสารในร่างกายของสัตว์
Microsoft word ใบงาน การลำเลียงสารในร่างกายของสัตว์
 
Transportation body
Transportation bodyTransportation body
Transportation body
 
ราก (T)
ราก (T)ราก (T)
ราก (T)
 
อาณาจักรโพรทิสตา
อาณาจักรโพรทิสตาอาณาจักรโพรทิสตา
อาณาจักรโพรทิสตา
 
กลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันโดยการฉีดวัคซีน
กลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันโดยการฉีดวัคซีนกลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันโดยการฉีดวัคซีน
กลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันโดยการฉีดวัคซีน
 
Digestivesystem
DigestivesystemDigestivesystem
Digestivesystem
 
ระบบน้ำเหลืองกับภูมิคุ้มกัน
ระบบน้ำเหลืองกับภูมิคุ้มกันระบบน้ำเหลืองกับภูมิคุ้มกัน
ระบบน้ำเหลืองกับภูมิคุ้มกัน
 
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2
 
การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง
 
Ppt. บาดทะยัก
Ppt. บาดทะยักPpt. บาดทะยัก
Ppt. บาดทะยัก
 
อาณาจักรโพรทิสตา
อาณาจักรโพรทิสตาอาณาจักรโพรทิสตา
อาณาจักรโพรทิสตา
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด
 
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม1
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม1ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม1
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม1
 
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึกระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
 
Rabies
RabiesRabies
Rabies
 
ระบบน้ำเหลือง
ระบบน้ำเหลืองระบบน้ำเหลือง
ระบบน้ำเหลือง
 
แผนBioม.6 2
แผนBioม.6 2แผนBioม.6 2
แผนBioม.6 2
 

Similar to ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (Web)

ชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune system
ชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune systemชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune system
ชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune systemkasidid20309
 
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)สำเร็จ นางสีคุณ
 
ระบบภูมิคุ้มกัน (1).pptx
ระบบภูมิคุ้มกัน (1).pptxระบบภูมิคุ้มกัน (1).pptx
ระบบภูมิคุ้มกัน (1).pptxBewwyKh1
 
ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) by pitsanu duangkartok
 ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) by pitsanu duangkartok ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) by pitsanu duangkartok
ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) by pitsanu duangkartokpitsanu duangkartok
 
Biology bio10
 Biology bio10 Biology bio10
Biology bio10Bios Logos
 
ระบบภูมิคุ้มกัน (mechanism of body defense)
ระบบภูมิคุ้มกัน (mechanism of body defense)ระบบภูมิคุ้มกัน (mechanism of body defense)
ระบบภูมิคุ้มกัน (mechanism of body defense)pitsanu duangkartok
 
9789740333494
97897403334949789740333494
9789740333494CUPress
 
บทที่ 1เรื่องภูมิคุ้มกัน
บทที่ 1เรื่องภูมิคุ้มกันบทที่ 1เรื่องภูมิคุ้มกัน
บทที่ 1เรื่องภูมิคุ้มกันJurarud Porkhum
 
ระบบภูมิคุ้มกัน & Transfer factor www.ครูภูมิคุ้มกัน.com
ระบบภูมิคุ้มกัน & Transfer factor www.ครูภูมิคุ้มกัน.comระบบภูมิคุ้มกัน & Transfer factor www.ครูภูมิคุ้มกัน.com
ระบบภูมิคุ้มกัน & Transfer factor www.ครูภูมิคุ้มกัน.comผู้ชายบ้านๆ รักอิสระ
 
ระบบภูมิคุุ้มกัน
ระบบภูมิคุุ้มกันระบบภูมิคุุ้มกัน
ระบบภูมิคุุ้มกันKankamol Kunrat
 
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายPpt.
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายPpt.ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายPpt.
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายPpt.Jurarud Porkhum
 
Sci access 14th : เฉลยตะลุยโจทย์ ชีวะ ม.6
Sci access 14th : เฉลยตะลุยโจทย์ ชีวะ ม.6Sci access 14th : เฉลยตะลุยโจทย์ ชีวะ ม.6
Sci access 14th : เฉลยตะลุยโจทย์ ชีวะ ม.6Tanchanok Pps
 

Similar to ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (Web) (20)

ชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune system
ชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune systemชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune system
ชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune system
 
Immune2551
Immune2551Immune2551
Immune2551
 
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
 
ระบบภูมิคุ้มกัน (1).pptx
ระบบภูมิคุ้มกัน (1).pptxระบบภูมิคุ้มกัน (1).pptx
ระบบภูมิคุ้มกัน (1).pptx
 
ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) by pitsanu duangkartok
 ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) by pitsanu duangkartok ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) by pitsanu duangkartok
ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) by pitsanu duangkartok
 
Biology bio10
 Biology bio10 Biology bio10
Biology bio10
 
ระบบภูมิคุ้มกัน (mechanism of body defense)
ระบบภูมิคุ้มกัน (mechanism of body defense)ระบบภูมิคุ้มกัน (mechanism of body defense)
ระบบภูมิคุ้มกัน (mechanism of body defense)
 
9789740333494
97897403334949789740333494
9789740333494
 
บทที่ 1เรื่องภูมิคุ้มกัน
บทที่ 1เรื่องภูมิคุ้มกันบทที่ 1เรื่องภูมิคุ้มกัน
บทที่ 1เรื่องภูมิคุ้มกัน
 
Lesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasisLesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasis
 
ระบบภูมิคุ้มกัน & Transfer factor www.ครูภูมิคุ้มกัน.com
ระบบภูมิคุ้มกัน & Transfer factor www.ครูภูมิคุ้มกัน.comระบบภูมิคุ้มกัน & Transfer factor www.ครูภูมิคุ้มกัน.com
ระบบภูมิคุ้มกัน & Transfer factor www.ครูภูมิคุ้มกัน.com
 
ระบบภูมิคุุ้มกัน
ระบบภูมิคุุ้มกันระบบภูมิคุุ้มกัน
ระบบภูมิคุุ้มกัน
 
Ppt immunity ชีววิทยา ม.5
Ppt immunity ชีววิทยา ม.5Ppt immunity ชีววิทยา ม.5
Ppt immunity ชีววิทยา ม.5
 
อีโคไลดื้อยา 8 กลุ่ม
อีโคไลดื้อยา 8 กลุ่มอีโคไลดื้อยา 8 กลุ่ม
อีโคไลดื้อยา 8 กลุ่ม
 
Urticaria
UrticariaUrticaria
Urticaria
 
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายPpt.
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายPpt.ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายPpt.
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายPpt.
 
Sci access 14th : เฉลยตะลุยโจทย์ ชีวะ ม.6
Sci access 14th : เฉลยตะลุยโจทย์ ชีวะ ม.6Sci access 14th : เฉลยตะลุยโจทย์ ชีวะ ม.6
Sci access 14th : เฉลยตะลุยโจทย์ ชีวะ ม.6
 
กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)
กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)
กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
การรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองการรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนอง
 

More from Thitaree Samphao

การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)
การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)
การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)Thitaree Samphao
 
การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)
การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)
การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)Thitaree Samphao
 
การถ่ายละอองเรณู (T)
การถ่ายละอองเรณู (T)การถ่ายละอองเรณู (T)
การถ่ายละอองเรณู (T)Thitaree Samphao
 
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)Thitaree Samphao
 
เนื้อเยื่อพืช (T)
เนื้อเยื่อพืช (T)เนื้อเยื่อพืช (T)
เนื้อเยื่อพืช (T)Thitaree Samphao
 
ระบบหายใจ
ระบบหายใจ ระบบหายใจ
ระบบหายใจ Thitaree Samphao
 

More from Thitaree Samphao (6)

การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)
การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)
การหายใจแสง พืช C4 พืช cam (t)
 
การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)
การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)
การสังเคราะห์ด้วยแสง การค้นคว้า (T)
 
การถ่ายละอองเรณู (T)
การถ่ายละอองเรณู (T)การถ่ายละอองเรณู (T)
การถ่ายละอองเรณู (T)
 
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (T)
 
เนื้อเยื่อพืช (T)
เนื้อเยื่อพืช (T)เนื้อเยื่อพืช (T)
เนื้อเยื่อพืช (T)
 
ระบบหายใจ
ระบบหายใจ ระบบหายใจ
ระบบหายใจ
 

ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน (Web)

  • 1. เรื่อง ระบบน้้าเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 คุณครูฐิตารีย์ ส้าเภา โรงเรียนท่ามะกาวิทยาคม ส้านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 (กาญจนบุรี-ราชบุรี)
  • 2.  สืบค้นข้อมูล อภิปราย และสรุปเกี่ยวกับระบบน้้าเหลือง ระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งปัจจัยที่ มีผลต่อการท้างานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จุดประสงค์การเรียนรู้
  • 3.  ระบบท่อปลายตันแทรกในเนื้อเยื่อ  น้าของเหลวส่วนเกินกลับคืนระบบเลือด  ล้าเลียงสารโดยเฉพาะไขมันเข้าหัวใจ  ก้าจัดสิ่งแปลกปลอมโดย WBC  ทิศทางเข้าสู่หัวใจ  ไม่มีอวัยวะสูบฉีด  การบีบตัวของ lymphatic duct  การหดตัวของกล้ามเนื้อลายโดยรอบ  ลิ้น  แรงดึงดูดจากการหายใจเข้า ท้าให้หลอด น้้าเหลืองบริเวณทรวงอกขยาย ระบบน้้าเหลือง (LYMPHATIC SYSTEM)
  • 4. น้้าเหลือง (Lymph) ต่อมน้้าเหลือง (Lymph node)/ อวัยวะน้้าเหลือง (Lymphatic Organ) หลอดน้้าเหลือง/ท่อน้้าเหลือง (Lymph vessel) ระบบน้้าเหลือง (LYMPHATIC SYSTEM)
  • 5.  ของเหลวระหว่างเซลล์หรือรอบๆ เนื้อเยื่อ  ซึมผ่านผนังหลอดเลือดฝอย ออกมาอยู่ ระหว่างเซลล์  ของเหลวในเนื้อเยื่อซึมผ่านระบบเลือด และระบบน้้าเหลือง  ประกอบด้วย เอนไซม์ ฮอร์โมน กลูโคส ก๊าซ เซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิด Lymphocyte และ monocyte โปรตีนชนิดโกลบูลิน  หน้าที่ ล้าเลียงอาหารประเภทไขมัน ก้าจัดสิ่งแปลกปลอม น้้าเหลือง (LYMPH )
  • 6.  ท่อตัน พบทั่วร่างกาย  หลอดน้้าเหลืองฝอยเล็กที่สุด  มีลิ้นกั้นป้องกันการไหลกลับของ น้้าเหลือง คล้ายเส้นเลือดเวน  การหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อรอบๆ ท่อน้้าเหลืองน้้าเหลืองไหล  ท่อน้้าเหลืองขนาดเล็กแรงดัน มากกว่า ท่อขนาดใหญ่ ท่อน้้าเหลือง (LYMPH VESSEL)
  • 9.  สร้างน้้าเหลือง  อยู่ระหว่างทางเดินของท่อน้้าเหลือง  รูปไข่ ขนาดต่างกัน  มี Lymphocyte รวมเป็นกระจุก  คล้ายฟองน้้า  ต่อมน้้าเหลืองบริเวณโคนขาเรียกว่า ไขดัน อวัยวะน้้าเหลือง (LYMPHATIC ORGAN)
  • 10.
  • 11. กลุ่มของต่อมน้้าเหลือง 3 คู่: คอหอย โคนลิ้น และเพดาน ปาก Lymphocyte ท้าลายจุลินทรีย์ที่ ผ่านมาในอากาศ ติดเชื้อจะบวมแดง เรียกว่า ต่อม ทอนซิลอักเสบ ต่อมทอนซิล (TONSIL GLAND)
  • 12. ต่อมน้้าเหลืองที่ใหญ่ที่สุด ผลิตเซลล์เม็ดเลือดในระยะเอ็มบริโอ หลังคลอด: สร้าง Antibody ท้าลาย RBC และ Platelet ที่ หมดอายุ ผลิตเซลล์เม็ดเลือดเมื่อเกิดมะเร็งเม็ด เลือด ม้าม (SPLEEN)
  • 13.  อยู่ที่ทรวงอก รอบหลอดเลือดใหญ่ของหัวใจ  สร้าง T-lymphocyte  ถ้าตัดออกเมื่อเป็นตัวอ่อน ท้าให้สัตว์มีภูมิต้านทานต่้า อ่อนแอ และตาย  ต่อต้านเชื้อโรค สารแปลกปลอม และอวัยวะที่ปลูกถ่าย จากผู้อื่น  สร้างฮอร์โมน Thymosin กระตุ้นการผลิต antibody ของพลาสมา ต่อมไทมัส (THYMUS GLAND)
  • 14.  น้้าเหลืองจากอวัยวะต่างๆ ถูกดูดซึม เข้าสู่หลอดน้้าเหลืองฝอย ซึ่งแทรกตัว อยู่ในอวัยวะ  ผนังของหลอดน้้าเหลืองฝอยเป็นเยื่อ บุผิว  เมื่อหลอดน้้าเหลืองฝอยทั่วร่างกายมา รวมกันจะเป็นหลอดน้้าเหลืองใหญ่ มี ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาแล้วล้าเลียง น้้าเหลืองกลับสู่เส้นเลือดด้าใหญ่กลับ สู่หัวใจ  น้้าเหลืองจะปนไปกับเลือด ไปสู่ อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย การล้าเลียงน้้าเหลือง
  • 15.  ตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสารและแก๊สระหว่างเซลล์กับ เส้นเลือดฝอย  ช่วยท้าลายแบคทีเรียและสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย  ช่วยในการล้าเลียงไขมันจากผนังล้าไส้เข้าสู่กระแสเลือด  ช่วยในการน้าสารโปรตีนและสารอื่นๆ ที่หลุดออกมาจาก เส้นเลือดฝอยกลับเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือด  ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte และ monocyte  ช่วยกรองน้้าเหลือง ท้าลายเชื้อโรค และท้าลายเม็ดเลือดที่ หมดอายุ หน้าที่ของระบบน้้าเหลือง
  • 16.
  • 18.  กระบวนการต่อต้านเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย  ภูมิคุ้มกันของร่างกายมี 2 แบบ คือ ภูมิคุ้มกันก่อเอง (active immunization) และภูมิคุ้มกันรับมา (passive immunization)  กลไกการสร้างภูมิคุ้มกันมี 2 แบบ คือ แบบไม่จ้าเพาะ (non-specific defense) และแบบจ้าเพาะ (specific defense) ระบบภูมิคุ้มกัน (IMMUNE SYSTEM)
  • 19.  ร่างกายถูกกระตุ้นจาก antigen  วัคซีนจากจุลินทรีย์ที่ตายแล้ว เช่นวัคซีนป้องกัน โรคไอกรน ไทฟอยด์ อหิวาตกโรค  วัคซีนจากจุลินทรีย์ที่ถูกท้าให้อ่อนก้าลังลง เช่น วัคซีนป้องกันโรควัณโรค โปลิโอ หัด หัดเยอรมัน คางทูม  ทอกซอยด์: สารพิษที่ท้าให้หมดสภาพ เช่น โรค คอตีบ บาดทะยัก  ข้อดี: เกิดภูมิคุ้มกันอยู่นาน ไม่เกิดการแพ้  ข้อเสีย: ตอบสนองช้า (ใช้เวลา 4-7 วัน) ภูมิคุ้มกันก่อเอง (ACTIVE IMMUNIZATION)
  • 20.  ภูมิคุ้มกันแบบจ้าเพาะ  รับ antibody เข้าร่างกาย  เตรียมโดย ฉีดเชื้อโรคที่อ่อนก้าลังเข้าร่างกาย สัตว์ เพื่อให้สัตว์สร้าง antibody แล้วน้าเลือด เฉพาะส่วน serum ซึ่งมี antibody มาฉีดให้ ผู้ป่วย  ต่อต้านเชื้อโรคได้ทันท่วงที  เช่น ซีรัมแก้พิษงู ซีรัมคอตีบ ซีรัมแก้พิษสุนัขบ้า  น้้านมน้้าเหลือง ภูมิคุ้มกันจากแม่สู่ลูกโดยผ่าน ทางรก  ข้อดี: ตอบสนองทันที  ข้อเสีย: อาจท้าให้แพ้ อยู่ได้ไม่นาน ภูมิคุ้มกันรับมา (PASSIVE IMMUNIZATION)
  • 21. เปรียบเทียบภูมิคุ้มกันก่อเองและภูมิคุ้มกันรับมา ข้อเปรียบเทียบ ภูมิคุ้มกันก่อเอง ภูมิคุ้มกันรับมา ความหมาย การกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี โดยการใช้เชื้อโรคที่อ่อนแอลง หรือถูก กระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมโดยตรง การให้แอนติบอดีกับร่างกาย โดยตรง ให้เกิดภูมิคุ้มกันทันที ตัวอย่างภูมิคุ้มกัน วัคซีนไอกรน ไทฟอยด์ หัด อหิวาตกโรค วัณโรค โปลิโอ ทอกซอยด์ของโรคคอตีบและบาดทะยัก ซีรัมแก้พิษงู พิษสุนัขบ้า ภูมิคุ้มกันที่ทารกได้จากนมแม่ ข้อดี อยู่ได้นาน ตอบสนองได้ไวและทันที ข้อเสีย ตอบสนองได้ช้า อยู่ได้ไม่นาน และอาจเกิดการ แพ้ซีรัมจากสัตว์ได้
  • 22. กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบไม่ จ้าเพาะเจาะจง (Nonspecific defense mechanism)  กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบ จ้าเพาะเจาะจง (Specific defense mechanism (immune response or immune system) กลไกการสร้างภูมิคุ้มกัน
  • 23.  Nonspecific defense mechanism  First line defense Skin Mucous membrane Secretion of skin  Second line defense Phagocytic white blood cell The inflammatory response Antimicrobial proteins กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จ้าเพาะเจาะจง
  • 24.  สร้างจากส่วนของร่างกาย  ผิวหนัง: Keratin ป้องกันการเข้าและ ออกของสิ่งต่างๆ  เหงือ: เป็นกรด ยับยั้งการเจริญของ จุลินทรีย์  จมูกและหู: เมือก  ตา: น้้าตา  ปาก: lysosome ท้าลายจุลินทรีย์หรือ เชื้อโรค FIRST LINE DEFENSE  กระเพาะอาหาร: กรดไฮโดรคลอริก เอนไซม์ท้าลายจุลินทรีย์  ช่องคลอด: เมือก cilia ดักจับสิ่ง แปลกปลอม และพัดออกนอกร่างกาย
  • 25.  Phagocytic white blood cell  The inflammatory response  Antimicrobial proteins  Natural killer cell SECOND LINE DEFENSE
  • 26.  เซลล์ที่สามารถท้าหน้าที่ phagocytosis ได้มีหลายชนิด ดังนี้ 1. Monocyte (5% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด) ออกจากกระแสเลือด แล้วเคลื่อนเข้า สู่เนื้อเยื่อ และพัฒนาเป็นเซลล์ macrophage มีช่วงชีวิตค่อนข้างยาว 2. Neutrophil (60-70% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด) มีชีวิต 2-3 วัน สลายไปเมื่อ ท้าลายสิ่งแปลกปลอม 3. Eosinophil (1.5% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด) ท้าหน้าที่ท้าลายพยาธิขนาดใหญ่ 4. Natural Killer cell ท้าลาย virus-infected body cell โดยจับที่เยื่อเซลล์และ ท้าให้เซลล์แตก PHAGOCYTIC WHITE BLOOD CELL
  • 27.  การท้าลายเชื้อโรคและเศษเซลล์ ซ่อมแซมบริเวณบาดแผล  เมื่อเกิดบาดแผล basophil ในเลือดและ mast cell ที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หลั่ง histamine และ prostaglandin ท้าให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดไหลมากขึ้น เม็ด เลือดขาวและสารที่ท้าให้เลือดแข็งตัวเคลื่อนที่มายังบาดแผลได้มากและเร็ว  Neutrophil เปลี่ยนเป็น macrophage ท้าหน้าที่ phagocytosis เชื้อโรคและเศษ เซลล์ THE INFLAMMATORY RESPONSE (ตอบสนองโดยการอักเสบ)
  • 28.  เลือดแข็งตัว ปากแผลปิด  อาการอักเสบ ประกอบด้วยผื่นแดง ร้อน บวม เนื่องจากของเหลวออก จากหลอดเลือด และเจ็บปวด THE INFLAMMATORY RESPONSE (ตอบสนองโดยการอักเสบ)
  • 29.  โปรตีนในเลือดที่ท้าลายเชื้อจุลินทรีย์ได้ ได้แก่ lysozyme, complement system, interferon  complement system : ย่อยสลายเชื้อ โรคขนาดเล็ก กระตุ้น phagocytosis และ การท้างานของภูมิคุ้มกัน  Interferon: หลั่งออกมาจากเซลล์ที่ติดเชื้อ ไวรัส ป้องกันการรุกรานไปยังเซลล์อื่นที่เป็น เซลล์ปกติ ANTIMICROBIAL PROTEINS (โปรตีนต้านจุลชีพ)
  • 31.  Specific defense mechanism (immune response or immune system)  Humoral immune response (การก้าจัดสิ่ง แปลกปลอมโดยการหลั่ง แอนติบอดี)  Cell-mediated immune response (การก้าจัดสิ่ง แปลกปลอมโดยใช้เซลล์เป็น ตัวกลาง) กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบจ้าเพาะเจาะจง
  • 32.  เกี่ยวข้องกับเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด lymphocyte ของเซลล์บี (B-cell) และ เซลล์ที (T-cell หรือ CD4+) SPECIFIC DEFENSE MECHANISM
  • 33.  Lymphocytes แบ่งได้ 2 ชนิด คือ B lymphocyte และ T lymphocyte  เจริญจากเซลล์ตั้งต้นชนิดเดียวกัน คือ Pluripotent stem cell ใน bone marrow  เซลล์ที่ยังเจริญต่อใน bone marrow สุดท้ายได้ B lymphocyte  ถ้า lymphocyte stem cell เคลื่อนไปและเกิด maturation ที่ต่อมไทมัส (thymus gland) จะ ได้ T cell  lymphocytes ทั้งสองชนิดจะเคลื่อนไปอยู่ที่ lymphoid tissue เช่น tonsil, lymph node, spleen เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน
  • 34.  T หรือ B cell แต่ละเซลล์จ้าเพาะต่อ Ag แต่ละตัว  ขั้นตอนการคัดเลือกเพื่อเพิ่มจ้านวน lymphocyte ที่เฉพาะต่อ Ag เรียก Clonal selection LYMPHOCYTES
  • 35. LYMPHOCYTES 1.Ag จับกับ Ag receptor บน B cell หนึ่งๆ 2.B cell ที่มี receptor ที่จ้าเพาะต่อ Ag นั้น จะเพิ่มจ้านวนได้เป็น clone 3.บางเซลล์พัฒนาไปเป็น short-lived plasma cell และหลั่ง Ab 4.บางเซลล์พัฒนาไปเป็น long-lived memory cell ที่จะท้าให้เกิดการตอบสนอง อย่างรวดเร็วเมื่อร่างกายได้รับ Ag เดิม
  • 36.  การเพิ่มจ้านวนของ Lymphocytes หลังเผชิญกับ Ag ครั้งแรก ใช้เวลา 10-17 วัน เรียก การตอบสนองในระยะแรกนี้ว่า primary immune response ได้เซลล์ 2 ชนิดคือ plasma cell (B cell) & effector T cell (T cell)) และ long-lived memory cells  ถ้าร่างกายเผชิญกับ Ag เดิมอีก จะเกิดการตอบสนองเรียก secondary immune response ใช้เวลาตอบสนองสั้นลง 2-7 วัน IMMUNOLOGICAL MEMORY
  • 37. B-cell 1. Antigen เข้าสู่ร่างกายและถูกท้าลายโดย phagocytosis 2. ชิ้นส่วนของ antigen (Ag) ที่ถูก phagocyte ท้าลายกระตุ้นให้ B-cell เพิ่ม จ้านวน 3. B-cell เปลี่ยนไปท้าหน้าที่สร้าง antibody (Ab) ที่จ้าเพาะต่อ antigen เรียกว่า plasma cell และ memory cell  memory cell: จดจ้า antigen ถ้ามี antigen เดิมเข้ามาในร่างกายอีกครั้ง memory cell จะแบ่งเซลล์เป็น plasma cell ท้าลายเชื้อโรคนั้น  plasma cell: สร้าง antibody ที่จ้าเพาะต่อ antigen นั้น HUMORAL IMMUNE RESPONSE
  • 38.  Epitope or antigenic determinant เป็นส่วนของ Ag ที่ Ab เข้าไปจับ (Ab จะใช้ ส่วน antigen binding site ในการจับ)  แบคทีเรียตัวหนึ่ง ๆ อาจมี epitope ส้าหรับจับกับ Ab ได้ถึง 4 ล้านโมเลกุล โครงสร้างและหน้าที่ของ ANTIBODY
  • 39.  Ab เป็นโปรตีนชนิด immunoglobulin (Ig)  โมเลกุลรูปตัว Y  ส่วนที่เกาะกับ Ag มี 2 ข้าง แต่ละข้างมี 2 แขน แขนสั้นเรียก light chain แขนยาว เรียก heavy chain  C ล้าดับกรดอะมิโนคงที่ ส่วน V ล้าดับกรดอะมิโนแตกต่างตาม Ab แต่ละตัว  V ให้ epitope ของ Ag มาเกาะ โครงสร้างและหน้าที่ของ ANTIBODY
  • 40.  Ig M (pentamer): เป็น Ig ที่พบเป็นชนิดแรกเมื่อ expose กับ Ag พบครั้งแรกในปลาฉลามและปลา กระดูกแข็ง ขนาดใหญ่ ไม่สามารถผ่านเข้าไปในรก ได้  Ig G (monomer) พบมากในกระแสเลือด ผ่านเข้า ไปในรกได้ ท้าลายแบกทีเรีย, ไวรัส และ toxin  Ig A (dimer) พบใน mucous และ colostrum ป้องกันการจับของไวรัส และแบคทีเรียต่อ epithelial surface  Ig D (monomer) พบมากที่ผิวของ B cell คาด ว่าช่วยกระตุ้นการเปลี่ยนจาก B cell ไปเป็น plasma cell & memory B cell  Ig E (monomer) จับอยู่ที่ mast cell & basophil เมื่อถูกกระตุ้นโดย Ag ท้าให้เกิดการหลั่ง histamine หรือสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ Immunoglobulin (Ig) มีทั้งหมด 5 ชนิด
  • 41.  Ab จับกับ Ag เป็น ag-ab complex โดยวิธี agglutination แล้วส่งต่อให้ macrophage ท้าลาย โดยวิธี phagocytosis หรือ เป็น complex โดยวิธี complement fixation แล้ว ส่งต่อให้ complement pathway เพื่อท้าให้เซลล์แตก (cell lysis) การก้าจัด ANTIGEN ของ ANTIBODY
  • 42. T-cell ภายในต่อมไทมัส lymphocyte stem cell เจริญไปเป็น T-cell 3 ชนิด 1. เซลล์ทีผู้ช่วย (Helper-T-cell / TH): กระตุ้น lymphocyte ชนิด B ให้สร้าง antibody ที่จ้าเพาะต่อ Antigen และท้าหน้าที่กระตุ้นการท้างานของ T-cell ชนิดอื่น 2. เซลล์ทีท้าลายสิ่งแปลกปลอม (Cytotoxic T-cell / Tc): ท้าลายเซลล์แปลกปลอม เช่น เซลล์มะเร็ง เซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส และเซลล์อวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่าย 3. เซลล์ทีกดภูมิคุ้มกัน (Suppressor T-cell / CD8+ / Killer cell / Ts): ควบคุม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันให้อยู่ในสภาวะสมดุล โดยสร้างสารไปกดการท้างานของ B-cell และ T-cell ชนิด TH และ Tc CELL-MEDIATED IMMUNE RESPONSE
  • 43.  1. ร่างกายได้รับการติดเชื้อและมีแอนติเจนแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย  2. Helper T cell เข้าจับกับแอนติเจนของสิ่งแปลกปลอมเพื่อระบุชนิดของ แอนติเจนที่เข้ามาในร่างกาย  3. Helper T cell กระตุ้น B cell ให้เปลี่ยนเป็น plasma cell เพื่อหลั่ง แอนติบอดีออกมาก้าจัดสิ่งแปลกปลอม  4. Helper T cell กระตุ้น cytotoxic T cell ให้หลั่งสาร/เอนไซม์ ย่อยเซลล์ที่ เกิดการติดเชื้อหรือเซลล์ผิดปกติ เพื่อป้องกันการลุกลามไปยังเซลล์อื่นๆ การท้างานของเซลล์ ที
  • 46.  ความต้านทานตามธรรมชาติของแต่ละ บุคคล  สุขภาพทั่วไปของร่างกาย เช่น สภาพ ร่างกาย ความเหนื่อย ความเครียด  อายุ และเพศ  ภาวะทุพโภชนาการหรือการขาด สารอาหาร เช่นการขาดวิตามินเอและ วิตามินซี ท้าให้การท้างานของเม็ดเลือด ขาวลดลง  อาชีพ การท้างานและชนิดของงานที่ท้า  ความเป็นอยู่ทางสังคมและเศรษฐกิจ ปัจจัยที่มีผลต่อการท้างานของระบบภูมิคุ้มกัน