ละครไทย
- 3. ละครไทยสามารถแบ่งออกได้เป็ น ๔ ประเภท
ดังนี้
๑. ละครรา คือละครที่ใช้ศิลปะการร่ายราในการ
ดาเนินเรื่อง
ละครราแบ่งได้เป็ น ๒ ประเภท
๑.๑ ละครราแบบมาตรฐานดั้งเดิม มี ๓ ชนิด คือ
- ละครชาตรี
- ละครนอก
- ละครใน
๑.๒ ละครที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ มี ๔ ชนิด คือ
- ละครดึกดาบรรพ์
- ละครพันทาง
- ละครเสภา
- ละครหลวงวิจิตรวาทการ
- 4. ๑.๑ ละครราแบบมาตรฐานดั้งเดิม
- ละครชาตรี
ละครชาตรี เป็ นรูปแบบละครราที่เก่าแก่ของไทยที่ได้รับ
การฟื้นฟู จนถึงทุกวันนี้ เรื่องของละครชาตรีมีกาเนิดมาจาก
เรื่องมโนราห์
การแสดงโนราเป็ นที่นิยมอยู่ทางภาคใต้ ส่วนละคร
ชาตรีมีความนิยมทางภาคกลาง ซึ่งมักหาดูได้ในงานแก้บน
แบบแผนการแสดงโนราชาตรีคล้ายคลึงกับละครของทาง
มลายูที่เรียกกันว่า “มะโย่ง” แต่ต่างกันที่ภาษาและทานอง
ดนตรี
ละครโนราชาตรีอาจจะมีผู้นามาแสดงในภาคกลางตั้งแต่
สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ที่มีหลักฐานแน่ชัด คือในสมัยที่สมเด็จ
พระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปปราบก๊กเจ้านครครั้งหนึ่ง และต่อมา
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร ์ อีก ๒ ครั้ง ในครั้งหลัง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้ชาวภาคใต้ที่อพยพเข้า
มาในกรุงเทพ ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ตาบลสนามกระบือ ได้จัดตั้ง
- 5. ละครชาตรี แต่เดิมผู้แสดงเป็ นชายล้วนมีเพียง 3 คน
เท่านั้น ได้แก่ นายโรง ซึ่งแสดงเป็ นตัวพระ อีก ๒ คน คือ ตัว
นาง และตัวจาอวด ซึ่งแสดงตลก และเป็ นตัวเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ
เช่น ฤาษี พราน สัตว์ แต่เดิมนิยมแสดงเพียงไม่กี่เรื่อง เช่น
เรื่องมโนราห์ นายโรงจะแสดงเป็ นตัวพระสุธน ตัวนางเป็ น
มโนราห์ และตัวจาอวดเป็ นพรานบุญ และอีกเรื่องหนึ่งที่นิยม
แสดงไม่แพ้กัน คือ เรื่องพระรถเสน นายโรงเป็ นตัวพระรถ ตัว
นางเป็ น เมรี และตัวจาอวดเป็ น ม้าพระรถเสน ในสมัยหลัง
- 6. - ละครนอก
ละครนอก มีการดาเนินท้องเรื่องที่
รวดเร็ว กระชับ สนุก การแสดงมีชีวิตชีวา ส่วนมากใช้
ผู้ชายแสดง และมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เข้าใจว่าละคร
นอกมีวิวัฒนาการมาจากละครชาตรี เพราะมุ่งที่จะให้คนดู
เกิดความขบขัน ผู้แสดงละครนอกแต่เดิมมีผู้แสดงอยู่เพียง
2-3 คน เช่นเดียวกับละครชาตรี ละครนอกไม่คานึงถึง
ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับยศศักดิ์และฐานะของตัว
ละครแต่อย่างใด ตัวละครที่เป็ นท้าวพระยามหากษัตริย์ก็
สามารถโต้ตอบตลกกับเสนากานัลหรือไพร่พลได้ ละครนอกที่
- 7. - ละครใน
จากรูปแบบของละครนอกที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็ น
ตัวละครในวัง ผู้แสดงหญิงล้วน แบบอย่างละครในนี้ได้สงวน
ไว้เฉพาะในวังหลวงเท่านั้น เพราะว่าผู้ชายนั้นจะถูกห้ามให้
เข้าไปในพระราชฐานชั้นใน บริเวณตาหนักของ
พระมหากษัตริย์ ซึ่งจะประกอบไปด้วยดนตรีที่มีเสียงไพเราะ
อ่อนหวาน ใช้บทร้อยกรองได้อย่างวิจิตรบรรจง ทั้งดนตรีที่
นามาผสมผสานอย่างไพเราะ รวมทั้งจะมีท่าทางสง่างาม ไม่
มีการสอดแทรกหยาบโลนหรือตลก และอนุรักษ์วัฒนธรรม
และคุณลักษณะที่เป็ นประเพณีสืบทอดกันมา เรื่องที่ใช้แสดง
- 8. ๑.๒ ละครที่ปรับปรุงขึ้นใหม่
- ละครดึกดาบรรพ์
ละครดึกดาบรรพ์ เป็ นการแสดงละครแบบหนึ่งในประเภทละคร
ราเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5เนื่องมาจากในสมัยรัชกาลที่ ๕ มี
เจ้านายชาวต่างชาติเข้าเข้าเฝ้ าอยู่หลายครั้ง จึงโปรดให้มี
การละเล่นให้แขกบ้านแขกเมืองได้รับชม โดยเจ้าพระยาเทเวศรวงศ ์
วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน กุญชร) ได้คิดการแสดงในรูปแบบคอนเสิร ์ต
โดยเนื้อเรื่องตัดตอนมาจากวรรณคดีไทย โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรม
วงศ ์เธอเจ้าฟ้ ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ ์ ทรงเลือกเพลงและ
อานวยการซ้อม จึงถือว่าการแสดงในครั้งนั้นนับว่าเป็ นจุดเริ่มต้น
ของละครดึกดาบรรพ์ ต่อมาภายหลังเจ้าพระยาเทเวศรวงศ ์วิวัฒน์
- 9. การแสดงละครดึกดาบรรพ์แสดงในโรงปิ ดขนาด
เล็ก ดนตรี ประกอบการแสดง ใช้วงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์
ดัดแปลงมาจากวงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่อง
ใหญ่ ประกอบด้วย ระนาดเอกไม้นวม ระนาดทุ้ม(ไม้) ระนาด
เหล็กทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องหุ่ย ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยอู้ ซอ
อู้ ตะโพน กลองตะโพน กลองแขก และฉิ่ง
- 10. - ละครพันทาง
ละครพันทาง หมายถึงละครแบบผสม คือ การนาเอาลีลาท่าทีของ
ชนต่างชาติเข้ามาปรับปรุงกับท่าราแบบไทย ๆ การแสดงละครชนิดนี้แต่
เดิมเป็ นการริเริ่มของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธารง เป็ นผู้คิดค้นนาเอาเรื่อง
ของพงศาวดารของชาติต่าง ๆ มาแต่งเป็ นบทละครสาหรับแสดง
พระเจ้าบรมวงศ ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ ์พงศ ์ ได้กาหนดชื่อนี้
และทรงปรับปรุงให้มีฉากประกอบการแสดงเพื่อให้แลเห็นสมจริงสมเนื้อร้อง
ซึ่งยังปรับปรุงลีลาท่าราของชนชาติกับท่าทางอิริยาบถของสามัญชนเข้า
มาผสมกัน เพลงร้องประกอบการแสดงนั้นส่วนมากต้นเสียงกับลูกคู่เป็ นผู้
ร้อง แต่ก็มีบ้างที่กาหนดให้ตัวละครเป็ นผู้ร้อง ปี่พาทย์ประกอบการแสดงใช้
วงปี่พาทย์ไม้นวม บทที่ใช้มักเป็ นบทที่กล่าวถึงตัวละครที่มีเชื้อชาติต่าง
ๆ เช่น พม่า มอญ จีน ลาว บทที่นิยมนามาเล่นในปัจจุบันมีเรื่องพระลอ
และราชาธิราชตอนสมิงพระรามอาสา
ลักษณะการแต่งตัวของละครพันทางจะแต่งตามเชื้อชาติ และความ
เป็ นจริงของตัวละครในบทนั้น ๆ
- 11. - ละครเสภา
ละครเสภา คือละครที่มีลักษณะการแสดงคล้ายละครนอก รวมทั้ง
เพลงร้องนา ทานองดนตรี และการแต่งกายของตัวละคร แต่มีข้อบังคับ
อยู่อย่างหนึ่งคือต้องมีขับเสภาแทรกอยู่ด้วยจึงจะเป็ นละครเสภา
ก่อนที่จะเกิดละครเสภาขึ้นนั้น เข้าใจว่าจะมีการขับเสภาเป็ น
เรื่องราวก่อน เรื่องที่นาขับเสภาและนิยมกันอย่างแพร่หลายคือ เรื่องขุน
ช้างขุนแผน การขับเสภาตั้งแต่โบราณนั้นไม่มีเครื่องดนตรีชนิดใด
ประกอบ นอกจากกรับที่ผู้ขับขยับประกอบแทรกในทานองขับของตน
เท่านั้น ครั้นเวลาต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัย ซึ่งทรงโปรดสดับการขับเสภาได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดวงปี่พาทย์เข้า
ประกอบเป็ นอุปกรณ์ขับเสภา โดยให้แทรกเพลงร้องส่งให้ปี่พาทย์รับและ
บรรเลงเพลงหน้าพาทย์เหมือนอย่างการแสดงละครนอก ตอนใดดาเนิน
เรื่องก็ขับเสภา ตอนใดเป็ นถ้อยคาราพันหรือข้อความอื่นที่ควรแก่การร้อง
ส่งก็ร้อง จะเป็ นเพลงช้าปี่หรือโอ้ปี่อย่างละครนอกก็ได้ ตอนใดเป็ นบทไปมา
หรือรบกัน ปี่พาทย์ก็บรรเลงเพลงเชิดประกอบ ต่อมาได้วิวัฒนาการให้มีผู้
แสดงออกมาแสดงตามบทเสภาและบทร้อง ครั้งแรกก็อาจจะเป็ นเพียงตอน
ใดตอนหนึ่ง ครั้นต่อมาก็เลยปรับปรุงให้เป็ นการแสดงทั้งหมด และเรียก
- 12. - ละครหลวงวิจิตรวาทการ
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ กรมศิลปากรได้
ดนตรี เข้ามารวมกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ตั้งเป็ นกองขึ้นในกรมศิลปากร ทั้งได้ตั้ง
โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร ์ขึ้นฝึ กฝนนักเรียนด้วย เพื่อรักษาศิลปของชาติไว้มิ
ให้เสื่อมสูญ ในระยะนี้หลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลียง วัฒนปฤดา) ดารงตาแหน่ง
อธิบดีกรมศิลปากร ท่านเป็ นทั้งนักการทูต และนักประวัติศาสตร ์ท่านจึงมองเห็น
คุณค่าทางการละครที่จะใช้เป็ นสื่อปลุกใจให้ประชาชนเกิดความรักชาติ เนื้อหาจะ
นามาจากประวัติศาสตร ์ตอนใดตอนหนึ่ง บทละครของท่านจะมีทั้งรัก รบ สะเทือน
อารมณ์ ความรักที่มีต่อคู่รัก ถึงแม้จะมากมายเพียงไร ก็ไม่เท่ากับความรักชาติ ตัว
เอกของเรื่องสละชีวิต พลีชีพเพื่อชาติ ด้วยเหตุที่ละครของท่านไม่เหมือนการแสดง
ละครที่มีอยู่ก่อน คนทั้งหลายจึงเรียกละครของท่านว่า "ละครหลวงวิจิตรวาทการ"
ผู้แสดง มักใช้ผู้แสดงทั้งผู้ชาย และผู้หญิง แสดงตามบทบาทในเรื่องที่กาหนด
การแต่งกาย
จะมีลักษณะคล้ายละครพันทาง คือจะแต่งกายตามเนื้อเรื่อง และให้ถูกต้อง
ตามประวัติศาสตร ์ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นๆ
เรื่องที่แสดง
มักเป็ นบทประพันธ ์ของท่านที่แต่งขึ้นมีอยู่หลายเรื่องด้วยกันดังนี้ ราชมนู
พระเจ้ากรุงธน ศึกถลาง เจ้าหญิงแสนหวี พระมหาเทวี เบญจเพส น่านเจ้า
อนุสาวรีย์ไทย พ่อขุนผาเมือง ดาบแสนเมือง ชนะมาร เจ้าหญิงกรรณิการ ์สีหราช
เดโช ตายดาบหน้า ลานเลือดลานรัก เพชรรัตน์ - พัชรา ลูกพระคเณศ ครุฑดา
โชคชีวิต อานุภาพพ่อขุนรามคาแหง อานุภาพแห่งความเสียสละ อานุภาพแห่ง
ความรัก อานุภาพแห่งศีลสัตย์และเลือดสุพรรณ
- 13. การแสดง
มักมีการแสดงต่างๆแทรกอยู่เป็ นระยะๆ เช่น การราอาวุธ การ
ระบาต่างๆประกอบเพลง ตลอดจนมีการแสดง และร้องเพลงสลับฉาก
นอกจากนี้การแสดงของท่านจะมีทั้งราร้องเพลงไทยเดิม เพลงไทยสากล
บางเรื่องผู้แสดงร้องเอง นอกจากนี้ละครหลวงวิจิตรวาทการยังมีลักษณะ
แปลก คือจะชวนเชิญให้ผู้ชมร้องเพลงในละครเรื่องนั้น ซึ่งเนื้อเพลงมีคติ
สอนใจ ปลุกใจให้รักชาติ จึงเป็ นละครที่มีผู้นิยมมาก และจะได้รับแจกเนื้อ
เพลง สามารถนามาร้องให้ลูกหลานฟังได้ ในสมัยต่อมาการแสดงฉาก
สุดท้ายตัวละครทุกตัวจะต้องออกแสดงหมด
ดนตรี
บรรเลงด้วยวงดนตรีไทย และวงดนตรีสากลประกอบกัน
เพลงร้อง
มีทั้งเพลงไทยเดิม และเพลงไทยสากล โดยมี ๓ ลักษณะ คือ เพลง
ไทยสากลที่ให้ตัวละครร้องโต้ตอบกัน มักเป็ นเพลงรัก เพลงที่ให้ตัวละคร
ร้องประกอบการแสดง และเพลงปลุกใจ
- 14. ๒. ละครร้อง คือละครที่ใช้ศิลปะการร้องดาเนินเรื่อง เป็ น
ละครแบบใหม่ที่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก แบ่งได้
เป็ น ๒ ประเภท คือ
๒.๑ ละครร้องล้วน ๆ
๒.๒ ละครร้องสลับพูด
๓. ละครพูด คือละครที่ใช้ศิลปะการพูดในการดาเนิน
เรื่อง เป็ นละครแบบใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจาก
ตะวันตก แบ่งได้เป็ น ๒ ประเภท คือ
๓.๑ ละครพูดล้วน ๆ
๓.๒ ละครพูดสลับรา
๔. ละครสังคีต คือละครที่ใช้ศิลปะการพูดและการร้อง
ดาเนินเรื่องเสมอกัน
**************