SlideShare a Scribd company logo
1 of 22
งานนาเสนอ
จัดทาโดย
ด.ช. คณิน กูพะ ม.3/5 เลขที่30
งานนาเสนอ
เรื่อง การเล่นของไทย
ม้าก้านกล้วย
เป็นอีกหนึ่งการละเล่นที่แสดงถึงความมีภูมิปัญญาของคนไทยทีเดียว เพราะในสมัยก่อน
แทบทุกบ้านจะปลูกต้นกล้วยไว้ทั้งนั้น ดังนั้น ต้นกล้วยจึงนามาประยุกต์เป็นของเล่นให้เด็ก ๆ ได้
อย่างดีทีเดียว โดยเฉพาะ ม้าก้านกล้วย ดูเหมือนจะถูกอกถูกใจเด็กชายวัยซนมากที่สุด เพราะเด็ก
ๆ จะนาก้านกล้วยมาขี่เป็นม้า เพื่อแข่งขันกัน หรือทาเป็นดาบรบกันก็ได้
วิธีทาม้าก้านกล้วยก็ไม่ยาก เลือกตัดใบกล้วยออกมาแล้วเอามีดเลาะใบกล้วยออก แต่
เหลือไว้ที่ปลายเล็กน้อยให้เป็นหางม้า เอามีดฝานแฉลบด้านข้างก้านกล้วยตรงโคนบาง ๆ เพื่อทา
เป็นหูม้า แล้วหักก้านกล้วยตรงโคนหูม้าออก จากนั้นก็นาแขนงไม้ไผ่มาเสี้ยมปลายให้แหลม ความ
ยาวประมาณคืบกว่า ๆ เสียบหัวม้าที่พับเอาไว้จนทะลุไปถึงก้าน เพื่อให้เป็นสายบังเหียนผูกปาก
กับคอม้านั่นเอง เสร็จแล้วก็นาเชือกกล้วยมาผูกด้านหัวม้าและหางม้า ทาเป็นสายสะพายบ่า แค่นี้
ก็ได้ม้าก้านกล้วยไปสนุกกับเพื่อน ๆ แล้ว
เล่นซ่อนหา หรือ โป้งแปะ
"เล่นซ่อนหา" หรือ "โป้งแปะ" เป็นหนึ่งในการละเล่นพื้นบ้านที่มีมาช้านาน และยังได้รับความนิยม
อยู่ทุกยุคทุกสมัย เพราะกติกาง่าย แถมสนุก และต้องมีการกาหนดอาณาเขต เพื่อไม่ให้กว้างจนเกินไป
จนถึงวันนี้ก็ยังมีเด็ก ๆ จับกลุ่มกันเล่นซ่อนหาให้เห็นกันอยู่
โดยกติกาก็คือ คนที่เป็น "ผู้หา" ต้องปิดตา และให้เพื่อน ๆ ไปหลบหาที่ซ่อน โดยอาจจะนับเลขก็ได้
ส่วน "ผู้ซ่อน" ในสมัยก่อนจะต้องร้องว่า "ปิดตาไม่มิด สาระพิษเข้าตา พ่อแม่ทานาได้ข้าวเม็ดเดียว" แล้วแยก
ย้ายกันไปซ่อน
เมื่อ "ผู้หา" คาดคะเนว่าทุกคนซ่อนตัวหมดแล้ว จะร้องถามว่า "เอาหรือยัง" ซึ่งเมื่อ "ผู้ซ่อน" ตอบว่า
"เอาละ" "ผู้หา" ก็จะเปิดตาและหาเพื่อน ๆ ตามจุดต่าง ๆ เมื่อหาพบจะพูดว่า "โป้ง..(ตามด้วยชื่อผู้ที่พบ)" ซึ่ง
สามารถ "โป้ง" คนที่เห็นในระยะไกลได้
จากนั้น "ผู้หา" จะหาไปเรื่อย ๆ จนครบ ผู้ที่ถูกหาพบคนแรกจะต้องมาเปลี่ยนมาเป็น "ผู้หา" แทน
แต่หากใครซ่อนเก่ง "ผู้หา" หาอย่างไรก็ไม่เจอสักที "ผู้ซ่อน" คนที่ยังไม่ถูกพบสามารถเข้ามาแตะ
ตัว "ผู้หา" พร้อมกับร้องว่า "แปะ" เพื่อให้ "ผู้หา" เป็นต่ออีกรอบหนึ่งได้
ประโยชน์จากการเล่นซ่อนหา ก็คือ ฝึกให้เป็นคนช่างสังเกต สามารถจับทิศทางของเสียง
ได้ รวมทั้งรู้จักประเมินสถานที่ซ่อนตัว จึงฝึกความรอบคอบได้อีกทาง นอกจากนี้ยังทาให้ผู้เล่น
สนุกสนาน อารมณ์แจ่มใสเบิกบานไปด้วย
หมากเก็บ
การละเล่นยอดฮิตสาหรับเด็กผู้หญิงนั่นเอง ปกติจะใช้ผู้เล่น 2-4 คน และใช้ก้อนกรวดกลม
ๆ 5 ก้อนเป็นอุปกรณ์
กติกาก็คือ ต้องมีการเสี่ยงทายว่าใครจะได้เล่นก่อน โดยใช้วิธี "ขึ้นร้าน" คือแบมือถือหมาก
ทั้ง 5 เม็ดไว้ แล้วโยนหมาก ก่อนจะหงายมือรับ แล้วพลิกมือกลับรับหมากอีกที ใครมีหมากอยู่บน
มือมากที่สุด คนนั้นจะได้เป็นผู้เล่นก่อน
จากนั้นจะแบ่งการเล่นเป็น 5 หมาก โดยหมากที่ 1 ทอดหมากให้อยู่ห่าง ๆ กัน แล้วเลือก
ลูกนาไว้ 1 เม็ด ก่อนจะไล่เก็บหมากที่เหลือ โดยการโยนเม็ดนาขึ้น พร้อมเก็บหมากครั้งละเม็ด
และต้องรับลูกที่โยนขึ้นให้ได้ ถ้ารับไม่ได้ถือว่า "ตาย" หรือถ้ามือไปถูกเม็ดอื่นก็ถือว่า "ตาย" เช่นกัน
ในหมากที่ 2 ก็ใช้วิธีการเดียวกัน แต่เก็บทีละ 2 เม็ด เช่นเดียวกับหมากที่ 3 ใช้เก็บทีละ 3 เม็ด
ส่วนหมากที่ 4 จะไม่ทอดหมาก แต่จะใช้ "โปะ" คือถือหมากทั้งหมดไว้ในมือ โยนลูกนาขึ้นแล้วโปะ
เม็ดที่เหลือลงพื้น แล้วรวมทั้งหมดที่ถือไว้ "ขึ้นร้าน" ได้กี่เม็ดถือเป็นแต้มของผู้เล่นคนนั้น ถ้าไม่ได้
ถือว่า "ตาย" แล้วให้คนอื่นเล่นต่อไป โดย "ตาย" หมากไหนก็เริ่มที่หมากนั้น ปกติการเล่นหมากเก็บ
จะกาหนดไว้ที่ 50-100 แต้ม ดังนั้นเมื่อแต้มใกล้ครบ เวลาขึ้นร้านต้องระวังไม่ให้แต้มเกิน ถ้าเกิน
ต้องเริ่มต้นใหม่
อย่างไรก็ตาม ปกติแล้ว "หมากเก็บ" มีวิธีเล่นหลายอย่าง แต่ละอย่างก็จะมีชื่อเรียกต่างกัน
ไป เช่น หมากพวง, หมากจุ๊บ, อีกาเข้ารัง
รีรีข้าวสาร
เชื่อเลยว่า ชีวิตในวัยเด็กของคนส่วนใหญ่ผ่านการละเล่น "รีรีข้าวสาร" มาแล้ว และยังร้องบทร้อง
คุ้นหูที่ว่า "รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก เด็กน้อยตาเหลือก เลือกท้องใบลาน คดข้าวใส่จาน คอยพาน
คนข้างหลังไว" ได้ด้วย
กติกา "รีรีข้าวสาร" ก็คือ ต้องมีผู้เล่น 2 คนหันหน้าเข้าหากัน และเอามือประสานกันไว้เป็นรูปซุ้ม
ส่วนผู้เล่นคนอื่น ๆ จะกี่คนก็ได้จะยืนเกาะเอวกันไว้ตามลาดับ หัวแถวจะพาขบวนลอดซุ้มพร้อมร้องเพลง
"รีรีข้าวสาร" จนเมื่อถึงประโยคที่ว่า "คอยพานคนข้างหลังไว้" ผู้ที่ประสานมือเป็นซุ้มจะลดมือลงกันไม่ให้คน
สุดท้ายผ่านเข้าไป เรียกว่า "คัดคน" และเล่นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนคนหมด
ประโยชน์ของการเล่นรีรีข้าวสาร ก็คือ ช่วยให้จิตใจร่าเริงแจ่มใส รู้จักมีไหวพริบ ใช้กล
ยุทธ์ให้ตัวเองเอาตัวรอดจากการถูกคล้องไว้ได้ รวมทั้งฝึกให้เด็กทางานเป็นกลุ่มได้ด้วย
มอญซ่อนผ้า
การละเล่นแสนสนุกที่ทาให้ผู้เล่นได้ลุ้นไปด้วย โดยใช้อุปกรณ์เพียงแค่ผ้าผืนเดียวเท่านั้น
แล้วให้ผู้เล่นเสี่ยงทาย ใครแพ้คนนั้นต้องเป็น "มอญ" ส่วนคนอื่น ๆ มานั่งล้อมวง คนที่เป็น
"มอญ" จะต้องถือผ้าไว้ในมือแล้วเดินวนอยู่นอกวง จากนั้นคนนั่งในวงจะร้องเพลงว่า "มอญ
ซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไว้โน่นไว้นี่ ฉันจะตีก้นเธอ"
ระหว่างเพลงร้องอยู่ คนที่เป็น "มอญ" จะแอบทิ้งผ้าไว้ข้างหลังผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง แต่เมื่อ
ทิ้งผ้าแล้ว จะแกล้งทาเป็นยังไม่ทิ้ง โดยเดินวนไปอีก 1 รอบ หากผู้ที่ถูกทิ้งผ้าไม่รู้ตัว "มอญ" จะ
หยิบผ้ามาตีหลังผู้เล่นคนนั้น แล้วต้องกลายเป็น "มอญ" แทน แต่หากผู้เล่นรู้ตัวว่ามีผ้าอยู่ข้าง
หลัง ก็จะหยิบผ้ามาวิ่งไล่ตี "มอญ" รอบวง "มอญ" ต้องรีบกลับมานั่งแทนที่ผู้เล่นคนนั้น แล้วผู้ที่
วิ่งไล่ต้องเปลี่ยนเป็น "มอญ" แทน
เดินกะลา
ดูจะเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่หาดูได้ไม่บ่อยนัก แต่หากเป็นสมัยก่อนจะเห็นเด็ก ๆ เดินกะลา กัน
ทั่วไป โดยผู้เล่นจะต้องนากะลามะพร้าว 2 อันมาทาความสะอาดแล้วเจาะรูตรงกลาง ร้อยเชือก
ให้แน่น เพื่อป้องกันไม่ให้เชือกหลุดเวลาเดิน เวลาเดินให้ใช้นิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้คีบเชือกเอาไว้
แล้วเดิน หากมีเด็ก ๆ หลายคนอาจจัดแข่ง เดินกะลา ได้ด้วยการกาหนดเส้นชัยไว้ใครเดินถึงก่อน
ก็เป็นผู้ชนะไป
ประโยชน์ของการเดินกะลา ก็คือช่วยฝึกการทรงตัว ความสมดุลของร่างกาย
เพราะต้องระวังไม่ให้ตกกะลา ช่วงแรก ๆ อาจจะรู้สึกเจ็บเท้า แต่ถ้าฝึกบ่อย ๆ จะชิน
และหายเจ็บไปเอง แถมยังทาให้ร่างกายแข็งแรง เพลิดเพลินอีกด้วย
กาฟักไข่
เป็นอีกหนึ่งการละเล่นที่เคยได้ยินชื่อ แต่หลายคนไม่ทราบกติกา โดยวิธีการเล่นก็คือ ใช้
อะไรก็ได้ลักษณะกลม ๆ เท่าจานวนคนเล่น ยกเว้นผู้ที่เป็นกา 1 คน มาสมมติว่าเป็น "ไข่" แล้ว
เขียนวงกลมลงบนพื้น 2 วง วงแรกเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 ฟุต และอีกวงหนึ่งอยู่ข้างในวง
แรก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ฟุต วาง "ไข่" ทั้งหมดไว้ในวงกลมเล็ก ให้คนใดคนหนึ่งเป็นกา ยืน
ในวงกลมวงใหญ่ หรือนั่งคร่อมวงกลมเล็ก นอกนั้นทุกคนยืนรอบนอกวงกลมวงใหญ่ คอยแย่งไข่
คนเป็นกามีหน้าที่ป้องกันไข่ ไม่ให้ถูกแย่งไป
กติกาของกาฟักไข่ ก็คือคนข้างนอกต้องแย่งไข่มาให้ได้ โดยใช้แขนหรือมือเอื้อมเข้าไป
แต่ห้ามนาตัวเข้าไปในวงกลม และต้องระวังไม่ให้อีกาถูกมือหรือแขนได้ด้วย หากแย่งไข่ออกมา
ได้หมดแล้ว ให้ปิดตากา แล้วนาไข่ทั้งหมดไปซ่อน เพื่อให้กาตามหาไข่ หากพบไข่ที่ผู้เล่นคนใด
นาไปซ่อน ผู้นั้นจะต้องเปลี่ยนมาเป็นกาแทน
• งูกินหาง
"แม่งูเอ๋ยกินน้าบ่อไหน..." ประโยคคุ้น ๆ ของการเล่นงูกินหางที่ยังติดตรึงในความทรงจาของ
ใครหลาย ๆ คน และเป็นที่นิยมของเด็กในทุกเทศกาล ทุกโอกาสอีกด้วย
วิธีการเล่นงูกินหาง เริ่มจากเสี่ยงทาย ใครแพ้ต้องไปเป็น "พ่องู" ส่วนผู้ชนะที่มีร่างกายแข็งแรง ตัว
ใหญ่จะเป็น "แม่งู" ไว้คอยปกป้องเพื่อน ๆ คนอื่นที่เป็น "ลูกงู" จากนั้น "ลูกงู" จะเกาะเอวแม่งูและต่อ
แถวกันไว้ ยืนเผชิญหน้ากับ "พ่องู" จากนั้นจะเข้าสู่บทร้อง โดยพ่องูจะถามว่า
พ่องู : "แม่งูเอ๋ยกินน้าบ่อไหน“
แม่งู : "กินน้าบ่อโสกโยกไปโยกมา" (พร้อมแสดงอาการส่ายตัวไปมา)
พ่องู : "แม่งูเอ๋ยกินน้าบ่อไหน"
แม่งู : "กินน้าบ่อหินบินไปบินมา" (พร้อมแสดงอาการบินไปบินมา)
พ่องู : "แม่งูเอ๋ยกินน้าบ่อไหน“
แม่งู : "กินน้าบ่อทรายย้ายไปย้ายมา" (พร้อมแสดงอาการส่ายตัวไปมา)
จากนั้นพ่องูจะพูดว่า "กินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว" แล้ววิ่งไล่จับลูกงูที่กอดเอวอยู่ ส่วนแม่งู
ก็ต้องป้องกันไม่ให้พ่องูจับลูกงูไปได้ เมื่อลูกงูคนไหนถูกจับ จะออกจากแถวมายืนอยู่ด้านนอก
เพื่อรอเล่นรอบต่อไป หากพ่องูแย่งลูกได้หมด จะถือว่าจบเกมแล้วเริ่มเล่นใหม่ โดยพ่องูจะ
กลับไปเป็นแม่งูต่อในรอบต่อไป
ประโยชน์ของการเล่นงูกินหางก็คือ ทาให้ผู้เล่นเกิดความสามัคคี ทางานเป็นกลุ่ม รู้จัก
ช่วยเหลือกัน และรู้จักการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด เมื่อภัยมาถึงตัว นอกจากนี้ยังฝึกร่างกายให้
แข็งแรง และจิตใจเบิกบานสนุกสนานไปด้วย
ทอยเส้น
หากย้อนไปสักปี พ.ศ. 2510-2530 ทอยเส้นจะเป็นที่นิยมของเด็ก ๆ อย่างมาก โดยอุปกรณ์การ
เล่นจะใช้ตัวตุ๊กตุ่นพลาสติกหรือยาง ขนาดความสูง 4-5 เซนติเมตร (ที่แถมมากับขนมอบกรอบซึ่งฮิต
มากในยุคนั้น) มาใช้ทอย และต้องมีพื้นถนนที่มีเส้นรอยต่อระหว่างบล็อก ระยะห่างประมาณ 3-5 เมตร
หรือใช้การขีดลากเส้น 2 เส้นแทนก็ได้
วิธีการเล่นทอยเส้นคือต้องเสี่ยงหาคนทอยก่อน โดยใช้วิธีเป่ายิงฉุบ โอน้อยออก ฯลฯ แล้วแต่จะ
เลือก หรือจะทอยเปล่า เพื่อดูว่าใครใกล้-ไกลเส้นมากกว่า คนที่ไกลเส้นที่สุดจะต้องเริ่มทอยก่อน เพราะ
จะเสียเปรียบที่สุด ส่วนคนที่ทอยทีหลังจะได้เปรียบ เพราะเลือกหาทางหนีทีไล่ได้ดีกว่า
เมื่อกาหนดลาดับผู้เล่นแล้ว ให้ผู้เล่นยืนจรดเท้าอยู่เส้นแรก ห้ามล้าเส้นออกไป แล้วใช้แขนเหวี่ยงตุ๊กตุ่นในมือ
ออกไป ให้ตก หรือทับเส้นที่สอง เมื่อทอยครบทุกคน ให้เปรียบเทียบ ตุ๊กตุ่นของใครใกล้เส้นที่สุดเป็นผู้ชนะ
จากนั้น ผู้ชนะจะยืนที่ตาแหน่งตุ๊กตุ่นของตัวเอง แล้วใช้ตุ๊กตุ่นของตัวเองเอื้อม หรือปาไปให้โดนตัวอื่นที่อยู่ห่างเส้น
ในลาดับถัดไป เพื่อจะได้กิน (ครอบครอง) ตุ๊กตุ่นตัวนั้นไว้ หากกินได้ ผู้เล่นคนอื่นจะถูกลงโทษตามตกลง เช่น ดีด
มะกอก ฯลฯ เมื่อจบรอบแรก ก็หันหลังกลับ ยืนจรดเส้นที่สอง แล้วทอยกลับไปให้ใกล้เส้นแรกมากที่สุด ด้วยกติกา
เช่นเดิม โดยดูแล้วมีลักษณะคล้ายการเล่นทอยเหรียญ หรือ PITCH AND TOSS ของต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม การเล่นทอยเส้น ไม่ค่อยได้รับความนิยมในช่วงหลัง ๆ เพราะเมื่อเด็กเติบโตขึ้นก็เปลี่ยนการ
ใช้ตุ๊กตุ่นไปเป็นเงิน จนดูคล้ายเป็นการพนันไป
ว่าวไทย
เชื่อว่าหลายคน คงเคยมีประสบการณ์การเล่นว่าวในช่วงปิดเทอมที่ท้องสนามหลวงมาแล้ว แม้ว่าตอนนี้
ภาพนั้นจะค่อย ๆ จางหายไปแล้วก็ตาม โดย "การเล่นว่าวไทย" นั้น เริ่มมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเรื่อยมา ตามที่
ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และถือเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงภูมิปัญญาพื้นบ้านและวัฒนธรรมของไทยได้อย่างดี
เพราะแต่ละท้องถิ่นจะคิดประดิษฐ์ว่าวแตกต่างกันไป "ว่าวไทย" จึงกลายเป็นมรดกตกทอดของแต่ละชุมชนและ
มีลักษณะเฉพาะตัวที่โดดเด่น
โดย "ว่าว" มีหลายประเภท เช่น "ว่าวจุฬา" มีลักษณะเป็น 5 แฉก นิยมเล่นในภาคกลาง, "ว่าววง
เดือน" หรือ "ว่าวบุหลัน" มักตกแต่งเป็นลวดลายเรือกอและ นิยมเล่นในภาคใต้ตอนล่าง นอกจากนี้ยังมี "ว่าว
ปักเป้า", "ว่าวงู" ฯลฯ
การเล่นว่าวนั้น เล่นได้ทั้งหน้าหนาวและหน้าร้อน โดยอาศัยกระแสลมเป็นตัวฉุดให้ว่าวลอยขึ้น โดยหาก
เป็นลมหน้าหนาว จะเป็นลมที่พัดจากผืนแผ่นดินลงสู่ทะเล ทาให้คนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยม
เล่นว่าวกันในช่วงนี้ส่วนหน้าร้อน มีลมตะวันตกเฉียงใต้จากทะเลพัดสู่ผืนแผ่นดินใหญ่ เรียกว่า "ลมตะเภา" ทาให้
ชาวภาคกลาง ภาคตะวันตกและภาคใต้ นิยมเล่นว่าวในฤดูนี้
ส่วนวิธีการเล่นว่าวนั้น ส่วนใหญ่จะชักว่าวให้ลอยสูงติดลมบน เพื่อดูความสวยงามของว่าวรูป
ต่าง ๆ หรือฟังเสียงของว่าว นอกจากนี้ยังสามารถชักว่าวต่อสู้กันบนอากาศก็ได้
ยังมีอีกหลายการละเล่นที่เด็กไทยสมัยก่อนนิยมนามาเล่นกัน เช่น ขี่ม้าส่งเมือง, ตี่จับ,
โมราเรียกชื่อ, ลิงชิงหลัก, ตั้งเต, โพงพาง, ชักเย่อ, กระต่ายขาเดียว, กระโดดยาง ฯลฯ ซึ่ง
ทั้งหมดล้วนเป็นภูมิปัญญาของคนไทย ที่สร้างสรรค์มรดกตกทอดทางวัฒนธรรมให้กับลูก ๆ
หลาน ๆ ได้อย่างดีทีเดียว

More Related Content

What's hot

ข้อสอบ O net การงานฯ ป.3 ชุด 2
ข้อสอบ O net การงานฯ ป.3 ชุด 2ข้อสอบ O net การงานฯ ป.3 ชุด 2
ข้อสอบ O net การงานฯ ป.3 ชุด 2Manas Panjai
 
บทที่ 1 ภาพรวมของอีคอมเมิร์ซ
บทที่ 1 ภาพรวมของอีคอมเมิร์ซบทที่ 1 ภาพรวมของอีคอมเมิร์ซ
บทที่ 1 ภาพรวมของอีคอมเมิร์ซTeetut Tresirichod
 
สมุดเล่มเล็ก
สมุดเล่มเล็กสมุดเล่มเล็ก
สมุดเล่มเล็กGed Gis
 
เด็กออทิสติก
เด็กออทิสติกเด็กออทิสติก
เด็กออทิสติกDarika Roopdee
 
แบบฝึกทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งรอบตัวเรา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
แบบฝึกทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งรอบตัวเรา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1แบบฝึกทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งรอบตัวเรา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
แบบฝึกทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งรอบตัวเรา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1gchom
 
Is3 การจัดกิจกรรมการนำองค์ความรู้ กลุ่ม1
Is3 การจัดกิจกรรมการนำองค์ความรู้ กลุ่ม1Is3 การจัดกิจกรรมการนำองค์ความรู้ กลุ่ม1
Is3 การจัดกิจกรรมการนำองค์ความรู้ กลุ่ม1พัน พัน
 
ประโยคในภาษาไทย
ประโยคในภาษาไทยประโยคในภาษาไทย
ประโยคในภาษาไทยLilrat Witsawachatkun
 
ตัวอย่างการสร้างข้อสอบ
ตัวอย่างการสร้างข้อสอบตัวอย่างการสร้างข้อสอบ
ตัวอย่างการสร้างข้อสอบwanchalerm sotawong
 
ความเป็นครู กลุ่มที่ 1 d12
ความเป็นครู  กลุ่มที่ 1 d12ความเป็นครู  กลุ่มที่ 1 d12
ความเป็นครู กลุ่มที่ 1 d12Aon Lalita
 
2 แนวคิดเกี่ยวกับชุมชน
2 แนวคิดเกี่ยวกับชุมชน2 แนวคิดเกี่ยวกับชุมชน
2 แนวคิดเกี่ยวกับชุมชนWatcharin Chongkonsatit
 
ปกนวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ
ปกนวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศปกนวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ
ปกนวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศsomdetpittayakom school
 
ทักษะการเรียนรู้ ม.ต้น ทร21001
ทักษะการเรียนรู้ ม.ต้น ทร21001ทักษะการเรียนรู้ ม.ต้น ทร21001
ทักษะการเรียนรู้ ม.ต้น ทร21001Thidarat Termphon
 
ใบความรู้ ขั้นตอนการทำโครงงาน
ใบความรู้ ขั้นตอนการทำโครงงานใบความรู้ ขั้นตอนการทำโครงงาน
ใบความรู้ ขั้นตอนการทำโครงงานsarawut saoklieo
 
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน วิชาอินเตอร์เนตกับการเรียนรู้ไร้พรมแดน ม.ต้น
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน วิชาอินเตอร์เนตกับการเรียนรู้ไร้พรมแดน  ม.ต้นเฉลยแบบทดสอบหลังเรียน วิชาอินเตอร์เนตกับการเรียนรู้ไร้พรมแดน  ม.ต้น
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน วิชาอินเตอร์เนตกับการเรียนรู้ไร้พรมแดน ม.ต้นpeter dontoom
 
ทักษะและวิธีการเล่นเปตอง
ทักษะและวิธีการเล่นเปตองทักษะและวิธีการเล่นเปตอง
ทักษะและวิธีการเล่นเปตองพัน พัน
 
สุขฯ ม.2 หน่วย 6
สุขฯ ม.2 หน่วย 6สุขฯ ม.2 หน่วย 6
สุขฯ ม.2 หน่วย 6supap6259
 
บทที่ 5 พฤติกรรมผู้บริโภค การตลาดบนอินเทอร์เน็ตและการโฆษณา
บทที่ 5 พฤติกรรมผู้บริโภค การตลาดบนอินเทอร์เน็ตและการโฆษณาบทที่ 5 พฤติกรรมผู้บริโภค การตลาดบนอินเทอร์เน็ตและการโฆษณา
บทที่ 5 พฤติกรรมผู้บริโภค การตลาดบนอินเทอร์เน็ตและการโฆษณาTeetut Tresirichod
 
หลักการและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
หลักการและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศหลักการและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
หลักการและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศSomyot Ongkhluap
 
เฉลยแบบฝึกหัด เรื่อง ส่วนประกอบของสื่อสิ่งพิมพ์
เฉลยแบบฝึกหัด เรื่อง ส่วนประกอบของสื่อสิ่งพิมพ์เฉลยแบบฝึกหัด เรื่อง ส่วนประกอบของสื่อสิ่งพิมพ์
เฉลยแบบฝึกหัด เรื่อง ส่วนประกอบของสื่อสิ่งพิมพ์Supaporn Khiewwan
 

What's hot (20)

ข้อสอบ O net การงานฯ ป.3 ชุด 2
ข้อสอบ O net การงานฯ ป.3 ชุด 2ข้อสอบ O net การงานฯ ป.3 ชุด 2
ข้อสอบ O net การงานฯ ป.3 ชุด 2
 
บทที่ 1 ภาพรวมของอีคอมเมิร์ซ
บทที่ 1 ภาพรวมของอีคอมเมิร์ซบทที่ 1 ภาพรวมของอีคอมเมิร์ซ
บทที่ 1 ภาพรวมของอีคอมเมิร์ซ
 
สมุดเล่มเล็ก
สมุดเล่มเล็กสมุดเล่มเล็ก
สมุดเล่มเล็ก
 
เด็กออทิสติก
เด็กออทิสติกเด็กออทิสติก
เด็กออทิสติก
 
005 บทที่ 5 วิชาชาวค่าย
005 บทที่ 5 วิชาชาวค่าย005 บทที่ 5 วิชาชาวค่าย
005 บทที่ 5 วิชาชาวค่าย
 
แบบฝึกทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งรอบตัวเรา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
แบบฝึกทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งรอบตัวเรา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1แบบฝึกทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งรอบตัวเรา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
แบบฝึกทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งรอบตัวเรา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
 
Is3 การจัดกิจกรรมการนำองค์ความรู้ กลุ่ม1
Is3 การจัดกิจกรรมการนำองค์ความรู้ กลุ่ม1Is3 การจัดกิจกรรมการนำองค์ความรู้ กลุ่ม1
Is3 การจัดกิจกรรมการนำองค์ความรู้ กลุ่ม1
 
ประโยคในภาษาไทย
ประโยคในภาษาไทยประโยคในภาษาไทย
ประโยคในภาษาไทย
 
ตัวอย่างการสร้างข้อสอบ
ตัวอย่างการสร้างข้อสอบตัวอย่างการสร้างข้อสอบ
ตัวอย่างการสร้างข้อสอบ
 
ความเป็นครู กลุ่มที่ 1 d12
ความเป็นครู  กลุ่มที่ 1 d12ความเป็นครู  กลุ่มที่ 1 d12
ความเป็นครู กลุ่มที่ 1 d12
 
2 แนวคิดเกี่ยวกับชุมชน
2 แนวคิดเกี่ยวกับชุมชน2 แนวคิดเกี่ยวกับชุมชน
2 แนวคิดเกี่ยวกับชุมชน
 
ปกนวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ
ปกนวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศปกนวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ
ปกนวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ
 
ทักษะการเรียนรู้ ม.ต้น ทร21001
ทักษะการเรียนรู้ ม.ต้น ทร21001ทักษะการเรียนรู้ ม.ต้น ทร21001
ทักษะการเรียนรู้ ม.ต้น ทร21001
 
ใบความรู้ ขั้นตอนการทำโครงงาน
ใบความรู้ ขั้นตอนการทำโครงงานใบความรู้ ขั้นตอนการทำโครงงาน
ใบความรู้ ขั้นตอนการทำโครงงาน
 
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน วิชาอินเตอร์เนตกับการเรียนรู้ไร้พรมแดน ม.ต้น
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน วิชาอินเตอร์เนตกับการเรียนรู้ไร้พรมแดน  ม.ต้นเฉลยแบบทดสอบหลังเรียน วิชาอินเตอร์เนตกับการเรียนรู้ไร้พรมแดน  ม.ต้น
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน วิชาอินเตอร์เนตกับการเรียนรู้ไร้พรมแดน ม.ต้น
 
ทักษะและวิธีการเล่นเปตอง
ทักษะและวิธีการเล่นเปตองทักษะและวิธีการเล่นเปตอง
ทักษะและวิธีการเล่นเปตอง
 
สุขฯ ม.2 หน่วย 6
สุขฯ ม.2 หน่วย 6สุขฯ ม.2 หน่วย 6
สุขฯ ม.2 หน่วย 6
 
บทที่ 5 พฤติกรรมผู้บริโภค การตลาดบนอินเทอร์เน็ตและการโฆษณา
บทที่ 5 พฤติกรรมผู้บริโภค การตลาดบนอินเทอร์เน็ตและการโฆษณาบทที่ 5 พฤติกรรมผู้บริโภค การตลาดบนอินเทอร์เน็ตและการโฆษณา
บทที่ 5 พฤติกรรมผู้บริโภค การตลาดบนอินเทอร์เน็ตและการโฆษณา
 
หลักการและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
หลักการและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศหลักการและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
หลักการและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
 
เฉลยแบบฝึกหัด เรื่อง ส่วนประกอบของสื่อสิ่งพิมพ์
เฉลยแบบฝึกหัด เรื่อง ส่วนประกอบของสื่อสิ่งพิมพ์เฉลยแบบฝึกหัด เรื่อง ส่วนประกอบของสื่อสิ่งพิมพ์
เฉลยแบบฝึกหัด เรื่อง ส่วนประกอบของสื่อสิ่งพิมพ์
 

More from TaoTao52

งานนำเสนอ-เรื่อง-อาเซียน
งานนำเสนอ-เรื่อง-อาเซียนงานนำเสนอ-เรื่อง-อาเซียน
งานนำเสนอ-เรื่อง-อาเซียนTaoTao52
 
งานนำเสนอ-เรื่อง-สถานที่ท่องเที่ยว
งานนำเสนอ-เรื่อง-สถานที่ท่องเที่ยวงานนำเสนอ-เรื่อง-สถานที่ท่องเที่ยว
งานนำเสนอ-เรื่อง-สถานที่ท่องเที่ยวTaoTao52
 
งานนำเสนอ-เรื่อง-อาหารไทยและขนมไทย
งานนำเสนอ-เรื่อง-อาหารไทยและขนมไทยงานนำเสนอ-เรื่อง-อาหารไทยและขนมไทย
งานนำเสนอ-เรื่อง-อาหารไทยและขนมไทยTaoTao52
 
งานนำเสนอ-เรื่อง-ดอกไม้
งานนำเสนอ-เรื่อง-ดอกไม้งานนำเสนอ-เรื่อง-ดอกไม้
งานนำเสนอ-เรื่อง-ดอกไม้TaoTao52
 
อาหารญี่ปุ่น
อาหารญี่ปุ่นอาหารญี่ปุ่น
อาหารญี่ปุ่นTaoTao52
 
อาหารไทย
อาหารไทยอาหารไทย
อาหารไทยTaoTao52
 
ดาราหญิงอเมริกา
ดาราหญิงอเมริกาดาราหญิงอเมริกา
ดาราหญิงอเมริกาTaoTao52
 
ดาราหญิงไทย
ดาราหญิงไทยดาราหญิงไทย
ดาราหญิงไทยTaoTao52
 
วงดนตรี
วงดนตรีวงดนตรี
วงดนตรีTaoTao52
 
งานที่ 5 การละเล่นของไทย
งานที่ 5 การละเล่นของไทยงานที่ 5 การละเล่นของไทย
งานที่ 5 การละเล่นของไทยTaoTao52
 
งานที่ 4 อาหารไทยและขนมไทย
งานที่ 4 อาหารไทยและขนมไทยงานที่ 4 อาหารไทยและขนมไทย
งานที่ 4 อาหารไทยและขนมไทยTaoTao52
 
งานที่ 3 ดอกไม้
งานที่ 3 ดอกไม้งานที่ 3 ดอกไม้
งานที่ 3 ดอกไม้TaoTao52
 
งานที่ 2 แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
งานที่ 2 แหล่งท่องเที่ยวต่างๆงานที่ 2 แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
งานที่ 2 แหล่งท่องเที่ยวต่างๆTaoTao52
 
งานที่ 1 อาเซียน 10ประเทศ
งานที่ 1 อาเซียน 10ประเทศงานที่ 1 อาเซียน 10ประเทศ
งานที่ 1 อาเซียน 10ประเทศTaoTao52
 

More from TaoTao52 (14)

งานนำเสนอ-เรื่อง-อาเซียน
งานนำเสนอ-เรื่อง-อาเซียนงานนำเสนอ-เรื่อง-อาเซียน
งานนำเสนอ-เรื่อง-อาเซียน
 
งานนำเสนอ-เรื่อง-สถานที่ท่องเที่ยว
งานนำเสนอ-เรื่อง-สถานที่ท่องเที่ยวงานนำเสนอ-เรื่อง-สถานที่ท่องเที่ยว
งานนำเสนอ-เรื่อง-สถานที่ท่องเที่ยว
 
งานนำเสนอ-เรื่อง-อาหารไทยและขนมไทย
งานนำเสนอ-เรื่อง-อาหารไทยและขนมไทยงานนำเสนอ-เรื่อง-อาหารไทยและขนมไทย
งานนำเสนอ-เรื่อง-อาหารไทยและขนมไทย
 
งานนำเสนอ-เรื่อง-ดอกไม้
งานนำเสนอ-เรื่อง-ดอกไม้งานนำเสนอ-เรื่อง-ดอกไม้
งานนำเสนอ-เรื่อง-ดอกไม้
 
อาหารญี่ปุ่น
อาหารญี่ปุ่นอาหารญี่ปุ่น
อาหารญี่ปุ่น
 
อาหารไทย
อาหารไทยอาหารไทย
อาหารไทย
 
ดาราหญิงอเมริกา
ดาราหญิงอเมริกาดาราหญิงอเมริกา
ดาราหญิงอเมริกา
 
ดาราหญิงไทย
ดาราหญิงไทยดาราหญิงไทย
ดาราหญิงไทย
 
วงดนตรี
วงดนตรีวงดนตรี
วงดนตรี
 
งานที่ 5 การละเล่นของไทย
งานที่ 5 การละเล่นของไทยงานที่ 5 การละเล่นของไทย
งานที่ 5 การละเล่นของไทย
 
งานที่ 4 อาหารไทยและขนมไทย
งานที่ 4 อาหารไทยและขนมไทยงานที่ 4 อาหารไทยและขนมไทย
งานที่ 4 อาหารไทยและขนมไทย
 
งานที่ 3 ดอกไม้
งานที่ 3 ดอกไม้งานที่ 3 ดอกไม้
งานที่ 3 ดอกไม้
 
งานที่ 2 แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
งานที่ 2 แหล่งท่องเที่ยวต่างๆงานที่ 2 แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
งานที่ 2 แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
 
งานที่ 1 อาเซียน 10ประเทศ
งานที่ 1 อาเซียน 10ประเทศงานที่ 1 อาเซียน 10ประเทศ
งานที่ 1 อาเซียน 10ประเทศ
 

งานนำเสนอ-เรื่อง-การเล่นของไทย

  • 3. ม้าก้านกล้วย เป็นอีกหนึ่งการละเล่นที่แสดงถึงความมีภูมิปัญญาของคนไทยทีเดียว เพราะในสมัยก่อน แทบทุกบ้านจะปลูกต้นกล้วยไว้ทั้งนั้น ดังนั้น ต้นกล้วยจึงนามาประยุกต์เป็นของเล่นให้เด็ก ๆ ได้ อย่างดีทีเดียว โดยเฉพาะ ม้าก้านกล้วย ดูเหมือนจะถูกอกถูกใจเด็กชายวัยซนมากที่สุด เพราะเด็ก ๆ จะนาก้านกล้วยมาขี่เป็นม้า เพื่อแข่งขันกัน หรือทาเป็นดาบรบกันก็ได้ วิธีทาม้าก้านกล้วยก็ไม่ยาก เลือกตัดใบกล้วยออกมาแล้วเอามีดเลาะใบกล้วยออก แต่ เหลือไว้ที่ปลายเล็กน้อยให้เป็นหางม้า เอามีดฝานแฉลบด้านข้างก้านกล้วยตรงโคนบาง ๆ เพื่อทา เป็นหูม้า แล้วหักก้านกล้วยตรงโคนหูม้าออก จากนั้นก็นาแขนงไม้ไผ่มาเสี้ยมปลายให้แหลม ความ ยาวประมาณคืบกว่า ๆ เสียบหัวม้าที่พับเอาไว้จนทะลุไปถึงก้าน เพื่อให้เป็นสายบังเหียนผูกปาก กับคอม้านั่นเอง เสร็จแล้วก็นาเชือกกล้วยมาผูกด้านหัวม้าและหางม้า ทาเป็นสายสะพายบ่า แค่นี้ ก็ได้ม้าก้านกล้วยไปสนุกกับเพื่อน ๆ แล้ว
  • 4.
  • 5. เล่นซ่อนหา หรือ โป้งแปะ "เล่นซ่อนหา" หรือ "โป้งแปะ" เป็นหนึ่งในการละเล่นพื้นบ้านที่มีมาช้านาน และยังได้รับความนิยม อยู่ทุกยุคทุกสมัย เพราะกติกาง่าย แถมสนุก และต้องมีการกาหนดอาณาเขต เพื่อไม่ให้กว้างจนเกินไป จนถึงวันนี้ก็ยังมีเด็ก ๆ จับกลุ่มกันเล่นซ่อนหาให้เห็นกันอยู่ โดยกติกาก็คือ คนที่เป็น "ผู้หา" ต้องปิดตา และให้เพื่อน ๆ ไปหลบหาที่ซ่อน โดยอาจจะนับเลขก็ได้ ส่วน "ผู้ซ่อน" ในสมัยก่อนจะต้องร้องว่า "ปิดตาไม่มิด สาระพิษเข้าตา พ่อแม่ทานาได้ข้าวเม็ดเดียว" แล้วแยก ย้ายกันไปซ่อน เมื่อ "ผู้หา" คาดคะเนว่าทุกคนซ่อนตัวหมดแล้ว จะร้องถามว่า "เอาหรือยัง" ซึ่งเมื่อ "ผู้ซ่อน" ตอบว่า "เอาละ" "ผู้หา" ก็จะเปิดตาและหาเพื่อน ๆ ตามจุดต่าง ๆ เมื่อหาพบจะพูดว่า "โป้ง..(ตามด้วยชื่อผู้ที่พบ)" ซึ่ง สามารถ "โป้ง" คนที่เห็นในระยะไกลได้
  • 6. จากนั้น "ผู้หา" จะหาไปเรื่อย ๆ จนครบ ผู้ที่ถูกหาพบคนแรกจะต้องมาเปลี่ยนมาเป็น "ผู้หา" แทน แต่หากใครซ่อนเก่ง "ผู้หา" หาอย่างไรก็ไม่เจอสักที "ผู้ซ่อน" คนที่ยังไม่ถูกพบสามารถเข้ามาแตะ ตัว "ผู้หา" พร้อมกับร้องว่า "แปะ" เพื่อให้ "ผู้หา" เป็นต่ออีกรอบหนึ่งได้ ประโยชน์จากการเล่นซ่อนหา ก็คือ ฝึกให้เป็นคนช่างสังเกต สามารถจับทิศทางของเสียง ได้ รวมทั้งรู้จักประเมินสถานที่ซ่อนตัว จึงฝึกความรอบคอบได้อีกทาง นอกจากนี้ยังทาให้ผู้เล่น สนุกสนาน อารมณ์แจ่มใสเบิกบานไปด้วย
  • 7. หมากเก็บ การละเล่นยอดฮิตสาหรับเด็กผู้หญิงนั่นเอง ปกติจะใช้ผู้เล่น 2-4 คน และใช้ก้อนกรวดกลม ๆ 5 ก้อนเป็นอุปกรณ์ กติกาก็คือ ต้องมีการเสี่ยงทายว่าใครจะได้เล่นก่อน โดยใช้วิธี "ขึ้นร้าน" คือแบมือถือหมาก ทั้ง 5 เม็ดไว้ แล้วโยนหมาก ก่อนจะหงายมือรับ แล้วพลิกมือกลับรับหมากอีกที ใครมีหมากอยู่บน มือมากที่สุด คนนั้นจะได้เป็นผู้เล่นก่อน จากนั้นจะแบ่งการเล่นเป็น 5 หมาก โดยหมากที่ 1 ทอดหมากให้อยู่ห่าง ๆ กัน แล้วเลือก ลูกนาไว้ 1 เม็ด ก่อนจะไล่เก็บหมากที่เหลือ โดยการโยนเม็ดนาขึ้น พร้อมเก็บหมากครั้งละเม็ด และต้องรับลูกที่โยนขึ้นให้ได้ ถ้ารับไม่ได้ถือว่า "ตาย" หรือถ้ามือไปถูกเม็ดอื่นก็ถือว่า "ตาย" เช่นกัน
  • 8. ในหมากที่ 2 ก็ใช้วิธีการเดียวกัน แต่เก็บทีละ 2 เม็ด เช่นเดียวกับหมากที่ 3 ใช้เก็บทีละ 3 เม็ด ส่วนหมากที่ 4 จะไม่ทอดหมาก แต่จะใช้ "โปะ" คือถือหมากทั้งหมดไว้ในมือ โยนลูกนาขึ้นแล้วโปะ เม็ดที่เหลือลงพื้น แล้วรวมทั้งหมดที่ถือไว้ "ขึ้นร้าน" ได้กี่เม็ดถือเป็นแต้มของผู้เล่นคนนั้น ถ้าไม่ได้ ถือว่า "ตาย" แล้วให้คนอื่นเล่นต่อไป โดย "ตาย" หมากไหนก็เริ่มที่หมากนั้น ปกติการเล่นหมากเก็บ จะกาหนดไว้ที่ 50-100 แต้ม ดังนั้นเมื่อแต้มใกล้ครบ เวลาขึ้นร้านต้องระวังไม่ให้แต้มเกิน ถ้าเกิน ต้องเริ่มต้นใหม่ อย่างไรก็ตาม ปกติแล้ว "หมากเก็บ" มีวิธีเล่นหลายอย่าง แต่ละอย่างก็จะมีชื่อเรียกต่างกัน ไป เช่น หมากพวง, หมากจุ๊บ, อีกาเข้ารัง
  • 9. รีรีข้าวสาร เชื่อเลยว่า ชีวิตในวัยเด็กของคนส่วนใหญ่ผ่านการละเล่น "รีรีข้าวสาร" มาแล้ว และยังร้องบทร้อง คุ้นหูที่ว่า "รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก เด็กน้อยตาเหลือก เลือกท้องใบลาน คดข้าวใส่จาน คอยพาน คนข้างหลังไว" ได้ด้วย กติกา "รีรีข้าวสาร" ก็คือ ต้องมีผู้เล่น 2 คนหันหน้าเข้าหากัน และเอามือประสานกันไว้เป็นรูปซุ้ม ส่วนผู้เล่นคนอื่น ๆ จะกี่คนก็ได้จะยืนเกาะเอวกันไว้ตามลาดับ หัวแถวจะพาขบวนลอดซุ้มพร้อมร้องเพลง "รีรีข้าวสาร" จนเมื่อถึงประโยคที่ว่า "คอยพานคนข้างหลังไว้" ผู้ที่ประสานมือเป็นซุ้มจะลดมือลงกันไม่ให้คน สุดท้ายผ่านเข้าไป เรียกว่า "คัดคน" และเล่นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนคนหมด ประโยชน์ของการเล่นรีรีข้าวสาร ก็คือ ช่วยให้จิตใจร่าเริงแจ่มใส รู้จักมีไหวพริบ ใช้กล ยุทธ์ให้ตัวเองเอาตัวรอดจากการถูกคล้องไว้ได้ รวมทั้งฝึกให้เด็กทางานเป็นกลุ่มได้ด้วย
  • 10.
  • 11. มอญซ่อนผ้า การละเล่นแสนสนุกที่ทาให้ผู้เล่นได้ลุ้นไปด้วย โดยใช้อุปกรณ์เพียงแค่ผ้าผืนเดียวเท่านั้น แล้วให้ผู้เล่นเสี่ยงทาย ใครแพ้คนนั้นต้องเป็น "มอญ" ส่วนคนอื่น ๆ มานั่งล้อมวง คนที่เป็น "มอญ" จะต้องถือผ้าไว้ในมือแล้วเดินวนอยู่นอกวง จากนั้นคนนั่งในวงจะร้องเพลงว่า "มอญ ซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไว้โน่นไว้นี่ ฉันจะตีก้นเธอ" ระหว่างเพลงร้องอยู่ คนที่เป็น "มอญ" จะแอบทิ้งผ้าไว้ข้างหลังผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง แต่เมื่อ ทิ้งผ้าแล้ว จะแกล้งทาเป็นยังไม่ทิ้ง โดยเดินวนไปอีก 1 รอบ หากผู้ที่ถูกทิ้งผ้าไม่รู้ตัว "มอญ" จะ หยิบผ้ามาตีหลังผู้เล่นคนนั้น แล้วต้องกลายเป็น "มอญ" แทน แต่หากผู้เล่นรู้ตัวว่ามีผ้าอยู่ข้าง หลัง ก็จะหยิบผ้ามาวิ่งไล่ตี "มอญ" รอบวง "มอญ" ต้องรีบกลับมานั่งแทนที่ผู้เล่นคนนั้น แล้วผู้ที่ วิ่งไล่ต้องเปลี่ยนเป็น "มอญ" แทน
  • 12.
  • 13. เดินกะลา ดูจะเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่หาดูได้ไม่บ่อยนัก แต่หากเป็นสมัยก่อนจะเห็นเด็ก ๆ เดินกะลา กัน ทั่วไป โดยผู้เล่นจะต้องนากะลามะพร้าว 2 อันมาทาความสะอาดแล้วเจาะรูตรงกลาง ร้อยเชือก ให้แน่น เพื่อป้องกันไม่ให้เชือกหลุดเวลาเดิน เวลาเดินให้ใช้นิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้คีบเชือกเอาไว้ แล้วเดิน หากมีเด็ก ๆ หลายคนอาจจัดแข่ง เดินกะลา ได้ด้วยการกาหนดเส้นชัยไว้ใครเดินถึงก่อน ก็เป็นผู้ชนะไป ประโยชน์ของการเดินกะลา ก็คือช่วยฝึกการทรงตัว ความสมดุลของร่างกาย เพราะต้องระวังไม่ให้ตกกะลา ช่วงแรก ๆ อาจจะรู้สึกเจ็บเท้า แต่ถ้าฝึกบ่อย ๆ จะชิน และหายเจ็บไปเอง แถมยังทาให้ร่างกายแข็งแรง เพลิดเพลินอีกด้วย
  • 14.
  • 15. กาฟักไข่ เป็นอีกหนึ่งการละเล่นที่เคยได้ยินชื่อ แต่หลายคนไม่ทราบกติกา โดยวิธีการเล่นก็คือ ใช้ อะไรก็ได้ลักษณะกลม ๆ เท่าจานวนคนเล่น ยกเว้นผู้ที่เป็นกา 1 คน มาสมมติว่าเป็น "ไข่" แล้ว เขียนวงกลมลงบนพื้น 2 วง วงแรกเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 ฟุต และอีกวงหนึ่งอยู่ข้างในวง แรก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ฟุต วาง "ไข่" ทั้งหมดไว้ในวงกลมเล็ก ให้คนใดคนหนึ่งเป็นกา ยืน ในวงกลมวงใหญ่ หรือนั่งคร่อมวงกลมเล็ก นอกนั้นทุกคนยืนรอบนอกวงกลมวงใหญ่ คอยแย่งไข่ คนเป็นกามีหน้าที่ป้องกันไข่ ไม่ให้ถูกแย่งไป กติกาของกาฟักไข่ ก็คือคนข้างนอกต้องแย่งไข่มาให้ได้ โดยใช้แขนหรือมือเอื้อมเข้าไป แต่ห้ามนาตัวเข้าไปในวงกลม และต้องระวังไม่ให้อีกาถูกมือหรือแขนได้ด้วย หากแย่งไข่ออกมา ได้หมดแล้ว ให้ปิดตากา แล้วนาไข่ทั้งหมดไปซ่อน เพื่อให้กาตามหาไข่ หากพบไข่ที่ผู้เล่นคนใด นาไปซ่อน ผู้นั้นจะต้องเปลี่ยนมาเป็นกาแทน
  • 16.
  • 17. • งูกินหาง "แม่งูเอ๋ยกินน้าบ่อไหน..." ประโยคคุ้น ๆ ของการเล่นงูกินหางที่ยังติดตรึงในความทรงจาของ ใครหลาย ๆ คน และเป็นที่นิยมของเด็กในทุกเทศกาล ทุกโอกาสอีกด้วย วิธีการเล่นงูกินหาง เริ่มจากเสี่ยงทาย ใครแพ้ต้องไปเป็น "พ่องู" ส่วนผู้ชนะที่มีร่างกายแข็งแรง ตัว ใหญ่จะเป็น "แม่งู" ไว้คอยปกป้องเพื่อน ๆ คนอื่นที่เป็น "ลูกงู" จากนั้น "ลูกงู" จะเกาะเอวแม่งูและต่อ แถวกันไว้ ยืนเผชิญหน้ากับ "พ่องู" จากนั้นจะเข้าสู่บทร้อง โดยพ่องูจะถามว่า พ่องู : "แม่งูเอ๋ยกินน้าบ่อไหน“ แม่งู : "กินน้าบ่อโสกโยกไปโยกมา" (พร้อมแสดงอาการส่ายตัวไปมา) พ่องู : "แม่งูเอ๋ยกินน้าบ่อไหน" แม่งู : "กินน้าบ่อหินบินไปบินมา" (พร้อมแสดงอาการบินไปบินมา) พ่องู : "แม่งูเอ๋ยกินน้าบ่อไหน“ แม่งู : "กินน้าบ่อทรายย้ายไปย้ายมา" (พร้อมแสดงอาการส่ายตัวไปมา)
  • 18. จากนั้นพ่องูจะพูดว่า "กินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว" แล้ววิ่งไล่จับลูกงูที่กอดเอวอยู่ ส่วนแม่งู ก็ต้องป้องกันไม่ให้พ่องูจับลูกงูไปได้ เมื่อลูกงูคนไหนถูกจับ จะออกจากแถวมายืนอยู่ด้านนอก เพื่อรอเล่นรอบต่อไป หากพ่องูแย่งลูกได้หมด จะถือว่าจบเกมแล้วเริ่มเล่นใหม่ โดยพ่องูจะ กลับไปเป็นแม่งูต่อในรอบต่อไป ประโยชน์ของการเล่นงูกินหางก็คือ ทาให้ผู้เล่นเกิดความสามัคคี ทางานเป็นกลุ่ม รู้จัก ช่วยเหลือกัน และรู้จักการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด เมื่อภัยมาถึงตัว นอกจากนี้ยังฝึกร่างกายให้ แข็งแรง และจิตใจเบิกบานสนุกสนานไปด้วย
  • 19. ทอยเส้น หากย้อนไปสักปี พ.ศ. 2510-2530 ทอยเส้นจะเป็นที่นิยมของเด็ก ๆ อย่างมาก โดยอุปกรณ์การ เล่นจะใช้ตัวตุ๊กตุ่นพลาสติกหรือยาง ขนาดความสูง 4-5 เซนติเมตร (ที่แถมมากับขนมอบกรอบซึ่งฮิต มากในยุคนั้น) มาใช้ทอย และต้องมีพื้นถนนที่มีเส้นรอยต่อระหว่างบล็อก ระยะห่างประมาณ 3-5 เมตร หรือใช้การขีดลากเส้น 2 เส้นแทนก็ได้ วิธีการเล่นทอยเส้นคือต้องเสี่ยงหาคนทอยก่อน โดยใช้วิธีเป่ายิงฉุบ โอน้อยออก ฯลฯ แล้วแต่จะ เลือก หรือจะทอยเปล่า เพื่อดูว่าใครใกล้-ไกลเส้นมากกว่า คนที่ไกลเส้นที่สุดจะต้องเริ่มทอยก่อน เพราะ จะเสียเปรียบที่สุด ส่วนคนที่ทอยทีหลังจะได้เปรียบ เพราะเลือกหาทางหนีทีไล่ได้ดีกว่า
  • 20. เมื่อกาหนดลาดับผู้เล่นแล้ว ให้ผู้เล่นยืนจรดเท้าอยู่เส้นแรก ห้ามล้าเส้นออกไป แล้วใช้แขนเหวี่ยงตุ๊กตุ่นในมือ ออกไป ให้ตก หรือทับเส้นที่สอง เมื่อทอยครบทุกคน ให้เปรียบเทียบ ตุ๊กตุ่นของใครใกล้เส้นที่สุดเป็นผู้ชนะ จากนั้น ผู้ชนะจะยืนที่ตาแหน่งตุ๊กตุ่นของตัวเอง แล้วใช้ตุ๊กตุ่นของตัวเองเอื้อม หรือปาไปให้โดนตัวอื่นที่อยู่ห่างเส้น ในลาดับถัดไป เพื่อจะได้กิน (ครอบครอง) ตุ๊กตุ่นตัวนั้นไว้ หากกินได้ ผู้เล่นคนอื่นจะถูกลงโทษตามตกลง เช่น ดีด มะกอก ฯลฯ เมื่อจบรอบแรก ก็หันหลังกลับ ยืนจรดเส้นที่สอง แล้วทอยกลับไปให้ใกล้เส้นแรกมากที่สุด ด้วยกติกา เช่นเดิม โดยดูแล้วมีลักษณะคล้ายการเล่นทอยเหรียญ หรือ PITCH AND TOSS ของต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การเล่นทอยเส้น ไม่ค่อยได้รับความนิยมในช่วงหลัง ๆ เพราะเมื่อเด็กเติบโตขึ้นก็เปลี่ยนการ ใช้ตุ๊กตุ่นไปเป็นเงิน จนดูคล้ายเป็นการพนันไป
  • 21. ว่าวไทย เชื่อว่าหลายคน คงเคยมีประสบการณ์การเล่นว่าวในช่วงปิดเทอมที่ท้องสนามหลวงมาแล้ว แม้ว่าตอนนี้ ภาพนั้นจะค่อย ๆ จางหายไปแล้วก็ตาม โดย "การเล่นว่าวไทย" นั้น เริ่มมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเรื่อยมา ตามที่ ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และถือเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงภูมิปัญญาพื้นบ้านและวัฒนธรรมของไทยได้อย่างดี เพราะแต่ละท้องถิ่นจะคิดประดิษฐ์ว่าวแตกต่างกันไป "ว่าวไทย" จึงกลายเป็นมรดกตกทอดของแต่ละชุมชนและ มีลักษณะเฉพาะตัวที่โดดเด่น โดย "ว่าว" มีหลายประเภท เช่น "ว่าวจุฬา" มีลักษณะเป็น 5 แฉก นิยมเล่นในภาคกลาง, "ว่าววง เดือน" หรือ "ว่าวบุหลัน" มักตกแต่งเป็นลวดลายเรือกอและ นิยมเล่นในภาคใต้ตอนล่าง นอกจากนี้ยังมี "ว่าว ปักเป้า", "ว่าวงู" ฯลฯ การเล่นว่าวนั้น เล่นได้ทั้งหน้าหนาวและหน้าร้อน โดยอาศัยกระแสลมเป็นตัวฉุดให้ว่าวลอยขึ้น โดยหาก เป็นลมหน้าหนาว จะเป็นลมที่พัดจากผืนแผ่นดินลงสู่ทะเล ทาให้คนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยม เล่นว่าวกันในช่วงนี้ส่วนหน้าร้อน มีลมตะวันตกเฉียงใต้จากทะเลพัดสู่ผืนแผ่นดินใหญ่ เรียกว่า "ลมตะเภา" ทาให้ ชาวภาคกลาง ภาคตะวันตกและภาคใต้ นิยมเล่นว่าวในฤดูนี้
  • 22. ส่วนวิธีการเล่นว่าวนั้น ส่วนใหญ่จะชักว่าวให้ลอยสูงติดลมบน เพื่อดูความสวยงามของว่าวรูป ต่าง ๆ หรือฟังเสียงของว่าว นอกจากนี้ยังสามารถชักว่าวต่อสู้กันบนอากาศก็ได้ ยังมีอีกหลายการละเล่นที่เด็กไทยสมัยก่อนนิยมนามาเล่นกัน เช่น ขี่ม้าส่งเมือง, ตี่จับ, โมราเรียกชื่อ, ลิงชิงหลัก, ตั้งเต, โพงพาง, ชักเย่อ, กระต่ายขาเดียว, กระโดดยาง ฯลฯ ซึ่ง ทั้งหมดล้วนเป็นภูมิปัญญาของคนไทย ที่สร้างสรรค์มรดกตกทอดทางวัฒนธรรมให้กับลูก ๆ หลาน ๆ ได้อย่างดีทีเดียว