1. นาย เกริกฤทธิ์ ชัยวร        เลขที่ 1     ชัน ม.3/2  ้
2. นาย กฤษดากรณ์ สายปน     ิ    เลขที่ 2   ชัน ม.3/2 ้
3. นาย เจษฎากร เมืองช ุม       เลขที่ 3    ชัน ม.3/2
                                                 ้
4. นาย จาต ุรงค์ พระวิฑ ูรย์   เลขที่ 4    ชัน ม.3/2
                                             ้
5. นาย จิราย ุทธ จันสม         เลขที่ 5    ชัน ม.3/2
                                               ้
6. เด็กหญิง วิช ุดา ดวงแก้ว    เลขที่ 36   ชัน ม.3/2
                                                   ้
เครืองใช้ไฟฟา คือ อุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานรูป
    ่            ้                             ้
   อื่น เพื่อนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน ได้แก่
1. เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้แสงสว่าง
                   ้
2. เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้ความร้อน
                       ้
3. เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้พลังงานกล
                         ้
4. เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้พลังงานเสียง
                     ้
นอกจากนียงมีเครื่องใช้ไฟฟาที่สามารถเปลี่ยนเป็ นพลังงานรูปอื่น
             ้ ั            ้
   หลายรูปในเวลาเดียวกัน
เครืองใช้ไฟฟาคือ อุปกรณ์ที่เปลียนพลังงานไฟฟา ที่เป็ น
     ่         ้                  ่             ้
พลังงานรูปอื่น เพื่อนาไปใช้ในชีวิตประจาวันไม่วาจะเป็ น
                                              ่
เครื่องใช้ไฟฟาที่ใช้ภายในบ้านในสานักงาน ตลอดจน
             ้
เครื่องมือ เครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม ล้วนแต่ตอง    ้
อาศัยพลังงานจากไฟฟาทังสิน
                       ้ ้ ้
เนืองจากเครื่องใช้ไฟฟาที่ให้พลังงานความร้อนจะมีกระแสไฟฟาปริมาณมา
   ่                        ้                                ้
     ไหลผ่าน มากกว่าเครื่องใช้ประเภทอื่นๆ จึงควรใช้ดวยความระมัดระวัง
                                                        ้
     ดังนี้
                  1. หมันตรวจสอบดูแลสายไฟ เต้ารับ เต้าเสียบ ให้อยู่ใน
                          ่
     สภาพเรียบร้อยไม่ชารุด
                  2. เมื่อเลิกใช้งานต้องถอดเต้าเสียบออกจากเต้ารับทุกครังไม่
                                                                       ้
     ควรเสียบทิ้งไว้
               ในการเลือกเครื่องใช้ไฟฟาทุกชนิดต้องพิจารณาถึงคุณภาพของ
                                        ้
     เครื่องใช้ไฟฟา รูจกวิธีใช้ที่ถกต้อง รูจกวิธีปองกันอันตรายจากไฟฟารัว
                  ้ ้ั              ู      ้ั     ้                  ้ ่
     และไฟฟาลักวงจรและตรวจดูแลอุปกรณ์อยูเ่ สมอ
             ้
หลอดไฟ เป็ นอุปกรณ์ทใช้เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็ นแสงสว่างให้เราสามารถ
                         ี่                      ้
    มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ ซึ่ง โธมัส เอดิสน เป็ นผูประดิษฐ์หลอดไฟเป็ นครั้งแรก โดย
                                         ั         ้
    ใช้คาร์บอนเส้นเล็กๆ เป็ นไส้หลอดและได้มการพัฒนาเรื่อยมาเป็ นลาดับ
                                               ี
รูป หลอดไฟของเอดิสน   ั
รูป พัฒนาการของหลอดไฟฟา        ้
ประเภทของหลอดไฟ
1. หลอดไฟฟ้าธรรมดา มีไส้หลอดทีทาด้วยลวดโลหะทีมจดหลอมเหลวสูง เช่น
                                       ่                 ่ ี ุ
    ทังสเตนเส้นเล็กๆ ขดเอาไว้เหมือนขดลวดสปริงภายในหลอดแก้วสูบอากาศออก
    หมดแล้วบรรจุกาซเฉื่อย เช่น อาร์กอน (Ar) ไว้ ก๊าซนีชวยปองกันไม่ให้หลอด
                    ๊                                     ้่ ้
    ไฟฟาดา ลักษณะของหลอดไฟเป็ นดังรูป
        ้
รูป ส่วนประกอบของหลอดไฟฟาแบบเขียว้         ้
หลักการทางานของหลอดไฟฟาธรรมดา
                                         ้
กระแสไฟฟาไหลผ่านไส้หลอดซึ่งมีความต้านทานสูง พลังงานไฟฟาจะ
         ้                                               ้
  เปลี่ยนเป็ นพลังงานความร้อน ทาให้ไส้หลอดร้อนจัดจนเปล่งแสง
  ออกมาได้ การเปลี่ยนพลังงานเป็ นดังนี้
พลังงานไฟฟา >>>พลังงานความร้อน >>>พลังงานแสง
             ้
2. หลอดเรื่องแสง หรือ หลอดฟล ูออเรสเซนต์ (fluorescent) เป็ น
   อุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานแสงสว่าง ซึ่งมีการ
                              ้
   ประดิษฐ์ในปี ค.ศ. 1938 โดยมีรปร่างหลายแบบ อาจทาเป็ นหลอด
                                  ู
   ตรง สัน ยาว ขดเป็ นวงกลมหรือครึ่งวงกลม เป็ นต้น
         ้
ส่วนประกอบของหลอดเรืองแสง
ตัวหลอดมีไส้โลหะทังสเตนติดอยูที่ปลายทัง 2 ข้าง ของหลอดแก้ว ซึ่ง
                                ่      ้
   ผิวภายในของหลอดฉาบด้วยสารเรื่องแสง อากาศในหลอดแก้วถูก
   สูบออกจนหมดแล้วใส่ไอปรอทไว้เล็กน้อย ดังรูป
รูป หลอดเรืองแสง

   อุปกรณ์ที่ใช้เพื่อให้หลอดเรืองแสงทางาน
1. สตาร์ตเตอร์ (starter) ทาหน้าที่เป็ นสวิตซ์อตโนมัตในขณะหลอดเรือง
                                              ั       ิ
   แสง ยังไม่ตดและหยุดทางานเมือหลอดติดแล้ว
               ิ                  ่
2. แบลลัสต์ (Ballast) ทาหน้าที่เพิ่มความต่างศักย์ เพื่อให้หลอดไฟเรืองแสง
   ติดในตอนแรกและทาหน้าที่ ควบคุมกระแสไฟฟาที่ผานหลอด ให้ลดลงเมือ
                                                ้ ่                    ่
   หลอดติดแล้ว
รูป สตาร์ตเตอร์และแบลลัสต์
การใช้หลอดเรืองแสงต้องต่อวงจรเข้ากับสตาร์ตเตอร์และแบลลัสต์ แล้วจึงต่อ
   เข้ากับสายไฟฟาในบ้าน
                  ้
รูป ก. การต่อวงจรไฟฟาของหลอดเรืองแสง
                         ้
เมือกระแสไฟฟาผ่านไอปรอท จะคายพลังงานไฟฟาให้แก่ไอปรอท ซึ่งจะทาให้อะตอม
   ่              ้                                ้
ของไอปรอทอยูในสภาวะถูกกระตุน (exited state) เป็ นผลให้อะตอมปรอทคายพลังงาน
                    ่                ้
ออกมาเพื่อ ลดระดับพลังงานในตัวเองในรูปของรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งมองไม่เห็น
เมือรังสีชนิดนีไ้ ปกระทบกับสารวาวแสงที่ฉาบไว้ที่ผวด้านในของหลอดฟลูออเรสเซนต์
     ่                                                ิ
สารเหล่านีจะเปล่งแสงได้ โดยให้แสงสีตางๆตามชนิดของสารวาวแสงที่ฉาบไว้ภายใน
             ้                            ่
หลอดนัน เช่น แคดเมียมบอเรท (Cadmium borate) ให้ แสงสีชมพู แคดเมียมซิลิเคท
          ้
(Cadmium silicate) ให้แสงสีชมพูอ่อน แมกนีเซียมทังสเตท (Magnesium tungstate) ให้
แสงสีขาวอมฟา แคลเซียมทังสเตท (Calcium tungstate) ให้แสงสีนาเงิน ซิงค์ซิลิเคท
                ้                                                   ้
(Zinc silicate) ให้แสงสีเขียว ซิงค์เบริลเลียมซิลิเคท (Zinc Beryllium silicate) ให้แสงสี
เหลืองนวล นอกจากนียงอาจผสมสารวาวแสงเหล่านี้ เพื่อให้ได้แสงสีผสมที่แตกต่าง
                         ้ ั
กันออกไปได้อีกด้วย
• ข้อเปรียบเทียบระหว่างหลอดไฟฟากับหลอดฟล ูออเรสเซนต์ ซึ่งใช้
                                   ้
  พลังงานไฟฟาเท่ากัน
            ้
      • หลอดไฟฟาสว่างน้อยกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ เมือมีจานวนวัตต์
                  ้                                ่
  เท่ากัน
      • หลอดไฟฟามีอายุการใช้งานสันกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์
                    ้            ้
      • ขณะใช้งานอุณหภูมของหลอดไฟฟาสูงกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์
                        ิ            ้
      • หลอดไฟฟาเสียค่าใช้จายในการติดตังน้อยกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์
                ้          ่           ้
  เพราะหลอดฟลูออเรสเซนต์ตองต่อวงจรเข้ากับแบลลัสต์และสตาร์ตเตอร์เส
                             ้
  มอ
หลอดคอมแพคฟล ูออเรสเซนต์
หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์หรือที่เรียกกันทัวไปว่าหลอด
                                             ่
ตะเกียบ หลอดคอมแพค
ฟลูออเรสเซนต์มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีแบลลัสต์ภายใน สามารถใช้
แทนหลอดไฟฟาแบบมีเขียวและแบบเกลียวได้ อีกชนิดหนึงเป็ นแบบ
             ้        ้                             ่
ที่มแบลลัสต์อยูภายนอกจะมีขาเสียบ เพื่อต่อเข้ากับแบลลัสต์ สมบัติ
    ี          ่
ที่สาคัญของหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ คือ ช่วยประหยัด
พลังงานไฟฟา และมีอายุการใช้งาน ที่ยาวนานกว่าหลอดฟลูออเรส
           ้
เซนต์
เครืองขยายเสียง(Amplifier)
      ่
เครื่องใช้ไฟฟาที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานเสียง ได้แก่ เครื่องรับ
             ้                     ้
   วิทยุ เครื่องขยายเสียง เครื่องบันทึกเสียง ฯลฯ
คือ เครื่องใช้ไฟฟาที่เปลียนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานเสียงโดยรับ
                  ้       ่            ้
   สัญญาณไฟฟาจากไมโครโฟน หัวเทป หรือจาก เครื่องกาเนิด
                      ้
   สัญญาณไฟฟาจากเสียงต่างๆ มาขยายสัญญาณไฟฟาจนมีกาลังมาก
                    ้                                 ้
   พอจึงส่งออกสูลาโพงเสียง
                        ่
เครื่องขยายเสียงจะต้องมีสวนประกอบดังนี้
                            ่
1. ไมโครโฟน เปลี่ยนพลังงานเสียงให้เป็ นสัญญาณไฟฟา   ้
2. เครื่องขยายสัญญาณไฟฟา ขยายสัญญาณไฟฟาให้แรงขึน
                              ้                  ้        ้
3. ลาโพง เปลี่ยนสัญญาณไฟฟาให้เป็ นพลังงานเสียง
                                ้
เครืองบันทึกเสียง (Tape recorder)
           ่
เครื่องบันทึกเสียง ขณะบันทึกด้วยการพูดผ่านไมโครโฟน ซึ่งจะเปลียน  ่
     พลังงานเสียงเป็ นสัญญาณไฟฟา แล้วบันทึกลงในแถบบันทึกเสียง
                                  ้
     ซึ่งฉาบด้วยสารแม่เหล็กในรูปของสัญญาณแม่เหล็ก
เมือนาแถบบันทึกเสียงที่บนทึกได้มาเล่น สัญญาณแม่เหล็กจะถูก
   ่                         ั
     เปลี่ยนกลับเป็ นสัญญาณไฟฟา และสัญญาณนีจะถูกขยายให้แรง
                                ้                ้
     ขึนด้วยอุปกรณ์ไฟฟาจนทาให้ลาโพงสันสะเทือนเป็ นเสียงขึนอีกครั้ง
        ้                  ้            ่                 ้
     หนึง    ่
ในการใช้เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้พลังงานเสียง พวก วิทยุ หรือเครื่องเสียง
                       ้
     ประเภทต่างๆ ส่วนใหญ่สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟาไม่มาก แต่ทงนี้
                                               ้              ั้
     ขึนอยูกบ กาลังไฟฟา ของเครื่องเสียงนันๆ และขึนอยูกบความดัง
          ้ ่ ั          ้                ้        ้ ่ ั
     ของเสียงในการเปิ ดฟังด้วย
ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้ าที่ให้พลังงานกล
มอเตอร์ เป็ นเครื่องใช้ไฟฟาที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงาน
                           ้                     ้
  กล ประกอบด้วยขดลวดที่พนรอบแกนโลหะที่วางอยูระหว่างขัวแม่เหล็ก
                                 ั                    ่        ้
  โดยเมือผ่านกระแสไฟฟาเข้าไปยังขดลวดที่อยูระหว่างขัวแม่เหล็ก จะทาให้
        ่                    ้                 ่        ้
  ขดลวดหมุนไปรอบแกน และเมือสลับขัวไฟฟา การหมุนของขดลวดจะหมุน
                                    ่      ้ ้
  กลับทิศทางเดิม
มอเตอร์ มี 2 ประเภท คือ มอเตอร์กระแสตรง และมอเตอร์ผานเข้าไปใน
                                                           ่
  ขดลวดอาร์เมเจอร์เพือทาให้เกิดการดูดและผลักกันของแม่เหล็กถาวรกับ
                         ่
  แม่เหล็กระแสสลับ
1.มอเตอร์กระแสตรง เป็ นมอเตอร์ที่ตองใช้ไฟฟากระแสตรงไฟฟาที่เกิดจาก
                                         ้         ้         ้
  ขดลวดมอเตอร์จึงหมุนได้
2.มอเตอร์กระแสสลับ เป็ นมอเตอร์ที่ตองใช้กบไฟฟากระแสสลับ โดย
                                          ้   ั ้
   ใช้หลักการดูดและผลักกันของแม่เหล็กถาวรกับแม่เหล็กไฟฟาจาก้
   ขดลวดมาทาให้เกิดการหมุนของมอเตอร์
ข้อควรระวังในการใช้เครื่องใช้ไฟฟาที่มมอเตอรเป็ นส่วนประกอบ คือ
                                 ้ ี
   ห้ามใช้เครื่องใช้ประเภทนีในช่วงที่ไฟตก หรือแรงดันไฟฟาไม่ถึง
                            ้                          ้
   220 โวลต์ เนืองจากมอเตอร์จะไม่หมุนและทาให้เกิดกระแสไฟฟาดัน
                   ่                                          ้
   กลับ จะทาให้ขดลวดร้อนจัดจนเกิดไหม้เสียหายได้
ขณะที่มอเตอร์กาลังหมุนจะเกิดการเหนียวนาไฟฟาขึนทาให้เกิด
                                        ่        ้ ้
   กระแสไฟฟาซ้อนขึนภายในขดลวด แต่มทิศทางการไหลสวนทางกับ
                 ้     ้                    ี
   กระแสไฟฟาที่มาจากแหล่งกาเนิดพลังงานไฟฟาเดิม ทาให้ขดลวด
               ้                               ้
   ของมอเตอร์ไม่รอนจนเกิดไฟไหม้ได้
                     ้
1.พัดลม
พัดลม พัดลม แบ่งได้เปน 2 ประเภท คือ
                          ็
   - พัดลมตังพื้นหรือตังโต๊ะ นิยมใช้โดยทัวไป
            ้           ้                ่
   - พัดลมติดเพดาน จะกินไฟมากกว่าแบบตังพื้นหรือตังโต๊ะ 1 เท่าตัว ฉะนัน
                                            ้       ้                ้
   ควรเลือกใช้พดลม ตังพื้นหรือตังโต๊ะ เพราะกินไฟน้อยกว่าแบบติดเพดานถึง
                ั     ้           ้
   ร้อยละ 50
- เต้าเสียบพัดลมควรมีสายดิน
   - บริเวณที่ตงพัดลมไม่ควรมีวสดุตดไฟ เช่น ผ้าม่าน กระดาษ
                     ั้             ั ิ
   - อย่าเปิ ดพัดลมเพื่อระบายอากาศในบริเวณที่มกาซหุงต้มทินเนอร์
                                                     ี ๊
   หรือนามันเชือเพลิง
          ้      ้
   - พัดลมที่เปิ ดแล้วไม่หมุน ให้รีบปิ ดและส่งซ่อม ทันที
   - ไม่ควรใช้พดลมไอนา เพราะมีผลให้เกิดปอดชืน
                   ั     ้                         ้
   การบาร ุงรักษา
   - อย่าเปิ ดพัดลมทิ้งไว้โดยไม่มคนอยู่ เพราะอาจเกิดอัคคีภยได้
                                  ี                       ั
   - ปรับระดับความเร็วลมให้เหมาะสม
   - ควรปิ ดพัดลมและดึงปลักออกทุกๆ ครั้งเมือเลิกใช้
                              ๊                  ่
เครื่ องใช้ ไฟฟาที่ให้ แสงสว่ าง
                ้
              หลอดไฟฟา เป็ นเครื่องใช้ไฟฟาที่มใช้ในทุกบ้านที่มีการใช้
                            ้            ้ ี
  พลังงานไฟฟา เป็ นเครื่องใช้ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟา ไปเป็ นพลังงานแสง
                  ้                                ้
  หลอดไฟฟาที่ใช้ทวไป มี 3 ชนิด คือ
              ้        ั่
         1. หลอดไฟฟาแบบธรรมดา
                          ้
         2. หลอดเรื่องแสงหรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent
         Lamp)
        3. หลอดไฟโฆษณาหรือหลอดนีออน
หลอดไฟฟาแบบธรรมดา มีการเปลี่ยนรูปพลังงานจากพลังงานไฟฟาเป็ น
                ้                                                    ้
พลังงานความร้อน แล้วจึงเปลี่ยนเป็ นพลังงานแสง หลอดไฟฟาแบบธรรมดามี
                                                         ้
2 แบบ คือแบบเกลียวและแบบเขียว มีสวนประกอบดังนี้
                               ้     ่
   1.ไส้หลอด ทาด้วยโลหะที่มีจดหลอดเหลวสูง ทนความร้อนได้มาก มีความ
                             ุ
ทานสูง เช่น ทังสเตน
   2.หลอดแก้ว ทาจากแก้วที่ทนความร้อนได้ดี ไม่แตกง่าย สูบอากาศออกจน
หมดภายในบรรจุกาซไนโตรเจนและอาร์กอนเล็กน้อย ก๊าซชนิดนีทาปฏิกริยายาก
                   ๊                                        ้     ิ
ช่วยปองกันไม่ให้ไส้หลอดระเหิดไปจับที่หลอดแก้ว และช่วยไม่ให้ไส้หลอดไม่ขาด
     ้
ง่าย ถ้าบรรจุกาซออกซิเจนจะทาปฏิกิริยากับไส้หลอด ซึ่งทาให้ไส้หลอดขาดง่าย
              ๊
3.ขัวหลอดไฟ เป็ นจุดต่อวงจรไฟฟา มี 2 แบบ คือ แบบเขียวและ
    ้                             ้                   ้
  แบบเกลียว
        เนืองจากหลอดไฟฟาประเภทนีให้แสงสว่างได้ดวยการเปลี่ยน
           ่                ้       ้            ้
  พลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานความร้อนก่อนทีจะให้แสงสว่างออกมา
               ้                          ่
  จึงทาให้สิ้นเปลี่อง พลังงานไฟฟา มากกว่าหลอดชนิดอื่น ใน
                                ้
  ขนาด กาลังไฟฟา ของหลอดไฟซึ่งจะกาหนดไว้ที่หลอดไฟทุกดวง
                     ้
  เช่น หลอดไฟฟาขนาด 100 วัตต์ เป็ นต้น
                 ้ ้
หลอดเรืองแสงหรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp) ทาด้วย
หลอดแก้วที่สบอากาศออกจนหมดแล้วบรรจุไอปรอทไว้เล็กน้อย มีไส้ทปลาย
               ู                                                   ี่
หลอดทังสองข้าง หลอดเรืองแสงอาจทาเป็ นหลอดตรง หรือครึ่งวงกลมก็
        ้
ได้ ส่วนประกอบและการทางานของหลอดเรืองแสง มีดงนี้     ั
          1. ตัวหลอด ภายในสูบอากาศออกจนหมดแล้วบรรจุไอปรอทและก๊าซ
อาร์กอน เล็กน้อย ผิวด้านในของหลอดเรืองแสงฉาบด้วยสารเรืองแสงชนิด
ต่างๆ แล้วแต่ความต้องการให้เรืองแสงเป็ นสีใด เช่น ถ้าต้องการให้เรืองแสงสี
เขียว ต้องฉาบด้วยสารซิงค์ซิลิเคต แสงสีขาวแกมฟาฉาบด้วยมักเนเซียมทังสเตน
                                               ้
แสงสีชมพูฉาบด้วยแคดเนียมบอเรต เป็ นต้น
          2. ไส้หลอด ทาด้วยทังสเตนหรือวุลแฟรมอยู่ที่ปลายทังสองข้าง เมื่อ
                                                            ้
กระแสไฟฟาผ่านไส้หลอดจะทาให้ไส้หลอดร้อนขึน ความร้อนที่เกิดขึนจะทาให้ไอ
           ้                                ้                   ้
ปรอทที่บรรจุไว้ในหลอดกลายเป็ นไอมากขึน แต่ขณะนันกระแสไฟฟายังผ่านไอ
                                       ้           ้          ้
ปรอทไม่สะดวก เพราะปรอทยังเป็ นไอน้อยทาให้ความต้านทานของหลอดสูง
•        3. สตาร์ตเตอร์ ทาหน้าที่เป็ นสวิตซ์ไฟฟาอัตโนมัตของวงจรโดยต่อขนานกับ
                                                       ้             ิ
    หลอด ทาด้วยหลอดแก้วภายในบรรจุกาซนีออนและแผ่นโลหะคู่ที่งอตัวได้ เมื่อ
                                                     ๊
    ได้รบความร้อน เมื่อกระแสไฟฟาผ่านก๊าซนีออน ก๊าซนีออนจะติดไฟเกิดความ
         ั                                   ้
    ร้อนขึน ทาให้แผ่นโลหะคู่งอจนแตะติดกันทาให้กลายเป็ นวงจรปิ ดทาให้
             ้
    กระแสไฟฟาผ่านแผ่นโลหะได้ครบวงจร ก๊าซนีออนที่ตดไฟอยู่จะดับและเย็นลง
                  ้                                                    ิ
    แผ่นโลหะคู่จะแยกออกจากกันทาให้เกิดความต้านทานสูงขึนอย่างทันทีซึ่ง      ้
    ขณะเดียวกันกระแสไฟฟาจะผ่านไส้หลอดได้มากขึนทาให้ไส้หลอดร้อนขึน
                              ้                            ้                           ้
    มาก ปรอทก็จะเป็ นไอมากขึนจนพอที่นากระแสไฟฟาได้
                                    ้                          ้
               4. แบลลัสต์ เป็ นขดลวดที่พนอยู่บนแกนเหล็ก ขณะกระแสไฟฟาไหล
                                                   ั                                     ้
    ผ่านจะเกิดการเหนียวนาแม่เหล็กไฟฟาทาให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟาเหนียวนาขึน
                        ่                      ้                               ้     ่       ้
    เมื่อแผ่นโลหะคู่ในสตาร์ตเตอร์แยกตัวออกจากกันนันจะเกิดวงจรเปิ ด
                                                             ้
    ชัวขณะ แรงเคลื่อนไฟฟาเหนียวนาที่เกิดขึนในแบลลัสต์จึงทาให้เกิดความต่าง
      ่                         ้          ่             ้
    ศักย์ระหว่างไส้หลอดทังสองข้างสูงขึนเพียงพอที่จะทาให้กระแสไฟฟาไหลผ่านไอ
                            ้                    ้                                 ้
    ปรอทจากไส้หลอดข้างหนึงไปยังไส้หลอดอีกข้างหนึงได้ แรงเคลื่อนไฟฟา
                                  ่                              ่                         ้
    เหนียวนาที่เกิดจากแบลลัสต์นนจะทาให้เกิดกระแสไฟฟาเหนียวนาไหลสวนทาง
           ่                            ั้                         ้         ่
    กับกระแสไฟฟาจากวงจรไฟฟาในบ้าน ทาให้กระแส ไฟฟาที่จะเข้าสูวงจรของ
                    ้                 ้                                  ้       ่
    หลอดเรืองแสงลดลง
1. เมื่อให้พลังงานไฟฟาเท่ากันจะให้แสงสว่างมากกว่าหลอดไฟฟาแบบ
                            ้                                   ้
ธรรมดาประมาณ 4 เท่า และมีอายุการใช้งานนานกว่าหลอดไฟฟาธรรมดา ้
ประมาณ 8 เท่า
        2. อุณหภูมิของหลอดไม่สงเท่ากับหลอดไฟฟาแบบธรรมดา
                                 ู               ้
        3. ถ้าต้องการแสงสว่างเท่ากับหลอดไฟฟาธรรมดา จะใช้วตต์ที่ตากว่า จึง
                                              ้               ั   ่
เสียค่าไฟฟาน้อยกว่า
           ้


      1. เมื่อติดตังจะเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าหลอดไฟฟาแบบธรรมดา เพราะต้อง
                   ้                              ้
ใช้แบลลัสต์และสตาร์ตเตอร์ เสมอ
      2. หลอดเรืองแสงมักระพริบเล็กน้อยไม่เหมาะในการใช้อ่านหนังสือ
• ตัวเลขที่ปรากฏบนหลอดไฟฟาธรรมดาและหลอดเรืองแสงซึ่ง
                               ้
  บอก กาลังไฟฟาเป็ นวัตต์(W) เป็ นการบอกถึงปริมาณพลังงาน
                 ้
  ไฟฟาที่ใช้ไปใน 1 วินาที เช่น 20 W หมายถึง หลอดไฟฟานีจะใช้
      ้                                              ้ ้
  พลังงานไป 20 จูลในเวลา 1 วินาที ดังนันหลอดไฟฟาและหลอด
                                        ้          ้
  เรืองแสงที่มกาลังไฟฟามาก เมือใช้งานก็ยิ่งสินเปลืองกระแสไฟฟา
               ี        ้          ่         ้               ้
  มาก ทาให้เสียค่าใช้จายมากขึนด้วย ปั จจุบนมีการผลิตหลอดไฟ
                      ่          ้         ั
  พร้อมอุปกรณ์ประกอบ เช่น บัลลาสต์ แบบประหยัดพลังงานขึนมา  ้
  ใช้หลายชนิด เช่น หลอดตะเกียบ หลอดผอม บัลลาสต์เบอร์ 5 เป็ น
  ต้น
หลอดไฟโฆษณาหรือหลอดนีออน เป็ นหลอดแก้วที่ถกลนไฟแล้วดัดให้
                                                       ู
เป็ นรูปหรือตัวอักษร ไม่มไส้หลอดแต่ที่ปลายทังสองข้างจะมีขวไฟฟาทาด้วย
                         ี                  ้            ั้ ้
โลหะ ต่อกับแหล่งกาเนิดไฟฟา ที่มความต่างศักย์สงประมาณ 10,000
                           ้    ี                 ู
โวลต์ ภายในหลอดสูบอากาศออกจนหมดแล้วใส่กาซบางชนิดที่ให้แสงสี
                                              ๊
ต่างๆออกมาเมือมีกระแสไฟฟาผ่าน เช่นก๊าซนีออนให้แสงสีแดงหรือส้ม ก๊าซ
                ่            ้
ฮีเลียมให้แสงสีชมพู ความต่างศักย์ที่สงมากๆ จะทาให้กาซที่บรรจุไว้ใน
                                       ู             ๊
หลอดเกิดการแตกตัวเป็ นอิออน และนาไฟฟาได้ เมือกระแสไฟฟาผ่านก๊าซ
                                         ้      ่          ้
เหล่านีจะทาให้กาซร้อนติดไฟให้แสงสีตางๆได้
        ้         ๊                  ่
1. ใช้หลอดเรืองแสงจะให้แสงสว่างมากกว่าหลอดธรรมดา
   ประมาณ 4 เท่า เมือใช้พลังงานไฟฟาเท่ากัน และอายุการใช้งานจะ
                        ่             ้
   ทนกว่าประมาณ 8 เท่า
2. ใช้แสงสว่างให้เหมาะกับการใช้งาน ที่ใดต้องการแสงสว่างไม่มากนัก
   ควรติดไฟน้อยดวง
3. ทาความสะอาดโปะไฟ จะให้แสงสว่างเต็มที่
                      ๊
4. ปิ ดไฟทุกครั้งที่ไม่จาเป็ นต้องใช้

เรื่อง เครื่องใช้ไฟฟ้าเส็จแล้ว

  • 2.
    1. นาย เกริกฤทธิ์ชัยวร เลขที่ 1 ชัน ม.3/2 ้ 2. นาย กฤษดากรณ์ สายปน ิ เลขที่ 2 ชัน ม.3/2 ้ 3. นาย เจษฎากร เมืองช ุม เลขที่ 3 ชัน ม.3/2 ้ 4. นาย จาต ุรงค์ พระวิฑ ูรย์ เลขที่ 4 ชัน ม.3/2 ้ 5. นาย จิราย ุทธ จันสม เลขที่ 5 ชัน ม.3/2 ้ 6. เด็กหญิง วิช ุดา ดวงแก้ว เลขที่ 36 ชัน ม.3/2 ้
  • 3.
    เครืองใช้ไฟฟา คือ อุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็นพลังงานรูป ่ ้ ้ อื่น เพื่อนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน ได้แก่ 1. เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้แสงสว่าง ้ 2. เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้ความร้อน ้ 3. เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้พลังงานกล ้ 4. เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้พลังงานเสียง ้ นอกจากนียงมีเครื่องใช้ไฟฟาที่สามารถเปลี่ยนเป็ นพลังงานรูปอื่น ้ ั ้ หลายรูปในเวลาเดียวกัน
  • 4.
    เครืองใช้ไฟฟาคือ อุปกรณ์ที่เปลียนพลังงานไฟฟา ที่เป็น ่ ้ ่ ้ พลังงานรูปอื่น เพื่อนาไปใช้ในชีวิตประจาวันไม่วาจะเป็ น ่ เครื่องใช้ไฟฟาที่ใช้ภายในบ้านในสานักงาน ตลอดจน ้ เครื่องมือ เครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม ล้วนแต่ตอง ้ อาศัยพลังงานจากไฟฟาทังสิน ้ ้ ้
  • 5.
    เนืองจากเครื่องใช้ไฟฟาที่ให้พลังงานความร้อนจะมีกระแสไฟฟาปริมาณมา ่ ้ ้ ไหลผ่าน มากกว่าเครื่องใช้ประเภทอื่นๆ จึงควรใช้ดวยความระมัดระวัง ้ ดังนี้ 1. หมันตรวจสอบดูแลสายไฟ เต้ารับ เต้าเสียบ ให้อยู่ใน ่ สภาพเรียบร้อยไม่ชารุด 2. เมื่อเลิกใช้งานต้องถอดเต้าเสียบออกจากเต้ารับทุกครังไม่ ้ ควรเสียบทิ้งไว้ ในการเลือกเครื่องใช้ไฟฟาทุกชนิดต้องพิจารณาถึงคุณภาพของ ้ เครื่องใช้ไฟฟา รูจกวิธีใช้ที่ถกต้อง รูจกวิธีปองกันอันตรายจากไฟฟารัว ้ ้ั ู ้ั ้ ้ ่ และไฟฟาลักวงจรและตรวจดูแลอุปกรณ์อยูเ่ สมอ ้
  • 6.
    หลอดไฟ เป็ นอุปกรณ์ทใช้เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็นแสงสว่างให้เราสามารถ ี่ ้ มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ ซึ่ง โธมัส เอดิสน เป็ นผูประดิษฐ์หลอดไฟเป็ นครั้งแรก โดย ั ้ ใช้คาร์บอนเส้นเล็กๆ เป็ นไส้หลอดและได้มการพัฒนาเรื่อยมาเป็ นลาดับ ี รูป หลอดไฟของเอดิสน ั รูป พัฒนาการของหลอดไฟฟา ้ ประเภทของหลอดไฟ 1. หลอดไฟฟ้าธรรมดา มีไส้หลอดทีทาด้วยลวดโลหะทีมจดหลอมเหลวสูง เช่น ่ ่ ี ุ ทังสเตนเส้นเล็กๆ ขดเอาไว้เหมือนขดลวดสปริงภายในหลอดแก้วสูบอากาศออก หมดแล้วบรรจุกาซเฉื่อย เช่น อาร์กอน (Ar) ไว้ ก๊าซนีชวยปองกันไม่ให้หลอด ๊ ้่ ้ ไฟฟาดา ลักษณะของหลอดไฟเป็ นดังรูป ้ รูป ส่วนประกอบของหลอดไฟฟาแบบเขียว้ ้
  • 7.
    หลักการทางานของหลอดไฟฟาธรรมดา ้ กระแสไฟฟาไหลผ่านไส้หลอดซึ่งมีความต้านทานสูง พลังงานไฟฟาจะ ้ ้ เปลี่ยนเป็ นพลังงานความร้อน ทาให้ไส้หลอดร้อนจัดจนเปล่งแสง ออกมาได้ การเปลี่ยนพลังงานเป็ นดังนี้ พลังงานไฟฟา >>>พลังงานความร้อน >>>พลังงานแสง ้
  • 8.
    2. หลอดเรื่องแสง หรือหลอดฟล ูออเรสเซนต์ (fluorescent) เป็ น อุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานแสงสว่าง ซึ่งมีการ ้ ประดิษฐ์ในปี ค.ศ. 1938 โดยมีรปร่างหลายแบบ อาจทาเป็ นหลอด ู ตรง สัน ยาว ขดเป็ นวงกลมหรือครึ่งวงกลม เป็ นต้น ้ ส่วนประกอบของหลอดเรืองแสง ตัวหลอดมีไส้โลหะทังสเตนติดอยูที่ปลายทัง 2 ข้าง ของหลอดแก้ว ซึ่ง ่ ้ ผิวภายในของหลอดฉาบด้วยสารเรื่องแสง อากาศในหลอดแก้วถูก สูบออกจนหมดแล้วใส่ไอปรอทไว้เล็กน้อย ดังรูป
  • 9.
    รูป หลอดเรืองแสง อุปกรณ์ที่ใช้เพื่อให้หลอดเรืองแสงทางาน 1. สตาร์ตเตอร์ (starter) ทาหน้าที่เป็ นสวิตซ์อตโนมัตในขณะหลอดเรือง ั ิ แสง ยังไม่ตดและหยุดทางานเมือหลอดติดแล้ว ิ ่ 2. แบลลัสต์ (Ballast) ทาหน้าที่เพิ่มความต่างศักย์ เพื่อให้หลอดไฟเรืองแสง ติดในตอนแรกและทาหน้าที่ ควบคุมกระแสไฟฟาที่ผานหลอด ให้ลดลงเมือ ้ ่ ่ หลอดติดแล้ว รูป สตาร์ตเตอร์และแบลลัสต์ การใช้หลอดเรืองแสงต้องต่อวงจรเข้ากับสตาร์ตเตอร์และแบลลัสต์ แล้วจึงต่อ เข้ากับสายไฟฟาในบ้าน ้ รูป ก. การต่อวงจรไฟฟาของหลอดเรืองแสง ้
  • 10.
    เมือกระแสไฟฟาผ่านไอปรอท จะคายพลังงานไฟฟาให้แก่ไอปรอท ซึ่งจะทาให้อะตอม ่ ้ ้ ของไอปรอทอยูในสภาวะถูกกระตุน (exited state) เป็ นผลให้อะตอมปรอทคายพลังงาน ่ ้ ออกมาเพื่อ ลดระดับพลังงานในตัวเองในรูปของรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งมองไม่เห็น เมือรังสีชนิดนีไ้ ปกระทบกับสารวาวแสงที่ฉาบไว้ที่ผวด้านในของหลอดฟลูออเรสเซนต์ ่ ิ สารเหล่านีจะเปล่งแสงได้ โดยให้แสงสีตางๆตามชนิดของสารวาวแสงที่ฉาบไว้ภายใน ้ ่ หลอดนัน เช่น แคดเมียมบอเรท (Cadmium borate) ให้ แสงสีชมพู แคดเมียมซิลิเคท ้ (Cadmium silicate) ให้แสงสีชมพูอ่อน แมกนีเซียมทังสเตท (Magnesium tungstate) ให้ แสงสีขาวอมฟา แคลเซียมทังสเตท (Calcium tungstate) ให้แสงสีนาเงิน ซิงค์ซิลิเคท ้ ้ (Zinc silicate) ให้แสงสีเขียว ซิงค์เบริลเลียมซิลิเคท (Zinc Beryllium silicate) ให้แสงสี เหลืองนวล นอกจากนียงอาจผสมสารวาวแสงเหล่านี้ เพื่อให้ได้แสงสีผสมที่แตกต่าง ้ ั กันออกไปได้อีกด้วย
  • 11.
    • ข้อเปรียบเทียบระหว่างหลอดไฟฟากับหลอดฟล ูออเรสเซนต์ซึ่งใช้ ้ พลังงานไฟฟาเท่ากัน ้ • หลอดไฟฟาสว่างน้อยกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ เมือมีจานวนวัตต์ ้ ่ เท่ากัน • หลอดไฟฟามีอายุการใช้งานสันกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ ้ ้ • ขณะใช้งานอุณหภูมของหลอดไฟฟาสูงกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ ิ ้ • หลอดไฟฟาเสียค่าใช้จายในการติดตังน้อยกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ ้ ่ ้ เพราะหลอดฟลูออเรสเซนต์ตองต่อวงจรเข้ากับแบลลัสต์และสตาร์ตเตอร์เส ้ มอ
  • 12.
    หลอดคอมแพคฟล ูออเรสเซนต์ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์หรือที่เรียกกันทัวไปว่าหลอด ่ ตะเกียบ หลอดคอมแพค ฟลูออเรสเซนต์มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีแบลลัสต์ภายใน สามารถใช้ แทนหลอดไฟฟาแบบมีเขียวและแบบเกลียวได้ อีกชนิดหนึงเป็ นแบบ ้ ้ ่ ที่มแบลลัสต์อยูภายนอกจะมีขาเสียบ เพื่อต่อเข้ากับแบลลัสต์ สมบัติ ี ่ ที่สาคัญของหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ คือ ช่วยประหยัด พลังงานไฟฟา และมีอายุการใช้งาน ที่ยาวนานกว่าหลอดฟลูออเรส ้ เซนต์
  • 13.
    เครืองขยายเสียง(Amplifier) ่ เครื่องใช้ไฟฟาที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานเสียง ได้แก่ เครื่องรับ ้ ้ วิทยุ เครื่องขยายเสียง เครื่องบันทึกเสียง ฯลฯ คือ เครื่องใช้ไฟฟาที่เปลียนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานเสียงโดยรับ ้ ่ ้ สัญญาณไฟฟาจากไมโครโฟน หัวเทป หรือจาก เครื่องกาเนิด ้ สัญญาณไฟฟาจากเสียงต่างๆ มาขยายสัญญาณไฟฟาจนมีกาลังมาก ้ ้ พอจึงส่งออกสูลาโพงเสียง ่ เครื่องขยายเสียงจะต้องมีสวนประกอบดังนี้ ่ 1. ไมโครโฟน เปลี่ยนพลังงานเสียงให้เป็ นสัญญาณไฟฟา ้ 2. เครื่องขยายสัญญาณไฟฟา ขยายสัญญาณไฟฟาให้แรงขึน ้ ้ ้ 3. ลาโพง เปลี่ยนสัญญาณไฟฟาให้เป็ นพลังงานเสียง ้
  • 14.
    เครืองบันทึกเสียง (Tape recorder) ่ เครื่องบันทึกเสียง ขณะบันทึกด้วยการพูดผ่านไมโครโฟน ซึ่งจะเปลียน ่ พลังงานเสียงเป็ นสัญญาณไฟฟา แล้วบันทึกลงในแถบบันทึกเสียง ้ ซึ่งฉาบด้วยสารแม่เหล็กในรูปของสัญญาณแม่เหล็ก เมือนาแถบบันทึกเสียงที่บนทึกได้มาเล่น สัญญาณแม่เหล็กจะถูก ่ ั เปลี่ยนกลับเป็ นสัญญาณไฟฟา และสัญญาณนีจะถูกขยายให้แรง ้ ้ ขึนด้วยอุปกรณ์ไฟฟาจนทาให้ลาโพงสันสะเทือนเป็ นเสียงขึนอีกครั้ง ้ ้ ่ ้ หนึง ่ ในการใช้เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้พลังงานเสียง พวก วิทยุ หรือเครื่องเสียง ้ ประเภทต่างๆ ส่วนใหญ่สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟาไม่มาก แต่ทงนี้ ้ ั้ ขึนอยูกบ กาลังไฟฟา ของเครื่องเสียงนันๆ และขึนอยูกบความดัง ้ ่ ั ้ ้ ้ ่ ั ของเสียงในการเปิ ดฟังด้วย
  • 15.
    ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้ าที่ให้พลังงานกล มอเตอร์ เป็นเครื่องใช้ไฟฟาที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงาน ้ ้ กล ประกอบด้วยขดลวดที่พนรอบแกนโลหะที่วางอยูระหว่างขัวแม่เหล็ก ั ่ ้ โดยเมือผ่านกระแสไฟฟาเข้าไปยังขดลวดที่อยูระหว่างขัวแม่เหล็ก จะทาให้ ่ ้ ่ ้ ขดลวดหมุนไปรอบแกน และเมือสลับขัวไฟฟา การหมุนของขดลวดจะหมุน ่ ้ ้ กลับทิศทางเดิม มอเตอร์ มี 2 ประเภท คือ มอเตอร์กระแสตรง และมอเตอร์ผานเข้าไปใน ่ ขดลวดอาร์เมเจอร์เพือทาให้เกิดการดูดและผลักกันของแม่เหล็กถาวรกับ ่ แม่เหล็กระแสสลับ 1.มอเตอร์กระแสตรง เป็ นมอเตอร์ที่ตองใช้ไฟฟากระแสตรงไฟฟาที่เกิดจาก ้ ้ ้ ขดลวดมอเตอร์จึงหมุนได้
  • 16.
    2.มอเตอร์กระแสสลับ เป็ นมอเตอร์ที่ตองใช้กบไฟฟากระแสสลับโดย ้ ั ้ ใช้หลักการดูดและผลักกันของแม่เหล็กถาวรกับแม่เหล็กไฟฟาจาก้ ขดลวดมาทาให้เกิดการหมุนของมอเตอร์ ข้อควรระวังในการใช้เครื่องใช้ไฟฟาที่มมอเตอรเป็ นส่วนประกอบ คือ ้ ี ห้ามใช้เครื่องใช้ประเภทนีในช่วงที่ไฟตก หรือแรงดันไฟฟาไม่ถึง ้ ้ 220 โวลต์ เนืองจากมอเตอร์จะไม่หมุนและทาให้เกิดกระแสไฟฟาดัน ่ ้ กลับ จะทาให้ขดลวดร้อนจัดจนเกิดไหม้เสียหายได้ ขณะที่มอเตอร์กาลังหมุนจะเกิดการเหนียวนาไฟฟาขึนทาให้เกิด ่ ้ ้ กระแสไฟฟาซ้อนขึนภายในขดลวด แต่มทิศทางการไหลสวนทางกับ ้ ้ ี กระแสไฟฟาที่มาจากแหล่งกาเนิดพลังงานไฟฟาเดิม ทาให้ขดลวด ้ ้ ของมอเตอร์ไม่รอนจนเกิดไฟไหม้ได้ ้
  • 17.
    1.พัดลม พัดลม พัดลม แบ่งได้เปน2 ประเภท คือ ็ - พัดลมตังพื้นหรือตังโต๊ะ นิยมใช้โดยทัวไป ้ ้ ่ - พัดลมติดเพดาน จะกินไฟมากกว่าแบบตังพื้นหรือตังโต๊ะ 1 เท่าตัว ฉะนัน ้ ้ ้ ควรเลือกใช้พดลม ตังพื้นหรือตังโต๊ะ เพราะกินไฟน้อยกว่าแบบติดเพดานถึง ั ้ ้ ร้อยละ 50
  • 18.
    - เต้าเสียบพัดลมควรมีสายดิน - บริเวณที่ตงพัดลมไม่ควรมีวสดุตดไฟ เช่น ผ้าม่าน กระดาษ ั้ ั ิ - อย่าเปิ ดพัดลมเพื่อระบายอากาศในบริเวณที่มกาซหุงต้มทินเนอร์ ี ๊ หรือนามันเชือเพลิง ้ ้ - พัดลมที่เปิ ดแล้วไม่หมุน ให้รีบปิ ดและส่งซ่อม ทันที - ไม่ควรใช้พดลมไอนา เพราะมีผลให้เกิดปอดชืน ั ้ ้ การบาร ุงรักษา - อย่าเปิ ดพัดลมทิ้งไว้โดยไม่มคนอยู่ เพราะอาจเกิดอัคคีภยได้ ี ั - ปรับระดับความเร็วลมให้เหมาะสม - ควรปิ ดพัดลมและดึงปลักออกทุกๆ ครั้งเมือเลิกใช้ ๊ ่
  • 19.
    เครื่ องใช้ ไฟฟาที่ให้แสงสว่ าง ้ หลอดไฟฟา เป็ นเครื่องใช้ไฟฟาที่มใช้ในทุกบ้านที่มีการใช้ ้ ้ ี พลังงานไฟฟา เป็ นเครื่องใช้ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟา ไปเป็ นพลังงานแสง ้ ้ หลอดไฟฟาที่ใช้ทวไป มี 3 ชนิด คือ ้ ั่ 1. หลอดไฟฟาแบบธรรมดา ้ 2. หลอดเรื่องแสงหรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp) 3. หลอดไฟโฆษณาหรือหลอดนีออน
  • 20.
    หลอดไฟฟาแบบธรรมดา มีการเปลี่ยนรูปพลังงานจากพลังงานไฟฟาเป็ น ้ ้ พลังงานความร้อน แล้วจึงเปลี่ยนเป็ นพลังงานแสง หลอดไฟฟาแบบธรรมดามี ้ 2 แบบ คือแบบเกลียวและแบบเขียว มีสวนประกอบดังนี้ ้ ่ 1.ไส้หลอด ทาด้วยโลหะที่มีจดหลอดเหลวสูง ทนความร้อนได้มาก มีความ ุ ทานสูง เช่น ทังสเตน 2.หลอดแก้ว ทาจากแก้วที่ทนความร้อนได้ดี ไม่แตกง่าย สูบอากาศออกจน หมดภายในบรรจุกาซไนโตรเจนและอาร์กอนเล็กน้อย ก๊าซชนิดนีทาปฏิกริยายาก ๊ ้ ิ ช่วยปองกันไม่ให้ไส้หลอดระเหิดไปจับที่หลอดแก้ว และช่วยไม่ให้ไส้หลอดไม่ขาด ้ ง่าย ถ้าบรรจุกาซออกซิเจนจะทาปฏิกิริยากับไส้หลอด ซึ่งทาให้ไส้หลอดขาดง่าย ๊
  • 21.
    3.ขัวหลอดไฟ เป็ นจุดต่อวงจรไฟฟามี 2 แบบ คือ แบบเขียวและ ้ ้ ้ แบบเกลียว เนืองจากหลอดไฟฟาประเภทนีให้แสงสว่างได้ดวยการเปลี่ยน ่ ้ ้ ้ พลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานความร้อนก่อนทีจะให้แสงสว่างออกมา ้ ่ จึงทาให้สิ้นเปลี่อง พลังงานไฟฟา มากกว่าหลอดชนิดอื่น ใน ้ ขนาด กาลังไฟฟา ของหลอดไฟซึ่งจะกาหนดไว้ที่หลอดไฟทุกดวง ้ เช่น หลอดไฟฟาขนาด 100 วัตต์ เป็ นต้น ้ ้
  • 22.
    หลอดเรืองแสงหรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp)ทาด้วย หลอดแก้วที่สบอากาศออกจนหมดแล้วบรรจุไอปรอทไว้เล็กน้อย มีไส้ทปลาย ู ี่ หลอดทังสองข้าง หลอดเรืองแสงอาจทาเป็ นหลอดตรง หรือครึ่งวงกลมก็ ้ ได้ ส่วนประกอบและการทางานของหลอดเรืองแสง มีดงนี้ ั 1. ตัวหลอด ภายในสูบอากาศออกจนหมดแล้วบรรจุไอปรอทและก๊าซ อาร์กอน เล็กน้อย ผิวด้านในของหลอดเรืองแสงฉาบด้วยสารเรืองแสงชนิด ต่างๆ แล้วแต่ความต้องการให้เรืองแสงเป็ นสีใด เช่น ถ้าต้องการให้เรืองแสงสี เขียว ต้องฉาบด้วยสารซิงค์ซิลิเคต แสงสีขาวแกมฟาฉาบด้วยมักเนเซียมทังสเตน ้ แสงสีชมพูฉาบด้วยแคดเนียมบอเรต เป็ นต้น 2. ไส้หลอด ทาด้วยทังสเตนหรือวุลแฟรมอยู่ที่ปลายทังสองข้าง เมื่อ ้ กระแสไฟฟาผ่านไส้หลอดจะทาให้ไส้หลอดร้อนขึน ความร้อนที่เกิดขึนจะทาให้ไอ ้ ้ ้ ปรอทที่บรรจุไว้ในหลอดกลายเป็ นไอมากขึน แต่ขณะนันกระแสไฟฟายังผ่านไอ ้ ้ ้ ปรอทไม่สะดวก เพราะปรอทยังเป็ นไอน้อยทาให้ความต้านทานของหลอดสูง
  • 23.
    3. สตาร์ตเตอร์ ทาหน้าที่เป็ นสวิตซ์ไฟฟาอัตโนมัตของวงจรโดยต่อขนานกับ ้ ิ หลอด ทาด้วยหลอดแก้วภายในบรรจุกาซนีออนและแผ่นโลหะคู่ที่งอตัวได้ เมื่อ ๊ ได้รบความร้อน เมื่อกระแสไฟฟาผ่านก๊าซนีออน ก๊าซนีออนจะติดไฟเกิดความ ั ้ ร้อนขึน ทาให้แผ่นโลหะคู่งอจนแตะติดกันทาให้กลายเป็ นวงจรปิ ดทาให้ ้ กระแสไฟฟาผ่านแผ่นโลหะได้ครบวงจร ก๊าซนีออนที่ตดไฟอยู่จะดับและเย็นลง ้ ิ แผ่นโลหะคู่จะแยกออกจากกันทาให้เกิดความต้านทานสูงขึนอย่างทันทีซึ่ง ้ ขณะเดียวกันกระแสไฟฟาจะผ่านไส้หลอดได้มากขึนทาให้ไส้หลอดร้อนขึน ้ ้ ้ มาก ปรอทก็จะเป็ นไอมากขึนจนพอที่นากระแสไฟฟาได้ ้ ้ 4. แบลลัสต์ เป็ นขดลวดที่พนอยู่บนแกนเหล็ก ขณะกระแสไฟฟาไหล ั ้ ผ่านจะเกิดการเหนียวนาแม่เหล็กไฟฟาทาให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟาเหนียวนาขึน ่ ้ ้ ่ ้ เมื่อแผ่นโลหะคู่ในสตาร์ตเตอร์แยกตัวออกจากกันนันจะเกิดวงจรเปิ ด ้ ชัวขณะ แรงเคลื่อนไฟฟาเหนียวนาที่เกิดขึนในแบลลัสต์จึงทาให้เกิดความต่าง ่ ้ ่ ้ ศักย์ระหว่างไส้หลอดทังสองข้างสูงขึนเพียงพอที่จะทาให้กระแสไฟฟาไหลผ่านไอ ้ ้ ้ ปรอทจากไส้หลอดข้างหนึงไปยังไส้หลอดอีกข้างหนึงได้ แรงเคลื่อนไฟฟา ่ ่ ้ เหนียวนาที่เกิดจากแบลลัสต์นนจะทาให้เกิดกระแสไฟฟาเหนียวนาไหลสวนทาง ่ ั้ ้ ่ กับกระแสไฟฟาจากวงจรไฟฟาในบ้าน ทาให้กระแส ไฟฟาที่จะเข้าสูวงจรของ ้ ้ ้ ่ หลอดเรืองแสงลดลง
  • 24.
    1. เมื่อให้พลังงานไฟฟาเท่ากันจะให้แสงสว่างมากกว่าหลอดไฟฟาแบบ ้ ้ ธรรมดาประมาณ 4 เท่า และมีอายุการใช้งานนานกว่าหลอดไฟฟาธรรมดา ้ ประมาณ 8 เท่า 2. อุณหภูมิของหลอดไม่สงเท่ากับหลอดไฟฟาแบบธรรมดา ู ้ 3. ถ้าต้องการแสงสว่างเท่ากับหลอดไฟฟาธรรมดา จะใช้วตต์ที่ตากว่า จึง ้ ั ่ เสียค่าไฟฟาน้อยกว่า ้ 1. เมื่อติดตังจะเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าหลอดไฟฟาแบบธรรมดา เพราะต้อง ้ ้ ใช้แบลลัสต์และสตาร์ตเตอร์ เสมอ 2. หลอดเรืองแสงมักระพริบเล็กน้อยไม่เหมาะในการใช้อ่านหนังสือ
  • 25.
    • ตัวเลขที่ปรากฏบนหลอดไฟฟาธรรมดาและหลอดเรืองแสงซึ่ง ้ บอก กาลังไฟฟาเป็ นวัตต์(W) เป็ นการบอกถึงปริมาณพลังงาน ้ ไฟฟาที่ใช้ไปใน 1 วินาที เช่น 20 W หมายถึง หลอดไฟฟานีจะใช้ ้ ้ ้ พลังงานไป 20 จูลในเวลา 1 วินาที ดังนันหลอดไฟฟาและหลอด ้ ้ เรืองแสงที่มกาลังไฟฟามาก เมือใช้งานก็ยิ่งสินเปลืองกระแสไฟฟา ี ้ ่ ้ ้ มาก ทาให้เสียค่าใช้จายมากขึนด้วย ปั จจุบนมีการผลิตหลอดไฟ ่ ้ ั พร้อมอุปกรณ์ประกอบ เช่น บัลลาสต์ แบบประหยัดพลังงานขึนมา ้ ใช้หลายชนิด เช่น หลอดตะเกียบ หลอดผอม บัลลาสต์เบอร์ 5 เป็ น ต้น
  • 26.
    หลอดไฟโฆษณาหรือหลอดนีออน เป็ นหลอดแก้วที่ถกลนไฟแล้วดัดให้ ู เป็ นรูปหรือตัวอักษร ไม่มไส้หลอดแต่ที่ปลายทังสองข้างจะมีขวไฟฟาทาด้วย ี ้ ั้ ้ โลหะ ต่อกับแหล่งกาเนิดไฟฟา ที่มความต่างศักย์สงประมาณ 10,000 ้ ี ู โวลต์ ภายในหลอดสูบอากาศออกจนหมดแล้วใส่กาซบางชนิดที่ให้แสงสี ๊ ต่างๆออกมาเมือมีกระแสไฟฟาผ่าน เช่นก๊าซนีออนให้แสงสีแดงหรือส้ม ก๊าซ ่ ้ ฮีเลียมให้แสงสีชมพู ความต่างศักย์ที่สงมากๆ จะทาให้กาซที่บรรจุไว้ใน ู ๊ หลอดเกิดการแตกตัวเป็ นอิออน และนาไฟฟาได้ เมือกระแสไฟฟาผ่านก๊าซ ้ ่ ้ เหล่านีจะทาให้กาซร้อนติดไฟให้แสงสีตางๆได้ ้ ๊ ่
  • 27.
    1. ใช้หลอดเรืองแสงจะให้แสงสว่างมากกว่าหลอดธรรมดา ประมาณ 4 เท่า เมือใช้พลังงานไฟฟาเท่ากัน และอายุการใช้งานจะ ่ ้ ทนกว่าประมาณ 8 เท่า 2. ใช้แสงสว่างให้เหมาะกับการใช้งาน ที่ใดต้องการแสงสว่างไม่มากนัก ควรติดไฟน้อยดวง 3. ทาความสะอาดโปะไฟ จะให้แสงสว่างเต็มที่ ๊ 4. ปิ ดไฟทุกครั้งที่ไม่จาเป็ นต้องใช้