More Related Content Similar to ระบบหมุนเวียนเลือด Similar to ระบบหมุนเวียนเลือด (20) More from Thitaree Samphao More from Thitaree Samphao (7) ระบบหมุนเวียนเลือด 2. สืบค้นข้อมูล ทดลอง อภิปราย และอธิบายการลาเลียงในร่างกายของสัตว์บางชนิด
สืบค้นข้อมูล ทดลอง อภิปราย และสรุปเกี่ยวกับการลาเลียงสารในร่างกายของคน
สืบค้นข้อมูล ศึกษา อภิปราย และสรุปเกี่ยวกับส่วนประกอบและหน้าที่ของเลือด
จุดประสงค์การเรียนรู้
5. สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
ไม่มีอวัยวะที่ทาหน้าที่เป็นระบบลาเลียงสาร
โมเลกุลอาหารหรือก๊าชต่างๆ จะแพร่เข้าออก
ระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์และสิ่งแวดล้อมโดยตรง
การลาเลียงสารในร่างกายสัตว์ที่ไม่มีระบบเลือด
โพรโตซัว
ฟองน้าและไฮดรา
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
การรับและกาจัดสารเกิดขึ้นโดยการแพร่ผ่าน
ช่องแกสโตรวาสคิวลาร์ (Gastrovascular
Cavity) ทาหน้าที่เป็นทั้งทางเดินอาหารและ
ระบบหมุนเวียน
7. ไม่มีระบบเลือด
ใช้การหมุนเวียนของเหลวใน Pseudo coelom
หนอนตัวกลม (P. Nematoda)
การลาเลียงสารในร่างกายสัตว์ไม่มีระบบเลือด
ดาวทะเล (P. Echinodermata)
ใช้ระบบลาเลียงน้า (Water vascular system)
ในการแลกเปลี่ยนแก๊สกับสิ่งแวดล้อม
มีท่อรัศมีที่แยกมาจากท่อวงแหวน เป็นทางน้าผ่าน
ทาหน้าที่ลาเลียงนั่นเอง
8. มีระบบลาเลียงที่มีประสิทธิภาพสูงเรียกว่า ระบบหมุนเวียนเลือด (Circulatory system)
ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด (Open circulatory system): เลือดไหลออกจากหัวใจไป
ตามหลอดเลือด ผ่านช่องว่างลาตัว และที่ว่างระหว่างอวัยวะต่าง เลือด และน้าเหลืองจึง
ปนกันได้ เรียกว่า ฮิโมลิมพ์ (Haemolymph) พบในพวกอาร์โทรพอด มอลลัสก์ (ยกเว้น
ปลาหมึก) โพรโทคอร์เคต (เพรียงหัวหอม และแอมฟิออกซัส) และอาร์โทรพอด (แมลง
แมง กุ้ง กั้ง ปู ตะขาบ และกิ้งกือ)
ระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด (Closed circulatory system): เลือดจะไหลเวียนภายใน
ท่อของหลอดเลือดและหัวใจตลอดเวลา พบในสัตว์พวกแอนเนลิด เป็นพวกแรก
การลาเลียงสารในสัตว์ที่มีโครงสร้างร่างกายซับซ้อน
9. ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด
หัวใจ (Heart): ส่วนของหลอดเลือดที่โป่ง
ออก
ซ้ายและขวาของหัวใจโป่งออก มีรูเล็กๆ ที่
มีลิ้นปิด-เปิด เรียกว่า ออสเทีย (Ostia)
หัวใจบีบตัว: เลือดไหลไปตามหลอดเลือด
และปะปนในช่องว่างในลาตัว
(Haemocel)
หัวใจคลายตัว: ลิ้นหัวใจที่ Ostia เปิด
เลือดจากเนื้อเยื่อไหลเข้าสู่หัวใจ
เลือดของแมลงไม่มีสีเนื่องจากไม่มี
hemoglobin และ hemocyanin
ระบบหมุนเวียนเลือดในแมลง
10. ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด
ส่วนใหญ่มีหัวใจ 3 ห้อง สูบฉีดเลือดไหลออกจากเส้นเลือดไปสู่ช่องว่างลาตัวรอบ
อวัยวะต่างๆ จากนั้นไหลไปที่เหงือก (ฟอกเลือด) แล้วกลับสู่หัวใจทางเส้นเลือด
เลือดมีสีน้าเงินหรือสีฟ้า เนื่องจากมี hemocyanin
ระบบหมุนเวียนเลือดในหอย
11. ระบบหมุนเวียนเลือดเป็นวงจรเดี่ยว
(single circulation): เลือด
ไหลเวียนทั่งร่างกายครบรอบจะผ่าน
หัวใจครั้งเดียว หัวใจมี 2 ห้อง
ระบบหมุนเวียนเลือด 2 วงจร
(double circulation): เลือดไหล
เข้าหัวใจ 2 ครั้ง ครั้งที่หนึ่งเพื่อนา
เลือดไปแลกเปลี่ยนแก๊ส ครั้งที่สอง
เพื่อนาเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของ
ร่างกาย พบในสัตว์ที่มี หัวใจ 3 ห้อง
4 ห้องไม่สมบูรณ์ และ 4 ห้อง
สมบูรณ์
ระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด (CLOSED CIRCULATORY SYSTEM):
12. พวกแรกที่มีระบบหมุนเวียนเลือด
แบบปิด
เลือด: น้าเลือด+เม็ดเลือด
Hemoglobin ละลายอยู่ในน้าเลือด
ทาหน้าที่ลาเลียง O2 ไปให้เซลล์
ห่วงหลอดเลือดพองออกรอบๆ
หลอดอาหารประมาณ 5 ห่วง
เรียกว่า หัวใจเทียม (Pseudoheart)
ทาหน้าที่สูบฉีดเลือด
การแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดที่เนื้อเยื่อและ
หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนัง
ระบบหมุนเวียนเลือดในไส้เดือนดิน
13. อวัยวะสูบฉีดเลือด 3 แห่ง
Gill heart: มี 2 แห่ง ทาหน้าที่สูบฉีดเลือดที่มี O2 ต่า จากอวัยวะภายในไปยังเหงือกเพื่อ
แลกเปลี่ยนแก๊ส
Systemic heart: มี 1 แห่ง หน้าที่สูบฉีดเลือดที่มี O2 สูงไปยังอวัยวะภายในและเนื้อเยื่อ
ต่างๆ
เลือดที่ส่งมาจาก Systemic heart เป็นเลือดที่ฟอกแล้วจากเหงือก
เลือดมีสีน้าเงิน เนื่องจากมี hemocyanin
ระบบหมุนเวียนเลือดในปลาหมึก
14. มีหัวใจ 2 ห้อง : 1 Atrium และ 1 Ventricle
เลือดที่ไหลผ่านหัวใจจะเป็นเลือดที่มี O2 ต่าเท่านั้น
เลือดที่ใช้แล้วเข้าสู่หัวใจทาง Atrium และถูกส่งออกทาง Ventricle ไปยัง Gill เพื่อ
แลกเปลี่ยนแก๊ส
เลือดที่ออกจาก Gill เป็นเลือดที่มี O2 มากจะถูกส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ระบบหมุนเวียนเลือดในปลา
16. มีหัวใจ 3 ห้อง: 2 Atrium และ 1 Ventricle
Right Atrium: รับเลือดที่ใช้แล้วซึ่งมี CO2 สูงจากหลอดเลือด Vein
Left Atrium: รับเลือดที่ฟอกแล้วจาก lung ซึ่งมี O2 สูง
เลือดจาก Atrium ทั้ง 2 ถูกส่งมาที่ Ventricle ซึ่งเลือดจะปะปนกันเล็กน้อย
ระบบหมุนเวียนเลือดในสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก
17. หัวใจ 4 ห้อง แต่ผนังกล้ามเนื้อกั้นห้อง
Ventricle ยังแบ่งไม่สมบูรณ์
ถือว่ามีหัวใจ 4 ห้อง ไม่สมบูรณ์ ยกเว้น
จระเข้ที่มีหัวใจ 4 ห้องสมบูรณ์
ระบบหมุนเวียนเลือดในสัตว์เลื้อยคลาน
18. มีหัวใจ 4 ห้องสมบูรณ์: 2 Atrium และ 2 Ventricle
มีประสิทธิภาพในการทางานสูงเพราะแยกเลือดที่มี O2 สูง และเลือดที่มี CO2 สูงออก
จากกันโดยเด็ดขาด
ระบบหมุนเวียนเลือดในนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
21. โครงสร้างของหัวใจ
การเต้นของหัวใจ (conducting system)
ความดันเลือด (Blood pressure)
หลอดเลือด (Blood vessel)
ส่วนประกอบของเลือด
หมู่เลือดและการให้เลือด
โครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการหมุนเวียนเลือดในคน
22. ผนังหัวใจ: พัฒนามาจาก mesoderm หุ้มด้วย
pericardium
กล้ามเนื้อหัวใจ: เนื้อเยื่อ 3 ชั้น:
ชั้นนอก (epicardium): มีไขมัน มีหลอด
เลือดนาเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ
เรียกว่า Coronary artery
ชั้นกลาง (Myocardium): หนาที่สุด หัวใจ
แต่ละห้องหนาไม่เท่ากัน (ความหนา:
LV>RV>LA>RA) เพราะรับแรงดันไม่
เท่ากัน (แรงดัน : LV>RV>LA>RA) มี
Cardiac muscle
ชั้นใน (Endocardium): เนื้อเยื่อบุผิว
กล้ามเนื้อเรียบและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น
atrioventricular valve, semilunar
valve, chordae tendineae papillary
muscle
หัวใจ (HEART)
25. มี 4 ห้อง: 2 Atrium และ 2 Ventricle
Right Atrium (RA) : หัวใจห้องบนขวา ผนัง
บางที่สุด แรงดันน้อยที่สุด
รับเลือดที่มี O2 ต่าจาก Superior vena
cava (หัวและแขน) และ Inferior vena
cava (ลาตัว และขา)
ส่งเลือดที่มี O2 ต่าไปให้ RV
ลิ้นประจาห้องคือ tricuspid valve
Right Ventricle (RV) : หัวใจห้องล่างขวา
รับเลือดที่มี O2 ต่าจาก RA ผ่านลิ้น
tricuspid valve
ส่งเลือดที่มี O2 ต่าไปฟอกที่ปอดผ่านทาง
เส้นเลือด Pulmonary artery
ลิ้นประจาห้องคือ Pulmonary
semilunar valve
ห้องหัวใจ
26. Left Atrium (LA) : หัวใจห้องบนซ้าย ขนาด
เล็กที่สุด
รับเลือดที่มี O2 สูงจากปอดผ่านทางเส้น
เลือด Pulmonary vein
ส่งเลือดที่มี O2 สูงไปให้ LV
ลิ้นประจาห้องคือ bicuspid valve หรือ
mitral valve
Left Ventricle (LV) : หัวใจห้องล่างซ้าย ผนัง
หนาที่สุด แรงดันน้อยที่สุด
รับเลือดที่มี O2 สูงจาก LA ผ่านลิ้น
bicuspid valve
ส่งเลือดที่มี O2 สูงไปเลี้ยงทั่วร่างกายผ่าน
ทางเส้นเลือด aorta
ลิ้นประจาห้องคือ aortic semilunar
valve
ห้องหัวใจ
27. ลิ้นหัวใจ
Tricuspid valve:
อยู่ระหว่างหัวใจห้อง Right
Atrium กับ Right
Ventricle
ลักษณะเป็น 3 แผ่น
ฝังตัวอยู่ในผนังหัวใจห้อง
Ventricle โดยอาศัย
chordae tendineae เป็น
ตัวยืด เพื่อควบคุมการเปิด
ปิดลิ้น
ป้องกันไม่ให้เลือดใน
Ventricle ไหลย้อนกลับขึ้น
สู่ Atrium
28. ลิ้นหัวใจ
Pulmonary valve หรือ
Semilunar valve :
อยู่ที่โคนของหลอดเลือด
Pulmonary artery
ลักษณะเป็นถุงรูป
พระจันทร์ครึ่งเสี้ยว 3
ใบบรรจบกัน ไม่ยึด
ติดกันด้วย chordae
tendineae
หน้าที่กั้นไม่ให้เลือดไหล
กลับลงสู่ Right
Ventricle
29. ลิ้นหัวใจ
Bicuspid valve หรือ Mitral
valve:
อยู่ระหว่างหัวใจห้อง Left
Atrium และ Left
Ventricle
คล้ายกับ Tricuspid
valve แต่มี 2 แผ่น ยึด
ติดกันด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
chordae tendineae
หน้าที่กั้นไม่ให้เลือดใน
Left Ventricle ไหล
ย้อนกลับขึ้นไปที่ Left
Atrium
30. ลิ้นหัวใจ
Aortic valve หรือ
Semilunar valve :
อยู่ที่โคนของหลอดเลือด
Aorta
ลักษณะเป็นวงรูป
พระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
หน้าที่ป้องกันไม่ให้เลือด
ไหลย้อนกลับลงมาใน
Left Ventricle
39. การหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อ
หัวใจเป็นจังหวะสม่าเสมอ เรียกว่า ชีพ
จร
อัตราการเต้นของหัวใจ: วัดจาก
หลอดเลือดแดงหรือ artery เป็นจานวน
ครั้งต่อนาที
ขณะกล้ามเนื้อหัวใจหดและคลายตัว
เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้า
เครื่องมือที่ใช้วัดความต่างศักย์ไฟฟ้า
ของหัวใจเรียกว่า Electrocardiogram
หรือ ECG หรือ EKG (เครื่องตรวจ
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ) ใช้ตรวจสอบการ
เต้นของหัวใจ วินิจฉัยโรคเกี่ยวกับหัวใจ
การทางานของกล้ามเนื้อหัวใจ
40. วัดที่ artery ที่ข้อมือ/เท้า ต้นคอ ขมับ
72 ครั้ง/นาที ขึ้นอยู่กับกิจกรรม อายุ เพศ
วัย (ถ้านักเรียนอายุ 17 ปีหัวใจของ
นักเรียนเต้นมาแล้วกี่ครั้ง??)
CO = SV x HR
CO (cardiac Output) = ปริมาตร
เลือดที่ออกจาก ventricle ใน 1 นาที
SV (Stroke Volume) = ปริมาตร
เลือดที่ออกจาก ventricle ใน 1 ครั้ง
HR (Heart Rate) = อัตราการเต้น
ของหัวใจกี่ครั้งใน 1 นาที
HEART RATE = PULSE (ชีพจร)
41. องค์ประกอบ
P wave : atrium
systole
QRS complex :
ventricle systole และ
atrium diastole
T wave : ventricle
diastole
การวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ELECTROCARDIOGRAM : EKG)
42. cardiac muscle ของสัตว์มีกระดูกสันหลังสามารถกระตุ้นได้เอง (self-excitable)
sinoatrial (SA) node ควบคุมอัตราและเวลาในการบีบตัวของหัวใจ
SA node วางตัวอยู่บนผนังของ atrium ขวาใกล้กับบริเวณที่ superior vena cava
Atrioventricular (AV) node วางตัวอยู่บนผนังของหัวใจระหว่าง atrium และ
ventricle ขวา
จังหวะการเต้นของหัวใจ (HEART’S RHYTHMIC BEAT)
43. SA node นากระแสความรู้สึก
ได้เอง เพราะมีผู้ให้จังหวะคือ
pace marker
SA node ผลิตกระแสไฟฟ้า
กระจายทั่ว atrium
atrium บีบตัวไล่เลือดไปที่
ventricle ส่งกระแส
ประสาทต่อไปที่ AV node ที่
ฐานของ atrium ขวา
กระแสไฟฟ้าถูกหน่วงอยู่ที่ AV
node เพื่อให้แน่ใจว่า
ventricle รับเลือดเรียบร้อย
แล้ว
กลไกการเต้นของหัวใจ
44. กระแสไฟฟ้าจะผ่านต่อลงไปทาง
AV bundle (septum) แยก
ไป right & left bundle
branches
กระแสไฟฟ้าจะถูกส่งต่อเข้าสู่หัวใจ
ของ ventricle ผ่านทาง
purkinje fibers อย่างรวดเร็ว
ventricle บีบตัวไล่เลือดออก
จากหัวใจ
กลไกการเต้นของหัวใจ
45. สามารถใช้ stethoscope ฟัง
เสียงของหัวใจได้โดยจะได้ยิน
เสียง lub-dup, lub-dup, lub-
dup
Lub: เป็นเสียงของเลือดที่
กระแทก AV valve เมื่อ
ventricle บีบตัว
Dup: เป็นเสียงของเลือดที่
กระแทก semilunar valve เมื่อ
ventricle คลายตัว
เสียงของหัวใจ
46. แรงดันที่ทาให้เลือดไหลไปตามหลอดเลือด
วัดที่ artery บริเวณแขนด้านบน
systolic pressure : ความดันสูงสุดขณะ
หัวใจบีบตัว คนปกติมีค่า 120 mmHg
diastolic pressure : ความดันต่าสุด
ขณะหัวใจคลายตัว คนปกติมีค่า 80 mmHg
บันทึกค่าความดัน 2 ค่าเป็น 120/80
mmHg
นอนราบกับพื้น ความดันปลายเท้า
ใกล้เคียงความดันที่อก เลือดหมุนเวียนใน
แนวนอน
ยืนความดันบริเวณขาสูงที่สุด และศีรษะ
น้อยที่สุด เพราะเลือดไหลลงตามแรงดึงดูด
ของโลก
BLOOD PRESSURE : BP
47. ปัจจัยที่มีผลต่อความดันเลือด : เพศ
อายุ ภาวะอารมณ์ น้าหนักร่างกาย
อาหาร สารที่ร่างกายได้รับ
ความดันเลือดต่า (Hypotension):
ความดันเลือดในขณะพักต่ากว่า
ความดันปกติ
ความดันเลือดสูง
(Hypertension): ความดันเลือด
ในขณะพักสูงกว่าความดันปกติ
เนื่องจากเส้นเลือดขาดความยืดหยุ่น
โรคไต เบาหวาน ภาวะขาดการออก
กาลังกาย
ความผิดปกติเกี่ยวกับความดันเลือด
48. ระบบประสาทอัตโนวัติ : เส้นประสาทซิมพาเทติกเร่งการเต้นของหัวใจ เส้นประสาทพารา
ซิมพาเทติกยับยั้งการทางานของหัวใจ
ศูนย์ควบคุมการทางานของหัวใจ : สมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา
ฮอร์โมน : เอพิเนฟรินจากต่อมหมวกไตส่วนในและไทรอกซินจากต่อมไทรอยด์ ทาให้หัว
ใจเต้นแรงและเร็ว
การควบคุมการทางานของหัวใจ
54. หลอดเลือด (BLOOD VESSEL)
Arterial system : ทิศทางออกจากหัวใจไปยังปอดและส่วนต่างๆ ของร่างกาย
Venous system : ออกจากปอด และส่วนต่างๆ ของร่างกายและมีทิศทางเข้าสู่หัวใจ
Capillaries system : แทรกตามเนื้อเยื่อ และเชื่อมระหว่าง Arterial system กับ
Venous system
57. ขนาดเล็ก ผนังบาง
ประกอบด้วยเซลล์เอนโด
ทีเลียล เรียงตัวชั้นเดียว
ไม่มีกล้ามเนื้อและเส้นใยอิ
ลาสติน
สานกันเป็นร่างแหตาม
เนื้อเยื่อ เชื่อมต่อระหว่าง
อาร์เทอริโอลและเวนูล
ทาหน้าที่แลกเปลี่ยน
อาหาร แก๊ส และสาร
ต่างๆ
ระบบหลอดเลือดฝอย (CAPILLARY)
58. หน้าที่นาเลือดจากปอดและส่วนต่างๆ
ของร่างกายกลับเข้าหัวใจ
Vena cavaVeinVenule
ผนัง 3 ชั้น และบางกว่า อาร์เทอรี
เนื่องจากกล้ามเนื้อน้อยกว่า
แรงดันเลือดในหลอดเลือดเวนต่ากว่า
อาร์เทอรี ใกล้หัวใจแรงดันเลือดจะต่า
เนื่องจากอยู่ห่างแรงบีบของหัวใจ
ผนังยืด ขยายได้
หลอดเลือนเวนขนาดใหญ่จะมีลิ้นกั้น
เป็นระยะ ป้องกันไม่ให้เลือดไหล
ย้อนกลับ ยกเว้น pulmonary vein
หลอดเลือดเวน
62. ให้นักเรียนเปรียบเทียบหลอดเลือดอาร์เทอรี เวน และหลอดเลือดฝอยในหัวข้อ
1. ทิศทางการไหลของเลือดในหลอดเลือด
2. ลักษณะของเลือดในหลอดเลือด
3. ลิ้นในหลอดเลือด
4. ความหนาของผนังหลอดเลือด
5. ปริมาณเลือดในหลอดเลือด
6. การมองเห็นจากภายนอก
7. ความเร็วของกระแสเลือดในหลอดเลือด
8. การไหลของเลือดในหลอดเลือด
9. แรงดันเลือด
หลอดเลือด
66. ของเหลวใส
หน้าที่ลาเลียงสาร
H2O 90% : ตัวพาเซลล์เม็ดเลือดให้
หมุนเวียนในหลอดเลือด
Protein: albumin ทาให้เกิด
แรงดันออสโมซิส, α-globulin เป็น
ตัวพา bilirubin ไปที่ตับ, ß-
globulin เป็นส่วนประกอบของ
antibody, fibrinogen และ
prothrombin เกี่ยวข้องกับการ
แข็งตัวของเลือด
น้าตาล ไขมัน แอนติบอดี เซรัม
และของเสีย
ส่วนประกอบของเลือด : พลาสมา (PLASMA)
68. รูปร่าง : กลม ตรงกลางบุ๋ม พื้นผิวเป็นโปรตีน
Hemoglobin มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ
ระยะเอ็มบริโอ : สร้างจากถุงไข่แดง (yolk
sac), ม้าม (spleen), ตับ ต่อมน้าเหลือง ไข
กระดูก
หลังคลอด สร้างที่ไขกระดูก
ขณะสร้าง : เม็ดเลือดแดงมีนิวเคลียส
อายุ: 100-120 วัน
โตเต็มที่ : นิวเคลียสสลายพร้อมไมโทคอนเด
รียและไรโบโซม
ทาลายเซลล์เม็ดเลือดแดง: ตับ ม้าม
หน้าที่: ขนส่ง O2 ลาเลียง O2 ไปเลี้ยงร่างกาย
โดย O2 จับกับ hemoglobin ได้เป็น
oxyhemoglobin
RED BLOOD CELL
69. โตกว่า จานวนน้อยกว่าเม็ดเลือดแดง มี
นิวเคลียส
อายุ: 2-3 วัน
สร้างจาก: ไขกระดูก ม้าม ต่อมไทมัส ต่อม
น้าเหลือง
ถูกทาลาย: โดยเชื้อโรค
จานวนเพิ่มขึ้นเมื่อติดเชื้อ (infection)
เด็ก > ผู้ใหญ่
หน้าที่: ป้องกันหรือทาลายเชื้อโรคและ
ต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย โดย
วิธี phagocytosis
แบ่งเป็น 2 ชนิด: granulocyte และ
agranulocyte
WHITE BLOOD CELL
70. อยู่ในไซโทพลาซึม มีนิวเคลียสใหญ่คอดเป็นพู (lobe) มี 3
ชนิด
Neutrophil: แกรนูลละเอียด ติดสีชมพู นิวเคลียสแยก
เป็นพู หน้าที่จับแบคทีเรีย โดย phagocytosis มี
lysosome มาย่อยเรียกว่า microphage
Basophil: แกรนูลใหญ่ ย้อมติดสีม่วง นิวเคลียสคล้ายตัว
S ทาหน้าที่สร้าง histamine serotonin (ทาให้กล้ามเนื้อ
ผนังหลอดเลือดหดตัว) และเฮปารีน (ทาให้เลือดในหลอด
เลือดเหลวตลอดเวลา) หน้าที่กินแบคทีเรีย ช้ามาก
GRANULOCYTE
72. นิวเคลียสใหญ่ มี 2 ชนิด
Lymphocyte: นิวเคลียสกลม เกือบเต็ม
เซลล์ เคลื่อนที่ได้ หน้าที่สร้างแอนติบอดี
สร้างสารต่อต้านสิ่งแปลกปลอม
มี 2 ชนิด คือ T-cell (สร้างที่กระดูก เจริญ
ที่ต่อมไทมัส) และ B-cell (สร้างและเจริญ
ในไขกระดุก)
Monocyte: ใหญ่ที่สุด นิวเคลียสรีคล้าย
รูปไตเกือบเต็มเซลล์ ทาลายสิ่ง
แปลกปลอม เคลื่อนที่ได้โดยวิธี
phagocytosis ทางานร่วมกับ
Neutrophil กินสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่
เรียกว่า macrophage
เม็ดเลือดขาวสามาเคลื่อนที่ผ่านผนังหลอด
เลือดออกมาที่เนื้อเยื่อได้
AGRANULOCYTE
75. รูปร่างไม่แน่นอน ชิ้นเล็กๆ ในน้า
เลือด
เกิดจาก: cytoplasm และ
megakaryocyte ในไขกระดูก
megakaryocyte 1 cell สร้าง
platelets ได้ 3,000-4,000
platelets
ไม่มีนิวเคลียส
เลือด 1 ml มี 250,000 platelets
อายุ: ประมาณ 7-10 วัน
PLATELETS
77. ขั้นที่ 1 : Thromboplastin จาก platelet และเนื้อเยือที่ได้รับอันตราย
ขั้นที่ 2 : Thromboplastin เปลี่ยน Prothrombin ให้เป็น Thrombin โดยอาศัย
Ca2+ และปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดใน plasma
ขั้นที่ 3 : Thrombin ไปเปลี่ยน Fibrinogen เป็น Fibrin
ขั้นที่ 4 : Fibrin เส้นเล็กๆ รวมตัวเป็นเส้นใยไฟบริน และไปประสานกันเป็นร่างแห
และมี platelet เม็ดเลือดต่างๆ มาเกาะติดอยู่ภายใน เกิดเป็นก้อนแข็งร่างแห Fibrin
หดตัวรัดเข้าช่วยตึงบาดแผลให้เข้าชิดกันและปิดปากแผล
หลังการแข็งตัวของเลือด: ของเหลวในร่างแหไฟบรินถูกบีบออกข้างนอก เป็นน้าใสๆ
เรียกว่า Serum ซึ่งไม่มี Fibrinogen หรือ Fibrin
กลไกการแข็งตัวของเลือด (BLOOD CLOTTING)
81. Rh+: มี Antigen Rh ที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง ไม่มี Antibody Rh ในพลาสมา
Rh-: ไม่มีทั้ง Antigen Rh ที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง และ Antibody Rh ในพลาสมา
แต่สามารถสร้าง antibody ได้เมื่อได้รับการกระตุ้นจาก Antigen
Rh- รับเลือดได้จากคนที่มี Rh- เหมือนกันเท่านั้น
Rh+ รับเลือดได้ทั้งชนิด Rh+ และ Rh-
หมู่เลือดระบบ RH
82. หมู่เลือดระบบ RH
ถ้าผู้รับเลือด Rh- ได้รับเลือด Rh+ เข้าไป ร่างกายของผู้รับจะสร้าง Antibody Rh ขึ้น ใน
ตอนแรกยังไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าได้รับเลือด Rh+ ในครั้งต่อไป Antibody Rh ในร่างกาย
ผู้รับจะต่อต้าน Antigen Rh ของผู้ให้ทาให้เป็นอันตราย
ถ้ามารดามี Rh- แต่ลูกมี Rh+ เลือดจากทารก Rh+ ผ่านเข้าไปในระบบเลือดของมารดา
กระตุ้นให้เลือดของมารดาสร้าง Antibody Rh และ Antibody จะทาปฏิกิริยาต่อ
แอนติเจน Rh ที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดงของลูก ทาให้เซลล์เม็ดเลือดแดงจับตัวและถูก
ทาลาย เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต เรียกว่า erythroblastosis fetalis
88. 4. ข้อใดไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือด
ก เลือดจากปอดที่นาออกซิเจนไปให้กล้ามเนื้อหัวใจ ต้องผ่านลิ้น
ไตรคัสปิดและเซมิลูนาร์ในหัวใจ
ข ความดันเลือดในพัลโมนารีอาร์เตอรี สูงกว่าในพัลโมนารีเวน
ค อัตราการเต้นของหัวใจ สามารถวัดได้จากการเต้นของชีพจร
ง ถ้าโคโรนารีอาร์เตอรี ตีบหรือแห้ง จาทาให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย
89. 5. กรณีในข้อใดที่ทาให้ทารกในครรภ์คนที่ 2 มีโอกาสเกิด อีรีโทรบลาสโทซิส
ฟีทาลิส
ก แม่มีหมู่เลือด Rh+ ทารกในครรภ์คนแรกมีหมู่เลือด Rh+ คนที่ 2
มีหมู่เลือด Rh-
ข แม่มีหมู่เลือด Rh+ ทารกในครรภ์คนแรกและคนที่ 2 มีหมู่เลือด
Rh-
ค แม่มีหมู่เลือด Rh- ทารกในครรภ์คนแรกมีหมู่เลือด Rh- คนที่ 2 มี
หมู่เลือด Rh+
ง แม่มีหมู่เลือด Rh- ทารกในครรภ์คนแรกและคนที่ 2 มีหมู่เลือด
Rh+
90. 6. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับหมู่เลือด
ก คนที่มีหมู่เลือด O สามารถรับเลือดจากคนหมู่เลือด B ได้โดยไม่
เป็นอันตราย เพราะหมู่เลือด O ไม่มีแอนติเจน A ที่จับกับแอนติบอดี A ของ
หมู่เลือด B
ข คนที่มีหมู่เลือด A ไม่สามารถรับเลือดจากคนหมู่เลือด AB ได้
เพราะแอนติเจน B จากหมู่เลือด AB จะจับกับแอนติบอดี B ของหมู่เลือด A
ค. คนที่มีหมู่เลือด Rh- สามารถรับเลือดได้จากทั้งหมู่เลือด Rh- และ
Rh+
ง แม่ที่มีหมู่เลือด Rh+ ถ้ามีทารกในครรภ์คนที่ 2 หรือ 3 เป็น Rh-
อาจทาให้ทารกเกิดอีรีโทรบลาสโทซิสฟีทาลิสได้