SlideShare a Scribd company logo
1 of 83
จุลชีววิทยาและปรสิตวิทยา
Pasteurellaceae
Pasteurellaceae เป็นกลุ่มของ Proteobacteria และเป็นเพียงสมาชิกลาดับ Pasteurellales เท่านั้น
แบคทีรีย Gram – negative , rod-shaped หรือ cocci มีลักษณะ แตกต่างจาก แบคทีเรีย
Enterobacteriaceae เมื่อมี oxidase และแบคทีเรียที่คล้ายกันมากที่สุดเนื่องจากไม่มี flagella บางชนิด
เป็น pleomorphic และเปลี่ยนรูปร่าง มักจะสามารถสังเกตการก่อตัวของเส้นใย
ในครอบครัวนี้มีบางสายพันธุ์ที่ทาให้เกิดโรคเช่นมนุษย์ Haemophilus influenzae
Pasteurella
Pasteurella เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ใช่ออกซิเจนในรูป Gram – negative
Pasteurella species ไม่ใช่ motile และ pleomorphic และมักแสดงการย้อมสีสองขั้ว
("safety pin" appearance)
ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ catalase และ oxidease - positive
หลายสายพันธุ์ Pasteurella เป็นเชื้อโรคจากสัตว์ และมนุษย์สามารถติดเชื้อจากสัตว์กัดได้
ในสัตว์แทะและนกสายพันธุ์ Pasteurella สามารถทาให้เกิดโรคปอดบวมคุกคามชีวิตได้
Pasteurella haemolytica เป็นสายพันธุ์ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นโคและม้า P.multocida เป็นสาเหตุสาคัญ
ที่สุดในการติดเชื้อ Pasteurella ของมนุษย์
โรคแบคทีเรีย Pasteurella multocida
Pasteurella multocida มีขนาดเล็ก gram-negative, nonmotile, non-spore-forming coccobacillus
ที่มีคุณสมบัติการย้อมสีแบบ bipolar แบคทีเรียมักจะปรากฏเป็นแบคทีเรียเดี่ยวบนคราบ Gram
สามารถดูคู่และโซ่สั้นได้เช่นกัน multocida มักมีอยู่ใน commensal ในระบบทางเดินหายใจส่วนบนของปศุ
สัตว์สัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมวและสุนัข ในความเป็นจริงพันธุ์ Pasteurella เป็น
แบคทีเรีย commensal ที่แพร่หลายมากที่สุดในสัตว์เลี้ยงภายในประเทศและสัตว์ป่าทั่วโลก การติด
เชื้อ multocida ในมนุษย์มักเกี่ยวข้องกับสัตว์กัดรอยขีดข่วนหรือเลีย
การติดเชื้อบาดแผลที่เกี่ยวข้องกับสัตว์กัดมักมีเชื้อจุลินทรีย์ที่
เป็นสาเหตุของเชื้อแบคทีเรียแกรมลบและแบคทีเรียแกรมลบอยด์แบบ
ออกซิเจนและแอนแอโรบิค เชื้อ Pasteurella เป็นเชื้อโรคที่แยกได้
โดยทั่วไปในสัตว์กัดส่วนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบาดเจ็บจาก
สุนัขและแมว การบาดเจ็บเหล่านี้สามารถก้าวร้าวโดยอาการผิวหนัง
มักเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังการกัด บาดแผลเหล่านี้สามารถ
แสดงการอักเสบของเนื้อเยื่ออ่อนได้อย่างรวดเร็ว
เนื้อเยื่ออ่อนที่ลึกขึ้นอาจได้รับผลกระทบแสดงอาการเป็น โรคข้ออักเสบ เยื่อหุ้มเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคไข้สมอง
อักเสบ และโรคกระดูกข้อเข่าเสื่อม เชื้อ Pasteurella เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสาคัญอย่างยิ่งและสามารถรักษาได้
ด้วยยาที่ใช้เป็นยาเพนิซิลลิน
Haemophilus เป็นเชื้อ Gram-negative pleomorphic แบคทีเรีย coccobacilli ที่เป็นของตระกูล
Pasteurellaceae ในขณะที่เชื้อแบคทีเรีย Haemophilus มักเป็น coccobacilli ขนาดเล็ก จะจัดประเภท
เป็นแบคทีเรีย pleomorphic เนื่องจากรูปทรงที่หลากหลาย สิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่ในเยื่อเมือกของระบบ
ทางเดินหายใจส่วนบนปากช่องคลอดและลาไส้ เชื้อโรคที่สาคัญเช่น H. influensae ซึ่งเป็นสาเหตุของเชื้อ
แบคทีเรียและเยื่อหุ้มสมองอักเสบในเด็ก และ H.drucreyi ซึ่งเป็นสาเหตุของ chancorid สมาชิกทั้งหมดมี
ทั้ง แอโรบิค หรือ แบบไม่ใช้ออกซิเจน สกุลนี้ถูกพบว่าเป็นส่วนหนึ่งของ microbiome น้าลาย
Haemophilus
Haemophilus influenzae
- เป็นโรคติดเชื้อสาคัญในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี
- อุบัติการณ์โรคไม่มากนัก(น้อย)แต่ความรุนแรงมีสูง
- โรคที่เกิดจากเชื้อ HIP ได้แก่ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ , ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ, โรคติดเชื้อในกระแสเลือด
โรคปอดอักเสบ, โรคข้ออักเสบ, โรคหูชั้นกลางอักเสบ
-โรคสาคัญที่เชื้อนี้เป็นสาเหตุหลักคือ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ , ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ
การติดต่อ เชื้ออยู่ในระบบทางเดินหายใจ แพร่กระจายทางละอองฝอยในอากาศ หรือสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่ง
โดยตรง เชื้อ เป็นแบคทีเรียแท่งสั้น gram negative coccobacilli
แบ่งได้ 2 ชนิด
1.มีแคบซูลหุ้ม มี 6 serotype อาศัยความแตกต่างของแคบซูล ที่สาคัญคือ serotype B เนื่องจากมักก่อโรค
รุนแรง
2.ไม่มีแคปซูลหุ้ม มักทาให้ติดเชื้อที่เยื่อบุ เช่น sinusitis, otitis media, bronchitis, pneumonia
ระบาดวิทยา
พบบ่อยในเด็ก 6-18 เดือน โดยเฉพาะในโรคที่รุนแรงคือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ในไทยพบน้อยกว่าทางตะวันตก
ปัจจัยเสี่ยงสาคัญ
1.อายุ
2.ภูมิคุ้มกันบกพร่อง: aspleenic syndrome. HIV, hypogammaglobulinemia, thalassemia
3.ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง: COPD, smoking, pregnancy, cancer, old age
4.ชุมชนแออัด สถานเลี้ยงเด็ก
พยาธิกาเนิด
เชื้อจับ nonciliated columnar epithelium ของ nasopharynx เข้ากระแสเลือด แล้วไปแสดงอาการที่
อวัยวะต่างๆ ที่พบบ่อย เยื่อหุ้มสมอง ฝาปิดกล่องเสียง ปอดอักเสบ
อาการทางคลินิก
1.เป็นสาเหตุสาเหตุหลักของ epiglossitis, pericarditis, meningitis
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไข้ ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ซึม สับสน คอแข็ง
ในเด็กเกิดจากเชื้อนี้ 35-44% ในไทยมีจานวนไม่มาก 3.8 ต่อ100,000 รายที่อายุน้อยกว่า 5 ปี ต่อปี แต่ทาง USA
พบ 41:100,000รายต่อปี แต่หลังมีวัคซีนลดลงจนเกือบไม่พบ
ปัญหาคือ โรคนี้แม้รักษาถูกต้องแล้วแต่ ยังมีอัตราการเสียชีวิตสูง ประมาณ 20-60% และมีภาวะแทรกซ้อนได้มาก เช่น
พัฒนาการช้า, cerebral palsy, การได้ยินลดลง, ชัก
ในเด็กเล็กพบ bacterial meningitis น้อย เชื้อที่พบได้เช่น HIB,N.meningitidis, Strep.pneumo. เป็นต้น ในกลุ่ม
แบคทีเรียพบ HIB มากสุดแต่ก็ยังน้อย
ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ พบเชื้อนี้เป็นสาเหตุถึง 75-90% ไข้สูง กลืนลาบาก ทางเดินหายใจอุดกั้น รักษาไม่ทันอาจ
เสียชีวิตได้
2.ชนิดไม่มีแคปซูล เป็นสาเหตุของ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ ซึ่ง HIP ก็ทาให้เกิดได้
3.ส่วนปอดอักเสบแยกยากจากเชื้อแบคทีเรียตัวอื่น
การวินิจฉัย
1.gram stain จากสิ่งส่งตรวจ : CSF, pleural fluid, pus พบ gram negativepleomorphic
coccobacilli
2.culture จาก: blood. pleural fluid, pus
3.ตรวจ Antigen: latex particle agglutination test, countercurrent
immunoelectrophoresis
และการส่งตรวจ PCR
การรักษา
ยากลุ่ม beta-lactam : amoxicillin, 2nd -3rd gen. cephalosporin
ยาอื่น : fluoroquinolone,macrolides, tetracycline, aminoglucosides
Other Species of Haemophilus
Haemophilus Ducreyi
Chancroid แผลริมอ่อนเป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Haemophilus Ducreyi
โรคนี้ติดต่อได้ง่าย แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาด โรคนี้จะทาให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศ และต่อมน้าเหลืองที่ขาหนีบโต
บางครั้งมีหนองไหลออกมาที่เรียกว่าฝีมะม่วง หากไม่รักษาจะเป็นสาเหตให้เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ง่าย
การติดต่อแผลริมอ่อน Chancroid
- ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีการสัมผัสแผลระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์
- ติดต่อโดยการปนเปื้อนหนองไปติดผิวหนังส่วนอื่น
อาการของโรค
ผู้ที่รับเชื้อนี้จะมีอาการหลังจากรับเชื้อแล้ว 3-10 วัน
อาการเริ่มต้นจะเป็นตุ่มนูนและมีอาการเจ็บมักจะเป็นบริเวณเส้นสองสลึง หลังจากนั้จะมีแผลเล็กๆ ก้นแผลมีหนอง
ขอบแผลนูนไม่เรียบ มีอาการเจ็บมาก แผลเล็กๆจะรวมกันเป็นแผลใหญ่
แผลจะนุ่มไม่แข็ง(โรคซิฟิลิสจะมีขอบแผลแข็ง)
จะมีอาการเจ็บแผลมากในผู้ชาย แต่ผู้หญิงอาจจะไม่มีอาการเจ็บทาให้เกิดการติดต่อสู่ผู้อื่นได้ง่าย
ต่อมน้าเหลืองที่ขาหนีบจะโต กดเจ็บ บางคนแตกเป็นหนองที่เรียกว่าฝีมะม่วง
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยทาได้โดยการน้าหนองที่ก้นแผลไปย้อมเชื้อก็จะพบเชื้อโรค
•การเพาะเลี้ยงเชื้อเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคยังมีความแม่นยาต่า
•การตรวจ Polymerase chain reaction (PCR)จะมีความไว 96-100%
ยาที่ใช้รักษาได้แก่
•Azithromycin 1 gram ครั้งเดียว
•Ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว
•Ciprofloxacin 500 mg วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน ไม่ควรให้ในคนท้อง
•Erythromycin 500 mg วันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน
แผลมากจะดีขึ้นใน 3-7 วัน ระยะเวลาในการรักษาขึ้นกับขนาดของแผล แผลที่มีขนาดใหญ่อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา 2
สัปดาห์
การป้องกันแผลริมอ่อน
•อย่าสาส่อนทางเพศ
•ใช้ถุงยางอนามัยที่ทาจากยางธรรมชาติ(ป้องกันได้เฉพาะอวัยวะเพศเท่านั้น ผิวหนังส่วนอื่นไม่สามารถป้องกัน)
•หากมีแผลให้งดการมีเพศสัมพันธ์
โรคแทรกซ้อนแผลริมอ่อน
•เนื่องจากเป็นแผลทาให้เกิดการติดเชื้อ HIV ง่ายขึ้น
•ต่อมน้าเหลืองที่ขาหนีบอาจจะอักเสบจนแตกเป็นหนองไหลออกมา หากไม่รักษาใน 5-8วันหลังจากเกิดแผล
•แผลอาจจะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย
•หากเป็นแผลที่หนังอวัยวะเพศชายอาจจะเกิดพังผืด
Haemophilus aphrophilus
รูปร่างเซลล์
Haemophilus aprophilus เป็นสมาชิกของแบคทีเรีย HACEK (Haemophilus aphrophilus,
Actinobacillus actinomycetemcomitans, Cardiobacterium hominis, Eikenella
corrodens, Kingella spp.) ที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค subacute bacterial
endocarditis
รูปร่างเซลล์ แกรมลบแท่งบาง สั้น oval, อาจพบเป็น filament, pleomorphic
พบเป็นปกติในระบบทางเดินหายใจส่วนบน
ลักษณะโคโลนี
ขึ้นบน Blood agar และ Chocolate agar ที่ 37o ซ. ที่ 24 ชั่วโมง โคโลนีเล็กมากขาว, แห้ง อบนาน
48-72 ชั่วโมง จึงจะเห็นลักษณะโคโลนีนูน สีเหลืองอ่อน ลักษณะโคโลนี คล้ายแบคทีเรียแกรมบวก จาพวก
Corynbacterium เชื้อเจริญดีในสภาวะที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ จากสิ่งส่งตรวจเมื่อแยกได้ครั้งแรก อาจ
ต้องการ X–factor และเมื่อ subculture แล้วไม่ต้องการ X- factor การย้อมสีแกรมจะช่วยแยกวิเคราะห์ออก
จากกลุ่มแกรมบวก
Figure 2 : Sheep blood agar and chocolate agar plates on which were growing a 48 (2A, 2B) hours culture
of Haemophilus aprophilus.
Note 2 : The colonies are small raise and yellow pigment which were demonstrated After 48 hours culture.
2A 2B
การทาให้เกิดโรค
เป็น opportunistic pathogen เป็นสาเหตุของ
- Endocarditis (uncommon)
- Subacute bacterial endocarditis
- Sinusitis, otitis media
- Pneumonia, empyema
- Septicemia, endocarditis
- Septicarthritis, osteomyelitis
- Soft tissue abscess, brain abscess
- Wound infections
การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ
1. สิ่งส่งตรวจ
Pleural fluid, abdominal drainage, blood, CSF,
abscess (brain และอื่นๆ) sputum, bronchus,
throat, wound, sinus, eyes
2. การตรวจจุลชีพจากสิ่งส่งตรวจ (Figure 3)
สีแกรมปกติใช้ safranin O เป็นสีย้อมทับ H.
aphrophilus จะติดสีจาง ใช้ย้อมทับด้วย carbol
fuchsin* จะเห็นเซลล์ติดสีชัดเจน รูปร่างเซลล์
coccobacilli แยกไม่ได้จากแกรมลบอื่นๆ
Bartonella
Bartonella เป็นแคทีเรียแกรมลบ มันเป็นสกุลเดียวในครอบครัว Bartonellaceae พยาธิภายใน
เซลล์ Bartonella สามารถติดเชื้อได้คนที่มีสุขภาพดี แต่ถือว่าเป็นเชื้อโรคฉวยโอกาส ความสาคัญเป็น
พิเศษ ชนิด Bartonella จะถูกส่งโดย เวกเตอร์ เช่น เห็บ หมัด แมลงวันทราย และ ยุง อย่างน้อยแปดชนิด
หรือ จาพวก Bartonella เป็นที่รู้จักแพร่ระบาดของมนุษย์ Bartonella henselae เป็นสิ่งมีชีวิตที่ก่อให้
โรคเกา
Bartonella henselae ซึ่งเคยเป็น Rochalima เป็น proteobacterium ซึ่งเป็นสาเหตุของ
โรค cat-scratch ( bartonellosis )
Bartonella henselae
โรคแมวข่วน (Cat scratch disease) ย่อว่าโรคซีเอสดี (CSD) เป็นโรคเกิดจากร่างกายติดเชื้อ
แบคทีเรีย (ชนิดแกรมลบ) ในสกุล/Genus ที่ชื่อ Bartonella โดยชนิด/Species ที่มักก่อโรคในคนคือ
Bartonella henselae (B. henselae) ซึ่งไข้แมวข่วนจัดเป็นโรคหนึ่งที่รวมอยู่ในกลุ่มโรคที่เรียกว่า
“Bartonellosis โรคต่างๆที่เกิดจากแบคทีเรียสกุล Bartonella” โดยเชื้อจะอาศัยอยู่ในต่อมน้าลายของแมวแต่ไม่
ก่ออาการในแมว ซึ่งเชื้อจะมีอยู่ในน้าลายติดอยู่ที่ขนและติดที่เล็บของแมว
ลักษณะโรค : เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดกึ่งเฉียบพลันสามารถหายได้เอง โรคแมวข่วน อาจเกิดความสับสนกับ
โรคอื่นๆ ที่เกิดอาการต่อมน้าเหลืองโตได้ เช่น โรคทูลารีเมีย,บรูเซลโลสิส, ทูเบอร์คูโลสิส, กาฬโรค, โรคพลาส
เจอเรลโลซิส (Pasteurellosis) และโรคมะเร็งต่อมน้าเหลือง
มีสาเหตุจากการติดเชื้อ Bartonella henselae (ดังรูปที่ 29) มีลักษณะเป็น facultative
intracellularparasites ติดสีแกรมลบ รูปร่างแบบท่อนเคลื่อนที่ได้ด้วย fl agellae เป็นเชื้อฉวยโอกาส
(opportunisticpathogens) สามารถติดเชื้อในคนได้ โดยมีพาหะเป็นพวกแมลง เช่น หมัด, ริ้นฝอยทราย
(sand fl ies) และยุง
รูปที่ 29 ลักษณะโคโลนีที่ลื่นและขรุขระของ B. henselae ที่เจริญบนอาหารเลี้ยงเชื้อ chocolate agar
(กาลังขยาย 40 เท่า) (Smooth and verrucous colonytypes growing concurrently in a
chocolateagar culture of B. Henselae)
ระบาดวิทยา
พบเกิดขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา อุบัติการณ์จะมากขึ้นในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นและความชื้น (เช่น , ฮาวาย, แปซิฟิก
ตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย),ในขณะที่อลาสกา, เทือกเขาร็อกกี้และมิดเวสต์ของรัฐมี
ความชุกที่ต่ากว่าค่ามัธยฐาน เพียง 1 ยีนของ B.henselae ที่เคยมีรายงานในอเมริกาเหนือ ประมาณ70-90% ของโรคแมว
ข่วน เกิดขึ้นในเดือนฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวในช่วงต้นฤดูกาลนี้เป็นสันนิษฐานว่าจะเกิดขึ้นในฤดูร้อนที่เกิดมาพร้อมกับลูกแมว
หมัดรบกวนเพิ่มขึ้น
อาการของโรค : มีอาการวิงเวียน ต่อมน้าเหลืองอักเสบโตเป็นก้อน (granulomatous lymphadenitis) และมีไข้ได้
หลายแบบ เกิดแผลเป็นผื่นสีแดง เกี่ยวเนื่องจากต่อมน้าเหลืองภายใน 2 สัปดาห์ และพัฒนากลายเป็นหนองผู้ป่วยร้อยละ 50
- 90 เกิดผดขึ้นบริเวณที่ถูกแมวข่วนกลุ่มอาการ Parinaud Oculoglandular Syndrome(granulomatous
conjunctivitis with pretragala denopathy) เกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อตาแดงโดยตรงหรือโดยอ้อม และอาจเกิดอาการ
แทรกซ้อนทางระบบประสาท เช่น สมองอักเสบ และ ระบบประสาทตาอักเสบ(optic neuritis) ได้ อาการไข้สูงเรื้อรังอาจเกิด
ร่วมกับรอยโรคของกระดูกที่มีการสลายหรือแทนที่เนื้อกระดูกด้วยสิ่งอื่นๆ และ/หรือการเกิดก้อนที่ตับ และม้าม
การวินิจฉัยโรค : การวินิจฉัยโรคจะใช้อาการทางคลินิกที่สอดคล้องกับหลักฐานการตรวจแอนติบอดีทาง
ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ Bartonella henselae ที่ตรวจพบไตเตอร์ 1/64หรือมากกว่า จากการตรวจ IFA ที่ให้ผล
บวก
การรักษา : ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันโรคปกติ และไม่มีโรคแทรกซ้อนจะหายได้เอง โดยไม่ต้องใช้ยารักษา แต่สาหรับ
ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่า ต้องรักษาเป็นเวลา 1-3 เดือน ด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อีริโทรมัยซิน
(Erythromycin), ไรแฟมปิซิน (Rifampicin), ซิโพรโปรฟล็อกซาซิน (Ciprofl oxacin) หรือเจนตามิซิน
(Gentamicin) ในรายที่ต่อมน้าเหลืองอักเสบ เป็นหนอง การใช้เข็มเจาะให้หนองออกมาก็สามารถลดอาการปวด
ลงได้ แต่แนะนาให้หลีกเลี่ยงการตัดชิ้นเนื้อจากต่อมน้าเหลืองไปตรวจ
Bartonella quintana
B. quintana เป็น แบคทีเรียชนิดแบคทีเรียชนิด ก้าน (แบคทีเรีย แอนโบบิก แบคทีเรียแกรมลบ) การติดเชื้อที่
เกิดจากจุลินทรีย์นี้เป็นไข้ที่ได้รับการพิสูจน์เป็นครั้งแรกในหมู่ทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่ปัจจุบัน
ได้รับการเห็นในยุโรปเอเชียและแอฟริกาเหนือ เวกเตอร์หลักของมันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Pediculus humanus
corporis หรือเรียกอีกชื่อว่า body louse ของ
พยาธิสรีรวิทยา
เป็นที่รู้จักกันดีสาหรับแบคทีเรียชนิดนี้ ในร่างกายมนุษย์มันติดเชื้อใน เซลล์เยื่อบุช่องท้อง และสามารถ
ติดเชื้อ erythrocytes ได้ด้วยการผูกและเข้ากับ vacuole ขนาดใหญ่ เมื่อเข้าสู่ภายในพวกเขาเริ่มงอกและ
ก่อให้เกิด atypia นิวเคลียร์ (intraerythrocytic การ กลายพันธุ์ B. quintana ) นี้จะนาไปสู่การถูกระงับ
apoptosis proinflammatory cytokines จะได้รับการปล่อยตัวและเพิ่มการเพิ่มขึ้นของหลอดเลือด
กระบวนการเหล่านี้ทั้งหมดส่งผลให้ผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบ (หนาวสั่นไข้ diaphoresis) bacteremia และ
ต่อมน้าเหลือง
อาการทางคลินิก
B. quintana และ Mycobacterium avium complex ร่วมกับผู้ป่วยโรคเอดส์
อาการทางคลินิกของการติดเชื้อ B. quintana มีความแตกต่างกันอย่างมาก ระยะฟักตัว เป็นที่รู้กันว่าเป็นเวลา
5-20 วัน ซึ่งต่างจากความคิดเดิมที่อยู่ระหว่าง 3-38 วัน การติดเชื้อสามารถเริ่มต้นได้เมื่อมีอาการรุนแรงของ
ช่วงไข้อาการกาเริบของไข้หรือเป็นโรคไทฟอยด์ถาวร; อาการ ตาแดง,ปวดศีรษะและกล้ามเนื้อ,
มี splenomegaly น้อยกว่าปกติ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการปวดบริเวณขาล่าง (shins) ปวดกล้ามเนื้อบริเวณ
ขาและข้างหลังและการ แข็งตัว ของ เส้นประสาท ไม่ค่อยมีการติดเชื้อ B. quintana ร้ายแรงเว้นแต่
endocarditis พัฒนาและไม่ผ่านการบาบัด การลดน้าหนักและ thrombocytopenia บางครั้งก็เห็น การกู้คืน
อาจใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน
การวินิจฉัยและการรักษา
การวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อ B. quintana จาเป็นต้องใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยง serological หรือเทคนิคการ
ขยายกรดนิวคลีอิก เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างชนิดต่างๆการตรวจวัด immunofluorescence ที่ใช้
antisera ของเมาส์ถูกนามาใช้เช่นเดียวกับ การผสมผสาน DNA และการจากัดความยาวของความยาวส่วนที่
จากัด หรือลาดับเบสของ cytrate synthase การรักษามักประกอบด้วย 4-6 สัปดาห์ของหลักสูตร
doxycycline , erythromycin หรือ azithromycin
brucella
Brucella เป็น เชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมลบ มีขนาดเล็ก (0.5 ถึง 0.7 โดย 0.6 ถึง 1.5 μm) ไม่
ห่อหุ้ม ไม่เคลื่อนที่ coccobacilli intracellular ภายใน Brucella เป็นสาเหตุของ brucellosis ซึ่งเป็น
zoonosis ที่ ส่งผ่านการกินอาหารที่ปนเปื้อน (เช่นผลิตภัณฑ์นมที่ ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ ) การสัมผัส
โดยตรงกับสัตว์ที่ติดเชื้อหรือการสูดดมละอองลอย การส่งผ่านจากมนุษย์สู่มนุษย์เช่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์หรือ
จากมารดาถึงเด็กเป็นเรื่องยากมาก แต่เป็นไปได้ การติดเชื้อต่าสุดคือระหว่าง 10 และ 100 สิ่งมีชีวิต ชนิดที่
แตกต่างกันของ Brucella มีลักษณะคล้ายคลึงกันทางพันธุกรรมแม้ว่าแต่ละชนิดจะมีความจาเพาะเฉพาะของ
โฮสต์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย ดังนั้นอนุกรมวิธาน NCBI รวมถึงสายพันธุ์ Brucella ส่วนใหญ่ภายใต้ B.
melitensis
Brucellosis
brucellosis ของมนุษย์มักไม่ถูกส่งจากมนุษย์สู่คน คนติดเชื้อจากการสัมผัสกับของเหลวจากสัตว์ที่ติด
เชื้อ (แกะโคหรือสุกร) หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้จากสัตว์ เช่น นมและชีส ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ Brucellosis
เป็นโรคที่เกิดจากการประกอบอาชีพเนื่องจากมีอุบัติการณ์สูงขึ้นในคนที่ทางานกับสัตว์ (กรณีโรงฆ่าสัตว์) คน
อาจติดเชื้อด้วยการสูดดมฝุ่นละอองหรือละอองฝอยที่ปนเปื้อนและด้วยเหตุนี้ CDC จึงติดฉลากว่า Brucella
species เป็นอย่างมากที่สามารถสร้างอาวุธได้ มนุษย์และสัตว์ brucellosis ร่วมกันคงอยู่ของแบคทีเรียใน
เนื้อเยื่อของระบบ phagocyte mononuclear ได้แก่ ม้าม ตับ ต่อมน้าเหลือง และ ไขกระดูก Brucella ยัง
สามารถกาหนดเป้าหมายระบบสืบพันธุ์เพศชาย
Brucellosis อาจมีผลต่อระบบอวัยวะหรือระบบอวัยวะใด ๆ และ 90% ของผู้ป่วยมีไข้แบบวัฏจักร (ยุ้ยอ่อน) แม้ว่าตัว
แปรอาการต่างๆอาจรวมถึงอาการทางคลินิกเหล่านี้ เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดข้อปวด หดหู่ การสูญเสียน้าหนัก
ความเมื่อยล้า และความผิดปกติของตับ เหงื่อเหม็น 20 และ 60% ของผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับข้อเข่าเสื่อม - โรค
ข้ออักเสบ, spondylitis หรือ osteomyelitis อาจเกิดภาวะตับวายขึ้นเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนทางเดินอาหาร
ถึง 20% ของกรณีที่สามารถมีส่วนร่วมอวัยวะสืบพันธุ์; orchitis และ epididymitis เป็นส่วนใหญ่ อาการทางระบบ
ประสาท ได้แก่ ภาวะซึมเศร้าและความเมื่อยล้าทางจิต การมีส่วนร่วมของหลอดเลือดสามารถรวมถึงการเกิด
endocarditis ทาให้เสียชีวิตได้
brucellosis เรื้อรังเป็นเรื่องยากที่จะกาหนด; ความยาวประเภทและการตอบสนองต่อการรักษาเป็นตัวแปร อาจเกิดการ
ติดเชื้อเฉพาะที่ ไม่ควรยอมรับการบริจาคโลหิตของผู้ติดเชื้อ
ทารกแรกเกิดที่ติดเชื้ออาจมีน้าหนักแรกเกิดน้อยความล้มเหลวในการเจริญพันธุ์โรคดีซ่านตับ hepatomegaly ความ
เหนื่อยล้าความยากลาบากในการหายใจและสัญญาณแบคทีเรียทั่วไป (ไข้อาเจียน) บางกรณีไม่มีอาการ
Bordetella
Bordetella เป็นเชื้อที่มี ขนาดเล็ก (0.2 - 0.7 μm), Gram-negative coccobacilli ของ Proteobacteria
ในหลอดเลือด ชนิดของ Bordetella ยกเว้น B. petrii เป็น aerobes ที่จาเป็น เช่นเดียวกับความพิถีพิถันหรือ
ยากที่จะเพาะเลี้ยง ทุกสายพันธุ์สามารถติดเชื้อได้ สามชนิดแรกที่ได้รับการอธิบาย
( B. pertussis , B. parapertussis ,B. bronchiseptica) บางครั้งเรียกว่า สายพันธุ์คลาสสิก หนึ่งใน
เหล่านี้ (B. bronchiseptica) ยังเคลื่อนที่ได้
Bordetella pertussis
Bordetella pertussis โรคไอกรน เป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ทาให้มีการอักเสบของเยื่อ
บุทางเดินหายใจ และเกิดอาการไอ ที่มีลักษณะพิเศษคือ ไอซ้อนๆ ติดๆ กัน 5-10 ครั้ง หรือมากกว่านั้นจนเด็ก
หายใจไม่ทัน จึงหยุดไอ และมีอาการหายใจเข้าลึกๆ เป็นเสียง วู๊ป (Whooping cough) สลับกันไปกับการไอ
เป็นชุดๆ จึงมีชื่อเรียกว่า “โรคไอกรน” บางครั้งอาการอาจจะเรื้อรังนานเป็นเวลา 2-3 เดือน
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis (B. pertussis) เป็นเชื้อที่เพาะขึ้นใน Bordet
Gengau media ซึ่งเป็นเชื้อที่เพาะขึ้นได้ยาก จะพบเชื้อได้ในลาคอ ในส่วน nasopharynx ของผู้ป่วย
ในระยะ 1-2 อาทิตย์แรก ก่อนมีอาการ ไอเป็นแบบ paroxysmal
ระบาดวิทยา
ไอกรนเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายจากการไอ จาม รดกันโดยตรง ผู้สัมผัสโรคที่ไม่มีภูมิคุ้มกันจะ
ติดเชื้อและเกิดโรคเกือบทุกราย โรคนี้พบได้บ่อยในเด็ก ส่วนใหญ่ติดเชื้อมาจากผู้ใหญ่ในครอบครัว ซึ่งมีการติด
เชื้อแต่ไม่มีอาการ (carrier) หรือมีอาการไม่มาก โรคไอกรนเป็นได้กับทารกตั้งแต่เดือนแรก ทั้งนี้ เนื่องจาก
ภูมิคุ้มกันจากแม่ผ่านมายังลูกไม่ได้หรือได้น้อยมาก ในเด็กเล็กอาการจะรุนแรงมากและมีอัตราตายสูง ส่วนใหญ่
ของผู้ที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต เป็นเด็กอายุต่ากว่า 1 ปีและเป็นเด็กที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน โดยทั่วไป
แล้ว โรคนี้เป็นได้ทุกอายุ ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่ในวัยหนุ่มสาว หรือผู้ใหญ่อาจไม่มีอาการ หรือไม่มีอาการแบบ
ไอกรน ส่วนใหญ่จึงไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไอกรน
ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 6-20 วัน ที่พบบ่อย 7-10 วัน ถ้าสัมผัสโรคมาเกิน 3 สัปดาห์แล้วไม่มีอาการ
แสดงว่าไม่ติดโรค
อาการและอาการแสดง
อาการของโรคแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
1) ระยะแรก เด็กจะเริ่มมีอาการ มีน้ามูก และไอ เหมือนอาการเริ่มแรกของโรคหวัดธรรมดา อาจมีไข้
ต่าๆ ตาแดง น้าตาไหล ระยะนี้เรียกว่า Catarrhal stage จะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ระยะนี้ส่วนใหญ่ยัง
วินิจฉัยโรคไอกรนไม่ได้ แต่มีข้อสังเกตว่าไอนานเกิน 10 วัน เป็นแบบไอแห้งๆ
2) Paroxysmal stage ระยะนี้มีอาการไอเป็นชุดๆ เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ไม่มีเสมหะ จะเริ่มมีลักษณะ
ของไอกรน คือ มี อาการไอถี่ๆ ติดกันเป็นชุด 5-10 ครั้ง ตามด้วยการหายใจเข้าอย่างแรงจนเกิดเสียง วู๊ป (whoop) ซึ่ง
เป็นเสียงการดูดลมเข้าอย่างแรง ในช่วงที่ไอผู้ป่วยจะมีหน้าตาแดง น้ามูก น้าตาไหล ตาถลน ลิ้นจุกปาก เส้นเลือดที่คอโป่ง
พอง การไอเป็นกลไกที่จะขับเสมหะที่เหนียวข้นในทางเดินหายใจออกมา ผู้ป่วยจึงจะไอติดต่อกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะ
สามารถขับเสมหะที่เหนียวออกมาได้ 3) ระยะ ฟื้นตัว (Convalescent stage) กินเวลา 2-3 สัปดาห์ อาการไอเป็น
ชุดๆ จะค่อยๆ ลดลงทั้งความรุนแรงของการไอและจานวนครั้ง แต่จะยังมีอาการไอหลายสัปดาห์ ระยะของโรคทั้งหมดถ้า
ไม่มีโรคแทรกซ้อนจะใช้เวลาประมาณ 6-10 สัปดาห์
โรคแทรกซ้อน
1. โรคแทรกซ้อนทางระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อย คือ ปอดอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของ
การตายที่สาคัญของโรคไอกรนในเด็กเล็ก โรคในปอดที่อาจพบได้อีกจะเกิดจากการมีเสมหะเหนียวไปอุด
ในหลอดลมและถุงลม ทาให้เกิด atelectasis
2. จากการไอมากๆ ทาให้มีเลือดออกในเยื่อบุตา (Subconjunctival hemorrhage)
มี petechiae ที่หน้า และในสมอง
3. ระบบประสาท อาจมีอาการชัก พบบ่อยในเด็กเล็ก เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง
ในขณะที่ไอถี่ๆ และอาการชักอาจเกิดจากมีเลือดออกในสมอง
การวินิจฉัยโรค
อาศัยอาการทางคลินิกที่มีลักษณะอาการไอเป็นชุดๆ มีเสียงวู๊ป ร่วมกับการตรวจเลือด พบมีเม็ด
เลือดขาวสูงเกินปกติ และมี lymphocytosis แต่เนื่องจากอาการไอแบบนี้อาจเกิดจากเชื้อ B. parapertussis,
Clamydia trachomatis และ adenoviruses การวินิจฉัยที่แน่นอนจึงต้องทาการเพาะเชื้อ B. pertussis
จาก nasopharyngeal swab หรือดูดเอา nasopharyngeal mucus มาเพาะบน Bordet Gengau
media ส่วนใหญ่จะตรวจพบเชื้อได้ในระยะ Catarrhal stage และในสัปดาห์แรกที่เริ่มมีอาการไอแบบ
paroxysmal ภายหลังจากเริ่มมีอาการ 4 สัปดาห์ มักจะตรวจไม่พบเชื้อ
การรักษา
เนื่องจากเชื้อ B. pertussis จะมีอยู่ในลาคอของผู้ป่วยในช่วงระยะแรก (Catarrhal
stage) ดังนั้นถ้าให้ยาปฎิชีวนะที่ได้ผลเฉพาะคือ erythromycin ในขนาด 50 มก./กก./วัน เป็นระยะเวลา
14 วัน ในระยะนี้จะช่วยให้ความรุนแรงของโรคลดลงได้ แต่ถ้าพบผู้ป่วยระยะที่มีการไอเป็นชุดๆ แล้วการให้
ยาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความรุนแรงของโรคได้ แต่จะสามารถฆ่าเชื้อโรคที่อาจจะยังมีอยู่ให้หมดไปได้ใน
ระยะ 3-4 วัน เป็นการลดการแพร่กระจายของเชื้อได้
การ รักษาตามอาการให้เด็กได้พักผ่อน ดื่มน้าอุ่น อยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี หลีกเลี่ยง
สาเหตุที่จะทาให้เด็กไอมากขึ้น เช่น การออกแรง ฝุ่นละออง ควันไฟ ควันบุหรี่ อากาศที่ร้อนหรือเย็นจัด
เกินไป
Diagnosis, Treatment, and Prevention
การวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะที่ไม่ซับซ้อน (การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ) และ pyelonephritis
(ไตการติดเชื้อ) โดยปกติแล้วจะทาได้ง่ายขึ้นจากการนาเสนอทางคลินิกในขณะที่การวินิจฉัยในผู้ป่วยที่มี
อาการ UTI ซับซ้อนมักจะมีความซับซ้อนมากขึ้น กระเพาะปัสสาวะอักเสบที่ไม่ซับซ้อนมักจะถูกประจักษ์
โดยการหายใจผิดปกติความถี่และ / หรือความเร่งด่วนโดยไม่ต้องมีไข้และ pyelonephritis มักจะเป็น
ที่ประจักษ์โดยมีไข้และอาการปวดหลัง / อ่อนโยนมุมอ่อนโยน
Diagnosis, Treatment, and Prevention
การรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
การรักษามีความซับซ้อนในบางพื้นที่ได้ ความต้านทานต่อยาต้านจุลชีพได้ทาให้การรักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะ
อักเสบที่ไม่ซับซ้อนเกิดขึ้นเนื่องจากความต้านทานของ uropathogens ถึงระดับ fluoroquinolone ซึ่งเป็นแกนนา
ในการรักษาช่องปากสาหรับ pyelonephritis เพิ่มขึ้นทั่วโลกและบางส่วนของยาอื่น ๆ ที่ใช้ในโรคกระเพาะ
ปัสสาวะไม่แนะนาให้ใช้กับ pyelonephritis
การป้องกันโรค
เป้าหมายของการป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังคือการ ลดการใช้ยาต้านจุลชีพ และมีความ
พยายามในการวิจัยหลายขั้นตอนเพื่อพัฒนาแนวทางป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย
สาหรับสภาพทั่วไป
Burkholderia
Burkholderia เป็นกลุ่มของ Proteobacteria ที่มีเชื้อโรครวมถึง Burkholderia cepacia complex ซึ่งทา
ร้ายมนุษย์และ Burkholderia mallei ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคที่เกิดจาก ม้า และสัตว์ที่เกี่ยวข้อง Burkholderia
pseudomallei สาเหตุของ melioidosis ; และ Burkholderia cepacia เป็นเชื้อที่สาคัญในการติดเชื้อใน
ปอดในคนที่เป็น โรคปอดเรื้อรัง ( cystic fibrosis , CF)
Burkholderia
กลุ่ม Burkholderia หมายถึงกลุ่มของ Gram-negative ที่มีอยู่ ทั่วไปแพร่หลาย แบคทีเรีย รูปแท่งซึ่งมี
ลักษณะ เป็น โมเลกุล เดียวหรือหลายขั้วยกเว้น Burkholderia mallei ซึ่งเป็น โมเลกุลที่ไม่ใช่ บิ วทิล สมาชิกที่เป็น
ของสกุลไม่ได้ผลิตปลอกหรือ prosthecae และสามารถใช้ โพลีเบต้า - ไฮดรอกซีบิวเทท (PHB) เพื่อการเจริญเติบโต
ได้ สกุลรวมทั้ง เชื้อโรค จากสัตว์และพืชรวมทั้งสายพันธุ์ที่มีความสาคัญต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง B.
xenovorans (ก่อนหน้านี้ชื่อ Pseudomonas cepacia แล้ว B. cepacia และ B. fungorum ) มีชื่อเสียงในด้าน
catalase positive (มีผลต่อผู้ป่วยที่เป็น โรค granulomatous เรื้อรัง ) และความสามารถในการย่อยสลายสาร
กาจัดศัตรูพืชคลอโรนิกและ polyplorylated biphenyls ( PCBs ) โครงสราง RNA แบบอนุรักษ RNA anti-
hemB RNA พบไดในแบคทีเรียที่พบในสกุลนี้ [2]
เนื่องจากความต้านทานยาปฏิชีวนะและอัตราการเสียชีวิตสูงจากโรคที่เกี่ยวข้องของพวกเขา B. mallei และ B.
pseudomallei ถือเป็นตัวแทน สงครามทางชีวภาพที่ มีศักยภาพซึ่งมีเป้าหมายสาหรับปศุสัตว์และมนุษย์
Pseudomonas เป็น สกุล Gram-negative
Gammaproteobacteria ซึ่งเป็นตระกูล Pseudomonadaceae
และมี 191 สายพันธุ์ที่ถูกต้อง สมาชิกของสกุลแสดงให้เห็นถึงความ
หลากหลายของการ เผาผลาญอาหาร และทาให้สามารถตั้งอาณา
นิคมช่วงกว้างได้ ความสะดวกในการเพาะเลี้ยง ในหลอดทดลอง และ
ความพร้อมในการเพิ่มจานวนสายพันธุ์ จีโนม ของสายพันธุ์
Pseudomonas ทาให้พันธุ์พืชเป็นจุดสนใจที่ยอดเยี่ยมสาหรับการ
วิจัยทางวิทยาศาสตร์ สายพันธุ์ที่ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด ได้แก่
P. aeruginosa ในฐานะที่เป็นเชื้อก่อโรคในมนุษย์ เชื้อโรคพืช
P. syringae แบคทีเรียในดิน P. putida และ P. fluorescens ที่
ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช
Pseudomonas
Pseudomonas Aeruginosa
การติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ชนิดรุนแรงมักเกิดขึ้นภายในโรงพยาบาล และผู้ป่วยอาจมีการติด
เชื้อระดับไม่รุนแรงในสภาพแวดล้อมอื่นๆ ได้ ในสหรัฐอเมริกามีการคาดการณ์ว่ามีการติดเชื้อ
Pseudomonas Aeruginosa ในสถานพยาบาลมากถึง 51,000 รายต่อปี หรือคิดเป็น 8% ของการติด
เชื้อในสถานพยาบาลทั้งหมด
การติดต่อและความเสี่ยงในการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa
เชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ภายในโรงพยาบาลสามารถแพร่ได้ผ่านความไม่สะอาด เช่น บุคลากรทาง
การแพทย์ไม่ล้างมือ หรือผ่านทางการปนเปื้อนของอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ได้รับการฆ่าเชื้ออย่างเต็มที่
การติดเชื้อเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ภายในโรงพยาบาลที่พบว่าที่สุด คือการติดเชื้อใน
กระแสเลือด ภาวะปอดติดเชื้อ การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะและการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด การติดเชื้อเหล่านี้
มักส่งผลกระทบต่อผู้ที่กาลังป่วยอยู่ในโรงพยาบาลโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่อจากโรคหรือกการรักษาระยะ
ยาวขณะรับการรักษาในโรงพยาบาล คุณจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ที่รุนแรง
และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากคุณมีแผลผ่าตัด แผลไฟไหม้ หรือมีการใช้ช่วยเครื่องหายใจและอุปกรณ์อื่น ๆ
เช่น สายสวนปัสสาวะหรือสายให้น้าเกลือ การสัมผัสกับน้าที่มีการปนเปื้อนสามารถทาให้เกิดการติดเชื้อ
Pseudomonas Aeruginosa ชนิดไม่รุนแรงในคนที่สบายดีที่ไม่ได้อาศัยอยู่ภายในสถานพยาบาลได้
ตัวอย่างเช่น น้าในสระว่ายน้าหรืออ่างน้าร้อนที่ไม่ได้รับการฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนที่มากพอสามารถทาให้
เกิดการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ที่หู (พบบ่อยในเด็ก) และผื่นที่ผิวหนังได้ นอกจากนั้นยังอาจทา
ให้เกิดการติดเชื้อที่ตาในกลุ่มที่มีการใส่ Contact lens เป็นเวลานาน
อาการของการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa
อาการของการติดเชื้อนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของการติดเชื้อ
การติดเชื้อในกระแสเลือดสามารถทาให้เกิดอาการได้หลายแบบ เช่น
ไข้หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว มึนหัว ชีพจรเต้นเร็วและหายใจเร็ว คลื่นไส้และอาเจียน ท้องเสีย
ปัสสาวะออกลดลง
การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะอาจมีอาการ
ปวดปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น ปัสสาวะขุ่นหรือมีเลือดปน
การติดเชื้อที่แผลสามารถมีอาการ
มีการอักเสบบริเวณแผล แผลซึมการติดเชื้อที่หูอาจมีอาการปวดหู การได้ยินลดลง มึนหัว
การรักษาการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa
การติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ที่ไม่รุนแรงผ่านทางน้าสามารถรักษาได้ไม่ยากด้วยยา
ปฏิชีวนะบางชนิด ในขณะที่การรักษาการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ที่รุนแรงภายใน
โรงพยาบาลเป็นเรื่องที่ยากกว่า เนื่องจากบางสายพันธุ์มีการดื้อต่อยาหลายชนิด เช่น
Aminoglycosides
Cephalosporins
Fluoroquinolones
Carbapenems (ยาปฏิชีวนะที่ใช้เป็นตัวสุดท้าย)
moraxella
Moraxella เป็น เชื้อแบคทีเรีย Gram-negative ในครอบครัว Victor Morax สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ได้แก่
แท่ง สั้น coccobacilli หรือในกรณีของ Moraxella catarrhalis diplococci ในลักษณะทางสัณฐาน
วิทยาโดยมีสมบัติที่ทาให้เกิด asaccharolytic oxidase -positive และ catalase -positive M.
catarrhalis เป็นสายพันธุ์ที่สาคัญที่สุดในสายพันธุ์นี้
moraxella
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็น commensals ของพื้นผิว mucosal และบางครั้งทาให้เกิดการ ติดเชื้อฉวยโอกาส
M. catarrhalis มักอาศัยในระบบทางเดินหายใจ แต่สามารถเข้าถึง ระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ในผู้ป่วยโรค
เรื้อรังที่หน้าอกหรือป้องกันผู้บุกรุกที่เป็นอันตรายทาให้เกิด โรคหลอดลมอักเสบ และ โรคปอดบวม ตัวอย่างเช่น
มันทาให้เกิดสัดส่วนที่สาคัญของการติดเชื้อทางเดินหายใจที่ต่ากว่าในผู้ป่วยสูงอายุที่มี ปอดอุดกั้นเรื้อรัง และ
หลอดลมอักเสบเรื้อรัง นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุสาคัญของ โรคหูน้าหนวก และ โรคไซนัสอักเสบ ทาให้
เกิดอาการคล้ายกับ Haemophilus influenzae แม้ว่าจะมี ความรุนแรง น้อยกว่ามากก็ตาม แตกต่างจาก
Neisseria meningitidis ซึ่งเป็นสัณฐานทางสัณฐานวิทยาของ M. catarrhalis แทบจะไม่เคยเป็นสาเหตุของ
แบคทีเรีย หรือ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
Moraxella lacunata เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิด blepharoconjunctivitis ในคน
Moraxella bovis เป็นสาเหตุของ การติดเชื้อแบคทีเรียที่ ทาให้เกิด โรคตาแดง ที่เรียกว่า colloquially
ในสหราชอาณาจักรเป็น New Forest eye ในฐานะที่เป็น aerobe ที่เข้มงวด M. bovis จะถูกกักขังไว้
ที่กระจกตาและเยื่อบุลูกตาซึ่งจะส่งผลให้มีการอักเสบเรื้อรังที่ไม่สามารถจากัดตัวได้เองแผลพุพองและ การ
แตกของกระจกตา เป็นโรคที่พบได้บ่อยและติดเชื้อวัวเท่านั้น การรักษาคือการใช้ทั้งแบบ subconjunctival
injection ของ tetracycline หรือการใช้ยา cloxacillin เฉพาะที่มีประสิทธิผลมากขึ้น แบคทีเรียสามารถ
แพร่กระจายโดยแมลงวันดังนั้นการควบคุมแมลงวันอาจมีความจาเป็นในฟาร์มตลอดฤดูร้อน การแตกออก
ของตาเป็นเรื่องที่รุนแรงมากขึ้น
moraxella
Acinetobacter
เชื้อในกลุ่ม Acinetobacter spp. เป็นเชื่อแบคทีเรียแกรมลบ (gram-negative bacteria)
ทรงแท่ง ที่มีความสาคัญมากขึ้นในฐานะที่เป็นเชื้อก่อโรคในโรงพยาบาลที่พบได้บ่อยขึ้น และมักเป็นเชื้อที่ดื้อ
ต่อยาปฏิชีวนะหลายชนิด Acinetobacter spp. เป็นสาเหตุของ โรคปอดบวม (pneumonia) ชนิด
ventilator-associated ที่พบบ่อยที่สุดในหอผู้ป่วยหนัก (Intensive Care Unit, ICU;
Intermediate Care Unit) ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ในพ.ศ. 2542 นอกจากนี้ยังมีรายงานการพบ
เชื้อนี้มากขึ้นในหลายๆ ประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อในโรงพยาบาล แม้ว่าจะมีรายงานการติดเชื้อ
Acinatobacter จากชุมชน แต่ก็ไม่มากนักเมื่อเทียบกับการติดเชื้อในโรงพยาบาล
ความสาคัญอีกประการหนึ่งของ Acinetobacter spp. คือ เชื้อเหล่านี้มักจะดื้อต่อยาปฏิชีวนะ
พร้อมๆ กันหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดื้อต่อยาในกลุ่ม Carbapenems โดยเชื้อที่ดื้อต่อ
Carbapenems มักจะดื้อต่อยาปฏิชีวนะหลายชนิดในเวลาเดียวกัน ทาให้มีความยากลาบากในการ
เลือกใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาภาวะติดเชื้อ Acinetobacter spp
Acinetobacter
เชื้อในสกุล Acinetobacter spp. มีลักษณะสาคัญคือเป็นแบบทีเรียรูปร่างกลม-แท่ง ประเภทแกรมลบที่ไม่
เคลื่อนไหว (non-motile Gram-negative coccobacilli) ซึ่งบางครั้งอาจติดสีคล้ายแบคทีเรียแกรมบวก
ได้ รูปร่างของเชื้ออาจเป็นได้ทั้งรูปร่างแบบกลมหรือแบบแท่ง แต่มักจะพบแบบกลมในอาหารเลื้ยงเชื้อแบบ
เหลว และในช่วงแรกของการเจริญเติบโต นอกจากนี้อาจยังมีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป ทาให้สามารถ
จาแนกเชื้อชนิดนี้ออกจากเชื้ออื่นๆที่ก่อโรคในสิ่งส่งตรวจได้ยาก
การเจริญเติบโตของเชื้อนี้ เป็นแบบอาศัยออกซิเจนเท่านั้น และให้ผลบวกกับปฏิกิริยากับเอนไซม์คาตาเลส
(catalase) กับผลลบกับปฏิกิริยากับเอนไซม์ออกซิเดส (oxidase) มีสัดส่วนของเบสกัวนีน (guanine)
รวมกับเบสไซโตซีน (cytosine) ในดีเอ็นเอ หรือค่า G+C content ระหว่างร้อยละ 39 ถึง 4
Francisella tularensis เป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรค ได้แก่ กาม แบคทีเรีย
ก้านรูปแท่ง ( Gram-negative coccobacillus ) ซึ่งเป็น แบคทีเรีย aerobe [1] เป็นสปอร์ที่ไม่ก่อตัวขึ้น
ไม่ใช่ตัวกระตุ้น และเป็นสาเหตุของ โรคไข้เหลือง ซึ่งเป็นรูปแบบของ pneumonic ซึ่งมักเป็นอันตรายถึงตายโดย
ไม่ได้รับการรักษา เป็นแบคทีเรียภายในเซลล์ ที่มีความซับซ้อนซึ่งจาเป็นต้องใช้ cysteine เพื่อการเจริญเติบโต
เนืองจากเชื้อโรคต่าแพร่กระจายได้ง่ายโดยละอองลอยและมี ความรุนแรง สูง
bioterrorism เช่น Yersinia pestis , Bacillus anthracis และไวรัส อีโบลา เมื่อพบในธรรมชาติ
Franciesella tularensis สามารถอยู่รอดได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ที่อุณหภูมิต่าในซากสัตว์ดินและน้า ใน
ห้องปฏิบัติการ Francisella tularensis จะปรากฏเป็นแท่งเล็ก ๆ (0.2 โดย 0.2 μm) และเติบโตได้ดีที่สุดที่
อุณหภูมิ 35-37 องศาเซลเซียส
Francisella tularensis
Francisella tularensis
ชนิดย่อย F. t. tularensis (หรือชนิด A) พบมากใน ทวีปอเมริกาเหนือ เป็นโรคที่รุนแรงที่สุดในสี่ชนิดย่อยที่รู้จักและ
เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อในปอดที่ตายแล้ว ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์หลักของห้องทดลอง A, SCHUS4
กลุ่มย่อย F. t. holarctica (เรียกอีกอย่างว่า biovar F. t. palearctica หรือชนิด B) พบมากใน ยุโรป และ เอเชีย
แต่ไม่ค่อยนาไปสู่โรคร้ายแรง สายพันธุ์ วัคซีนที่ ถ่ายทอดสดที่อ่อนแอของกลุ่มย่อย F. t holarctica ได้รับการอธิบายแม้ว่าจะยัง
ไม่ได้รับอนุญาตอย่างเต็มที่โดย องค์การอาหารและยา เป็นวัคซีน กลุ่มย่อยนี้ขาดกิจกรรม cytrelase และความสามารถในการ
ผลิตกรดจากน้าตาลกลูโคสของ Biovar F. t palearctica
กลุ่มย่อย F. t. novicida (จัดก่อนหน้านี้เป็น F. novicida [8] ) มีลักษณะเป็นสายพันธุ์ nonvirulent ค่อนข้าง; มี
เพียงสองกรณีโรคโลหิตจางในทวีปอเมริกาเหนือมีสาเหตุมาจาก F. t novicida และเหล่านี้เป็นเฉพาะในบุคคลที่ มีภูมิคุ้มกัน
บกพร่อง อย่างรุนแรง
กลุ่มย่อย F. t. mediasiatica พบมากที่สุดใน เอเชียกลาง ปัจจุบันมีเพียงเล็กน้อยที่รู้จักเกี่ยวกับเรื่องย่อยนี้หรือ
ความสามารถในการติดเชื้อของมนุษย์
F. tularensis ได้รับการรายงานใน นก สัตว์เลื้อยคลาน ปลา สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง และ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมทั้ง
มนุษย์ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นกรณีของ tularemia ใด ๆ ที่จะเริ่มต้นโดยการส่งผ่านจากมนุษย์สู่คน โรคนี้
เกิดจากการติดต่อกับสัตว์หรือ พาหะที่ ติดเชื้อเช่น เห็บ ยุง และ กวางชนิดกวาง อ่างเก็บน้าที่มีความสาคัญสามารถรวมถึง
lagomorphs (เช่นกระต่าย) หนู galliform นก และ กวาง
การติดเชื้อ F. tularensis สามารถเกิดขึ้นได้หลายเส้นทางการเข้ารับการรักษาโดยการผ่านเลือดและระบบทางเดินหายใจ
ที่พบมากที่สุดเกิดขึ้นผ่านการสัมผัสกับผิวหนังทาให้เกิดรูปแบบของโรคกระเพาะอาหารลาไส้ใหญ่ การสูดดมแบคทีเรีย -
โดยเฉพาะ biovar F. t tularensis นาไปสู่ ภาวะ โลหิตจาง จากโรค ลม ปอด ในขณะที่รูปแบบของโรคในเม็ดเลือดแดง
ในปอดและทรวงอกเป็นเรื่องปกติมากขึ้นมีการอธิบายถึงวิธีการฉีดวัคซีนอื่น ๆ และรวมถึงการติดเชื้อที่ ช่องปากอักเสบ
เนื่องจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนและการติดเชื้อในตาซึ่งเกิดจากการฉีดวัคซีนที่ตา
โรคทูลารีเมีย (Tularemia) Bureau of Epidemiology, DDC, MPH
นายสัตว์แพทย์ธีรศักดิ์ ชักนา
ลักษณะของโรค
โรคทูลารีเมีย หรือโรคไข้กระต่าย (Rabbit Fever) เป็นโรคติดต่อจากสัตว์ถึงคน ที่มีอันตรายสูงโรคหนึ่งเนื่องจากสามารถ
ติดต่อทางละอองฝอย (Aerosol) ได้ และสามารถใช้เป็นอาวุธชีวภาพที่จัดอยู่ในกลุ่ม A ประเทศ สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.
2545 จนถึงขณะนี้ พบว่ามีรายงานผู้ป่วยมากกว่า 200 ราย
ระบาดวิทยา
โรคนี้เกิดในสหภาพโซเวียต เอเซียไมเนอร์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรป ยกเว้นคาบสมุทรไอเบอเรียน (Iberian
Peninsula) และเกาะอังกฤษ
เชื้อก่อโรค
โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Francisella tularensis มีลักษณะเป็นค็อกโคบาซิลไล ไม่เคลื่อนที่ ไม่สร้างสปอร์ มีแคปซูล
แบคทีเรียนี้มี 4 types โดย Type A มีความรุนแรงที่สุด
สัตว์รังโรค และแมลงนาโรค
สัตว์รังโรคอยู่ในสัตว์ป่าที่เลี้ยงลูกด้วยนมกว่า 100 ชนิด รวมทั้ง สัตว์ฟันแทะ เช่น กระต่าย หนู กระรอก กวาง แพรีด๊อก
(Parrie dog) และสามารถติดต่อมายังสัตว์เลี้ยงจาพวกวัว ควาย แกะ และแมว ได้ โดยมีเหลือบ เห็บ หมัด หรือยุง เป็น
แมลงนาโรค
วิธีการติดต่อ
โรคนี้ติดต่อมายังคนโดยถูกแมลงพาหะที่กัดเลือดสัตว์ที่ติดเชื้อนี้กัด หรือติดโดยสัมผัสกับเลือด สารคัดหลั่ง (Secretion) ของสัตว์ที่
ป่วยด้วยโรคนี้ เข้าทางบาดแผล เยือเมือก หรือรอยถลอก ขีดข่วน หรือถูกสัตว์ป่วยกัดโดยตรง การหายใจ หรือกินอาหารหรือน้า
ที่มีเชื้อโรคปนได้เชื้อก็สามารถทาให้ติดเชื้อได้ ไม่มีรายงานการติดต่อระหว่างคนสู่คน
ระยะฟักตัวของโรค 1-14 วัน แต่ทั่วๆ ไป 3-5 วัน
อาการในคน
ลักษณะของโรคทูลารีเมีย ในคนมี 2 รูปแบบขึ้นอยู่ช่องทางที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย คือทางผิวหนัง และทางการหายใจ หากเชื้อเข้าทาง
ผิวหนังจะเกิดบาดแผล ต่อมน้าเหลืองบวมโตตรงที่รับเชื้อหากเชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจผู้ติดเชื้อจะเป็นไข้แบบไทฟอยด์
(typhoidal tularemia) คือมีไข้ หนาวสั่น โลหิตเป็นพิษ ปวดศีรษะ ท้องเสีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ไอแห้งๆ และอ่อนเพลีย
หากผู้ป่วยมีอาการปอดบวมร่วมด้วยจะเจ็บหน้าอก มีเสมหะเป็นเลือด อึดอัด หายใจไม่สะดวก จนอาจหยุดหายใจ ลักษณะปอด
บวมจากการตรวจทางรังสีทรวงอก อัตราตายของโรคแบบไข้ประมาณร้อยละ 35
การรักษา
รักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะจาพวกสเตร็พโตไมซิน ฉีดเข้ากล้ามเนื้อในปริมาณ 30 มิลลิกรัมต่อน้าหนักตัว 1 กิโลกรัม หรืออาจใช้
ยาเจนตาไมซิน ปริมาณ 3-5 มิลลิกรัมต่อน้าหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 10-14 วัน ยาเตตระไซคลีน และครอแรมเฟนิ
คอลก็ใช้ได้ผลเช่นเดียวกัน แต่ผู้ติดเชื้อมักมีอาการไข้กลับค่อนข้างสูง
Legionella pneumophila เป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่เป็น แบคทีเรียแกรมลบชนิด Legionella , บางชนิด
แอโรบิก , pleomorphic , flagellated , nonspore-forming L. pneumophila เป็น เชื้อแบคทีเรียที่
ก่อให้เกิดโรคหลักในมนุษย์ในกลุ่มนี้และเป็นสาเหตุสาคัญของ โรค Legionnaires ' หรือเรียกอีกอย่างว่า
legionellosis
Legionella pneumophila
Legionnaire DiseaseBureau of Epidemiology, DDC, MPH
ลักษณะโรค
โรคลีเจียนเนลโลสิส (Legionellosis) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Legionella pneumophila ลักษณะโรคมี 2
แบบ คือ ชนิดรุนแรงเรียกโรคปอดอักเสบลีเจียนแนร์ (Legionnaires' disease) และชนิดไม่รุนแรงเรียกโรคไข้ปอนเตียก
(Pontiac fever)
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Legionella ที่ตรวจพบแล้วประมาณ 43 species 65 serogroups ที่พบก่อให้เกิดโรคในคนบ่อยที่สุดคือ
Legionella pneumophila ซึ่งตรวจพบแล้ว 18 serogroups เชื้อ Legionlla พบได้ทั่วไปในแหล่งน้าที่มีอุณหภูมิ 32-45 ซ
สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายเดือนในสิ่งแวดล้อมที่มีความชื้นสูง และแบ่งตัวในที่ที่มีสาหร่ายและอินทรีย์วัตถุ
วิธีการติดต่อ
โดยการสูดหายใจเอาเชื้อที่ปนเปื้อนอยู่ในละอองฝอยของน้า เช่น น้าจากหอผึ่งเย็นความร้อน(cooling towers) ของระบบปรับ
อากาศ ฝักบัวอาบน้า อ่างน้าวน เครื่องมือช่วยหายใจ น้าพุสาหรับตกแต่งอาคารสถานที่ต่างๆ การแพร่เชื้อจากคนไปสู่คนยังไม่มี
ปรากฎ
ระยะฟักตัว
โรคลีเจียนแนร์ส่วนใหญ่จะปรากฎอาการภายใน 5-6 วันหลังได้รับเชื้อ แต่อาจอยู่ในช่วง 2-10 วัน
โรคไข้ปอนเตียกมักจะมีอาการภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อ แต่อาจอยู่ในช่วง 5-66 ชั่วโมง
ระยะติดต่อ
ยังไม่พบการแพร่เชื้อระหว่างคนสู่คนดังนั้นคนจึงไม่เป็นพาหะของโรค มีการตรวจเลือดของผู้ป่วยภายหลังป่วย
หลายปีพบแอนติบอดีต่อ Legionella ซึ่งบ่งชี้ว่าเคยป่วยมาแล้วไม่ใช่กาลังป่วย
อาการและอาการแสดง
มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ (flu-like illness) เริ่มด้วย ปวดศรีษะ ปวดกล้ามเนื้อ ตามด้วยมีไข้สูง (39-40o
ซ) หนาวสั่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน อาจมีอุจจาระร่วง ไอแห้งๆ ในกรณีที่เป็นไข้ปอนเตียกมักจะหาย
ภายใน 2-5 วัน แม้จะไม่ได้รับการรักษา ส่วนโรคลีเจียนแนร์มักจะมีปอดอักเสบและลามไปที่ปอดทั้งสองข้าง ทา
ให้การหายใจล้มเหลว มีอัตราตายสูง
การวินิจฉัยแยกโรค
ถ้าต้องการวินิจฉัยแยกจากโรคปอดอักเสบจากเชื้ออื่นๆต้องตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการโดยการเพาะแยกเชื้อ
จากเสมหะ น้าจากโพรงเยื่อหุ้มปอด หลอดลม หลอดคอ หรือ ตรวจหาแอนติบอดีในเลือด การเพาะแยกเชื้อเป็น
การตรวจที่สาคัญถือเป็น gold standard
ระบาดวิทยา
มีบันทึกการพบผู้ป่วยรายแรกใน พ.ศ. 2490 และการระบาดครั้งแรกใน พ.ศ. 2500 ที่รัฐมินนิโซตา มีการระบาดครั้งใหญ่ของโรค
ปอดอักเสบในหมู่ผู้ร่วมประชุมสมาคม "สหายสงคราม" (American Legion Convention) ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา
ใน พ.ศ. 2519 มีผู้ป่วย 182 ราย เสียชีวิต 29 ราย อีก 6 เดือนต่อมา McDade JE และคณะ จึงได้พบเชื้อแบคทีเรียที่เป็น
สาเหตุจากปอดของผู้เสียชีวิต จึงเป็นที่มาของชื่อ "โรค Legionella pneumophila"
โรคลีเจียนแนร์เป็นโรคที่ต่างประเทศให้ความสนใจเนื่องจากมีอัตราป่วยตายสูงโดยเฉพาะประเทศ ในแถบยุโรปมีระบบเฝ้าระวังและ
มีคณะทางานสาหรับโรคนี้โดยเฉพาะเรียกว่า European working group for Legionella infections (EWGLI) อัตรา
ป่วยของโรคนี้โดยเฉลี่ยในยุโรปเท่ากับ 4.45/ล้านประชากร ในปี 2539
สาหรับประเทศไทยยังพบโรคนี้น้อย โดยมีรายงานผู้ป่วย 5 ราย รายแรกเป็นหญิงไทยอายุ 19 ปี รายงานโดย ศรีไสวและคณะ
ใน พ.ศ. 2527 ในปีเดียวกัน ตันไพจิตรและคณะรายงานผู้ป่วยอีก 3 ราย พ.ศ. 2529 ชุณหสวัสดิกุลและคณะ รายงานผู้ป่วย 1
รายเป็นชายจีนอายุ 78 ปี และในปี 2532 ชูโชติถาวรและคณะรายงานผู้ป่วยอีก 1 ราย เป็นหญิงจีนอายุ 39 ปี นอกจากนี้ยัง
ได้รับแจ้งเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ป่วยด้วยโรค Legionnaires หลังกลับจากเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2535 ต่อเนื่องจนถึง พ.ศ.2542 จานวน 12 ราย
มักพบในวัยกลางคน ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่ มะเร็ง ผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีอาการ ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน
โรคปอดเรื้อรัง โรคพิษสุราเรื้อรัง สูบบุหรี่จัด
การรักษา
ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาคือ erythromycin ยาที่ใหม่กว่าคือ azithromycin และ clarithromycin ก็
ใช้ได้ผลเช่นกัน ในรายที่มีอาการรุนแรงยาที่ใช้เพิ่มคือ rifampin
การควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัส และสิ่งแวดล้อม
รายงานการระบาด : เมื่อพบผู้ป่วยที่สงสัย (suspected case) หรือพบการป่วยเป็นกลุ่มก้อนให้รายงาน
สานักงานสาธารณสุขจังหวัดทันทีทางโทรศัพท์หรือโทรสาร แล้วส่ง รง.506 ไปตามลาดับขั้นของเครือข่าย
ระบาดวิทยา
การแยกผู้ป่วย : ไม่จาเป็น
การทาลายเชื้อ : ทาลายเชื้อในแหล่งที่สงสัยด้วยคลอรีนหรือน้าร้อนจัด
การกักกัน : ไม่จาเป็น
การให้ภูมิคุ้มกันแก่ผู้สัมผัส : ไม่มี
การสอบสวนผู้สัมผัสและแหล่งโรค : ค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมจากสิ่งแวดล้อมหรือแหล่งโรคเดียวกัน
Coxiella burnetii เป็น แบคทีเรียที่ เป็น
สาเหตุของ แบคทีเรีย ภายใน และเป็นสาเหตุของ ไข้คิว
ชนิด Coxiella คล้าย morphologically Rickettsia
แต่มีความแตกต่างทางพันธุกรรมและความแตกต่างทาง
สรีรวิทยา C. burnetii เป็น แบคทีเรียแกรมลบที่ มี
ขนาดเล็กซึ่งทนต่อสภาวะแวดล้อมที่รุนแรงเช่นอุณหภูมิสูง
Coxiella burnetii
ความดันออสโมซิสและแสงอัลตราไวโอเลต ลักษณะเหล่านี้เป็นผลมาจากรูปแบบของเซลล์ขนาดเล็ก
รูปแบบของสิ่งมีชีวิตที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฎจักรการพัฒนาแบบ biphasic ซึ่งรวมถึงรูปแบบของเซลล์
ขนาดใหญ่ที่มีการเผาผลาญอาหารและมีการลอกเลียนแบบมากขึ้น และสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลง
สภาพแวดล้อมอื่น ๆ ได้เช่นเดียวกับที่แสดงใน phagolysosome
โรคไข้คิว มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย Coxiella burnetii พบได้ทั่วโลก ยกเว้นประเทศ
นิวซีแลนด์ โรคนี้ทาให้เกิดปัญหาของระบบสืบพันธุ์ในปศุสัตว์ และปัญหาของระบบ
ทางเดินหายใจอย่างรุนแรง และโรคตับในคน
โรคไข้คิว Q Fever
อาการของโรค : หนาวสั่น ปวดศีรษะ ไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ และเหงื่อออกมาก จากการตรวจเอ็กซเรย์อาจพบ
อาการปอดบวม อาการไอ มีเสมหะ เจ็บหน้าอกและอาการทางปอดไม่เด่นชัด ซึ่งสามารถเกิดได้ในผู้ที่มีโรคลิ้น
หัวใจอยู่เดิม ตรวจพบหน้าที่การทางานของตับผิดปกติ ตับอักเสบชนิดเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ซึ่งอาจสับสนกับโรค
ตับอักเสบจากวัณโรคได้ ลักษณะของโรคไข้คิวเรื้อรังหลักๆ คือ เยื่อบุหัวใจอักเสบ
ระยะฟักตัวของโรค : ขึ้นอยู่กับจานวนเชื้อ ระยะฟักตัวโดยประมาณ 2 - 3 สัปดาห์ หรือพบในช่วง 3 - 30 วัน
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2
Presentation2

More Related Content

What's hot

เชื้อก่อโรคอื่นๆ
เชื้อก่อโรคอื่นๆเชื้อก่อโรคอื่นๆ
เชื้อก่อโรคอื่นๆAidah Madeng
 
ชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune system
ชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune systemชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune system
ชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune systemkasidid20309
 
Microbiology4.5
Microbiology4.5Microbiology4.5
Microbiology4.5kkrunuch
 
Bacteria Gram-Negative Bacilli Oxidase -
Bacteria Gram-Negative Bacilli Oxidase -Bacteria Gram-Negative Bacilli Oxidase -
Bacteria Gram-Negative Bacilli Oxidase -suthida ukham
 
การเขียนใบสั่งยา65.pdf
การเขียนใบสั่งยา65.pdfการเขียนใบสั่งยา65.pdf
การเขียนใบสั่งยา65.pdfpraphan khunti
 
การเขียนชื่อวิทยาศาสตร์
การเขียนชื่อวิทยาศาสตร์การเขียนชื่อวิทยาศาสตร์
การเขียนชื่อวิทยาศาสตร์PinNii Natthaya
 
ภาพข้อสอบเทคโนโลยีชีวภาพ 15 มิย.
ภาพข้อสอบเทคโนโลยีชีวภาพ 15 มิย.ภาพข้อสอบเทคโนโลยีชีวภาพ 15 มิย.
ภาพข้อสอบเทคโนโลยีชีวภาพ 15 มิย.peter dontoom
 
การทำปฏิบัติการนอกสถานที่ (Out room lab diagnosis)
การทำปฏิบัติการนอกสถานที่ (Out room lab diagnosis)การทำปฏิบัติการนอกสถานที่ (Out room lab diagnosis)
การทำปฏิบัติการนอกสถานที่ (Out room lab diagnosis)Mahidol University, Thailand
 
Ppt. บาดทะยัก
Ppt. บาดทะยักPpt. บาดทะยัก
Ppt. บาดทะยักPrachaya Sriswang
 
บท4สืบพันธุ์สัตว์
บท4สืบพันธุ์สัตว์บท4สืบพันธุ์สัตว์
บท4สืบพันธุ์สัตว์Wichai Likitponrak
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดWan Ngamwongwan
 
16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพสำเร็จ นางสีคุณ
 
บทที่2 ระบบนิเวศ
บทที่2 ระบบนิเวศบทที่2 ระบบนิเวศ
บทที่2 ระบบนิเวศGreen Greenz
 
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)สำเร็จ นางสีคุณ
 

What's hot (20)

เชื้อก่อโรคอื่นๆ
เชื้อก่อโรคอื่นๆเชื้อก่อโรคอื่นๆ
เชื้อก่อโรคอื่นๆ
 
ชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune system
ชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune systemชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune system
ชีววิทยาเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน Immune system
 
Microbiology4.5
Microbiology4.5Microbiology4.5
Microbiology4.5
 
1แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 1)
1แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 1)1แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 1)
1แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 1)
 
Bacteria Gram-Negative Bacilli Oxidase -
Bacteria Gram-Negative Bacilli Oxidase -Bacteria Gram-Negative Bacilli Oxidase -
Bacteria Gram-Negative Bacilli Oxidase -
 
การเขียนใบสั่งยา65.pdf
การเขียนใบสั่งยา65.pdfการเขียนใบสั่งยา65.pdf
การเขียนใบสั่งยา65.pdf
 
การเขียนชื่อวิทยาศาสตร์
การเขียนชื่อวิทยาศาสตร์การเขียนชื่อวิทยาศาสตร์
การเขียนชื่อวิทยาศาสตร์
 
2แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 2)
2แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 2)2แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 2)
2แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 2)
 
Kingdom_Animalia.pdf
Kingdom_Animalia.pdfKingdom_Animalia.pdf
Kingdom_Animalia.pdf
 
Ppt immunity ชีววิทยา ม.5
Ppt immunity ชีววิทยา ม.5Ppt immunity ชีววิทยา ม.5
Ppt immunity ชีววิทยา ม.5
 
สถิติการเกษตร
สถิติการเกษตรสถิติการเกษตร
สถิติการเกษตร
 
ภาพข้อสอบเทคโนโลยีชีวภาพ 15 มิย.
ภาพข้อสอบเทคโนโลยีชีวภาพ 15 มิย.ภาพข้อสอบเทคโนโลยีชีวภาพ 15 มิย.
ภาพข้อสอบเทคโนโลยีชีวภาพ 15 มิย.
 
การทำปฏิบัติการนอกสถานที่ (Out room lab diagnosis)
การทำปฏิบัติการนอกสถานที่ (Out room lab diagnosis)การทำปฏิบัติการนอกสถานที่ (Out room lab diagnosis)
การทำปฏิบัติการนอกสถานที่ (Out room lab diagnosis)
 
Ppt. บาดทะยัก
Ppt. บาดทะยักPpt. บาดทะยัก
Ppt. บาดทะยัก
 
บท4สืบพันธุ์สัตว์
บท4สืบพันธุ์สัตว์บท4สืบพันธุ์สัตว์
บท4สืบพันธุ์สัตว์
 
Gram negative bacilli
Gram negative bacilliGram negative bacilli
Gram negative bacilli
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือดระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด
 
16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
16แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
 
บทที่2 ระบบนิเวศ
บทที่2 ระบบนิเวศบทที่2 ระบบนิเวศ
บทที่2 ระบบนิเวศ
 
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
 

Similar to Presentation2

สรุปความรู้ พันธุกรรม
สรุปความรู้ พันธุกรรมสรุปความรู้ พันธุกรรม
สรุปความรู้ พันธุกรรมJiraporn
 
Gram negative bacteria bacilli oxidase negative
Gram negative bacteria bacilli oxidase negativeGram negative bacteria bacilli oxidase negative
Gram negative bacteria bacilli oxidase negativeuraipan chaisri
 
Introduction to bacteriology,morphology and classification of bacteria
Introduction to bacteriology,morphology and classification of bacteriaIntroduction to bacteriology,morphology and classification of bacteria
Introduction to bacteriology,morphology and classification of bacteriapitsanu duangkartok
 
Pulmonary tuberculosis
Pulmonary tuberculosisPulmonary tuberculosis
Pulmonary tuberculosisijack114
 
Pathogenic Gram-Negative Bacilli (Oxidase -)
Pathogenic  Gram-Negative  Bacilli(Oxidase -)Pathogenic  Gram-Negative  Bacilli(Oxidase -)
Pathogenic Gram-Negative Bacilli (Oxidase -)atirachonpanyayom
 
ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok
  ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok  ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok
ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartokpitsanu duangkartok
 
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)Thanyamon Chat.
 
เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
เยื่อหุ้มปอดอักเสบเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
เยื่อหุ้มปอดอักเสบWan Ngamwongwan
 
สรุปความรู้
สรุปความรู้สรุปความรู้
สรุปความรู้Jiraporn
 
สรุปความรู้
สรุปความรู้สรุปความรู้
สรุปความรู้Jiraporn
 
นำเสนอโรคติดต่อ
นำเสนอโรคติดต่อนำเสนอโรคติดต่อ
นำเสนอโรคติดต่อpissamaiza Kodsrimoung
 
นำเสนอโรคติดต่อ
นำเสนอโรคติดต่อนำเสนอโรคติดต่อ
นำเสนอโรคติดต่อnuting
 
Foreign Body
Foreign BodyForeign Body
Foreign Bodyyinyinyin
 

Similar to Presentation2 (20)

สรุปความรู้ พันธุกรรม
สรุปความรู้ พันธุกรรมสรุปความรู้ พันธุกรรม
สรุปความรู้ พันธุกรรม
 
อาณาจักรสิ่งมีชีวิต
อาณาจักรสิ่งมีชีวิต อาณาจักรสิ่งมีชีวิต
อาณาจักรสิ่งมีชีวิต
 
Gram negative bacteria bacilli oxidase negative
Gram negative bacteria bacilli oxidase negativeGram negative bacteria bacilli oxidase negative
Gram negative bacteria bacilli oxidase negative
 
Introduction to bacteriology,morphology and classification of bacteria
Introduction to bacteriology,morphology and classification of bacteriaIntroduction to bacteriology,morphology and classification of bacteria
Introduction to bacteriology,morphology and classification of bacteria
 
Lesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasisLesson 1 homeostasis
Lesson 1 homeostasis
 
Pulmonary tuberculosis
Pulmonary tuberculosisPulmonary tuberculosis
Pulmonary tuberculosis
 
Pathogenic Gram-Negative Bacilli (Oxidase -)
Pathogenic  Gram-Negative  Bacilli(Oxidase -)Pathogenic  Gram-Negative  Bacilli(Oxidase -)
Pathogenic Gram-Negative Bacilli (Oxidase -)
 
ม.6biodiver
ม.6biodiverม.6biodiver
ม.6biodiver
 
ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok
  ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok  ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok
ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok
 
Leptospirosis
LeptospirosisLeptospirosis
Leptospirosis
 
Gram negative-oxidase-positive
Gram negative-oxidase-positiveGram negative-oxidase-positive
Gram negative-oxidase-positive
 
G positive cocci
G positive cocciG positive cocci
G positive cocci
 
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
 
เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
เยื่อหุ้มปอดอักเสบเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
 
สรุปความรู้
สรุปความรู้สรุปความรู้
สรุปความรู้
 
สรุปความรู้
สรุปความรู้สรุปความรู้
สรุปความรู้
 
นำเสนอโรคติดต่อ
นำเสนอโรคติดต่อนำเสนอโรคติดต่อ
นำเสนอโรคติดต่อ
 
นำเสนอโรคติดต่อ
นำเสนอโรคติดต่อนำเสนอโรคติดต่อ
นำเสนอโรคติดต่อ
 
Foreign Body
Foreign BodyForeign Body
Foreign Body
 
กลุ่ม 1
กลุ่ม 1กลุ่ม 1
กลุ่ม 1
 

Presentation2

  • 2. Pasteurellaceae Pasteurellaceae เป็นกลุ่มของ Proteobacteria และเป็นเพียงสมาชิกลาดับ Pasteurellales เท่านั้น แบคทีรีย Gram – negative , rod-shaped หรือ cocci มีลักษณะ แตกต่างจาก แบคทีเรีย Enterobacteriaceae เมื่อมี oxidase และแบคทีเรียที่คล้ายกันมากที่สุดเนื่องจากไม่มี flagella บางชนิด เป็น pleomorphic และเปลี่ยนรูปร่าง มักจะสามารถสังเกตการก่อตัวของเส้นใย ในครอบครัวนี้มีบางสายพันธุ์ที่ทาให้เกิดโรคเช่นมนุษย์ Haemophilus influenzae
  • 3. Pasteurella Pasteurella เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ใช่ออกซิเจนในรูป Gram – negative Pasteurella species ไม่ใช่ motile และ pleomorphic และมักแสดงการย้อมสีสองขั้ว ("safety pin" appearance) ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ catalase และ oxidease - positive หลายสายพันธุ์ Pasteurella เป็นเชื้อโรคจากสัตว์ และมนุษย์สามารถติดเชื้อจากสัตว์กัดได้ ในสัตว์แทะและนกสายพันธุ์ Pasteurella สามารถทาให้เกิดโรคปอดบวมคุกคามชีวิตได้ Pasteurella haemolytica เป็นสายพันธุ์ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นโคและม้า P.multocida เป็นสาเหตุสาคัญ ที่สุดในการติดเชื้อ Pasteurella ของมนุษย์
  • 4. โรคแบคทีเรีย Pasteurella multocida Pasteurella multocida มีขนาดเล็ก gram-negative, nonmotile, non-spore-forming coccobacillus ที่มีคุณสมบัติการย้อมสีแบบ bipolar แบคทีเรียมักจะปรากฏเป็นแบคทีเรียเดี่ยวบนคราบ Gram สามารถดูคู่และโซ่สั้นได้เช่นกัน multocida มักมีอยู่ใน commensal ในระบบทางเดินหายใจส่วนบนของปศุ สัตว์สัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมวและสุนัข ในความเป็นจริงพันธุ์ Pasteurella เป็น แบคทีเรีย commensal ที่แพร่หลายมากที่สุดในสัตว์เลี้ยงภายในประเทศและสัตว์ป่าทั่วโลก การติด เชื้อ multocida ในมนุษย์มักเกี่ยวข้องกับสัตว์กัดรอยขีดข่วนหรือเลีย
  • 5. การติดเชื้อบาดแผลที่เกี่ยวข้องกับสัตว์กัดมักมีเชื้อจุลินทรีย์ที่ เป็นสาเหตุของเชื้อแบคทีเรียแกรมลบและแบคทีเรียแกรมลบอยด์แบบ ออกซิเจนและแอนแอโรบิค เชื้อ Pasteurella เป็นเชื้อโรคที่แยกได้ โดยทั่วไปในสัตว์กัดส่วนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบาดเจ็บจาก สุนัขและแมว การบาดเจ็บเหล่านี้สามารถก้าวร้าวโดยอาการผิวหนัง มักเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังการกัด บาดแผลเหล่านี้สามารถ แสดงการอักเสบของเนื้อเยื่ออ่อนได้อย่างรวดเร็ว เนื้อเยื่ออ่อนที่ลึกขึ้นอาจได้รับผลกระทบแสดงอาการเป็น โรคข้ออักเสบ เยื่อหุ้มเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคไข้สมอง อักเสบ และโรคกระดูกข้อเข่าเสื่อม เชื้อ Pasteurella เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสาคัญอย่างยิ่งและสามารถรักษาได้ ด้วยยาที่ใช้เป็นยาเพนิซิลลิน
  • 6. Haemophilus เป็นเชื้อ Gram-negative pleomorphic แบคทีเรีย coccobacilli ที่เป็นของตระกูล Pasteurellaceae ในขณะที่เชื้อแบคทีเรีย Haemophilus มักเป็น coccobacilli ขนาดเล็ก จะจัดประเภท เป็นแบคทีเรีย pleomorphic เนื่องจากรูปทรงที่หลากหลาย สิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่ในเยื่อเมือกของระบบ ทางเดินหายใจส่วนบนปากช่องคลอดและลาไส้ เชื้อโรคที่สาคัญเช่น H. influensae ซึ่งเป็นสาเหตุของเชื้อ แบคทีเรียและเยื่อหุ้มสมองอักเสบในเด็ก และ H.drucreyi ซึ่งเป็นสาเหตุของ chancorid สมาชิกทั้งหมดมี ทั้ง แอโรบิค หรือ แบบไม่ใช้ออกซิเจน สกุลนี้ถูกพบว่าเป็นส่วนหนึ่งของ microbiome น้าลาย Haemophilus
  • 7. Haemophilus influenzae - เป็นโรคติดเชื้อสาคัญในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี - อุบัติการณ์โรคไม่มากนัก(น้อย)แต่ความรุนแรงมีสูง - โรคที่เกิดจากเชื้อ HIP ได้แก่ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ , ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ, โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคปอดอักเสบ, โรคข้ออักเสบ, โรคหูชั้นกลางอักเสบ -โรคสาคัญที่เชื้อนี้เป็นสาเหตุหลักคือ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ , ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ การติดต่อ เชื้ออยู่ในระบบทางเดินหายใจ แพร่กระจายทางละอองฝอยในอากาศ หรือสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่ง โดยตรง เชื้อ เป็นแบคทีเรียแท่งสั้น gram negative coccobacilli แบ่งได้ 2 ชนิด 1.มีแคบซูลหุ้ม มี 6 serotype อาศัยความแตกต่างของแคบซูล ที่สาคัญคือ serotype B เนื่องจากมักก่อโรค รุนแรง 2.ไม่มีแคปซูลหุ้ม มักทาให้ติดเชื้อที่เยื่อบุ เช่น sinusitis, otitis media, bronchitis, pneumonia
  • 8. ระบาดวิทยา พบบ่อยในเด็ก 6-18 เดือน โดยเฉพาะในโรคที่รุนแรงคือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ในไทยพบน้อยกว่าทางตะวันตก ปัจจัยเสี่ยงสาคัญ 1.อายุ 2.ภูมิคุ้มกันบกพร่อง: aspleenic syndrome. HIV, hypogammaglobulinemia, thalassemia 3.ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง: COPD, smoking, pregnancy, cancer, old age 4.ชุมชนแออัด สถานเลี้ยงเด็ก พยาธิกาเนิด เชื้อจับ nonciliated columnar epithelium ของ nasopharynx เข้ากระแสเลือด แล้วไปแสดงอาการที่ อวัยวะต่างๆ ที่พบบ่อย เยื่อหุ้มสมอง ฝาปิดกล่องเสียง ปอดอักเสบ
  • 9. อาการทางคลินิก 1.เป็นสาเหตุสาเหตุหลักของ epiglossitis, pericarditis, meningitis โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไข้ ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ซึม สับสน คอแข็ง ในเด็กเกิดจากเชื้อนี้ 35-44% ในไทยมีจานวนไม่มาก 3.8 ต่อ100,000 รายที่อายุน้อยกว่า 5 ปี ต่อปี แต่ทาง USA พบ 41:100,000รายต่อปี แต่หลังมีวัคซีนลดลงจนเกือบไม่พบ ปัญหาคือ โรคนี้แม้รักษาถูกต้องแล้วแต่ ยังมีอัตราการเสียชีวิตสูง ประมาณ 20-60% และมีภาวะแทรกซ้อนได้มาก เช่น พัฒนาการช้า, cerebral palsy, การได้ยินลดลง, ชัก ในเด็กเล็กพบ bacterial meningitis น้อย เชื้อที่พบได้เช่น HIB,N.meningitidis, Strep.pneumo. เป็นต้น ในกลุ่ม แบคทีเรียพบ HIB มากสุดแต่ก็ยังน้อย ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ พบเชื้อนี้เป็นสาเหตุถึง 75-90% ไข้สูง กลืนลาบาก ทางเดินหายใจอุดกั้น รักษาไม่ทันอาจ เสียชีวิตได้ 2.ชนิดไม่มีแคปซูล เป็นสาเหตุของ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ ซึ่ง HIP ก็ทาให้เกิดได้ 3.ส่วนปอดอักเสบแยกยากจากเชื้อแบคทีเรียตัวอื่น
  • 10. การวินิจฉัย 1.gram stain จากสิ่งส่งตรวจ : CSF, pleural fluid, pus พบ gram negativepleomorphic coccobacilli 2.culture จาก: blood. pleural fluid, pus 3.ตรวจ Antigen: latex particle agglutination test, countercurrent immunoelectrophoresis และการส่งตรวจ PCR การรักษา ยากลุ่ม beta-lactam : amoxicillin, 2nd -3rd gen. cephalosporin ยาอื่น : fluoroquinolone,macrolides, tetracycline, aminoglucosides
  • 11. Other Species of Haemophilus Haemophilus Ducreyi Chancroid แผลริมอ่อนเป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Haemophilus Ducreyi โรคนี้ติดต่อได้ง่าย แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาด โรคนี้จะทาให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศ และต่อมน้าเหลืองที่ขาหนีบโต บางครั้งมีหนองไหลออกมาที่เรียกว่าฝีมะม่วง หากไม่รักษาจะเป็นสาเหตให้เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ง่าย การติดต่อแผลริมอ่อน Chancroid - ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีการสัมผัสแผลระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ - ติดต่อโดยการปนเปื้อนหนองไปติดผิวหนังส่วนอื่น
  • 12. อาการของโรค ผู้ที่รับเชื้อนี้จะมีอาการหลังจากรับเชื้อแล้ว 3-10 วัน อาการเริ่มต้นจะเป็นตุ่มนูนและมีอาการเจ็บมักจะเป็นบริเวณเส้นสองสลึง หลังจากนั้จะมีแผลเล็กๆ ก้นแผลมีหนอง ขอบแผลนูนไม่เรียบ มีอาการเจ็บมาก แผลเล็กๆจะรวมกันเป็นแผลใหญ่ แผลจะนุ่มไม่แข็ง(โรคซิฟิลิสจะมีขอบแผลแข็ง) จะมีอาการเจ็บแผลมากในผู้ชาย แต่ผู้หญิงอาจจะไม่มีอาการเจ็บทาให้เกิดการติดต่อสู่ผู้อื่นได้ง่าย ต่อมน้าเหลืองที่ขาหนีบจะโต กดเจ็บ บางคนแตกเป็นหนองที่เรียกว่าฝีมะม่วง การวินิจฉัย การวินิจฉัยทาได้โดยการน้าหนองที่ก้นแผลไปย้อมเชื้อก็จะพบเชื้อโรค •การเพาะเลี้ยงเชื้อเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคยังมีความแม่นยาต่า •การตรวจ Polymerase chain reaction (PCR)จะมีความไว 96-100%
  • 13. ยาที่ใช้รักษาได้แก่ •Azithromycin 1 gram ครั้งเดียว •Ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว •Ciprofloxacin 500 mg วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน ไม่ควรให้ในคนท้อง •Erythromycin 500 mg วันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน แผลมากจะดีขึ้นใน 3-7 วัน ระยะเวลาในการรักษาขึ้นกับขนาดของแผล แผลที่มีขนาดใหญ่อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา 2 สัปดาห์ การป้องกันแผลริมอ่อน •อย่าสาส่อนทางเพศ •ใช้ถุงยางอนามัยที่ทาจากยางธรรมชาติ(ป้องกันได้เฉพาะอวัยวะเพศเท่านั้น ผิวหนังส่วนอื่นไม่สามารถป้องกัน) •หากมีแผลให้งดการมีเพศสัมพันธ์ โรคแทรกซ้อนแผลริมอ่อน •เนื่องจากเป็นแผลทาให้เกิดการติดเชื้อ HIV ง่ายขึ้น •ต่อมน้าเหลืองที่ขาหนีบอาจจะอักเสบจนแตกเป็นหนองไหลออกมา หากไม่รักษาใน 5-8วันหลังจากเกิดแผล •แผลอาจจะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย •หากเป็นแผลที่หนังอวัยวะเพศชายอาจจะเกิดพังผืด
  • 14. Haemophilus aphrophilus รูปร่างเซลล์ Haemophilus aprophilus เป็นสมาชิกของแบคทีเรีย HACEK (Haemophilus aphrophilus, Actinobacillus actinomycetemcomitans, Cardiobacterium hominis, Eikenella corrodens, Kingella spp.) ที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค subacute bacterial endocarditis รูปร่างเซลล์ แกรมลบแท่งบาง สั้น oval, อาจพบเป็น filament, pleomorphic พบเป็นปกติในระบบทางเดินหายใจส่วนบน
  • 15. ลักษณะโคโลนี ขึ้นบน Blood agar และ Chocolate agar ที่ 37o ซ. ที่ 24 ชั่วโมง โคโลนีเล็กมากขาว, แห้ง อบนาน 48-72 ชั่วโมง จึงจะเห็นลักษณะโคโลนีนูน สีเหลืองอ่อน ลักษณะโคโลนี คล้ายแบคทีเรียแกรมบวก จาพวก Corynbacterium เชื้อเจริญดีในสภาวะที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ จากสิ่งส่งตรวจเมื่อแยกได้ครั้งแรก อาจ ต้องการ X–factor และเมื่อ subculture แล้วไม่ต้องการ X- factor การย้อมสีแกรมจะช่วยแยกวิเคราะห์ออก จากกลุ่มแกรมบวก Figure 2 : Sheep blood agar and chocolate agar plates on which were growing a 48 (2A, 2B) hours culture of Haemophilus aprophilus. Note 2 : The colonies are small raise and yellow pigment which were demonstrated After 48 hours culture. 2A 2B
  • 16. การทาให้เกิดโรค เป็น opportunistic pathogen เป็นสาเหตุของ - Endocarditis (uncommon) - Subacute bacterial endocarditis - Sinusitis, otitis media - Pneumonia, empyema - Septicemia, endocarditis - Septicarthritis, osteomyelitis - Soft tissue abscess, brain abscess - Wound infections การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ 1. สิ่งส่งตรวจ Pleural fluid, abdominal drainage, blood, CSF, abscess (brain และอื่นๆ) sputum, bronchus, throat, wound, sinus, eyes 2. การตรวจจุลชีพจากสิ่งส่งตรวจ (Figure 3) สีแกรมปกติใช้ safranin O เป็นสีย้อมทับ H. aphrophilus จะติดสีจาง ใช้ย้อมทับด้วย carbol fuchsin* จะเห็นเซลล์ติดสีชัดเจน รูปร่างเซลล์ coccobacilli แยกไม่ได้จากแกรมลบอื่นๆ
  • 17. Bartonella Bartonella เป็นแคทีเรียแกรมลบ มันเป็นสกุลเดียวในครอบครัว Bartonellaceae พยาธิภายใน เซลล์ Bartonella สามารถติดเชื้อได้คนที่มีสุขภาพดี แต่ถือว่าเป็นเชื้อโรคฉวยโอกาส ความสาคัญเป็น พิเศษ ชนิด Bartonella จะถูกส่งโดย เวกเตอร์ เช่น เห็บ หมัด แมลงวันทราย และ ยุง อย่างน้อยแปดชนิด หรือ จาพวก Bartonella เป็นที่รู้จักแพร่ระบาดของมนุษย์ Bartonella henselae เป็นสิ่งมีชีวิตที่ก่อให้ โรคเกา
  • 18. Bartonella henselae ซึ่งเคยเป็น Rochalima เป็น proteobacterium ซึ่งเป็นสาเหตุของ โรค cat-scratch ( bartonellosis ) Bartonella henselae โรคแมวข่วน (Cat scratch disease) ย่อว่าโรคซีเอสดี (CSD) เป็นโรคเกิดจากร่างกายติดเชื้อ แบคทีเรีย (ชนิดแกรมลบ) ในสกุล/Genus ที่ชื่อ Bartonella โดยชนิด/Species ที่มักก่อโรคในคนคือ Bartonella henselae (B. henselae) ซึ่งไข้แมวข่วนจัดเป็นโรคหนึ่งที่รวมอยู่ในกลุ่มโรคที่เรียกว่า “Bartonellosis โรคต่างๆที่เกิดจากแบคทีเรียสกุล Bartonella” โดยเชื้อจะอาศัยอยู่ในต่อมน้าลายของแมวแต่ไม่ ก่ออาการในแมว ซึ่งเชื้อจะมีอยู่ในน้าลายติดอยู่ที่ขนและติดที่เล็บของแมว
  • 19. ลักษณะโรค : เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดกึ่งเฉียบพลันสามารถหายได้เอง โรคแมวข่วน อาจเกิดความสับสนกับ โรคอื่นๆ ที่เกิดอาการต่อมน้าเหลืองโตได้ เช่น โรคทูลารีเมีย,บรูเซลโลสิส, ทูเบอร์คูโลสิส, กาฬโรค, โรคพลาส เจอเรลโลซิส (Pasteurellosis) และโรคมะเร็งต่อมน้าเหลือง มีสาเหตุจากการติดเชื้อ Bartonella henselae (ดังรูปที่ 29) มีลักษณะเป็น facultative intracellularparasites ติดสีแกรมลบ รูปร่างแบบท่อนเคลื่อนที่ได้ด้วย fl agellae เป็นเชื้อฉวยโอกาส (opportunisticpathogens) สามารถติดเชื้อในคนได้ โดยมีพาหะเป็นพวกแมลง เช่น หมัด, ริ้นฝอยทราย (sand fl ies) และยุง รูปที่ 29 ลักษณะโคโลนีที่ลื่นและขรุขระของ B. henselae ที่เจริญบนอาหารเลี้ยงเชื้อ chocolate agar (กาลังขยาย 40 เท่า) (Smooth and verrucous colonytypes growing concurrently in a chocolateagar culture of B. Henselae)
  • 20. ระบาดวิทยา พบเกิดขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา อุบัติการณ์จะมากขึ้นในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นและความชื้น (เช่น , ฮาวาย, แปซิฟิก ตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย),ในขณะที่อลาสกา, เทือกเขาร็อกกี้และมิดเวสต์ของรัฐมี ความชุกที่ต่ากว่าค่ามัธยฐาน เพียง 1 ยีนของ B.henselae ที่เคยมีรายงานในอเมริกาเหนือ ประมาณ70-90% ของโรคแมว ข่วน เกิดขึ้นในเดือนฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวในช่วงต้นฤดูกาลนี้เป็นสันนิษฐานว่าจะเกิดขึ้นในฤดูร้อนที่เกิดมาพร้อมกับลูกแมว หมัดรบกวนเพิ่มขึ้น อาการของโรค : มีอาการวิงเวียน ต่อมน้าเหลืองอักเสบโตเป็นก้อน (granulomatous lymphadenitis) และมีไข้ได้ หลายแบบ เกิดแผลเป็นผื่นสีแดง เกี่ยวเนื่องจากต่อมน้าเหลืองภายใน 2 สัปดาห์ และพัฒนากลายเป็นหนองผู้ป่วยร้อยละ 50 - 90 เกิดผดขึ้นบริเวณที่ถูกแมวข่วนกลุ่มอาการ Parinaud Oculoglandular Syndrome(granulomatous conjunctivitis with pretragala denopathy) เกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อตาแดงโดยตรงหรือโดยอ้อม และอาจเกิดอาการ แทรกซ้อนทางระบบประสาท เช่น สมองอักเสบ และ ระบบประสาทตาอักเสบ(optic neuritis) ได้ อาการไข้สูงเรื้อรังอาจเกิด ร่วมกับรอยโรคของกระดูกที่มีการสลายหรือแทนที่เนื้อกระดูกด้วยสิ่งอื่นๆ และ/หรือการเกิดก้อนที่ตับ และม้าม
  • 21. การวินิจฉัยโรค : การวินิจฉัยโรคจะใช้อาการทางคลินิกที่สอดคล้องกับหลักฐานการตรวจแอนติบอดีทาง ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ Bartonella henselae ที่ตรวจพบไตเตอร์ 1/64หรือมากกว่า จากการตรวจ IFA ที่ให้ผล บวก การรักษา : ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันโรคปกติ และไม่มีโรคแทรกซ้อนจะหายได้เอง โดยไม่ต้องใช้ยารักษา แต่สาหรับ ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่า ต้องรักษาเป็นเวลา 1-3 เดือน ด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อีริโทรมัยซิน (Erythromycin), ไรแฟมปิซิน (Rifampicin), ซิโพรโปรฟล็อกซาซิน (Ciprofl oxacin) หรือเจนตามิซิน (Gentamicin) ในรายที่ต่อมน้าเหลืองอักเสบ เป็นหนอง การใช้เข็มเจาะให้หนองออกมาก็สามารถลดอาการปวด ลงได้ แต่แนะนาให้หลีกเลี่ยงการตัดชิ้นเนื้อจากต่อมน้าเหลืองไปตรวจ
  • 22. Bartonella quintana B. quintana เป็น แบคทีเรียชนิดแบคทีเรียชนิด ก้าน (แบคทีเรีย แอนโบบิก แบคทีเรียแกรมลบ) การติดเชื้อที่ เกิดจากจุลินทรีย์นี้เป็นไข้ที่ได้รับการพิสูจน์เป็นครั้งแรกในหมู่ทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่ปัจจุบัน ได้รับการเห็นในยุโรปเอเชียและแอฟริกาเหนือ เวกเตอร์หลักของมันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Pediculus humanus corporis หรือเรียกอีกชื่อว่า body louse ของ
  • 23. พยาธิสรีรวิทยา เป็นที่รู้จักกันดีสาหรับแบคทีเรียชนิดนี้ ในร่างกายมนุษย์มันติดเชื้อใน เซลล์เยื่อบุช่องท้อง และสามารถ ติดเชื้อ erythrocytes ได้ด้วยการผูกและเข้ากับ vacuole ขนาดใหญ่ เมื่อเข้าสู่ภายในพวกเขาเริ่มงอกและ ก่อให้เกิด atypia นิวเคลียร์ (intraerythrocytic การ กลายพันธุ์ B. quintana ) นี้จะนาไปสู่การถูกระงับ apoptosis proinflammatory cytokines จะได้รับการปล่อยตัวและเพิ่มการเพิ่มขึ้นของหลอดเลือด กระบวนการเหล่านี้ทั้งหมดส่งผลให้ผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบ (หนาวสั่นไข้ diaphoresis) bacteremia และ ต่อมน้าเหลือง
  • 24. อาการทางคลินิก B. quintana และ Mycobacterium avium complex ร่วมกับผู้ป่วยโรคเอดส์ อาการทางคลินิกของการติดเชื้อ B. quintana มีความแตกต่างกันอย่างมาก ระยะฟักตัว เป็นที่รู้กันว่าเป็นเวลา 5-20 วัน ซึ่งต่างจากความคิดเดิมที่อยู่ระหว่าง 3-38 วัน การติดเชื้อสามารถเริ่มต้นได้เมื่อมีอาการรุนแรงของ ช่วงไข้อาการกาเริบของไข้หรือเป็นโรคไทฟอยด์ถาวร; อาการ ตาแดง,ปวดศีรษะและกล้ามเนื้อ, มี splenomegaly น้อยกว่าปกติ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการปวดบริเวณขาล่าง (shins) ปวดกล้ามเนื้อบริเวณ ขาและข้างหลังและการ แข็งตัว ของ เส้นประสาท ไม่ค่อยมีการติดเชื้อ B. quintana ร้ายแรงเว้นแต่ endocarditis พัฒนาและไม่ผ่านการบาบัด การลดน้าหนักและ thrombocytopenia บางครั้งก็เห็น การกู้คืน อาจใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน
  • 25. การวินิจฉัยและการรักษา การวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อ B. quintana จาเป็นต้องใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยง serological หรือเทคนิคการ ขยายกรดนิวคลีอิก เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างชนิดต่างๆการตรวจวัด immunofluorescence ที่ใช้ antisera ของเมาส์ถูกนามาใช้เช่นเดียวกับ การผสมผสาน DNA และการจากัดความยาวของความยาวส่วนที่ จากัด หรือลาดับเบสของ cytrate synthase การรักษามักประกอบด้วย 4-6 สัปดาห์ของหลักสูตร doxycycline , erythromycin หรือ azithromycin
  • 26. brucella Brucella เป็น เชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมลบ มีขนาดเล็ก (0.5 ถึง 0.7 โดย 0.6 ถึง 1.5 μm) ไม่ ห่อหุ้ม ไม่เคลื่อนที่ coccobacilli intracellular ภายใน Brucella เป็นสาเหตุของ brucellosis ซึ่งเป็น zoonosis ที่ ส่งผ่านการกินอาหารที่ปนเปื้อน (เช่นผลิตภัณฑ์นมที่ ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ ) การสัมผัส โดยตรงกับสัตว์ที่ติดเชื้อหรือการสูดดมละอองลอย การส่งผ่านจากมนุษย์สู่มนุษย์เช่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์หรือ จากมารดาถึงเด็กเป็นเรื่องยากมาก แต่เป็นไปได้ การติดเชื้อต่าสุดคือระหว่าง 10 และ 100 สิ่งมีชีวิต ชนิดที่ แตกต่างกันของ Brucella มีลักษณะคล้ายคลึงกันทางพันธุกรรมแม้ว่าแต่ละชนิดจะมีความจาเพาะเฉพาะของ โฮสต์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย ดังนั้นอนุกรมวิธาน NCBI รวมถึงสายพันธุ์ Brucella ส่วนใหญ่ภายใต้ B. melitensis
  • 27. Brucellosis brucellosis ของมนุษย์มักไม่ถูกส่งจากมนุษย์สู่คน คนติดเชื้อจากการสัมผัสกับของเหลวจากสัตว์ที่ติด เชื้อ (แกะโคหรือสุกร) หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้จากสัตว์ เช่น นมและชีส ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ Brucellosis เป็นโรคที่เกิดจากการประกอบอาชีพเนื่องจากมีอุบัติการณ์สูงขึ้นในคนที่ทางานกับสัตว์ (กรณีโรงฆ่าสัตว์) คน อาจติดเชื้อด้วยการสูดดมฝุ่นละอองหรือละอองฝอยที่ปนเปื้อนและด้วยเหตุนี้ CDC จึงติดฉลากว่า Brucella species เป็นอย่างมากที่สามารถสร้างอาวุธได้ มนุษย์และสัตว์ brucellosis ร่วมกันคงอยู่ของแบคทีเรียใน เนื้อเยื่อของระบบ phagocyte mononuclear ได้แก่ ม้าม ตับ ต่อมน้าเหลือง และ ไขกระดูก Brucella ยัง สามารถกาหนดเป้าหมายระบบสืบพันธุ์เพศชาย
  • 28. Brucellosis อาจมีผลต่อระบบอวัยวะหรือระบบอวัยวะใด ๆ และ 90% ของผู้ป่วยมีไข้แบบวัฏจักร (ยุ้ยอ่อน) แม้ว่าตัว แปรอาการต่างๆอาจรวมถึงอาการทางคลินิกเหล่านี้ เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดข้อปวด หดหู่ การสูญเสียน้าหนัก ความเมื่อยล้า และความผิดปกติของตับ เหงื่อเหม็น 20 และ 60% ของผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับข้อเข่าเสื่อม - โรค ข้ออักเสบ, spondylitis หรือ osteomyelitis อาจเกิดภาวะตับวายขึ้นเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนทางเดินอาหาร ถึง 20% ของกรณีที่สามารถมีส่วนร่วมอวัยวะสืบพันธุ์; orchitis และ epididymitis เป็นส่วนใหญ่ อาการทางระบบ ประสาท ได้แก่ ภาวะซึมเศร้าและความเมื่อยล้าทางจิต การมีส่วนร่วมของหลอดเลือดสามารถรวมถึงการเกิด endocarditis ทาให้เสียชีวิตได้ brucellosis เรื้อรังเป็นเรื่องยากที่จะกาหนด; ความยาวประเภทและการตอบสนองต่อการรักษาเป็นตัวแปร อาจเกิดการ ติดเชื้อเฉพาะที่ ไม่ควรยอมรับการบริจาคโลหิตของผู้ติดเชื้อ ทารกแรกเกิดที่ติดเชื้ออาจมีน้าหนักแรกเกิดน้อยความล้มเหลวในการเจริญพันธุ์โรคดีซ่านตับ hepatomegaly ความ เหนื่อยล้าความยากลาบากในการหายใจและสัญญาณแบคทีเรียทั่วไป (ไข้อาเจียน) บางกรณีไม่มีอาการ
  • 29. Bordetella Bordetella เป็นเชื้อที่มี ขนาดเล็ก (0.2 - 0.7 μm), Gram-negative coccobacilli ของ Proteobacteria ในหลอดเลือด ชนิดของ Bordetella ยกเว้น B. petrii เป็น aerobes ที่จาเป็น เช่นเดียวกับความพิถีพิถันหรือ ยากที่จะเพาะเลี้ยง ทุกสายพันธุ์สามารถติดเชื้อได้ สามชนิดแรกที่ได้รับการอธิบาย ( B. pertussis , B. parapertussis ,B. bronchiseptica) บางครั้งเรียกว่า สายพันธุ์คลาสสิก หนึ่งใน เหล่านี้ (B. bronchiseptica) ยังเคลื่อนที่ได้
  • 30. Bordetella pertussis Bordetella pertussis โรคไอกรน เป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ทาให้มีการอักเสบของเยื่อ บุทางเดินหายใจ และเกิดอาการไอ ที่มีลักษณะพิเศษคือ ไอซ้อนๆ ติดๆ กัน 5-10 ครั้ง หรือมากกว่านั้นจนเด็ก หายใจไม่ทัน จึงหยุดไอ และมีอาการหายใจเข้าลึกๆ เป็นเสียง วู๊ป (Whooping cough) สลับกันไปกับการไอ เป็นชุดๆ จึงมีชื่อเรียกว่า “โรคไอกรน” บางครั้งอาการอาจจะเรื้อรังนานเป็นเวลา 2-3 เดือน เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis (B. pertussis) เป็นเชื้อที่เพาะขึ้นใน Bordet Gengau media ซึ่งเป็นเชื้อที่เพาะขึ้นได้ยาก จะพบเชื้อได้ในลาคอ ในส่วน nasopharynx ของผู้ป่วย ในระยะ 1-2 อาทิตย์แรก ก่อนมีอาการ ไอเป็นแบบ paroxysmal
  • 31. ระบาดวิทยา ไอกรนเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายจากการไอ จาม รดกันโดยตรง ผู้สัมผัสโรคที่ไม่มีภูมิคุ้มกันจะ ติดเชื้อและเกิดโรคเกือบทุกราย โรคนี้พบได้บ่อยในเด็ก ส่วนใหญ่ติดเชื้อมาจากผู้ใหญ่ในครอบครัว ซึ่งมีการติด เชื้อแต่ไม่มีอาการ (carrier) หรือมีอาการไม่มาก โรคไอกรนเป็นได้กับทารกตั้งแต่เดือนแรก ทั้งนี้ เนื่องจาก ภูมิคุ้มกันจากแม่ผ่านมายังลูกไม่ได้หรือได้น้อยมาก ในเด็กเล็กอาการจะรุนแรงมากและมีอัตราตายสูง ส่วนใหญ่ ของผู้ที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต เป็นเด็กอายุต่ากว่า 1 ปีและเป็นเด็กที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน โดยทั่วไป แล้ว โรคนี้เป็นได้ทุกอายุ ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่ในวัยหนุ่มสาว หรือผู้ใหญ่อาจไม่มีอาการ หรือไม่มีอาการแบบ ไอกรน ส่วนใหญ่จึงไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไอกรน ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 6-20 วัน ที่พบบ่อย 7-10 วัน ถ้าสัมผัสโรคมาเกิน 3 สัปดาห์แล้วไม่มีอาการ แสดงว่าไม่ติดโรค
  • 32. อาการและอาการแสดง อาการของโรคแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1) ระยะแรก เด็กจะเริ่มมีอาการ มีน้ามูก และไอ เหมือนอาการเริ่มแรกของโรคหวัดธรรมดา อาจมีไข้ ต่าๆ ตาแดง น้าตาไหล ระยะนี้เรียกว่า Catarrhal stage จะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ระยะนี้ส่วนใหญ่ยัง วินิจฉัยโรคไอกรนไม่ได้ แต่มีข้อสังเกตว่าไอนานเกิน 10 วัน เป็นแบบไอแห้งๆ 2) Paroxysmal stage ระยะนี้มีอาการไอเป็นชุดๆ เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ไม่มีเสมหะ จะเริ่มมีลักษณะ ของไอกรน คือ มี อาการไอถี่ๆ ติดกันเป็นชุด 5-10 ครั้ง ตามด้วยการหายใจเข้าอย่างแรงจนเกิดเสียง วู๊ป (whoop) ซึ่ง เป็นเสียงการดูดลมเข้าอย่างแรง ในช่วงที่ไอผู้ป่วยจะมีหน้าตาแดง น้ามูก น้าตาไหล ตาถลน ลิ้นจุกปาก เส้นเลือดที่คอโป่ง พอง การไอเป็นกลไกที่จะขับเสมหะที่เหนียวข้นในทางเดินหายใจออกมา ผู้ป่วยจึงจะไอติดต่อกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะ สามารถขับเสมหะที่เหนียวออกมาได้ 3) ระยะ ฟื้นตัว (Convalescent stage) กินเวลา 2-3 สัปดาห์ อาการไอเป็น ชุดๆ จะค่อยๆ ลดลงทั้งความรุนแรงของการไอและจานวนครั้ง แต่จะยังมีอาการไอหลายสัปดาห์ ระยะของโรคทั้งหมดถ้า ไม่มีโรคแทรกซ้อนจะใช้เวลาประมาณ 6-10 สัปดาห์
  • 33. โรคแทรกซ้อน 1. โรคแทรกซ้อนทางระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อย คือ ปอดอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของ การตายที่สาคัญของโรคไอกรนในเด็กเล็ก โรคในปอดที่อาจพบได้อีกจะเกิดจากการมีเสมหะเหนียวไปอุด ในหลอดลมและถุงลม ทาให้เกิด atelectasis 2. จากการไอมากๆ ทาให้มีเลือดออกในเยื่อบุตา (Subconjunctival hemorrhage) มี petechiae ที่หน้า และในสมอง 3. ระบบประสาท อาจมีอาการชัก พบบ่อยในเด็กเล็ก เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ในขณะที่ไอถี่ๆ และอาการชักอาจเกิดจากมีเลือดออกในสมอง
  • 34. การวินิจฉัยโรค อาศัยอาการทางคลินิกที่มีลักษณะอาการไอเป็นชุดๆ มีเสียงวู๊ป ร่วมกับการตรวจเลือด พบมีเม็ด เลือดขาวสูงเกินปกติ และมี lymphocytosis แต่เนื่องจากอาการไอแบบนี้อาจเกิดจากเชื้อ B. parapertussis, Clamydia trachomatis และ adenoviruses การวินิจฉัยที่แน่นอนจึงต้องทาการเพาะเชื้อ B. pertussis จาก nasopharyngeal swab หรือดูดเอา nasopharyngeal mucus มาเพาะบน Bordet Gengau media ส่วนใหญ่จะตรวจพบเชื้อได้ในระยะ Catarrhal stage และในสัปดาห์แรกที่เริ่มมีอาการไอแบบ paroxysmal ภายหลังจากเริ่มมีอาการ 4 สัปดาห์ มักจะตรวจไม่พบเชื้อ
  • 35. การรักษา เนื่องจากเชื้อ B. pertussis จะมีอยู่ในลาคอของผู้ป่วยในช่วงระยะแรก (Catarrhal stage) ดังนั้นถ้าให้ยาปฎิชีวนะที่ได้ผลเฉพาะคือ erythromycin ในขนาด 50 มก./กก./วัน เป็นระยะเวลา 14 วัน ในระยะนี้จะช่วยให้ความรุนแรงของโรคลดลงได้ แต่ถ้าพบผู้ป่วยระยะที่มีการไอเป็นชุดๆ แล้วการให้ ยาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความรุนแรงของโรคได้ แต่จะสามารถฆ่าเชื้อโรคที่อาจจะยังมีอยู่ให้หมดไปได้ใน ระยะ 3-4 วัน เป็นการลดการแพร่กระจายของเชื้อได้ การ รักษาตามอาการให้เด็กได้พักผ่อน ดื่มน้าอุ่น อยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี หลีกเลี่ยง สาเหตุที่จะทาให้เด็กไอมากขึ้น เช่น การออกแรง ฝุ่นละออง ควันไฟ ควันบุหรี่ อากาศที่ร้อนหรือเย็นจัด เกินไป
  • 36. Diagnosis, Treatment, and Prevention การวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะที่ไม่ซับซ้อน (การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ) และ pyelonephritis (ไตการติดเชื้อ) โดยปกติแล้วจะทาได้ง่ายขึ้นจากการนาเสนอทางคลินิกในขณะที่การวินิจฉัยในผู้ป่วยที่มี อาการ UTI ซับซ้อนมักจะมีความซับซ้อนมากขึ้น กระเพาะปัสสาวะอักเสบที่ไม่ซับซ้อนมักจะถูกประจักษ์ โดยการหายใจผิดปกติความถี่และ / หรือความเร่งด่วนโดยไม่ต้องมีไข้และ pyelonephritis มักจะเป็น ที่ประจักษ์โดยมีไข้และอาการปวดหลัง / อ่อนโยนมุมอ่อนโยน Diagnosis, Treatment, and Prevention
  • 37. การรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ การรักษามีความซับซ้อนในบางพื้นที่ได้ ความต้านทานต่อยาต้านจุลชีพได้ทาให้การรักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะ อักเสบที่ไม่ซับซ้อนเกิดขึ้นเนื่องจากความต้านทานของ uropathogens ถึงระดับ fluoroquinolone ซึ่งเป็นแกนนา ในการรักษาช่องปากสาหรับ pyelonephritis เพิ่มขึ้นทั่วโลกและบางส่วนของยาอื่น ๆ ที่ใช้ในโรคกระเพาะ ปัสสาวะไม่แนะนาให้ใช้กับ pyelonephritis การป้องกันโรค เป้าหมายของการป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังคือการ ลดการใช้ยาต้านจุลชีพ และมีความ พยายามในการวิจัยหลายขั้นตอนเพื่อพัฒนาแนวทางป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย สาหรับสภาพทั่วไป
  • 38. Burkholderia Burkholderia เป็นกลุ่มของ Proteobacteria ที่มีเชื้อโรครวมถึง Burkholderia cepacia complex ซึ่งทา ร้ายมนุษย์และ Burkholderia mallei ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคที่เกิดจาก ม้า และสัตว์ที่เกี่ยวข้อง Burkholderia pseudomallei สาเหตุของ melioidosis ; และ Burkholderia cepacia เป็นเชื้อที่สาคัญในการติดเชื้อใน ปอดในคนที่เป็น โรคปอดเรื้อรัง ( cystic fibrosis , CF)
  • 39. Burkholderia กลุ่ม Burkholderia หมายถึงกลุ่มของ Gram-negative ที่มีอยู่ ทั่วไปแพร่หลาย แบคทีเรีย รูปแท่งซึ่งมี ลักษณะ เป็น โมเลกุล เดียวหรือหลายขั้วยกเว้น Burkholderia mallei ซึ่งเป็น โมเลกุลที่ไม่ใช่ บิ วทิล สมาชิกที่เป็น ของสกุลไม่ได้ผลิตปลอกหรือ prosthecae และสามารถใช้ โพลีเบต้า - ไฮดรอกซีบิวเทท (PHB) เพื่อการเจริญเติบโต ได้ สกุลรวมทั้ง เชื้อโรค จากสัตว์และพืชรวมทั้งสายพันธุ์ที่มีความสาคัญต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง B. xenovorans (ก่อนหน้านี้ชื่อ Pseudomonas cepacia แล้ว B. cepacia และ B. fungorum ) มีชื่อเสียงในด้าน catalase positive (มีผลต่อผู้ป่วยที่เป็น โรค granulomatous เรื้อรัง ) และความสามารถในการย่อยสลายสาร กาจัดศัตรูพืชคลอโรนิกและ polyplorylated biphenyls ( PCBs ) โครงสราง RNA แบบอนุรักษ RNA anti- hemB RNA พบไดในแบคทีเรียที่พบในสกุลนี้ [2] เนื่องจากความต้านทานยาปฏิชีวนะและอัตราการเสียชีวิตสูงจากโรคที่เกี่ยวข้องของพวกเขา B. mallei และ B. pseudomallei ถือเป็นตัวแทน สงครามทางชีวภาพที่ มีศักยภาพซึ่งมีเป้าหมายสาหรับปศุสัตว์และมนุษย์
  • 40. Pseudomonas เป็น สกุล Gram-negative Gammaproteobacteria ซึ่งเป็นตระกูล Pseudomonadaceae และมี 191 สายพันธุ์ที่ถูกต้อง สมาชิกของสกุลแสดงให้เห็นถึงความ หลากหลายของการ เผาผลาญอาหาร และทาให้สามารถตั้งอาณา นิคมช่วงกว้างได้ ความสะดวกในการเพาะเลี้ยง ในหลอดทดลอง และ ความพร้อมในการเพิ่มจานวนสายพันธุ์ จีโนม ของสายพันธุ์ Pseudomonas ทาให้พันธุ์พืชเป็นจุดสนใจที่ยอดเยี่ยมสาหรับการ วิจัยทางวิทยาศาสตร์ สายพันธุ์ที่ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด ได้แก่ P. aeruginosa ในฐานะที่เป็นเชื้อก่อโรคในมนุษย์ เชื้อโรคพืช P. syringae แบคทีเรียในดิน P. putida และ P. fluorescens ที่ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช Pseudomonas
  • 41. Pseudomonas Aeruginosa การติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ชนิดรุนแรงมักเกิดขึ้นภายในโรงพยาบาล และผู้ป่วยอาจมีการติด เชื้อระดับไม่รุนแรงในสภาพแวดล้อมอื่นๆ ได้ ในสหรัฐอเมริกามีการคาดการณ์ว่ามีการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ในสถานพยาบาลมากถึง 51,000 รายต่อปี หรือคิดเป็น 8% ของการติด เชื้อในสถานพยาบาลทั้งหมด
  • 42. การติดต่อและความเสี่ยงในการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa เชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ภายในโรงพยาบาลสามารถแพร่ได้ผ่านความไม่สะอาด เช่น บุคลากรทาง การแพทย์ไม่ล้างมือ หรือผ่านทางการปนเปื้อนของอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ได้รับการฆ่าเชื้ออย่างเต็มที่ การติดเชื้อเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ภายในโรงพยาบาลที่พบว่าที่สุด คือการติดเชื้อใน กระแสเลือด ภาวะปอดติดเชื้อ การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะและการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด การติดเชื้อเหล่านี้ มักส่งผลกระทบต่อผู้ที่กาลังป่วยอยู่ในโรงพยาบาลโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่อจากโรคหรือกการรักษาระยะ ยาวขณะรับการรักษาในโรงพยาบาล คุณจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ที่รุนแรง และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากคุณมีแผลผ่าตัด แผลไฟไหม้ หรือมีการใช้ช่วยเครื่องหายใจและอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น สายสวนปัสสาวะหรือสายให้น้าเกลือ การสัมผัสกับน้าที่มีการปนเปื้อนสามารถทาให้เกิดการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ชนิดไม่รุนแรงในคนที่สบายดีที่ไม่ได้อาศัยอยู่ภายในสถานพยาบาลได้ ตัวอย่างเช่น น้าในสระว่ายน้าหรืออ่างน้าร้อนที่ไม่ได้รับการฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนที่มากพอสามารถทาให้ เกิดการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ที่หู (พบบ่อยในเด็ก) และผื่นที่ผิวหนังได้ นอกจากนั้นยังอาจทา ให้เกิดการติดเชื้อที่ตาในกลุ่มที่มีการใส่ Contact lens เป็นเวลานาน
  • 43. อาการของการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa อาการของการติดเชื้อนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของการติดเชื้อ การติดเชื้อในกระแสเลือดสามารถทาให้เกิดอาการได้หลายแบบ เช่น ไข้หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว มึนหัว ชีพจรเต้นเร็วและหายใจเร็ว คลื่นไส้และอาเจียน ท้องเสีย ปัสสาวะออกลดลง การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะอาจมีอาการ ปวดปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น ปัสสาวะขุ่นหรือมีเลือดปน การติดเชื้อที่แผลสามารถมีอาการ มีการอักเสบบริเวณแผล แผลซึมการติดเชื้อที่หูอาจมีอาการปวดหู การได้ยินลดลง มึนหัว
  • 44. การรักษาการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa การติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ที่ไม่รุนแรงผ่านทางน้าสามารถรักษาได้ไม่ยากด้วยยา ปฏิชีวนะบางชนิด ในขณะที่การรักษาการติดเชื้อ Pseudomonas Aeruginosa ที่รุนแรงภายใน โรงพยาบาลเป็นเรื่องที่ยากกว่า เนื่องจากบางสายพันธุ์มีการดื้อต่อยาหลายชนิด เช่น Aminoglycosides Cephalosporins Fluoroquinolones Carbapenems (ยาปฏิชีวนะที่ใช้เป็นตัวสุดท้าย)
  • 45. moraxella Moraxella เป็น เชื้อแบคทีเรีย Gram-negative ในครอบครัว Victor Morax สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ได้แก่ แท่ง สั้น coccobacilli หรือในกรณีของ Moraxella catarrhalis diplococci ในลักษณะทางสัณฐาน วิทยาโดยมีสมบัติที่ทาให้เกิด asaccharolytic oxidase -positive และ catalase -positive M. catarrhalis เป็นสายพันธุ์ที่สาคัญที่สุดในสายพันธุ์นี้
  • 46. moraxella สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็น commensals ของพื้นผิว mucosal และบางครั้งทาให้เกิดการ ติดเชื้อฉวยโอกาส M. catarrhalis มักอาศัยในระบบทางเดินหายใจ แต่สามารถเข้าถึง ระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ในผู้ป่วยโรค เรื้อรังที่หน้าอกหรือป้องกันผู้บุกรุกที่เป็นอันตรายทาให้เกิด โรคหลอดลมอักเสบ และ โรคปอดบวม ตัวอย่างเช่น มันทาให้เกิดสัดส่วนที่สาคัญของการติดเชื้อทางเดินหายใจที่ต่ากว่าในผู้ป่วยสูงอายุที่มี ปอดอุดกั้นเรื้อรัง และ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุสาคัญของ โรคหูน้าหนวก และ โรคไซนัสอักเสบ ทาให้ เกิดอาการคล้ายกับ Haemophilus influenzae แม้ว่าจะมี ความรุนแรง น้อยกว่ามากก็ตาม แตกต่างจาก Neisseria meningitidis ซึ่งเป็นสัณฐานทางสัณฐานวิทยาของ M. catarrhalis แทบจะไม่เคยเป็นสาเหตุของ แบคทีเรีย หรือ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ Moraxella lacunata เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิด blepharoconjunctivitis ในคน
  • 47. Moraxella bovis เป็นสาเหตุของ การติดเชื้อแบคทีเรียที่ ทาให้เกิด โรคตาแดง ที่เรียกว่า colloquially ในสหราชอาณาจักรเป็น New Forest eye ในฐานะที่เป็น aerobe ที่เข้มงวด M. bovis จะถูกกักขังไว้ ที่กระจกตาและเยื่อบุลูกตาซึ่งจะส่งผลให้มีการอักเสบเรื้อรังที่ไม่สามารถจากัดตัวได้เองแผลพุพองและ การ แตกของกระจกตา เป็นโรคที่พบได้บ่อยและติดเชื้อวัวเท่านั้น การรักษาคือการใช้ทั้งแบบ subconjunctival injection ของ tetracycline หรือการใช้ยา cloxacillin เฉพาะที่มีประสิทธิผลมากขึ้น แบคทีเรียสามารถ แพร่กระจายโดยแมลงวันดังนั้นการควบคุมแมลงวันอาจมีความจาเป็นในฟาร์มตลอดฤดูร้อน การแตกออก ของตาเป็นเรื่องที่รุนแรงมากขึ้น moraxella
  • 48. Acinetobacter เชื้อในกลุ่ม Acinetobacter spp. เป็นเชื่อแบคทีเรียแกรมลบ (gram-negative bacteria) ทรงแท่ง ที่มีความสาคัญมากขึ้นในฐานะที่เป็นเชื้อก่อโรคในโรงพยาบาลที่พบได้บ่อยขึ้น และมักเป็นเชื้อที่ดื้อ ต่อยาปฏิชีวนะหลายชนิด Acinetobacter spp. เป็นสาเหตุของ โรคปอดบวม (pneumonia) ชนิด ventilator-associated ที่พบบ่อยที่สุดในหอผู้ป่วยหนัก (Intensive Care Unit, ICU; Intermediate Care Unit) ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ในพ.ศ. 2542 นอกจากนี้ยังมีรายงานการพบ เชื้อนี้มากขึ้นในหลายๆ ประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อในโรงพยาบาล แม้ว่าจะมีรายงานการติดเชื้อ Acinatobacter จากชุมชน แต่ก็ไม่มากนักเมื่อเทียบกับการติดเชื้อในโรงพยาบาล ความสาคัญอีกประการหนึ่งของ Acinetobacter spp. คือ เชื้อเหล่านี้มักจะดื้อต่อยาปฏิชีวนะ พร้อมๆ กันหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดื้อต่อยาในกลุ่ม Carbapenems โดยเชื้อที่ดื้อต่อ Carbapenems มักจะดื้อต่อยาปฏิชีวนะหลายชนิดในเวลาเดียวกัน ทาให้มีความยากลาบากในการ เลือกใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาภาวะติดเชื้อ Acinetobacter spp
  • 49. Acinetobacter เชื้อในสกุล Acinetobacter spp. มีลักษณะสาคัญคือเป็นแบบทีเรียรูปร่างกลม-แท่ง ประเภทแกรมลบที่ไม่ เคลื่อนไหว (non-motile Gram-negative coccobacilli) ซึ่งบางครั้งอาจติดสีคล้ายแบคทีเรียแกรมบวก ได้ รูปร่างของเชื้ออาจเป็นได้ทั้งรูปร่างแบบกลมหรือแบบแท่ง แต่มักจะพบแบบกลมในอาหารเลื้ยงเชื้อแบบ เหลว และในช่วงแรกของการเจริญเติบโต นอกจากนี้อาจยังมีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป ทาให้สามารถ จาแนกเชื้อชนิดนี้ออกจากเชื้ออื่นๆที่ก่อโรคในสิ่งส่งตรวจได้ยาก การเจริญเติบโตของเชื้อนี้ เป็นแบบอาศัยออกซิเจนเท่านั้น และให้ผลบวกกับปฏิกิริยากับเอนไซม์คาตาเลส (catalase) กับผลลบกับปฏิกิริยากับเอนไซม์ออกซิเดส (oxidase) มีสัดส่วนของเบสกัวนีน (guanine) รวมกับเบสไซโตซีน (cytosine) ในดีเอ็นเอ หรือค่า G+C content ระหว่างร้อยละ 39 ถึง 4
  • 50. Francisella tularensis เป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรค ได้แก่ กาม แบคทีเรีย ก้านรูปแท่ง ( Gram-negative coccobacillus ) ซึ่งเป็น แบคทีเรีย aerobe [1] เป็นสปอร์ที่ไม่ก่อตัวขึ้น ไม่ใช่ตัวกระตุ้น และเป็นสาเหตุของ โรคไข้เหลือง ซึ่งเป็นรูปแบบของ pneumonic ซึ่งมักเป็นอันตรายถึงตายโดย ไม่ได้รับการรักษา เป็นแบคทีเรียภายในเซลล์ ที่มีความซับซ้อนซึ่งจาเป็นต้องใช้ cysteine เพื่อการเจริญเติบโต เนืองจากเชื้อโรคต่าแพร่กระจายได้ง่ายโดยละอองลอยและมี ความรุนแรง สูง bioterrorism เช่น Yersinia pestis , Bacillus anthracis และไวรัส อีโบลา เมื่อพบในธรรมชาติ Franciesella tularensis สามารถอยู่รอดได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ที่อุณหภูมิต่าในซากสัตว์ดินและน้า ใน ห้องปฏิบัติการ Francisella tularensis จะปรากฏเป็นแท่งเล็ก ๆ (0.2 โดย 0.2 μm) และเติบโตได้ดีที่สุดที่ อุณหภูมิ 35-37 องศาเซลเซียส Francisella tularensis
  • 51. Francisella tularensis ชนิดย่อย F. t. tularensis (หรือชนิด A) พบมากใน ทวีปอเมริกาเหนือ เป็นโรคที่รุนแรงที่สุดในสี่ชนิดย่อยที่รู้จักและ เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อในปอดที่ตายแล้ว ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์หลักของห้องทดลอง A, SCHUS4 กลุ่มย่อย F. t. holarctica (เรียกอีกอย่างว่า biovar F. t. palearctica หรือชนิด B) พบมากใน ยุโรป และ เอเชีย แต่ไม่ค่อยนาไปสู่โรคร้ายแรง สายพันธุ์ วัคซีนที่ ถ่ายทอดสดที่อ่อนแอของกลุ่มย่อย F. t holarctica ได้รับการอธิบายแม้ว่าจะยัง ไม่ได้รับอนุญาตอย่างเต็มที่โดย องค์การอาหารและยา เป็นวัคซีน กลุ่มย่อยนี้ขาดกิจกรรม cytrelase และความสามารถในการ ผลิตกรดจากน้าตาลกลูโคสของ Biovar F. t palearctica กลุ่มย่อย F. t. novicida (จัดก่อนหน้านี้เป็น F. novicida [8] ) มีลักษณะเป็นสายพันธุ์ nonvirulent ค่อนข้าง; มี เพียงสองกรณีโรคโลหิตจางในทวีปอเมริกาเหนือมีสาเหตุมาจาก F. t novicida และเหล่านี้เป็นเฉพาะในบุคคลที่ มีภูมิคุ้มกัน บกพร่อง อย่างรุนแรง กลุ่มย่อย F. t. mediasiatica พบมากที่สุดใน เอเชียกลาง ปัจจุบันมีเพียงเล็กน้อยที่รู้จักเกี่ยวกับเรื่องย่อยนี้หรือ ความสามารถในการติดเชื้อของมนุษย์
  • 52. F. tularensis ได้รับการรายงานใน นก สัตว์เลื้อยคลาน ปลา สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง และ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมทั้ง มนุษย์ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นกรณีของ tularemia ใด ๆ ที่จะเริ่มต้นโดยการส่งผ่านจากมนุษย์สู่คน โรคนี้ เกิดจากการติดต่อกับสัตว์หรือ พาหะที่ ติดเชื้อเช่น เห็บ ยุง และ กวางชนิดกวาง อ่างเก็บน้าที่มีความสาคัญสามารถรวมถึง lagomorphs (เช่นกระต่าย) หนู galliform นก และ กวาง การติดเชื้อ F. tularensis สามารถเกิดขึ้นได้หลายเส้นทางการเข้ารับการรักษาโดยการผ่านเลือดและระบบทางเดินหายใจ ที่พบมากที่สุดเกิดขึ้นผ่านการสัมผัสกับผิวหนังทาให้เกิดรูปแบบของโรคกระเพาะอาหารลาไส้ใหญ่ การสูดดมแบคทีเรีย - โดยเฉพาะ biovar F. t tularensis นาไปสู่ ภาวะ โลหิตจาง จากโรค ลม ปอด ในขณะที่รูปแบบของโรคในเม็ดเลือดแดง ในปอดและทรวงอกเป็นเรื่องปกติมากขึ้นมีการอธิบายถึงวิธีการฉีดวัคซีนอื่น ๆ และรวมถึงการติดเชื้อที่ ช่องปากอักเสบ เนื่องจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนและการติดเชื้อในตาซึ่งเกิดจากการฉีดวัคซีนที่ตา
  • 53. โรคทูลารีเมีย (Tularemia) Bureau of Epidemiology, DDC, MPH นายสัตว์แพทย์ธีรศักดิ์ ชักนา ลักษณะของโรค โรคทูลารีเมีย หรือโรคไข้กระต่าย (Rabbit Fever) เป็นโรคติดต่อจากสัตว์ถึงคน ที่มีอันตรายสูงโรคหนึ่งเนื่องจากสามารถ ติดต่อทางละอองฝอย (Aerosol) ได้ และสามารถใช้เป็นอาวุธชีวภาพที่จัดอยู่ในกลุ่ม A ประเทศ สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2545 จนถึงขณะนี้ พบว่ามีรายงานผู้ป่วยมากกว่า 200 ราย ระบาดวิทยา โรคนี้เกิดในสหภาพโซเวียต เอเซียไมเนอร์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรป ยกเว้นคาบสมุทรไอเบอเรียน (Iberian Peninsula) และเกาะอังกฤษ เชื้อก่อโรค โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Francisella tularensis มีลักษณะเป็นค็อกโคบาซิลไล ไม่เคลื่อนที่ ไม่สร้างสปอร์ มีแคปซูล แบคทีเรียนี้มี 4 types โดย Type A มีความรุนแรงที่สุด สัตว์รังโรค และแมลงนาโรค สัตว์รังโรคอยู่ในสัตว์ป่าที่เลี้ยงลูกด้วยนมกว่า 100 ชนิด รวมทั้ง สัตว์ฟันแทะ เช่น กระต่าย หนู กระรอก กวาง แพรีด๊อก (Parrie dog) และสามารถติดต่อมายังสัตว์เลี้ยงจาพวกวัว ควาย แกะ และแมว ได้ โดยมีเหลือบ เห็บ หมัด หรือยุง เป็น แมลงนาโรค
  • 54. วิธีการติดต่อ โรคนี้ติดต่อมายังคนโดยถูกแมลงพาหะที่กัดเลือดสัตว์ที่ติดเชื้อนี้กัด หรือติดโดยสัมผัสกับเลือด สารคัดหลั่ง (Secretion) ของสัตว์ที่ ป่วยด้วยโรคนี้ เข้าทางบาดแผล เยือเมือก หรือรอยถลอก ขีดข่วน หรือถูกสัตว์ป่วยกัดโดยตรง การหายใจ หรือกินอาหารหรือน้า ที่มีเชื้อโรคปนได้เชื้อก็สามารถทาให้ติดเชื้อได้ ไม่มีรายงานการติดต่อระหว่างคนสู่คน ระยะฟักตัวของโรค 1-14 วัน แต่ทั่วๆ ไป 3-5 วัน อาการในคน ลักษณะของโรคทูลารีเมีย ในคนมี 2 รูปแบบขึ้นอยู่ช่องทางที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย คือทางผิวหนัง และทางการหายใจ หากเชื้อเข้าทาง ผิวหนังจะเกิดบาดแผล ต่อมน้าเหลืองบวมโตตรงที่รับเชื้อหากเชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจผู้ติดเชื้อจะเป็นไข้แบบไทฟอยด์ (typhoidal tularemia) คือมีไข้ หนาวสั่น โลหิตเป็นพิษ ปวดศีรษะ ท้องเสีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ไอแห้งๆ และอ่อนเพลีย หากผู้ป่วยมีอาการปอดบวมร่วมด้วยจะเจ็บหน้าอก มีเสมหะเป็นเลือด อึดอัด หายใจไม่สะดวก จนอาจหยุดหายใจ ลักษณะปอด บวมจากการตรวจทางรังสีทรวงอก อัตราตายของโรคแบบไข้ประมาณร้อยละ 35 การรักษา รักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะจาพวกสเตร็พโตไมซิน ฉีดเข้ากล้ามเนื้อในปริมาณ 30 มิลลิกรัมต่อน้าหนักตัว 1 กิโลกรัม หรืออาจใช้ ยาเจนตาไมซิน ปริมาณ 3-5 มิลลิกรัมต่อน้าหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 10-14 วัน ยาเตตระไซคลีน และครอแรมเฟนิ คอลก็ใช้ได้ผลเช่นเดียวกัน แต่ผู้ติดเชื้อมักมีอาการไข้กลับค่อนข้างสูง
  • 55. Legionella pneumophila เป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่เป็น แบคทีเรียแกรมลบชนิด Legionella , บางชนิด แอโรบิก , pleomorphic , flagellated , nonspore-forming L. pneumophila เป็น เชื้อแบคทีเรียที่ ก่อให้เกิดโรคหลักในมนุษย์ในกลุ่มนี้และเป็นสาเหตุสาคัญของ โรค Legionnaires ' หรือเรียกอีกอย่างว่า legionellosis Legionella pneumophila
  • 56. Legionnaire DiseaseBureau of Epidemiology, DDC, MPH ลักษณะโรค โรคลีเจียนเนลโลสิส (Legionellosis) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Legionella pneumophila ลักษณะโรคมี 2 แบบ คือ ชนิดรุนแรงเรียกโรคปอดอักเสบลีเจียนแนร์ (Legionnaires' disease) และชนิดไม่รุนแรงเรียกโรคไข้ปอนเตียก (Pontiac fever) สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Legionella ที่ตรวจพบแล้วประมาณ 43 species 65 serogroups ที่พบก่อให้เกิดโรคในคนบ่อยที่สุดคือ Legionella pneumophila ซึ่งตรวจพบแล้ว 18 serogroups เชื้อ Legionlla พบได้ทั่วไปในแหล่งน้าที่มีอุณหภูมิ 32-45 ซ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายเดือนในสิ่งแวดล้อมที่มีความชื้นสูง และแบ่งตัวในที่ที่มีสาหร่ายและอินทรีย์วัตถุ วิธีการติดต่อ โดยการสูดหายใจเอาเชื้อที่ปนเปื้อนอยู่ในละอองฝอยของน้า เช่น น้าจากหอผึ่งเย็นความร้อน(cooling towers) ของระบบปรับ อากาศ ฝักบัวอาบน้า อ่างน้าวน เครื่องมือช่วยหายใจ น้าพุสาหรับตกแต่งอาคารสถานที่ต่างๆ การแพร่เชื้อจากคนไปสู่คนยังไม่มี ปรากฎ ระยะฟักตัว โรคลีเจียนแนร์ส่วนใหญ่จะปรากฎอาการภายใน 5-6 วันหลังได้รับเชื้อ แต่อาจอยู่ในช่วง 2-10 วัน โรคไข้ปอนเตียกมักจะมีอาการภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อ แต่อาจอยู่ในช่วง 5-66 ชั่วโมง
  • 57. ระยะติดต่อ ยังไม่พบการแพร่เชื้อระหว่างคนสู่คนดังนั้นคนจึงไม่เป็นพาหะของโรค มีการตรวจเลือดของผู้ป่วยภายหลังป่วย หลายปีพบแอนติบอดีต่อ Legionella ซึ่งบ่งชี้ว่าเคยป่วยมาแล้วไม่ใช่กาลังป่วย อาการและอาการแสดง มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ (flu-like illness) เริ่มด้วย ปวดศรีษะ ปวดกล้ามเนื้อ ตามด้วยมีไข้สูง (39-40o ซ) หนาวสั่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน อาจมีอุจจาระร่วง ไอแห้งๆ ในกรณีที่เป็นไข้ปอนเตียกมักจะหาย ภายใน 2-5 วัน แม้จะไม่ได้รับการรักษา ส่วนโรคลีเจียนแนร์มักจะมีปอดอักเสบและลามไปที่ปอดทั้งสองข้าง ทา ให้การหายใจล้มเหลว มีอัตราตายสูง การวินิจฉัยแยกโรค ถ้าต้องการวินิจฉัยแยกจากโรคปอดอักเสบจากเชื้ออื่นๆต้องตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการโดยการเพาะแยกเชื้อ จากเสมหะ น้าจากโพรงเยื่อหุ้มปอด หลอดลม หลอดคอ หรือ ตรวจหาแอนติบอดีในเลือด การเพาะแยกเชื้อเป็น การตรวจที่สาคัญถือเป็น gold standard
  • 58. ระบาดวิทยา มีบันทึกการพบผู้ป่วยรายแรกใน พ.ศ. 2490 และการระบาดครั้งแรกใน พ.ศ. 2500 ที่รัฐมินนิโซตา มีการระบาดครั้งใหญ่ของโรค ปอดอักเสบในหมู่ผู้ร่วมประชุมสมาคม "สหายสงคราม" (American Legion Convention) ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา ใน พ.ศ. 2519 มีผู้ป่วย 182 ราย เสียชีวิต 29 ราย อีก 6 เดือนต่อมา McDade JE และคณะ จึงได้พบเชื้อแบคทีเรียที่เป็น สาเหตุจากปอดของผู้เสียชีวิต จึงเป็นที่มาของชื่อ "โรค Legionella pneumophila" โรคลีเจียนแนร์เป็นโรคที่ต่างประเทศให้ความสนใจเนื่องจากมีอัตราป่วยตายสูงโดยเฉพาะประเทศ ในแถบยุโรปมีระบบเฝ้าระวังและ มีคณะทางานสาหรับโรคนี้โดยเฉพาะเรียกว่า European working group for Legionella infections (EWGLI) อัตรา ป่วยของโรคนี้โดยเฉลี่ยในยุโรปเท่ากับ 4.45/ล้านประชากร ในปี 2539 สาหรับประเทศไทยยังพบโรคนี้น้อย โดยมีรายงานผู้ป่วย 5 ราย รายแรกเป็นหญิงไทยอายุ 19 ปี รายงานโดย ศรีไสวและคณะ ใน พ.ศ. 2527 ในปีเดียวกัน ตันไพจิตรและคณะรายงานผู้ป่วยอีก 3 ราย พ.ศ. 2529 ชุณหสวัสดิกุลและคณะ รายงานผู้ป่วย 1 รายเป็นชายจีนอายุ 78 ปี และในปี 2532 ชูโชติถาวรและคณะรายงานผู้ป่วยอีก 1 ราย เป็นหญิงจีนอายุ 39 ปี นอกจากนี้ยัง ได้รับแจ้งเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ป่วยด้วยโรค Legionnaires หลังกลับจากเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ต่อเนื่องจนถึง พ.ศ.2542 จานวน 12 ราย มักพบในวัยกลางคน ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่ มะเร็ง ผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีอาการ ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง โรคพิษสุราเรื้อรัง สูบบุหรี่จัด
  • 59. การรักษา ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาคือ erythromycin ยาที่ใหม่กว่าคือ azithromycin และ clarithromycin ก็ ใช้ได้ผลเช่นกัน ในรายที่มีอาการรุนแรงยาที่ใช้เพิ่มคือ rifampin การควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัส และสิ่งแวดล้อม รายงานการระบาด : เมื่อพบผู้ป่วยที่สงสัย (suspected case) หรือพบการป่วยเป็นกลุ่มก้อนให้รายงาน สานักงานสาธารณสุขจังหวัดทันทีทางโทรศัพท์หรือโทรสาร แล้วส่ง รง.506 ไปตามลาดับขั้นของเครือข่าย ระบาดวิทยา การแยกผู้ป่วย : ไม่จาเป็น การทาลายเชื้อ : ทาลายเชื้อในแหล่งที่สงสัยด้วยคลอรีนหรือน้าร้อนจัด การกักกัน : ไม่จาเป็น การให้ภูมิคุ้มกันแก่ผู้สัมผัส : ไม่มี การสอบสวนผู้สัมผัสและแหล่งโรค : ค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมจากสิ่งแวดล้อมหรือแหล่งโรคเดียวกัน
  • 60. Coxiella burnetii เป็น แบคทีเรียที่ เป็น สาเหตุของ แบคทีเรีย ภายใน และเป็นสาเหตุของ ไข้คิว ชนิด Coxiella คล้าย morphologically Rickettsia แต่มีความแตกต่างทางพันธุกรรมและความแตกต่างทาง สรีรวิทยา C. burnetii เป็น แบคทีเรียแกรมลบที่ มี ขนาดเล็กซึ่งทนต่อสภาวะแวดล้อมที่รุนแรงเช่นอุณหภูมิสูง Coxiella burnetii ความดันออสโมซิสและแสงอัลตราไวโอเลต ลักษณะเหล่านี้เป็นผลมาจากรูปแบบของเซลล์ขนาดเล็ก รูปแบบของสิ่งมีชีวิตที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฎจักรการพัฒนาแบบ biphasic ซึ่งรวมถึงรูปแบบของเซลล์ ขนาดใหญ่ที่มีการเผาผลาญอาหารและมีการลอกเลียนแบบมากขึ้น และสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อมอื่น ๆ ได้เช่นเดียวกับที่แสดงใน phagolysosome
  • 61. โรคไข้คิว มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย Coxiella burnetii พบได้ทั่วโลก ยกเว้นประเทศ นิวซีแลนด์ โรคนี้ทาให้เกิดปัญหาของระบบสืบพันธุ์ในปศุสัตว์ และปัญหาของระบบ ทางเดินหายใจอย่างรุนแรง และโรคตับในคน โรคไข้คิว Q Fever อาการของโรค : หนาวสั่น ปวดศีรษะ ไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ และเหงื่อออกมาก จากการตรวจเอ็กซเรย์อาจพบ อาการปอดบวม อาการไอ มีเสมหะ เจ็บหน้าอกและอาการทางปอดไม่เด่นชัด ซึ่งสามารถเกิดได้ในผู้ที่มีโรคลิ้น หัวใจอยู่เดิม ตรวจพบหน้าที่การทางานของตับผิดปกติ ตับอักเสบชนิดเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ซึ่งอาจสับสนกับโรค ตับอักเสบจากวัณโรคได้ ลักษณะของโรคไข้คิวเรื้อรังหลักๆ คือ เยื่อบุหัวใจอักเสบ ระยะฟักตัวของโรค : ขึ้นอยู่กับจานวนเชื้อ ระยะฟักตัวโดยประมาณ 2 - 3 สัปดาห์ หรือพบในช่วง 3 - 30 วัน