More Related Content
Similar to โครงงาน ฮอร์โมนมนุษย์
Similar to โครงงาน ฮอร์โมนมนุษย์ (20)
โครงงาน ฮอร์โมนมนุษย์
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2557
ชื่อโครงงาน
ฮอร์โมน....มนุษย์
(Human…Hormone)
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1) นาย รังสิมันตุ์ เตจ๊ะบูรณ์ เลขที่ 3 ชั้น ม.6 ห้อง 4
2) นาย กิตติพันธุ์ ปัญญาภูษิต เลขที่ 11 ชั้น ม.6 ห้อง 4
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน
ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2557
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1 นาย รังสิมันตุ์ เตจ๊ะบูรณ์ เลขที่ 3
2 นาย กิตติพันธุ์ ปัญญาภูษิต เลขที่ 11
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
ฮอร์โมน...มนุษย์
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Human…Hormone
ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน 1) นาย รังสิมันตุ์ เตจ๊ะบูรณ์ เลขที่ 3
2) นาย กิตติพันธุ์ ปัญญาภูษิต เลขที่ 11
ชื่อที่ปรึกษา ครู เขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน 11 สัปดาห์
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
ในทุกวันนี้มนุษย์ดาเนินกิจกรรมต่างๆภายในชีวิตประจาวันมากมายโดยการทางานของ
ร่างกายโดยใช้กลไกต่างๆที่ทางานโดยการใช้พลังงาน แล้วยังมีการทางานร่วมกันกับฮอร์โมน
ต่างๆโดยฮอร์โมนแต่ละชนิดนั้นจะทาให้เกิดกระบวนการต่างๆขึ้นทาให้สามารถดาเนินชีวิตได้
อย่างปกติ โดยฮอร์โมนในร่างกายมีน่าที่ที่ต่างกันไปตามแต่ชนิดแล้วมีต่อมสร้างฮอร์โมนในจุด
ต่างๆของร่างกายต่อมนี้เป็นต่อมไร้ท่อโดยต่อมต่อมหนึ่งสามารถสร้างฮอร์โมนได้หลายชนิด
ฮอร์โมนสามารถลาเลียงฮอร์โมนที่สร้างผ่านระบบเลือดไปตามจุดต่างๆของร่างกายทาให้
ร่างกายเกิดการทางานตอบสนองต่อฮอร์โมนต่างๆ
ในการศึกษาเกี่ยวกับฮอร์โมนนี้สามารถนาไปใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์หรือ
ฮอร์โมนบางชนิดก็นาสร้างมานามาเสริมสร้างสมรถภาพร่างกายให้แข็งแรง ดังนั้นความรู้ใน
- 3. 3
เรื่องของฮอร์โมนสามารถทาให้เราดูแลตัวเองได้และรู้ว่าประโยชน์และโทษของฮอร์โมนตัว
นั้นๆเป็นอย่างไรสาคัญต่อร่างกายมากแค่ไหนทาอย่างไรถึงจะทาให้ฮอร์โมนตัวนั้นไม่
เสื่อมสภาพทาให้เกิดโรคบางชนิดดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงมีความสาคัญในระดับหนึ่ง
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1) ศึกษาระบบการทางานของฮอร์โมน
2) ศึกษาเกี่ยวกับจุดที่สร้างของฮอร์โมนชนิดต่างๆและการลาเลียง
3) ศึกษาเรื่องความสาคัญของฮอร์โมนบางตัวต่อร่างกาย
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
ศึกษาเกี่ยวกับฮอร์โมนแต่ละชนิดว่ามีผลต่อร่างกายแบบใดหลังเมื่อใดมีฮอร์โมนที่ควบคุมกันและกัน
หรือไม่หากขาดไปจะเกิดผลเช่นไร เพื่อนาข้อมูลที่ได้ไปช่วยอ้างอิงในการสอนวิชาชีววิทยาต่อไป
หลักการและทฤษฎี(ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
ฮอร์โมนในร่างกายมนุษย์จะ ถูกขนส่งไปสู่อวัยะต่างๆทั่วร่างกาย แต่จะออกฤทธิ์หรือมีผลต่อ
เฉพาะอวัยวะ และเซลล์บางตัวเท่านั้น ซึ่งฮอร์โมนในร่างกายมนุษย์จะแบ่งเป็น 9 ต่อม คือ
1)ต่อมใต้สมอง( pituitary gland) อยู่ตรงส่วนล่างของสมองแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
ต่อมใต้สมองส่วนหน้า( anterior lobe of pituitary gland )
ต่อมใต้สมองส่วนกลาง ( intermediated lobe of pituitary )
ต่อมใต้สมองส่วนหลัง( posterior lobe of pituitary gland )
ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ( anterior lobe of pituitary gland )
เป็นส่วนที่ไม่ได้เกิดจาก เนื้อเยื่อประสาท การทางานอยู่ภายใต้การควบคุมของ
hypothalamus สร้างฮอร์โมนประเภทสารโปรตีนหรือพอลิเพปไทด์ ได้แก่
1. Growth hormone(GH) หรือ Somatotrophic hormone(STH) ฮอร์โมนนี้หลั่งตอน
หลับมากกกว่าตอนตื่นและตอนหิวมากกว่าช่วงปกติ เป็นฮอร์โมนที่ประกอบด้วย polypeptide ที่
มีกรดอมิโน 191 ตัว มีธาตุกามะถันอยู่ในรูป disulphid กระตุ้นให้เกิดการเจริญของกล้ามเนื้อ
และกระดูกโดยอาศัย thyroxin และ inrulin เป็นตัวคะตะลิสต์ มีอิทธิพลกระตุ้นการเจริญและ
เพิ่มความยาวของกระดูกกระตุ้นการเจริญของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆของร่างกาย ความผิดปกติ
- 4. 4
เมื่อร่างกายขาดหรือมีมากเกินไป
- ถ้าร่างกายขาด GH ในเด็ก ทาให้ร่างกายเตี้ยแคระ (สติปัญญาปกติ) เรียก Dawrfism
ในผู้ใหญ่ มีอาการผอมแห้ง น้าตาลในเลือดต่า มีภาวะทนต่อความเครียด(stess) สูงเรียกว่า
Simmom’s disease
- ถ้าร่างกายมี GH มากเกินไป ในวัยเด็ก จะทาให้ร่างกายเติบโตสูงใหญ่ผิดปกติ
น้าตาลในเลือดสูง ทนต่อความเครียดได้น้อย เรียกว่า Gigantism ในผู้ใหญ่ กระดูกขากรรไกร
คางจะยาวผิดปกติ ฝ่ามือ ฝ่าเท้าโต จมูกใหญ่ ฟันใหญ่ และห่างเรียก Acromegaly
2. Gonadotrophin หรือ Gonadotrophic hormone
ประกอบด้วยฮอร์โมนที่สาคัญ 2 ชนิด คือ
2.1 Follicle stimulating hormone (FSH) ทาหน้าที่กระตุ้นฟอลลิเคิลให้สร้างไข่และ
ไข่สุก มีการสร้างฮอร์โมน estrogen ออกมา และกระตุ้น seminiferrous tubule ให้สร้างอสุจิ
2.2 Luteinizing hormone (LH) ทาหน้าที่กระตุ้นให้ไข่ตกจากฟอลลิเคิล สาหรับใน
เพศชาย กระตุ้นให้ interstitial cells ในอัณฑะสร้างฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งอาจเรียกว่า Interstitial
Cell Stimulating Hormone (ICSH)
3. Prolactin หรือ Lactogenic hormone (LTH)
ทาหน้าที่กระตุ้นการเจริญของต่อมน้านมในเพศหญิง นอกจากนี้ทาหน้าที่ร่วมกับ
androgen ในเพศชายกระตุ้นต่อมลูกหมาก การบีบตัวของท่อนาอสุจิ การสร้างน้าเลี้ยงอสุจิ
4. Andrenocorticotrophin หรือ Adrenocorticotrophic hormone (ACTH)
มีหน้าที่กระตุ้นทั้งการเจริญเติบโตและการสร้างฮอร์โมนของต่อมหมวก ไตส่วนนอกให้
สร้างฮอร์โมนของต่อมหมวกไตส่วนนอก ให้สร้างฮอร์โมนตามปกติและกระตุ้น การหลั่ง
insulin การหลั่ง GH ควบคุมการทางานของต่อมเหนือไตชั้นนอก ( adrenal cortex ) ทาให้สีของ
สัตว์เลือดเย็นเข้มขึ้น มีโครงสร้างเหมือน MSH
5. Thyroid Stimulation hormone (TSH)
ทา หน้าที่กระตุ้นให้มีการเพิ่มการนาไอโอดีนเข้าต่อมไทรอยด์ เพื่อเพิ่มการสังเคราะห์
thyroxine hormone การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้าจะถูกควบคุมโดยฮอร์โมนที่
สร้างจาก สมองส่วน hypothalamus มีฮอร์โมนที่กระตุ้นและยับยั้งการผลิตฮอร์โมนของต่อมใต้
สมองส่วนหน้าและมี ชื่อเรียกตามผลที่แสดงออกต่อการสร้างฮอร์โมน เช่น
- ฮอร์โมนกระตุ้นการหลั่ง GH ( GH releasing hormone, GRH) กระการหลั่งฮอร์โมน
- 5. 5
growth
- ฮอร์โมนยับยั้งการหลั่ง GH (GH inhibiting hormone,GIH) ยับยั้งไม่ให้มีการหลั่ง
ฮอร์โมน growth
- ฮอร์โมนกระตุ้นการหลั่ง prolactic (Prolactin releasing hormone,PRH) กระตุ้นให้
Prolactin หลั่งออกมา
- ฮอร์โมนควบคุมการหลั่ง thyroid (Thyroid releasing hormone,TRH) กระตุ้นการหลั่ง
TSH
- ฮอร์โมนกระตุ้นการหลั่ง Gn (Gonadotrophin releasing hormone,GnRH) กระตุ้นให้มี
การหลั่ง LH และ FSH
ฮอร์โมนเหล่านี้รวมเรียกว่า ฮอร์โมนประสาท เพราะสร้างมาจากเซลล์พิเศษ ซึ่งเปลี่ยนแปลงมา
จากเซลล์ประสาทภายใน hyprothalamus
ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนกลาง (Intermediate lobe)
มีขนาดเล็กมากทาหน้าที่สร้างฮอร์โมน Melanocyte Stimulating
Hormone(MSH) ทาหน้าที่ปรับสีของสัตว์เลือดเย็นให้เข้มขึ้น(ทาหน้าที่ตรงข้ามกับ Malatonin
จากต่อม pineal ) ในสัตว์เลือดอุ่นมีหน้าที่ไม่แน่ชัด
ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหลัง (Posterior lobe)
เป็นกลุ่มเซลล์ของเนื้อเยื่อประสาทจาก hypothalamus ทาหน้าที่ผลิตฮอร์โมน
ภายนอก แล้วลาเลียงมาไว้ที่ต่อมใต้สมองส่วนหลัง ได้แก่
1. Oxytocin ทาให้กล้ามเนื้อมดลูก เต้านม กระเพาะปัสสาวะมีการหดตัว ฮอร์โมนนี้จะ
มีการหลั่งออกมาตอนคลอดลูกและในขณะร่วมเพศ แต่ถ้าหลั่งออกมามากก่อนคลอดจะทาให้
แท้งลูกได้
2. Vasopressin หรือ Antidiuretic hormone ( ADH ) ทาให้เส้นเลือดมีการหดตัวช่วยให้
ท่อหน่วยไตดูดน้ากลับคืน ทาให้ลดการสูญเสียน้าและเกลือแร่ที่จาเป็น ถ้าร่างกายขาดจะ
ปัสสาวะมากทาให้เกิดโรคเบาจืด( diabetes inspidus)
- 6. 6
2)ต่อมไพเนียล (pineal gland)
เป็นต่อมเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างสมองส่วน cerebrum พูซ้ายและพูขวา
ต่อมไพเนียลจะสร้างฮอร์โมน melatoninMelatonin เป็น ฮอร์โมนที่มีความสาคัญในคน
และสัตว์ชั้นสูงในช่วงก่อนวัยหนุ่มสาว โดยจะไปยับยั้งการเจริญของอวัยวะสืบพันธุ์ ถ้าต่อมนี้
เกิดผิดปกติและผลิตฮอร์โมนนี้มากเกินไปจะทาให้เป็นหนุ่มสาวช้าลง กว่าปกติ ในสัตว์ที่มี
กระดูกสันหลังชั้นต่าบางชนิด เช่น ปลาปากกลมต่อมไพเนียลจะไม่ได้ทาหน้าที่สร้างฮอร์โมน
แต่จะทาหน้าที่เป็นกลุ่มเซลล์รับแสง (photoreceptor)
การหลั่งฮอร์โมนของต่อมนี้ จะหลั่งได้ดีในกรณีอยู่ในที่มืดในสัตว์พวกที่อยู่ในที่มีแสงสว่าง
มากจะหลั่ง น้อย พวกสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้า และสัตว์เลื้อยคลานบางชนิด ซึ่งเป็นสัตว์เลือดเย็น
ฮอร์โมนนี้จะไปช่วยในการปรับสีของผิวหนังให้จางลง (ทาหน้าที่ตรงกันข้ามกับ MSH จากต่อม
ใต้สมองส่วนกลาง)
3)ต่อมไทรอยด์(Thyroid gland)
เป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ มี 2 lobe อยู่บริเวณลาคอ หน้าหลอดลมใต้กล่องเสียงเล็กน้อย ต่อม
นี้สร้างฮอร์โมน 2 ชนิด คือ
1. Thyroxin
เป็นสารอนุพันธ์ของกรดอะมิโน ช่วยเร่งอัตราเมแทบอลิซึมของร่างกาย ในสัตว์ครึ่งบก
ครึ่งน้า ช่วยให้เกิด metamorphosis เร็วขึ้น ฮอร์โมนนี้จาเป็นต่อการเจริญและการพัฒนาการของ
ร่างกายโดยเฉพาะสมองถ้าขาด ฮอร์โมนไทรอกซิน ในเด็กจะทาให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง
สติปัญญาไม่ดี อวัยวะเพศไม่เจริญ ร่างกายเตี้ยแคระ เรียกกลุ่มอาการนี้ว่า Cretinism ส่วนใน
ผู้ใหญ่จะมีอาการเหนื่อยง่าย ซึม อ้วนง่าย ผมและผิวหนังแห้ง ความจาเสื่อม กล้ามเนื้ออ่อนแรง
เฉื่อยชา เรียกกลุ่ม อาการนี้ว่า Myxedema นอกจากนี้การขาดธาตุไอโอดีน ยังมีผลทาให้ต่อม
ไทรอยด์ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนไทรอกซินได้ส่งผลให้เป็น โรคคอพอก ( Simple goiter หรือ
endemic goiter) เพราะเมื่อร่างกายขาดไทรอกซิน จะมีผลให้Hypotalamus หลั่งสารเคมีมา
กระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้หลั่งฮอร์โมน TSH ส่งมาที่ต่อมไทรอยด์มากกว่าปกติ เมื่อต่อม
ถูกกระตุ้นจึงมีขนาดขยายโตขึ้น การสร้างฮอร์โมนนี้มากเกินไปจะทาให้เกิดโรค Grave’s
disease ในเด็กจะมีอาการตัวสั่น ตกใจง่าย แต่คอไม่พอก ส่วนในผู้ใหญ่จะเกิดอาการคอพอกเป็น
- 7. 7
พิษ (toxin goiter หรือ exophthalmic goiter ) ต่อมมีขนาดใหญ่ มีฮอร์โมนมาก อัตราเมแทบอลิ
ซึมจะสูง นานไปจะมีการสะสมสารเคมีบางชนิดในเบ้าตาทาให้ตาโปน
2. Calcitonin
เป็นฮอร์โมนที่ทาหน้าที่ลดระดับของ แคลเซียมในเลือดที่สูงเกินปกติ ให้เข้าสู่ระดับปกติ
โดยดึงส่วนที่เกินนั้นไปไว้ที่กระดูก ดังนั้นระดับแคลเซียมในเลือดจึงเป็นตัวควบคุมการหลั่ง
ฮอร์โมน ฮอร์โมนนี้จะทางานร่วมกับต่อมพาราไทรอยด์และวิตามิน
4) ต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid gland)
มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว มีอยู่ด้วยกัน 4 ต่อม ฝังอยู่ด้านหลังของต่อมไทรอยด์ข้างละ 2 ต่อม
ฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมนี้คือ
1.parathormone Parathormone
เป็นฮอร์โมนที่ทาหน้าที่ควบคุมระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดและ เนื้อเยื่อให้
ปกติ ช่วยให้ไตและลาไส้เล็กดูดแคลเซียมกลับคืนได้มากขึ้น โดยทางานร่วมกับวิตามิน ซี และ
ดี ทาหน้าที่ควบคุมแคลเซียม
2.Calcitonin
ถ้าขาดฮอร์โมนชนิดนี้ จะทาให้การดูดแคลเซียมกลับที่ท่องของหน่วยไตลดน้อยลง แต่จะ
มีฟอสฟอรัสมากขึ้น มีผลทาให้เกิดตะคริวชักกระตุก กล้ามเนื้อเกร็งเรียกการเกิด tetany แก้โดย
ลดอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูงๆ และเพิ่มแคลเซียมหรือฉีดวิตามิน D แต่ในกรณีที่มีมากเกินไปจะ
ทาให้กระดูกและฟันไม่แข็งแรงประสาทตอบสนองได้น้อย กล้ามเนื้อเปลี้ย ปวดกระดูก
5)ต่อมไทมัส(Thymus gland)
มีลักษณะเป็น 2 พู อยู่ตรงทรวงอก รอบเส้นเลือดใหญ่ของหัวใจเป็นเนื้อเยื่อน้าเหลือง ทาหน้าที่
สร้างลิมโฟไซต์(T-Lymphotyce) หรือ T-Cell การที่เนื้อเยื่อน้าเหลืองสร้างเซลล์ได้ต้องมี
ฮอร์โมนThymosinที่สร้างจาก เนื้อเยื่อบางส่วนของต่อมไทมัส ต่อมนี้เจริญเต็มที่ตั้งแต่ทารกยัง
อยู่ในครรภ์แม่ และจะเสื่อมสภาพเรื่อยๆเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น
นอกจากนี้ ฮอร์โมนบางชนิดยังสามารถสร้างจากเนื้อเยื่อในร่างกายได้เนื้อเยื่อสาคัญคือ
- 8. 8
เนื้อเยื่อชั้นในกระเพาะอาหาร และลาไส้เล็ก ฮอร์โมนที่สร้างจากเนื้อเยื่อนี้เป็นสารประเภท
โปรตีน มีหน้าที่ควบคุมการทางานของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหาร ได้แก่
1. Gastrin เป็น ฮอร์โมนที่สร้างจากเนื้อเยื่อชั้นในของกระเพาะอาหาร ทาหน้าที่
กระตุ้น ทาหน้าที่กระตุ้นหลั่งน้าย่อยจากตับอ่อน การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลาไส้
เล็ก
2. Sacretin เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากเนื้อเยื่อชั้นในบริเวณดูโอดินัม ของลาไส้เล็ก
ทาหน้าที่กระตุ้นการหลั่งน้าย่อยในตับอ่อน และกระตุ้นตับให้หลั่งน้าดี เมื่ออาหารผ่านจาก
กระเพาะเข้าสู่ลาไส้เล็ก
6)ตับอ่อน(Pancreas)
ส่วนที่เป็นต่อมไร้ท่อ จะผลิตฮอร์โมนที่สาคัญ ดังนี้
1) อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ทาให้ระดับน้าตาลในเลือดต่าลง โดยช่วยให้กลูโคสผ่าน เข้า
เซลล์และเปลี่ยนส่วนหนึ่งเป็นไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ทาให้ระดับน้าตาลในเลือดอยู่ในระดับ
ปกติ
2) กลูคากอน เป็นฮอร์โมนที่ทางานตรงข้ามกับอินซูลิน คือ ทาให้ระดับน้าตาลใน เลือด
สูงขึ้น
7) Islet of langerhans
Paul langerhan(1868) แห่งมหาวิทยาลัยไพรเบิร์กในเยอรมัน ได้ศึกษาตับอ่อนและพบกลุ่ม
เซลล์ตับอ่อนกระจายอยู่เป็นย่อมๆมีหลอดเลือดมา หล่อเลี้ยงมาก แ ละเรียกกลุ่มเซลล์เหล่านี้ตาม
ชื่อของผู้คนพบว่า islets of Langerhans ฮอร์โมนที่สาคัญมี 2 ชนิดคือ
1. Insulin สร้างมาจากกลุ่ม B – cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีขนาดเล็กและมีจานวนมาก หน้าที่ของ
insulin คือรักษาระดับน้าตาลในเลือดให้เป็นปกติ ถ้ามีน้าตาลในเลือดสูง insulin จะช่วยเร่งการ
นากลูโคสเข้าเซลล์และเร่งการสร้าง glycogen เพื่อเก็บสะสมไว้ที่นับและกล้ามเนื้อ และเร่งการ
ใช้กลูโคสของเซลล์ทั่วไป ทาให้น้าตาลในเลือดน้อยลง
ในคนปกติจะมีน้าตาลในเลือด 100 mg ต่อเลือด 100 Cm3 กรณีคนที่ขาด insulin ทาให้
เป็นโรคเบาหวาน ( diabetes mellitus ) คือ มีน้าตาลในเลือดสูงมากและหลอดไตดูดกลับไม่หมด
จึงมีส่วนหนึ่งออกมากับปัสสาวะ เมื่อเป็นมากๆ ร่างกายจะผอม น้าหนักตัวลดลงมากเนื่องจากมี
- 9. 9
การสลายไขมันและโปรตีน มาใช้แทนคาร์โบไฮเดรตซึ่งร่างกายใช้ไม่ได้ผู้ป่วยจะถ่ายปัสสาวะ
บ่อยครั้ง และมีน้าตาลออกมาด้วย ปัสสาวะมีความเป็นกรดมาก เนื่องจากมีคีโตนบอดี (Ketone
Body) ซึ่งเป็นผลจากการสลายไขมัน นอกจากนี้ถ้าหากเป็นแผลจะหายยากมากเพราะในเลือดมี
น้าตาลสูง จุลินทรีย์ต่างๆจึงใช้เป็นอาหารได้เป็นอย่างดี เมื่อเป็นนานเข้าผู้ป่วยจะตาย เนื่องจาก
ไตหมดประสิทธิภาพในการทางาน
2. Glucagon สร้าง มาจาก B – cell เป็นเซลล์ที่มีขนาดใหญ่และมีน้อยกว่า ? – cell
glucagon มีหน้าที่เพิ่มน้าตาลในเลือดโดยเร่งสลายไกลโคเจนในตับให้เป็นกลูโคส ( ทาหน้าที่
ตรงข้ามกับ insulin ) และเร่งการสร้างกลูโคสจากโปรตีนด้วย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงระดับ
น้าตาลในเลือดจะเป็นสัญญาณให้ฮอร์โมนทั้งสองชนิด นี้ทางานเพื่อรักษาระดับน้าตาลในเลือด
ให้อยู่ในภาวะปกติเสมอ
8)ต่อมหมวกไต(adrenal gland)
เป็นต่อมไร้ท่อที่อยู่เหนือไตทั้งสองข้าง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม ต่อมหมวกไตแบ่งออกเป็น 2
ส่วน คือ
1. adrenal cortex
หรือต่อมหมวกไตชั้น นอก ผลิตฮอร์โมนได้มากกว่า 50 ชนิด ภายใต้การควบคุมของ
ACTH จากต่อมใต้สมองตอนหน้า ฮอร์โมนที่ผลิตขึ้นมีสมบัติเป็นสเตอรอยด์ (steroid) แบ่ง
ฮอร์โมนเป็น 3 กลุ่มที่สาคัญ คือ
1.1 Glucocorticoid hormone ทา หน้าที่ควบคุมเมแทบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต
โดยเปลี่ยน glycogen ในตับและกล้ามเนื้อให้เป็นกลูโคส ( ทาหน้าที่เหมือนกลูคากอนจากตับ
อ่อน)ในวงการแพทย์ใช้เป็นยาลดการอักเสบและ รักษาโรคภูมิแพ้ฮอร์โมนกลุ่มนี้คือ cortisol
และ cortisone ( ในภาวะตึงเครียดถ้ามีการหลั่ง cortisol มากทาให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้)
ถ้ามีฮอร์โมนกลุ่มนี้มากเกินไปจาทาให้อ้วน อ่อนแอ ( ไขมัน พอกตามตัว ) หน้ากลมคล้ายดวง
จันทร์ หน้าท้องลาย น้าตาลในเลือดสูงเช่นเดียวกับคนเป็นโรคเบาหวาน เรียกว่า โรคคูชชิง(
Cushing’s syndrome)
1.2 Mineralocorticoid hormone ทาหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้าและเกลือแร่
ฮอร์โมนสาคัญกลุ่มนี้คือ aldosterone ช่วยในการทางานของไตในการดูดกลับ Na และ Cl
ภายในท่อตับ
- 10. 10
ถ้าขาด aldosterone จะทาให้ร่างกายสูญเสียน้าและโซเดียมไปพร้อมกับปัสสาวะ ส่งผลให้เลือด
ในร่างกายลดลงจนอาจทาให้ผู้ป่วยตายเพราะความดันเลือดต่า
1.3 Adrenalsexhormone ฮอร์โมน เพศช่วยกระตุ้นให้มีลักษณะทางเพศที่สมบูรณ์
ทั้งชายและหญิง (secondeary sexual characteristics) ในเด็กผู้หญิงพบว่า ถ้ามีฮอร์โมนเพศมาก
เกินไปจะมี่ขนาด clitoris โต และมีอวัยวะที่ labium คล้ายๆถุงอัณฑะถ้าเป็นผู้หญิงที่โตเป็นสาว
แล้วจะมีผลทาให้เสียงต่าและมีหนวด เกิดขึ้น ประจาเดือนหยุดเรียกลักษณะนี้ว่า Adrenogentital
sysdrome
ถ้า adrenal cortex ถูกทาลายจะไม่สามารถสร้างฮอร์โมนทาให้เป็นโรค Addison’s disease ผู้ที่
เป็นโรคนี้ร่างกายจะซูบผอม ผิวหนังตกกระ ร่างกายไม่สามารถรักษาสมดุลของแร่ธาตุได้ซึ่งจะ
ทาให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
2. Adrenal medulla เป็นเนื้อชั้นในของต่อมหมวกไต อยู่ภายใต้การควบคุมของ sympathetic
( ไม่มี parasympathetic ) ถูกกระตุ้นในขณะตกใจ เครียด กลัว โกรธ เนื้อเยื่อชั้นนี้จะทาหน้าที่
สร้างฮอร์โมน 2 ชนิด
2.1 Adrenalin hormone หรือ Epinephrine hormone กระตุ้นให้หัวใจบีบตัวแรง (
ความดันเลือดสูง ) เส้นเลือดขยายตัวเปลี่ยน glycogen ในตับให้เป็นกลูโคสในเลือด ทาให้มี
พลังงานมากในขณะหลั่งออกมา (adrenalin ใช้ในการห้ามเลือดได้เพราะทาให้เลือดเป็นลิ่ม ๆ)
2.2 Noradrenalin hormone หรือ Norepinephrine hormone กระตุ้นให้เส้นเลือดมี
การบีบตัว ( ความดันเลือดสูง ) ผลอื่นๆคล้าย adrenalin แต่มีฤทธิ์น้อยกว่า
9)ต่อมเพศ (gonad gland)
1. อัณฑะ (testis) ภาย ในอัณฑะมีกลุ่มเซลล์ interstitial cell เป็นแหล่งที่ทาหน้าที่สร้าง
ฮอร์โมนเพศชายฮอร์โมนที่ถูกสร้างเป็นสารสเตียรอยด์ ที่เรียกว่า androgens ประกอบด้วย
ฮอร์โมนหลายชนิด ที่สาคัญคือ testosterone ทาหน้าที่ควบคุมลักษณะของเพศชาย เช่น เสียง
แตก นมขึ้นพาน มีหนวดบริเวณที่ริมฝีปาก กระดูกหัวไหล่กว้าง
2. รังไข่( ovary ) เป็น แหล่งสร้างฮอร์โมนเพศหญิง ต่อมเพศอยู่ในรังไข่ทั้ง 2 ข้าง มี
แหล่งสร้างฮอร์โมน 2 แหล่ง คือ follicle ในรังไข่ และ corpus luteum ฮอร์โมนที่สร้างได้มี 2
ชนิด คือ
- 11. 11
1.1 Estrogen เป็นฮอร์โมนที่สร้างจาก follicle ทาหน้าที่ควบคุมลักษณะเพศหญิง การ
มีประจาเดือน เตรียมการตั้งครรภ์ห้ามการสร้างไข่ โดยห้าม FSH จากต่อมใต้สมองและกระตุ้น
ให้มีการหลั่ง LH แทน
1.2 Progesterone สร้างจาก corpus luteum มีหน้าที่ในการกระตุ้นให้ผนังมดลูกหนา
ห้ามการมีประจาเดือน ห้ามการตกไข่ ให้ต่อมน้านมเจริญมากขึ้น ป้องกันการแท้งบุตร อยู่ภายใต้
การควบคุมของฮอร์โมน FSH และ LH จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ระบบฮอร์โมนขณะมีการ
เปลี่ยนแปลงรอบเดือน ในขณะมีรอบเดือน (memstrucation) Estrogen และ LH ต่า
progresterone ต่ามาก ภายหลังการตกไข่ (ovulation ) progesterone จะสูงขึ้นและจะสูงสุด
ภายหลังตกไข่ผ่านไป 1 สัปดาห์ จากนั้นจะลดลงเรื่อยๆถ้าไข่ไม่ถูกปฏิสนธิ
ความผิดปกติของฮอร์โมน
สาเหตุ
1. การสร้างฮอร์โมนไม่เพียงพอ
2. เซลล์เป้ าหมายไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมน ซึ่งมีระดับปกติ
3. ตัวรับสัญญาณ (receptors) ผิดปกติ เกิดโรคของต่อมไทรอยด์
4. ต่อมไทรอยด์ไม่ทางาน
5. การฉายรังสีที่กระทบกระเทือนต่อมไทรอยด์
6. การได้รับยากลุ่มกอยโทรเจน (goitrogens) ซึ่งเป็นสารที่ทาให้การนาไอโอดีนเข้าเซลล์ไม่ได้ดี
หรือแย่งเอนไซม์ TPOในการจับไอโอดีน
7. การขาดไอโอดีน
8. การขาดเอนไซม์ไทโรเปอรอกซิเดส (thyroperoxidase)
9. การเกิดโรคของต่อมใต้สมอง หรือที่ไฮโพทาลามัส