More Related Content
Similar to จักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาท (20)
More from Padvee Academy (20)
จักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาท
- 4. • “จักรวาล” หมายถึง
▫ ปริมณฑล ประชุม หมู่ บริเวณโดยรอบของโลก
(พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน)
• “จักรวาลวิทยา” หมายถึง
▫ ความรู้ที่ว่าด้วยเรื่องโลกและบริเวณโดยรอบของโลก หรือความรู้
เกี่ยวกับโลกและสรรพสิ่ง
ความรู้เบื้องต้นเรื่องจักรวาลวิทยา
๑๑
- 5. จักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาท
• จักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาท คือ
• การศึกษาเรื่องความเป็นไปของโลก จักรวาล และสิ่งมีชีวิต
ตั้งแต่การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และการเสื่อมสลายไป โดยการศึกษา
จากคาสอนที่ปรากฏในพระไตรปิ ฎกและคัมภีร์สาคัญทางพุทธ
ศาสนาฝ่ายเถรวาท เพื่อเตือนสติให้ผู้ศึกษาเข้าใจชีวิตได้อย่าง
ถูกต้อง
- 7. • “จักรวาล” ตามรูปศัพท์ในภาษาบาลีท่านใช้คาว่า “จกฺกวาฬ”
• ซึ่งวิเคราะห์ตามศัพท์ว่า ย่อมผันไปราวกะจักร อธิบายว่า
เคลื่อนไป คือ หมุนไป ราวกะล้อของรถ คือ ย่อมเป็นวงกลม
ราวกะล้อรถ
ลักษณะของ “จักรวาล”
พระสิริมังคลาจารย์, จักรวาฬทีปนี, หน้า ๑.
- 8. ขอบเขตและจานวนของจักรวาล
• ในโรหิตัสสสูตร ที่ ๑ ขยายนัยของประเด็นนี้เอาไว้ว่า
• “ฤาษีตนหนึ่งชื่อ “โรหิตัสสะ” มีฤทธิ์เหาะไปในอากาศได้ มีความ
ปรารถนาที่จะค้นพบเส้นขอบแห่งจักรวาลที่สุดแห่งโลก ท่านงด
เว้นการกิน การดื่ม การขับถ่าย การนอนหลับพักผ่อน แล้วเหาะ
ไปหาที่สุดแห่งจักรวาล ก็ไม่พบเส้นขอบของโลกและจักรวาลสัก
ที พบแต่ความกว้างไกลหาที่สุดมิได้”
ดูรายละเอียดใน องฺ. จตุกฺก (ไทย) ๒๑/๔๕/๗๓-๗๕.
๓
- 13. องค์ประกอบของจักรวาล
๓
• “ในสหัสสีโลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ๑,๐๐๐ ดวง มีดวงอาทิตย์ ๑,๐๐๐
ดวง มีขุนเขาสิเนรุ ๑,๐๐๐ ลูก มีชมพูทวีป ๑,๐๐๐ มีอปรโคยานทวีป
๑,๐๐๐ มีอุตตรกุรุทวีป ๑,๐๐๐ มีปุพพวิเทหทวีป ๑,๐๐๐ มีมหาสมุทร
๔,๐๐๐ มีท้าวมหาราช ๔,๐๐๐ มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราช ๑,๐๐๐ มี
เทวโลกชั้นดาวดึงส์ ๑,๐๐๐ มีเทวโลกชั้นยามา ๑,๐๐๐ มีเทวโลกชั้นดุสิต
๑,๐๐๐ มีเทวโลกชั้นนิมมานรดี ๑,๐๐๐ มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
๑,๐๐๐ มีพรหมโลก ๑,๐๐๐ นี้เรียกว่าสหัสสีโลกธาตุขนาดเล็ก”
ในจูฬนิกาสูตร
ดูรายละเอียดใน องฺ. ติก. (ไทย) ๒๐/๘๑/๓๐๖-๓๐๗.
- 18. โลกคืออะไร ???
• ความหมายในเชิงมนุษย์ศาสตร์
▫ “โลก” หมายถึง หมู่มนุษย์
“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายจงเที่ยวไป
เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข และเพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก”
คาว่าโลก มาจากคาว่า “โลกานุกัมปายะ”
วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐
๔๗
- 19. โลกคืออะไร ???
• ความหมายในเชิงภูมิศาสตร์
▫ “โลก” หมายถึง แผ่นดินอันเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่สัตว์
“เพราะเหตุนั้นแล ผู้รู้แจ้งโลก มีปัญญาดี ถึงที่สุดของโลก
อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว เป็นผู้สงบ รู้ที่สุดแห่งโลกแล้ว
ย่อมไม่ปรารถนาโลกนี้ และโลกอื่น”
ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๐๗/๑๑๙
- 20. โลกคืออะไร ???
• ความหมายในเชิงจริยศาสตร์
▫ “โลก” คือ สังขาร
“นี่แนะอาวุโส เราบัญญัติโลก
ความเกิดแห่งโลก ความดับแห่งโลก
ความดับโลก และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับโลก
ในร่างกายอันยาวประมาณ ๑ วา มีสัญญาและใจ”
ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๐๗/๑๑๙
- 21. โลกคืออะไร ???
• ความหมายในเชิงจิตวิทยา
▫ “โลก” ได้แก่ ความแตกสลาย
“อานนท์ สิ่งใดมีความแตกสลายเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นเราเรียกว่า “โลก” ก็อะไรเล่าชื่อว่า
มีความแตกสลายเป็นธรรมดาสลาย คือ จักขุ....รูป...
จักขุวิญญาณ...จักขุสัมผัสมีความแตกสลายเป็นธรรมดา
แม้ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข หรือทุกข์ หรือมิใช่สุข
มิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส เป็นปัจจัย
ก็มีความแตกสลายเป็นธรรมดา”
ดูรายละเอียดใน ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๘๔/๗๗.
- 25. แบ่งประเภทของโลกในเชิง จริยศาสตร์
(๑) กามโลก หมายถึง โลกของหมู่สัตว์ผู้เกี่ยวข้องอยู่ในกาม
ได้แก่ อบายภูมิ ๔ มนุษยโลก และสวรรค์ ๖ ชั้น
(๒) รูปโลก หมายถึง โลกของหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงรูปฌาน
ได้แก่ รูปพรหม ๑๖ ชั้น
(๓) อรูปโลก หมายถึง โลกของหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงอรูปฌาน
ได้แก่ อรูปพรหม ๔ ชั้น
- 27. แบ่งโลกตามทัศนะของพระพุทธโฆษาจารย์
(๑) โอกาสโลก หมายถึง โลกคือแผ่นดิน
ซึ่งเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต
(๒) สังขารโลก หมายถึง โลกคือสังขาร ของสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต
รวมไปถึงการปรุงแต่งทางอารมณ์ด้วย
(๓) สัตวโลก หมายถึง โลกคือหมู่สัตว์ ซึ่งได้แก่สัตว์ในภูมิต่างๆ
- 35. บทสรุป
• จักรวาลและโลกเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นไปตามเหตุและ
ปัจจัย มิได้มีผู้สร้างหรือบันดาลให้เกิดขึ้น
• การแสวงหาจุดกาเนิดโลกและจักรวาลนั้นเป็น “อจินไตย”
• แต่จุดมุ่งหมายหลักในการนาเสนอเกี่ยวกับโลกและจักรวาลของ
พระพุทธเจ้านั้น มีเป้ าหมายเพียงเพื่อแง่มุมทาง จริยศาสตร์เพื่อ
นาไปสู่การพัฒนาตนเองไปสู่ความจริงสูงสุดของ
พระพุทธศาสนา คือ “นิพพาน” นั่นเอง.....
๙
๑๓
Editor's Notes
- ดาวเคราะห์ (ในภาษากรีก ใช้คำว่า planetes หรือ "ผู้พเนจร") คือ วัตถุขนาดใหญ่ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ ก่อนทศวรรษ 1990 มีดาวเคราะห์ที่เรารู้จักเพียง 9 ดวง (ปัจจุบัน 8 ดวง) ทั้งหมดอยู่ในระบบสุริยะ ปัจจุบันเรารู้จักดาวเคราะห์ใหม่อีกมากกว่า 100 ดวง ซึ่งเป็นดาวเคราะห์นอกระบบ หมายถึง โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่นที่ไม่ใช่ดวงอาทิตย์
- จักรวาล ในทางพุทธศาสนา หมายถึง อาณาเขตอันประกอบด้วยสรรพสิ่งต่างอันมีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางจักรวาล เขาสัตตบริภัณฑ์ ทวีปใหญ่ ๔ ทวีป ทวีปน้อยสองพันทวีป และมหาสมุทร โดยมีเขาจักรวาลล้อมรอบ เรียกว่า จักรวาลหนึ่ง หรือโลกธาตุหนึ่ง และหมายรวมถึง สวรรคภูมิ นรกภูมิ พระจันทร์และพระอาทิตย์
รูปลักษณ์โครงสร้างและธรรมชาติ จักรวาลตามทัศนะของคัมภีร์พระพุทธศาสนาตามที่พรรณนาไว้ไม่สอดคล้องกับความรู้ทางดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาในปัจจุบัน”
- พุทธปรัชญายอมรับว่าจักรวาลที่สิ้นสุดไม่ได้
จากนัยดังที่กล่าวแล้ว ทำให้เราได้มองเห็นภาพรวมของจักรวาลได้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีที่สิ้นสุด
- โกฏิ คือ มาตรานับเท่ากับสิบล้าน พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน
- จะอย่างไรก็ตามขนาดของจักรวาลเชิงภูมิศาสตร์ในทัศนะของพระอรรถกถาจารย์นั้น เป็นเพียงการกล่าวถึงจักรวาลหนึ่งๆ เท่านั้น มิได้หมายถึงขนาดของจักรวาลทั้งหมดในเอกภพ นั่นก็หมายความว่า เมื่อกล่าวถึงจักรวาลใดจักรวาลหนึ่งแล้ว มีขอบเขตที่สมารถกำหนดได้ แต่หากพูดถึงภาพรวมของจักรวาลทั้งหมดแล้ว ย่อมมีขอบเขตที่ไม่สามารถจะกำหนดวัดได้ เนื่องจากว่าจักรวาลนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด (อนันตานิ จักกวาฬานิ)
- แต่ในปัจจุบันนี้เรายังไม่สามารถบอกได้แน่นอนว่าโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเหตุใดเพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้ได้หลักฐานและข้อมูลใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆค่ะ
- พุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าโลกเกิดจากอะไรอย่างชัดเจนพุทธปรัชญาได้นำเสนอว่าโลกนี้ไม่ได้มีผู้สร้าง หากแต่เกิดขึ้นเองตามกฎของอิทัปปัจจยตา
กล่าวคือ โลกเกิดเป็นขึ้นเองโดยธรรมชาติ คือ ธรรมชาติเป็นผู้ปรุงแต่งให้บังเกิดขึ้นเป็นโลกขึ้น และเกิดขึ้นด้วยการเข้ามาประกอบกันของสิ่งต่าง ๆ
- เมื่อวิเคราะห์จากรพระสูตรนี้ ทำให้เราพบคำตอบได้อย่างชัดเจนว่า พระองค์ให้คำตอบเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับวิวัฒนการภัยหลังที่มีโลกคือแผ่นดินอยู่แล้วแต่พระองค์มิได้ตอบอย่างชัดเจนว่า โลกคือแผ่นดินเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่เมื่อเราวิเคราะห์จากบริบทของปฏิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจยตา เราก็คงจะได้รับคำอธิบายว่า โลกเป็นไปตามกฎของธรรมชาติเป็นไปตามเหตุปัจจัย โลกและสรรพสิ่งเป็นวัฏจักร มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วดับไป หมุนเวียนเช่นนี้ หาเบื้องต้น และเบื้องปลายไม่ได้
- พระองค์มองว่าไฟเกิดจากพระอาทิตย์ ๗ ดวง ซึ่งทำหน้าที่ในการเผาผลาญสิ่งในโลกนี้ให้คงเหลือแต่ความว่างเปล่า บทสรุปที่ได้จากประเด็นนี้ก็คือโลกนั้นก็พบจุดจบเช่นเดียวกับมนุษย์ ที่ไม่สามารถฝืนกระแสของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปได้
- อจินไตย คือ เป็นเรื่องที่ไม่ควรไปคิดคำนึงถึง และไม่สามารถไปถึงได้ด้วยการคิด ฉะนั้นเมื่อใครเสียเวลาไปคิด จึงเป็นประดุจ “คนบ้า”