วิทย์11. หล ักการทางานของเครืองใชไฟฟาแต่ละประเภท
่ ้ ้
จ ัดทาโดย
ด.ญ.อน ัญญา ใฝใจ
่ เลขที่ 36
ด.ญ.ณัฐธิดา ปัญญาวงศ ์ เลขที่ 40
ิ
ด.ญ.ศรภ ัสสร ยะนา เลขที่ 41
ิ ิ
ด.ญ.ศรภ ัทรา ยะนา เลขที่ 42
ั้ ึ
ชนม ัธยมศกษาปี ที่ 3/1
เสนอ
อาจารย์จราภรณ์ ิ ไชยมงคล
กลุมสาระวิทยาศาสตร์
่
โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม
2. ้
เครืองใชไฟฟา คือ อุปกรณ์ทเปลียนพลังงาน
่ ้ ี่ ่
ไฟฟ้ าเป็ นพลังงานรูปอืน เพือนาไปใชใน ่ ่ ้
ี ิ
ชวตประจาวัน ได ้แก่
่ ้
1. เครืองใชไฟฟ้ าทีให ้พลังงานแสงสว่าง
่
่ ้
2. เครืองใชไฟฟ้ าทีให ้พลังงานความร ้อน
่
่ ้
3. เครืองใชไฟฟ้ าทีให ้พลังงานกล ่
้
4. เครืองใชไฟฟ้ าทีให ้พลังงานเสยง
่ ่ ี
3. ่ ้
1.เครืองใชไฟฟาทีให้พล ังงานแสงสว่าง
้ ่
ี่ ้ ่
หลอดไฟ เป็ นอุปกรณ์ทใชเปลียนพลังงาน
ิ่
ไฟฟ้ าเป็ นแสงสว่างให ้เราสามารถมองเห็นสงต่างๆ
ึ่ ั
ได ้ ซง โธมัส เอดิสน เป็ นผู ้ประดิษฐ์หลอดไฟเป็ น
้ ้ ้
ครังแรก โดยใชคาร์บอนเสนเล็กๆ เป็ นไสหลอดและ
้
ได ้มีการพัฒนาเรือยมาเป็ นลาดับ
่
4. ประเภทของหลอดไฟ
้ ้
1. หลอดไฟฟาธรรมดา มีไสหลอดทีทาด ้วย ่
่
ลวดโลหะทีมจดหลอมเหลวสูง เชน ทังสเตนเสน
่ ี ุ ้
เล็กๆ ขดเอาไว ้เหมือนขดลวดสปริงภายใน
หลอดแก ้วสูบอากาศออกหมดแล ้วบรรจุกาซเฉื่อย
๊
่ ้ ่
เชน อาร์กอน (Ar) ไว ้ ก๊าซนีชวยป้ องกันไม่ให ้หลอด
ไฟฟ้ าดา ลักษณะของหลอดไฟเป็ นดังรูป
5. หล ักการทางานของหลอดไฟฟาธรรมดา
้
้
กระแสไฟฟ้ าไหลผ่านไสหลอดซงมีความึ่
ต ้านทานสูงพลังงานไฟฟ้ า
้
จะเปลียนเป็ นพลังงานความร ้อน ทาให ้ไสหลอดร ้อน
่
จัดจนเปล่งแสง
ออกมาได ้ การเปลียนพลังงานเป็ นดังนี้
่
พล ังงานไฟฟา >>>พล ังงานความร้อน >>>
้
พล ังงานแสง
6. 2. หลอดเรืองแสง หรือ หลอดฟลูออเรส
่
เซนต์ (fluorescent)
เป็ นอุปกรณ์ทเปลียนพลังงานไฟฟ้ าเป็ น
ี่ ่
ึ่
พลังงานแสงสว่าง ซงมีการประดิษฐ์ในปี ค.ศ.
1938 โดยมีรปร่างหลายแบบ อาจทาเป็ นหลอด
ู
ั้
ตรง สน ยาว ขดเป็ นวงกลมหรือครึงวงกลม เป็ น
่
ต ้น
7. หล ักการทางานของหลอดเรืองแสง
้ ้
เมือกระแสไฟฟ้ าผ่านไสหลอดจะทาให ้ไสหลอดร ้อน
่
ขึน ความร ้อนทีเกิดทาให ้ปรอททีบรรจุไว ้ในหลอด
้ ่ ่
กลายเป็ นไอมากขึน เมือกระแสไฟฟ้ าผ่านไอปรอทได ้
้ ่
จะคายพลังงานไฟฟ้ าให ้ไอปรอท ทาให ้อะตอมของไอ
ปรอทอยูในภาวะถูกกระตุ ้น และอะตอมปรอทจะคาย
่
พลังงานออกมาเพือลดระดับพลังงานของตนในรูปของ
่
ี ั ี ั
รังสอลตราไวโอเลต เมือรังสดงกล่าวกระทบสารเรือง
่
แสงทีฉาบไว ้ทีผวในของหลอดเรืองแสงนันก็จะ
่ ่ ิ ้
ี ่
เปล่งแสงได ้ โดยให ้แสงสตางๆ ตามชนิดของสารเรือง
แสงทีฉาบไว ้ภายในหลอดนัน
่ ้
8. ี่ ้ ่
อุปกรณ์ทใชเพือให้หลอดเรืองแสงทางาน
1. สตาร์ตเตอร์ (starter) ทาหน ้าทีเป็ นสวิตซ ์
่
อัตโนมัตในขณะหลอดเรืองแสง ยังไม่ตดและหยุด
ิ ิ
ทางานเมือหลอดติดแล ้ว
่
2. แบลล ัสต์ (Ballast) ทาหน ้าทีเพิมความต่าง
่ ่
ั
ศกย์ เพือให ้หลอดไฟเรืองแสงติดในตอนแรกและทา
่
หน ้าที่ ควบคุมกระแสไฟฟ้ าทีผานหลอด ให ้ลดลงเมือ
่ ่ ่
หลอดติดแล ้ว
แบลล ัสต์
สตาร์ตเตอร์
9. วิธการประหย ัดไฟฟา
ี ้
์ ้
1. ปิ ดสวิตซไฟเมือเลิกใชงาน
่
2. หมั่นทาความสะอาดหลอดไฟทีบ ้าน เพราะจะชวย
่ ่
เพิมแสงสว่าง
่
้
3. ควรใชโคมไฟแบบมีแผ่นสะท ้อนแสงในห ้องต่าง ๆ
่ ่
เพือชวยให ้แสงสว่างจากหลอดไฟ กระจายได ้อย่าง
ิ
เต็มประสทธิภาพ
10. ่ ้
2. เครืองใชไฟฟาทีให้ความร้อน
้ ่
เตารีดไฟฟา เตารีดไฟฟาประกอบด้วย
้ ้
่
สวนประกอบทีสาค ัญ คือ แผ่นความร้อนเทอร์
่
โมสต ัท แผ่นขดลวดความร้อน แผ่นท ับผ้า และปุม่
้
ปร ับความร้อนเตารีดไฟฟาใชแผ่นขดลวดความร้อน
้
ั
ทาด้วยลวดนิโครมแผ่น แบนๆ วางสบไปมาไม่ได้ทา
เปนขดลวดเหมือนเตาไฟฟา หรือ อาจทีเรียกว่า ไส ้
็ ้ ่
ึ่
เตารีด ซงจะสอดอยูภายในระหว่างไมก้า (Mica) 2
่
้ ็
แผ่น ไมก้านีเปนว ัตถุทนไฟและเปนฉนวนด้วย
็
11. หล ักการทางานของเตารีดไฟฟา ้
้ ี ี
เตารีดไฟฟาเมือใชเต้าเสยบ เสยบเต้าร ับแล้ว
้ ่
กระแสไฟฟาจะไหลผ่านขดลวดให้ความร้อน คือ
้
แถบลวดนิโครม หรือขดลวดความร้อน และจะ
ถ่ายเทความร้อนให้ก ับแผ่นท ับผ้า ทาให้แผ่นท ับผ้า
ร้อน การตงอุณหภูมให้มความร้อนมากหรือน้อย
ั้ ิ ี
้
เท่าไร ขึนอยูชนิดของผ้าทีจะรีด
่ ่
12. ชนิดของเตารีดไฟฟา ้
1.เตารีดไฟฟาแบบธรรมดา เตารีดไฟฟาชนิดนีเปนเตารีด
้ ้ ้ ็
ไฟฟาทีให้ความร้อนแก่เตารีดตลอดเวลาไม่สามารถปร ับ
้ ่
้ ี
อุณหภูมได้ เมือใชเตารีดเสยบเต้าร ับแล้วขดลวดความร้อน
ิ ่
จะให้ความร้อนตลอดเวลา เมือต้องการลดอุณหภูมตองดึง
่ ิ ้
ี
เต้าเสยบออก และถ้าต้องการเพิมอุณหภูมก็ใชเต้าเสยบ
่ ิ ้ ี
ี ึ่
เสยบเต้าร ับใหม่อกครง ซงเตารีดชนิดนีไม่นยมก ันเพราะ
ี ั้ ้ ิ
เกิดอ ันตรายได้งาย่
2.เตารีดไฟฟาชนิดอ ัตโนม ัติเตารีดชนิด
้
้ ็
นีเปนเตารีดไฟฟาทีมเครืองปร ับอุณหภูม ิ
้ ่ ี ่
หรือเทอร์โมสต ัท
สามารถตงอุณหภูมตามทีตองการได้
ั้ ิ ่ ้
13. 3.เตารีดไฟฟาชนิดไอนา เตารีดชนิดนีเปนเตา
้ ้ ้ ็
รีดไฟฟาทีมทเก็บนาไว้ในต ัวเตารีดโดยทาให้ผใช ้
้ ่ ี ี่ ้ ู้
ไม่ตองพรมนาตลอดเวลาทีรดผ้า เมือเตารีดร้อนก็
้ ้ ่ ี ่
จะทาให้นาภาชนะภายในทีเก็บเดือด เมือต้องการ
้ ่ ่
้ ้
ใชนาก็กดปุมให้ไปนาพุงออกมา จึงรีดผ้าได้เรียบดี
่ ้ ่
่ ้ ่ ้ ้ ้
ยิงขึน อย่างไรก็ ตามทีใชในเตารีดชนิดนีตองเปนนา ็ ้
สะอาด มิฉะนนแล้วจะเกิดเปนตะกอนอุดต ันได้
ั้ ็
14. วิธการประหย ัดไฟฟาจากเตารีด
ี ้
้ ี
1. เมือเลิกใชงานต้องถอดปลกเสยบออกท ันที
่ ๊ั
2. ตรวจสอบว่ามีกระแสไฟฟารวหรือไม่
้ ่ั
้ ิ่ ่
3. การใชงานอย่าวางเตารีดใกล้สงทีจะติดไฟได้งาย ่
เพราะอาจเกิดอุบ ัติเหตุเพลิงไหม้ขนได้ ึ้
ี ี
4. เต้าเสยบ(ปลกเสยบ) ของเตารีด ต้องไม่แตกร้าว
๊ั
และสายทีขวปลกไม่ห ักพ ับ และไม่เปื่ อยชารุด
่ ั้ ๊ั
15. ่ ้
3.เครืองใชไฟฟาทีให้พล ังงานกล
้ ่
พ ัดลมไฟฟา ของ BMW E36
้
หล ักการทางานของ พ ัดลมไฟฟา สาหร ับ 4 สูบ
้
1. ถ้าสวิทต์กญแจอยูตาแหน่ง off (พร้อมทีจะดึง
ุ ่ ่
กุญแจออกได้) จากวงจร พ ัดลมม ันจะด ับ
ุ ่ ่
2. ถ้าสวิทต์กญแจอยูตาแหน่ง run (เชน เวลาเราด ับ
เครืองโดยบิดกุญแจมากิกเดียว ไม่ใช่ 2 กิกมาตาแหน่ง
่ ๊ ๊
off ) จะเปนด ังนี้
็
2.1 พ ัดลม high speed จะติดเมือ pressure ของ
่
นายาแอร์ สูงกว่า 18 bar(จนกว่า pressure จะลงมาที่
้
15 bar) "หรือ" อุณหภูม. หม้อนาสูงกว่า 88 องศา)
ิ ้
2.2 พ ัดลม low speed จะติดเมือ high speed relay
่
ไม่ได้ทางาน"และ" อุณหภูม ิ หม้อนาสูงกว่า 80 องศาc
้
ข้อสงเกตุ 4 สูบจะใช ้ motor ต ัวเดียว แต่ใช ้ R drop
ั
เอาสาหร ับ low speed ของ 6 สูบ จะต่างก ัน
16. วิธประหย ัดไฟฟาเกียวก ับพ ัดลม
ี ้ ่
1. เลิกเปิ ดพัดลมทิงไว ้เมือไม่มใครอยู่
้ ่ ี
้
2. ถ ้าใชพัดลมทีมระบบรีโมคอนโทรล ต ้องถอดปลั๊กทันที
่ ี
ทีเลิกใชงาน
่ ้
่ ้ ่ ้
3. เปิ ดลมแรงให ้กับพอดี เพราะยิงเปิ ดลมแรงขึน ยิงใชไฟ
มากขึน ้
4. หมั่นทาความสะอาดใบพัด ตะแกรงครอบและแผงหุ ้ม
มอเตอร์ พัดลม อย่าให ้มีฝนเกาะุ่
่
5.อย่าให ้ใบพัดโค ้งงอผิดสวน ความแรงจะลดลง
6. ตังพัดลมในทีมอากาศถ่ายเทสะดวก
้ ่ ี
17. ่ ้
4. เครืองใชไฟฟาทีให้พล ังงานเสยง
้ ่ ี
ลาโพง
หล ักการทางาน
ลาโพง ประกอบด้วย โครงลาโพงและจะมี
แม่เหล็กถาวรติดอยู่ พร้อมเหล็กประกบบน-ล่าง ซง ึ่
ึ้
จะมีแกนโผล่ขนมาด้านบนทาให้เกิดเปนชองว่าง ็ ่
่
แคบๆ เปนวงกลมเราเรียกว่าชองแก๊ปแม่เหล็ ก
็
ึ่
(Magnetic Gap) ซงแรงแม่เหล็ กทงหมดจะถูกสง ั้ ่
มารวมก ันอย่างหนาแน่นทีตรงนี้ ถ้าแม่เหล็ กมีขนาด
่
เล็กก็ให้แรงน้อย (ว ัตต์ตา) ขนาดใหญ่ก็มแรงมาก
่ ี
(ว ัตต์สง) ในปัจจุบ ันจะมีลาโพงทีออกแบบให้มว ัตต์
ู ่ ี
้
สูงเปนพิเศษ โดยใชแม่เหล็ กขนาดใหญ่ และบาง
็
้ ั้
แบบจะซอน 2 หรือ 3 ชน จะได้ว ัตต์สงขึนอีกมาก ู ้
18. ์
วอยซคอยล์ คือ ขดลวดกาเนิดเสยง จะลอยอยู่ ี
่
ภายในชองแก็ปแม่เหล็ กนี้ ซงม ันจะร ับพล ังงาน ึ่
ไฟฟาจากเครืองขยายทีปอนเข้าไปจะทาให้ม ันเกิด
้ ่ ่้
อานาจแม่เหล็ กไฟฟาขึนโดยกล ับขวไปมาตาม
้ ้ ั้
ั
สญญาณทางไฟฟาทีปอนเข้ามา เพราะสญญาณ
้ ่้ ั
OUT PUTจากเครืองขยายนนเปนสญญาณไฟสล ับ
่ ั้ ็ ั
ทาให้เกิดการดูดหรือผล ักก ันก ับแม่เหล็ กถาวรทีกน ่ ้
ลาโพง เปนการเปลียนพล ังงานไฟฟาเปนพล ังงาน
็ ่ ้ ็
่ ่ั
กล สงแรงการสนสะเทือนนีผานไปย ังกรวย ้ ่
่ ื่
(Cone) ทีเชอมติดก ับต ัววอยซคอยล์อยูให้สนตาม ์ ่ ่ั
ไปด้วย โดยมีสไปเดอร์ (Spider) และขอบ
(Surround) เปนต ัวคอยยึดให้ทงชุดทีขย ับเข้า
็ ั้ ่
้
ออกนีได้ศนย์กลางอยูตลอดเวลาไม่เซไปเซมา
ู ่
19. เพือผล ักอากาศให้เปนคลืนวิงมาเข้าหูของเรา
่ ็ ่ ่
ี
ให้ได้ยนเปนเสยงต่างๆนนเอง วอยซคอยล์นก็ม ี
ิ ็ ่ั ์ ้ี
ั้
หลายแบบ คือ แบบ 2 ชน 4 ชน แบบเปลือก ั้
กระดาษ/ไฟเบอร์/ไมก้า หรือแบบเปลือกโลหะ
่ ็ ั้
แบบทีเปน 4 ชนและมีเปลือกเปนโลหะก็จะมีว ัตต์สง
็ ู
กว่า มีความทนทานมากกว่าแบบอืน เพราะเมือ ่ ่
์
วอยซคอยล์ทางานไปนนม ันจะมีความร้อนเกิดขึน
ั้ ้
ถ้าใชวอยซ ์ 4 ชนลวดจะมีขนาดใหญ่กว่ากระแส
้ ั้
ผ่านได้มากกว่า และมีเปลือกโลหะทีชวยระบาย ่ ่
ความร้อนออกจากขดลวดได้ก็จะได้วอยซคอยล์ทม ี ์ ี่
ความทนทานมากขึนอีกมาก ้
20. วิธการประหย ัด
ี
1. ปิ ดสวิตซทกครงหล ังจากเลิกใช ้
์ ุ ั้
ี
2. ไม่ควรเสยบปลกทิงไว้
๊ั ้
3. หมนทาความสะอาดเครืองเสยง
่ั ่ ี