งานคอม
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน
การศึกษาสารสกัดจากธรรมชาติที่สามารถยับยั้งเชื้อราที่ปนเปื้อนในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชอย่างง่าย
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นางสาวปรียานุช เปรมสมาน ชั้น ม6/8 เลขที่ 24
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1.นางสาวปรียานุช เปรมสมาน เลขที่ 24
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
การศึกษาสารสกัดจากธรรมชาติที่สามารถยับยั้งเชื้อราที่ปนเปื้อนในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชอย่างง่าย
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Study of natural extracts that can inhibit fungal contamination in simple plant tissue culture
ประเภทโครงงานเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวปรียานุช เปรมสมาน
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ชื่อที่ปรึกษาร่วม –
ระยะเวลาดาเนินงานภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
หลักการการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชให้สาเร็จ อยู่ที่องค์ประกอบของสารอาหารและเทคนิคการปลอดเชื้อ
เนื้อเยื่อพืชจึงจะเจริญเติบโตได้ดีและปลอดโรค ปัจจุบันมีเทคนิคการทาให้ปลอดเชื้อโดยใช้ไฮเตอร์เป็นสารฆ่าเชื้อ
ในอาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชแทนการฆ่าเชื้อโดยใช้หม้อนึ่งความดันไอน้า121 องศาเซลเซียส 15 ปอนด์ 15 นาที
ด้วย Autoclave การฆ่าเชื้อโดยไฮเตอร์ดังกล่าวสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้แต่ยังพบปัญหาการปนเปื้อนจากเชื้อรา
จึงควรคัดเลือกสารกลุ่มอื่นมาช่วยในการฆ่าเชื้อราและด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชที่มีขั้นตอนยุ่งยาก ยากต่อการที่
- 3. 3
เกษตรกรจาได้สาเร็จจึงควรเลือกใช้สารที่มีราคาถูกและหาได้ง่ายในท้องถิ่นเป็นส่วนผสมและยังต้องไม่มีฤทธิ์เป็น
พิษต่อเซลล์พืช ผู้ทาวิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาสารสกัดจากธรรมชาติมาเป็นองค์ประกอบของอาหารเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช
หรือใช้ในขั้นตอนการฆ่าเชื้อจากเนื้อเยื่อพืชร่วมกับไฮเตอร์เพื่อฆ่าเชื้อราที่ปนเปื้อนในกระบวนการเพาะเลี้ยง
เนื้อเยื่อพืช
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1. เพื่อคัดแยกเชื้อราที่ปนเปื้อนในกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชอย่างง่าย
2. เพื่อหาสารสกัดจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ปนเปื้อนในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชอย่าง
ง่าย
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
ศึกษาสารสกัดจากธรรมชาติแต่ละชนิดที่สามารถยับยั้งเชื้อราในอาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสูตรกิตติศักดิ์ 2556
โดยวิธีการ well diffusion
หลักการและทฤษฎี(ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
1.การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช (Plant tissue culture)
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช คือ การนาเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของพืช ไม่ว่าจะเป็นส่วนอวัยวะหรือส่วนเนื้อเยื่อมาเลี้ยงใน
อาหารวิทยาศาสตร์ที่ประกอบด้วย แร่ธาตุ น้าตาล วิตามิน และสารควบคุมความเจริญเติบโต ภายใต้สภาพปลอด
เชื้อจุลินทรีย์และอยู่ในสภาวะควบคุมอุณหภูมิ แสง ความชื้น โดยส่วนของพืชที่นามาเลี้ยงนี้จะสามารถเติบโต
พัฒนาได้หลายรูปแบบ เช่น พัฒนาเป็นส่วนอวัยวะ เกิดเป็นกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า แคลลัส หรือ คัพภะ (ต้นอ่อนขนาด
เล็ก) ที่เรียกว่า เอ็มบริโอ และยังสามารถบังคับให้ส่วนต่างๆ เหล่านี้เกิดเป็นต้นใหม่ที่มีรากที่สมบูรณ์สาหรับการ
นาไปปลูกลงดินต่อไปได้(สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2542)
พืชที่เกิดขึ้นมาจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะมีลักษณะเหมือนกับพืชต้นพันธุ์ที่นามาใช้เพาะเลี้ยงทุกประการ
จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถนามาใช้ในการขยายพันธุ์พืช และการเก็บรักษาและอนุรักษ์เชื้อพันธุ์พืชต่างๆ โดยอาศัย
การเก็บกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า แคลลัสของพืชไว้ที่อุณหภูมิเย็นจัดถึง -196 °Cภายใต้ไนโตรเจนเหลว ซึ่งวิธีนี้จะ
สามารถเก็บพืชได้เป็นเวลานานโดยไม่มีการกลายพันธุ์ หรืออาจใช้ใน การเก็บรวบรวมพันธุ์พืชโดยบังคับให้พืช
โตช้าๆ ในขวดแก้วเล็กๆ ซึ่งการอนุรักษ์พันธุ์พืชเช่นนี้จะใช้พื้นที่น้อยกว่าการเก็บพันธุ์พืชที่ผลิตเป็นต้นพืชโดยตรง
(สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2542)
นอกจากนี้การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชยังมีประโยชน์ต่อการแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชกับต่างประเทศที่สะดวก
ขึ้นพืชที่อยู่ในขวดสะอาดปราศจากเชื้อจุลินทรีย์และราที่จะทาอันตรายต่อพืชโดยเฉพาะการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช
สมุนไพรในรูปแบบเซลล์แขวนลอยยังช่วยในการผลิตสารต่างๆที่ใช้เป็นยารักษาโรคหรือสารที่ใช้เป็นยาฆ่าแมลง
ได้อีกทั้งยังเป็นประโยชน์มหาศาลในการปรับปรุงพันธุ์พืชให้พืชต้านทานโรคและแมลงได้ดีขึ้นหรือให้ผลผลิต
มากขึ้นโดยอาศัยเทคนิคในการเลี้ยงต้นอ่อนขนาดเล็กเทคนิคในการเพาะเลี้ยงอับละอองเกสรและละอองเกสรพืช
- 4. 4
หรือเทคนิคในการชักนาให้พืชกลายพันธุ์เป็นพันธุ์ใหม่ๆ โดยอาศัยสารเคมีหรือการฉายรังสี เป็นต้น (สานักงาน
พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2542)
2.อาหารเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช
อาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในโครงงานนี้ใช้สูตรอาหารของผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.กิตติศักดิ์ โชติเดชา
ณรงค์ ในการศึกษา ซึ่งมีส่วนประกอบและวิธีการ คือ ชั่งวุ้นปริมาณ 8 กรัม และน้าตาล 30 กรัม ต่อการทาอาหาร 1
ลิตร ละลายน้าตาล 30 g ในน้า 500 ml คนให้ละลาย เติมสูตรอาหารไฮโดรโปนิก สูตร A และ B ปริมาตรอย่างละ
5 ml ปรับ pH ให้เท่ากับ 5.8 ใส่ผงวุ้นตรานางเงือกปริมาณ 7 กรัม นาไปต้มจนเดือด ปรับอุณหภูมิให้เย็นลงเหลือ 60
องศาเซลเซียส เติมน้ายาฆ่าเชื้อไฮเตอร์ปริมาตร 0.5 มิลลิลิตร แล้วเทลงใน plate (กิตติศักดิ์, 2556)
3. Agar diffusion method
มีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น well diffusion หรือ paper disk diffusion
-well diffusion (well = หลุมหรือบ่อ) สามารถทาได้ง่ายๆ คือเจาะวุ้นให้เป็นหลุมเติมสารละลายที่จะทดสอบลงไป
สารที่ทดสอบจะแพร่ออก (diffusion) ไปในเนื้อวุ้น
-paper disk diffusion ใช้แผ่นกระดาษกลมๆ หยดสารที่จะทดสอบลงในกระดาษ ปล่อยให้แห้ง นาไปวางบนวุ้น
สารจะแพร่ออกจากแผ่นกระดาษ
4.การสกัดสมุนไพร
ในการสกัดสมุนไพรนั้น ทาได้หลายวิธี แต่ที่รู้จักกันโดยทั่วไป คือ การสกัดด้วยตัวทาละลาย โดยเกณฑ์ที่
ใช้ในการเลือกตัวทาละลาย ก็จะต้องดูว่า เราต้องการสารอะไรออกมาจากสมุนไพรนั้น มีขั้ว/ไม่มีขั้ว
(polar/nonpolar) หากต้องการพวกน้ามันซึ่งเป็นพวกที่ไม่มีขั้ว ก็ใช้ตัวทาละลายไม่มีขั้ว ถ้าต้องการพวกที่มีขั้วขึ้นมา
หน่อย ก็ใช้ตัวทาละลายที่มีขั้วสูงขึ้นมา
ตัวทาละลายที่ใช้ในห้องปฏิบัติการเคมีอินทรีย์เช่น เฮกเซน , คลอโรฟอร์ม, เอทิลอะซิเตด, เมทานอล, ฯลฯ
ซึ่งแต่ละตัวก็มีขั้วที่ต่างๆ กัน
ขั้นตอนในการสกัดสมุนไพรด้วยตัวทาละลาย ก็มีดังนี้ (แบบคร่าวๆ) :
นาพืชสมุนไพรมาอบให้แห้งที่อุณหภูมิไม่เกินประมาณ 40 องศาเซลเซียส หรือตากลมให้แห้ง แล้วบดให้ละเอียด
(ที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้) นาไปแช่ในตัวทาละลายทิ้งไว้อย่างน้อย 3 วัน แล้วกรองเอาส่วนที่เป็นของเหลวออกมา
(สามารถแช่ซ้าอีกได้โดยเติมตัวทาละลายลงไปอีก) นาสารละลายที่ได้มาระเหยแห้งก็จะได้สารสกัดหยาบออกมา
ซึ่งอาจมีสารที่เราต้องการปนอยู่กับสารชนิดอื่นก็ได้
แนะนาว่า ถ้าต้องการเอาไปใช้กับคน ควรแยกสารให้ได้สารที่บริสุทธิ์ หรือที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพที่เรา
ต้องการจริงๆ ไม่ควรนาสารสกัดหยาบไปใช้ทันที เพราะอาจมีผลข้างเคียงจากสารอื่นๆ ในสารละลายนั้นก็ได้
- 5. 5
ข้อควรระวังก็คือ ตัวทาละลายอินทรีย์ทุกชนิด ล้วนเป็นอันตรายต่อร่างกายทั้งสิ้น อาจถึงตาย หรือพิการได้
เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นตัวทาละลายของสารอินทรีย์และร่างกายเราก็เป็นสารอินทรีย์เหมือนกัน ดังนั้น ใน
การทาสารพวกนี้ ต้องมีการป้องกันตัว โดยการสวมผ้าปิดจมูก แว่นตาแล็บ เสื้อคลุม และถุงมือให้เรียบร้อย เพื่อ
ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์(สิน)
หรือถ้าใช้วิธีแบบภูมิปัญญาชาวบ้านก็คือ จะใช้เอทานอล หรือแอลกอฮอลล์กินได้หรือ เหล้าขาว มาเป็น
ตัวทาละลาย แต่ไม่ควรนามาทานโดยตรง อาจใช้เป็นยาทาภายนอก (แล้วแต่สรรพคุณ) หรืออาจสกัดด้วยน้ากลั่นก็
ได้แล้วแต่ ว่าต้องการสารอะไร
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
งบประมาณ
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
__________________________________________________________________
___________________________________________________________________
- 6. 6
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
สถานที่ดาเนินการ
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)