1 
นพ.นวนรรน ธีระอัมพรพันธุ์ 
รองผู้อำนวยการบริหาร 
สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ฝ่ายสารสนเทศ 
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี 
มหาวิทยาลัยมหิดล 
SlideShare.net/Nawanan 
nawanan.the@mahidol.ac.th 
November 27, 2014 
Social Network 
in Healthcare
2 
Introduction 
2003 M.D. (First-Class Honors) (Ramathibodi) 
2009 M.S. in Health Informatics (U of MN) 
2011 Ph.D. in Health Informatics (U of MN) 
• Deputy Executive Director for Informatics (CIO/CMIO) 
Chakri Naruebodindra Medical Institute 
• Instructor, Department of Community Medicine 
Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital 
Mahidol University 
nawanan.the@mahidol.ac.th 
SlideShare.net/Nawanan
Social Media & Social Networks 
3 Image Source: http://michaelcarusi.com/2012/01/01/when-you-should-not-become-a-social-media-manager/
4 
Social Media 
• “A group of Internet-based applications that build 
on ideological and technological foundations of 
Web 2.0, and that allow the creation and 
exchange of user-generated content” 
(Andreas Kaplan & Michael Haenlein) 
Kaplan Andreas M., Haenlein Michael (2010). "Users of the world, unite! The 
challenges and opportunities of social media". Business Horizons 53 (1). p. 61.
5 
Types of Social Media & Examples 
• Collaborative projects (Wikipedia) 
• Blogs & microblogs (Twitter) 
• Social news networking sites (Digg) 
• Content communities (YouTube) 
• Social networking sites (Facebook) 
• Virtual game-worlds (World of Warcraft) 
• Virtual social worlds (Second Life) 
Kaplan Andreas M., Haenlein Michael (2010). "Users of the world, unite! The 
challenges and opportunities of social media". Business Horizons 53 (1). p. 61.
6 
Some Common Social Media Today 
Use of brands, logos, trademarks, or tradenames do not imply endorsement or affiliation
7 
The Age of User-Generated Content 
Time’s Person 
of the Year 2006: 
You
8 
Thailand Internet User Profile (2014) 
• สำนักงานพัฒนาธุรกรรม 
ทางอิเล็กทรอนิกส์ 
(องค์การมหาชน) 
(สพธอ. หรือ ETDA) 
http://www.etda.or.th/internetuserprofile2013/TH_InternetUserProfile2013.pdf
9 
Source: ETDA (2014)
10 
Source: ETDA (2014)
11 
Source: ETDA (2014)
12 
Maslow's Hierarchy of Needs 
Image Source: http://en.wikipedia.org/wiki/Maslow's_hierarchy_of_needs
13 
Why People Use Social Media? 
• To seek & to share information/knowledge 
• To seek & to share valued opinion 
• To seek & to give friendship/relationship 
• To seek & to give mental support, respect, love, 
acceptance 
• In simplest terms: To “socialize”
Some Social Media in Healthcare: PatientsLikeMe 
14 
PatientsLikeMe.com
15 
Some Social Media in Healthcare: CaringBridge 
CaringBridge.org
16 
Some Social Media in Healthcare: KevinMD 
KevinMD.com
17 
Why People Use Social Media in Healthcare? 
• To seek & to share health information/knowledge 
– Information asymmetry in healthcare 
– Information could be general or personalized 
• To seek & to share health-related valued opinion 
• To seek & to give friendship/relationship 
• To seek & to give mental support, respect, love, 
acceptance during medical journeys
18 
Meet E-Patient Dave 
• Richard Davies deBronkart Jr. 
• Cancer survivor & blogger 
• Found proper cancer treatment 
through online social network after 
diagnosis 
• Activist for participatory medicine & 
patient engagement through 
information technology 
http://www.epatientdave.com/
19 
Dave’s E-Patient Definition 
• Not “Electronic” Patient 
• Engaged 
• Equipped 
• Empowered 
• Educated 
• Enlightened 
• Etc. 
From Dr. Danny Sands’ tutorial presentation at AMIA2013
20 
But then again...There are Risks of Social Media 
• Blurring lines between personal & professional 
lives 
• Work-life balance 
• Inappropriate & unprofessional conduct 
• Privacy risks 
• False/misleading information
21 
Privacy Risks 
ข้อความจริง บน 
• "อาจารย์ครับ เมื่อวาน ผมออก OPD เจอ คุณ... คนไข้... ที่อาจารย์ผ่าไป 
แล้ว มา ฉายรังสีต่อที่... ตอนนี้ Happy ดี ไม่ค่อยปวด เดินได้สบาย คนไข้ 
ฝากขอบคุณอาจารย์อีกครั้ง -- อีกอย่างคนไข้ช่วงนี้ไม่ค่อยสะดวกเลยไม่ได้ 
ไป กทม. บอกว่าถ้าพร้อมจะไป Follow-up กับอาจารย์ครับ"
22 
Social Media Case Study #1: ไม่ตรวจสอบข้อมูล 
Disclaimer (นพ.นวนรรน): นำเสนอเป็น 
กรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้เรื่อง Social Media 
เท่านั้น ไม่มีเจตนาดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด 
เสียหาย 
ชื่อ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายของบุคคล 
หรือองค์กรใด เป็นเพียงการให้ข้อมูลแวดล้อม 
เพื่อการทำความเข้าใจกรณีศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่ 
การใส่ความว่าผู้นั้นกระทำการใด อันจะทำให้ 
ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง 
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา
23 
Social Media Case Study #2: ไม่ตรวจสอบข้อมูล 
Source: Facebook Page โหดสัส V2 อ้างอิงภาพจากหน้า 7 นสพ.ไทยรัฐ วันที่ 6 พ.ค. 2557 และ 
http://www.reuters.com/article/2013/10/16/us-philippines-quake-idUSBRE99E01R20131016
24 
Social Media Case Study #3: ละเมิดผู้รับบริการ 
Disclaimer (นพ.นวนรรน): นำเสนอเป็น 
กรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้เรื่อง Social Media 
เท่านั้น ไม่มีเจตนาดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด 
เสียหาย และไม่มีเจตนาสร้างประเด็นทาง 
การเมือง 
ชื่อ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายของบุคคล 
หรือองค์กรใด เป็นเพียงการให้ข้อมูลแวดล้อม 
เพื่อการทำความเข้าใจกรณีศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่ 
การใส่ความว่าผู้นั้นกระทำการใด อันจะทำให้ 
ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง 
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา
25 
บทเรียนจากกรณีศึกษา (Lessons Learned) 
• องค์กรไม่มีทางห้ามพนักงานไม่ให้โพสต์ข้อมูลได้ 
– ช่องทางการโพสต์มีมากมาย ไม่มีทางห้ามได้ 100% 
– นโยบายที่เหมาะสม คือการกำหนดกรอบไว้ให้พนักงานโพสต์ได้ตามความ 
เหมาะสม ภายในกรอบที่กำหนด 
• พนักงานย่อมสวมหมวกขององค์กรอยู่เสมอ (แม้จะโพสต์เป็นการส่วนตัว 
แต่องค์กรก็เสียหายได้) 
– คิดก่อนโพสต์, สร้างวัฒนธรรมภายในองค์กร 
• การรักษาความลับขององค์กรและข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า 
• มีนโยบายให้ระบุตัวตนและตำแหน่งให้ชัดเจน 
• องค์กรควรยอมรับปัญหาอย่างตรงไปตรงมาและทันท่วงที 
http://www.siamintelligence.com/social-media-policy-cathay-pacific-case/
Social Media Case Study #4: ดูหมิ่นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 
26 
Source: Drama-addict.com 
Disclaimer (นพ.นวนรรน): 
นำเสนอเป็นกรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้ 
เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มี 
เจตนาลบหลู่ ดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด 
เสียหาย โปรดใช้วิจารณญาณในการ 
อ่านเนื้อหา
27 
Social Media Case Study #5: มือแชร์แพร่โพสต์ลับ 
http://sport.sanook.com/84101/น้องก้อย-โค้ชเช-จบยาก-อ.พิทักษ์-ขุดไลน์ปริศนาให้นักข่าวเผยแพร่/
28 
Social Media Case Study #6: ไม่แยก Account
29 
Social Media Case Study #7: พฤติกรรมไม่เหมาะสม 
Disclaimer (นพ.นวนรรน): 
นำเสนอเป็นกรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้ 
เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มี 
เจตนาลบหลู่ ดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด 
องค์กรใด หรือวิชาชีพใดเสียหาย 
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา
30 
Social Media Case Study #7: พฤติกรรมไม่เหมาะสม 
Disclaimer (นพ.นวนรรน): 
นำเสนอเป็นกรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้ 
เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มี 
เจตนาลบหลู่ ดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด 
องค์กรใด หรือวิชาชีพใดเสียหาย 
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา
Social Media Case Study #8: พฤติกรรมไม่เหมาะสม 
เหตุการณ์ระเบิด ภาคใต้ จนท. เสียชีวิต 
หมายเหตุ: กรณีนี้ผู้ปรากฏในภาพชี้แจงว่า 
ต้องการให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ใน 
31 
สถานการณ์ความรุนแรง 
แต่ไม่ระวังว่าอาจถูกมองในแง่ลบ ผู้อื่นอาจ 
เข้าใจเจตนาผิด 
Disclaimer (นพ.นวนรรน): 
นำเสนอเป็นกรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้ 
เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มี 
เจตนาลบหลู่ ดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด 
องค์กรใด หรือวิชาชีพใดเสียหาย 
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา
32 
Social Media Case Study #9: ละเมิดข้อมูลผู้ป่วย 
• ปรากฏภาพถ่ายเอกซเรย์สมองของนักการเมือง 
ชื่อดังที่มารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใน 
Line ของบุคลากรทางการแพทย์บางกลุ่ม ที่ไม่ได้มี 
หน้าที่ในการรักษาผู้ป่วยโดยตรง
Disclaimer (นพ.นวนรรน): 
นำเสนอเป็นกรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้ 
เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มี 
เจตนาลบหลู่ ดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด 
องค์กรใด หรือวิชาชีพใดเสียหาย 
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา 
33 
Social Media Case Study #10: ละเมิดข้อมูลผู้ป่วย 
http://www.prasong.com/สื่อสารมวลชน/แพยสภาสอบจริยธรรมหมอต/
34 
Social Media Case Study #11 
Disclaimer (นพ.นวนรรน): 
นำเสนอเป็นกรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้ 
เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มี 
เจตนาลบหลู่ ดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด 
องค์กรใด หรือวิชาชีพใดเสียหาย 
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา 
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd056SXlNelEzTVE9PQ==
35 
A U.S. Case Study: Patient Privacy 
http://usatoday30.usatoday.com/life/people/2007-10-10-clooney_N.htm
36 
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสุขภาพ 
• พรบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 
• มาตรา 7 ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล เป็นความลับส่วนบุคคล 
ผู้ใดจะนำไปเปิดเผยในประการที่น่าจะทำให้บุคคลนั้นเสียหาย 
ไม่ได้ เว้นแต่การเปิดเผยนั้นเป็นไปตามความประสงค์ของ 
บุคคลนั้นโดยตรง หรือมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผย 
แต่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ผู้ใดจะอาศัยอำนาจหรือสิทธิตามกฎหมายว่า 
ด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการหรือกฎหมายอื่นเพื่อขอเอกสาร 
เกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลที่ไม่ใช่ของตนไม่ได้
37 
ประมวลกฎหมายอาญา 
• มาตรา 323 ผู้ใดล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของผู้อื่นโดยเหตุที่เป็นเจ้า 
พนักงานผู้มีหน้าที่ โดยเหตุที่ประกอบอาชีพเป็นแพทย์ เภสัชกร คน 
จำหน่ายยา นางผดุงครรภ์ ผู้พยาบาล นักบวช หมอความ ทนายความ 
หรือผู้สอบบัญชีหรือโดยเหตุที่เป็นผู้ช่วยในการประกอบอาชีพนั้น แล้ว 
เปิดเผยความลับนั้นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้อง 
ระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้ง 
ปรับ 
• ผู้รับการศึกษาอบรมในอาชีพดังกล่าวในวรรคแรก เปิดเผยความลับของ 
ผู้อื่น อันตนได้ล่วงรู้หรือได้มาในการศึกษาอบรมนั้น ในประการที่น่าจะเกิด 
ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
38 
คำประกาศสิทธิผู้ป่วย 
• เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพกับผู้ป่วย ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจอันดีและเป็นที่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน แพทยสภา สภาการ 
พยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา คณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ จึงได้ร่วมกันออกประกาศรับรองสิทธิของผู้ป่วยไว้ดังต่อไปนี้ 
1. ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับบริการด้านสุขภาพ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 
2. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับบริการจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากความแตกต่างด้านฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา สังคม ลัทธิ 
การเมือง เพศ อายุ และ ลักษณะของความเจ็บป่วย 
3. ผู้ป่วยที่ขอรับบริการด้านสุขภาพมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอ และเข้าใจชัดเจน จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจ 
ในการยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือรีบด่วนหรือ จำเป็น 
4. ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต มีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือรีบด่วนจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยทันทีตามความจำเป็นแก่กรณี โดยไม่คำนึงว่า 
ผู้ป่วยจะร้อง ขอความช่วยเหลือหรือไม่ 
5. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบชื่อ สกุล และประเภทของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่เป็น ผู้ให้บริการแก่ตน 
6. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอความเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอื่น ที่มิได้เป็นผู้ให้บริ การแก่ตน และมีสิทธิในการขอเปลี่ยนผู้ให้บริการ และสถานบริการได้ 
7. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือการปฏิบัติหน้าที่ 
ตามกฎหมาย 
8. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วน ในการตัดสินใจเข้าร่วมหรือถอนตัวจากการเป็นผู้ถูกทดลองในการทำวิจัยของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ 
9. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะของตนที่ปรากฏใน เวชระเบียนเมื่อร้องขอ ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิ 
ส่วนตัวของบุคคลอื่น 
10.บิดา มารดา หรือผู้แทนโดยชอบธรรม อาจใช้สิทธิแทนผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุยังไม่เกิน สิบแปดปีบริบูรณ์ ผู้บกพร่องทางกายหรือจิต ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิด้วยตนเอง 
ได้
39 
คำประกาศสิทธิผู้ป่วย 
• เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพกับผู้ป่วย ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจอันดีและเป็นที่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน แพทยสภา สภาการ 
พยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา คณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ จึงได้ร่วมกันออกประกาศรับรองสิทธิของผู้ป่วยไว้ดังต่อไปนี้ 
1. ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับบริการด้านสุขภาพ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 
2. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับบริการจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากความแตกต่างด้านฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา สังคม ลัทธิ 
การเมือง เพศ อายุ และ ลักษณะของความเจ็บป่วย 
3. ผู้ป่วยที่ขอรับบริการด้านสุขภาพมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอ และเข้าใจชัดเจน จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจ 
ในการยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือรีบด่วนหรือ จำเป็น 
4. ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต มีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือรีบด่วนจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยทันทีตามความจำเป็นแก่กรณี โดยไม่คำนึงว่า 
ผู้ป่วยจะร้อง ขอความช่วยเหลือหรือไม่ 
5. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบชื่อ สกุล และประเภทของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่เป็น ผู้ให้บริการแก่ตน 
6. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอความเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอื่น ที่มิได้เป็นผู้ให้บริ การแก่ตน และมีสิทธิในการขอเปลี่ยนผู้ให้บริการ และสถานบริการได้ 
7. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือการปฏิบัติหน้าที่ 
ตามกฎหมาย 
8. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วน ในการตัดสินใจเข้าร่วมหรือถอนตัวจากการเป็นผู้ถูกทดลองในการทำวิจัยของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ 
9. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะของตนที่ปรากฏใน เวชระเบียนเมื่อร้องขอ ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิ 
ส่วนตัวของบุคคลอื่น 
10.บิดา มารดา หรือผู้แทนโดยชอบธรรม อาจใช้สิทธิแทนผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุยังไม่เกิน สิบแปดปีบริบูรณ์ ผู้บกพร่องทางกายหรือจิต ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิด้วยตนเอง 
ได้ 
7. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง 
จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด เว้นแต่ 
จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือการปฏิบัติหน้าที่ 
ตามกฎหมาย
การละเมิด Privacy ข้อมูลผู้ป่วย เป็นการละเมิดจริยธรรม 
40 
• Autonomy (หลักเอกสิทธิ์/ความเป็นอิสระของผู้ป่วย) 
• Beneficence (หลักการรักษาประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย) 
• Non-maleficence (หลักการไม่ทำอันตรายต่อผู้ป่วย) 
– “First, Do No Harm.”
ตัวอย่างนโยบายด้าน Social Media ขององค์กร/มหาวิทยาลัย 
41 
http://intranet.mahidol/op/orla/law/index.php/anno 
uncement/146-2556/770-social-network
42 
MU Social Network Policy
43 
MU Social Network Policy
44 
MU Social Network Policy
45 
MU Social Network Policy
46 
MU Social Network Policy
47 
MU Social Network Policy
48 
MU Social Network Policy 
• ข้อความบน Social Network สามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะ 
ผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบ ทั้งทางสังคมและกฎหมาย และอาจ 
ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง การทำงาน และวิชาชีพของตน 
• ระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการเผยแพร่ประเด็นที่ Controversial 
เช่น การเมือง ศาสนา 
• ไม่ได้ห้าม แต่ให้ระวัง เพราะอาจส่งผลลบต่อตนหรือองค์กรได้
49 
MU Social Network Policy 
• ความรับผิดชอบทางกฎหมาย 
– ประมวลกฎหมายอาญา ความผิดฐานหมิ่นประมาท 
– พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 
– ข้อบังคับสภาวิชาชีพ เกี่ยวกับจริยธรรมแห่งวิชาชีพ 
– ข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหิดล ว่าด้วยจรรยาบรรณของบุคลากรและ 
นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล 
– ข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหิดล ว่าด้วยวินัยนักศึกษา
50 
MU Social Network Policy 
• ไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น อ้างถึงแหล่งที่มาเสมอ 
(Plagiarism = การนำผลงานของคนอื่นมานำเสนอเสมือนหนึ่ง 
เป็นผลงานของตนเอง) 
• แบ่งแยกเรื่องส่วนตัวกับหน้าที่การงาน/การเรียน 
– แยก Account ของหน่วยงาน/องค์กร ออกจาก Account บุคคล 
– Facebook Profile (ส่วนตัว) vs. Facebook Page (องค์กร/หน่วยงาน) 
• ในการโพสต์ที่อาจเข้าใจผิดได้ว่าเป็นความเห็นจากมหาวิทยาลัย/หน่วยงาน ให้ 
ระบุ Disclaimer เสมอว่าเป็นความเห็นส่วนตัว
51 
MU Social Network Policy 
• ห้ามเผยแพร่ข้อมูล sensitive ที่ใช้ภายในมหาวิทยาลัยก่อนได้รับอนุญาต 
• บุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ให้บริการสุขภาพ 
– ระวังการใช้ Social Network ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วย (ความลับผู้ป่วย และการ 
แยกแยะเรื่องส่วนตัวจากหน้าที่การงาน) 
– ปฏิบัติตามจริยธรรมของวิชาชีพ 
– ระวังเรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy) และความลับของข้อมูลผู้ป่วย 
– การเผยแพร่ข้อมูล/ภาพผู้ป่วย เพื่อการศึกษา ต้องขออนุญาตผู้ป่วยก่อนเสมอ และลบ 
ข้อมูลที่เป็น identifiers ทั้งหมด (เช่น ชื่อ, HN, ภาพใบหน้า หรือ ID อื่นๆ) ยกเว้น 
ผู้ป่วยอนุญาต (รวมถึงกรณีการโพสต์ใน closed groups ด้วย) 
• ตั้งค่า Privacy Settings ให้เหมาะสม
52 
ตัวอย่างนโยบายด้าน Social Media ของ รพ. 
เนื้อหาอะไรไม่ควรเผยแพร่สู่สาธารณะ 
ในเว็บและ Social Media หน่วยงาน: 
ข้อเสนอต่อคณะทำงานพัฒนาเว็บไซต์คณะฯ 
ของ รพ.รามาธิบดี และศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ 
นพ.นวนรรน ธีระอัมพรพันธุ์ 
อาจารย์ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน 
รองผู้อำนวยการบริหารสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ฝ่ายสารสนเทศ 
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี 
3 มิถุนายน 2557
53 
กลุ่มเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิผู้อื่น 
 มีข้อมูลผู้ป่วยที่ปรากฏ Identifiers (ชื่อ, HN, 13 หลัก, ใบหน้า, 
คำใบ้, e-mail address, ทะเบียนรถ ฯลฯ) โดยไม่ได้ขออนุญาต 
 การให้ข้อมูลผู้บาดเจ็บกับสื่อมวลชน ไม่ควรระบุชื่อ ยกเว้นผู้ป่วย 
หรือญาติอนุญาต, เป็นข้อมูลสาธารณะอยู่ก่อนแล้ว, ให้ข้อมูลกับ 
พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วย 
(เช่น ประกาศตามหาญาติ) 
 ภาพหรือเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ นำมาลงโดยไม่ได้รับอนุญาต 
และไม่ให้ credit เจ้าของ
54 
กลุ่มเนื้อหาที่สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์องค์กร 
 ผิดกฎหมาย, ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี, 
ดูหมิ่น ให้ร้ายผู้อื่น 
 ชวนทะเลาะ, สร้างความแตกแยก, ประเด็น sensitive 
 วิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมผู้รับบริการ (แม้ไม่ระบุชื่อ) 
 ความลับ/เรื่องภายในคณะฯ ที่ไม่มีประโยชน์กับบุคคลภายนอก 
 เนื้อหา/ภาพ ที่สื่อถึงองค์กรในทางลบ หรืออาจถูกมองในแง่ลบ 
 โฆษณาสินค้า หรือหาประโยชน์ส่วนตัว
55 
กลุ่มเนื้อหาที่เกิดจากความไม่ระมัดระวังของ Admin 
 เรื่องส่วนตัว แต่โพสต์ในเว็บ/Page หน่วยงาน 
 หน่วยงานควรใช้ Facebook Page ไม่ใช่ Facebook Account บุคคล 
 ควรแยก Page หน่วยงาน และ Account ส่วนตัว ออกจากกัน 
 การแชร์/กด Like ไม่คิด ใน account หน่วยงาน 
(เนื้อหาไม่เกี่ยวกับหน่วยงาน แต่ตัวเองชอบ ) 
 ข่าว/ความรู้ทางการแพทย์ ที่ไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้อง/เป็นเท็จ 
 ใช้ชื่อหรือ Logo คณะฯ แต่เป็นความเห็นส่วนตัว 
 Spam/ภาพลามก ที่มีผู้โพสต์ผ่าน Webboard/Social Media 
แล้วไม่monitor เป็นประจำ
56 
ตัวอย่างนโยบายด้านการให้ข้อมูลผ่านสื่อของวิชาชีพ
57 
Example Professional Code of Conduct
58 
Example Professional Code of Conduct
59 
สรุป 
• Social media เป็น trend ของสังคมในปัจจุบันที่ปฏิเสธไม่ได้ 
• Social media สำคัญในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นโอกาสใน 
การเข้าถึงข้อมูล และการเข้าสังคม 
• Social media สำคัญในทางสุขภาพ เพราะเป็นโอกาสในการ 
empower, engage และ educate ผู้ป่วย (“e-patient”) 
• Social media สำคัญ เพราะเป็นความเสี่ยงที่หากไม่ 
ตระหนักและระมัดระวัง ก็ส่งผลร้ายต่อผู้ใช้และผู้ป่วยได้
60 
สรุป 
• องค์กรควรมีนโยบายด้าน Social media และ Security & 
privacy รวมทั้งมีการอบรม สร้างความตระหนัก และบังคับใช้ 
• วิชาชีพต่างๆ โดยเฉพาะวิชาชีพทางสุขภาพ ควรมีนโยบาย 
และสร้างความตระหนักเรื่องการใช้ Social media อย่าง 
เหมาะสมแก่ผู้ประกอบวิชาชีพนั้นๆ 
• บุคคลควรตระหนักถึงความเสี่ยงในการใช้ Social media อยู่ 
เสมอ และใช้อย่างระมัดระวัง รับผิดชอบ และมีจริยธรรม
61 
More Information 
• ข้อแนะนำในการใช้งาน Social Media 
– http://www.etda.or.th/etda_website/app/webroot/files/1 
/files/Guidelines.pdf 
• แนวปฏิบัติในการใช้บริการสื่อสังคมออนไลน์ 
– http://www.etda.or.th/etda_website/content/1191.html 
• Thailand Internet User Profile 2014 
– https://www.etda.or.th/etda_website/mains/download_fi 
le/27

Social Networking in Healthcare

  • 1.
    1 นพ.นวนรรน ธีระอัมพรพันธุ์ รองผู้อำนวยการบริหาร สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ฝ่ายสารสนเทศ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล SlideShare.net/Nawanan nawanan.the@mahidol.ac.th November 27, 2014 Social Network in Healthcare
  • 2.
    2 Introduction 2003M.D. (First-Class Honors) (Ramathibodi) 2009 M.S. in Health Informatics (U of MN) 2011 Ph.D. in Health Informatics (U of MN) • Deputy Executive Director for Informatics (CIO/CMIO) Chakri Naruebodindra Medical Institute • Instructor, Department of Community Medicine Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital Mahidol University nawanan.the@mahidol.ac.th SlideShare.net/Nawanan
  • 3.
    Social Media &Social Networks 3 Image Source: http://michaelcarusi.com/2012/01/01/when-you-should-not-become-a-social-media-manager/
  • 4.
    4 Social Media • “A group of Internet-based applications that build on ideological and technological foundations of Web 2.0, and that allow the creation and exchange of user-generated content” (Andreas Kaplan & Michael Haenlein) Kaplan Andreas M., Haenlein Michael (2010). "Users of the world, unite! The challenges and opportunities of social media". Business Horizons 53 (1). p. 61.
  • 5.
    5 Types ofSocial Media & Examples • Collaborative projects (Wikipedia) • Blogs & microblogs (Twitter) • Social news networking sites (Digg) • Content communities (YouTube) • Social networking sites (Facebook) • Virtual game-worlds (World of Warcraft) • Virtual social worlds (Second Life) Kaplan Andreas M., Haenlein Michael (2010). "Users of the world, unite! The challenges and opportunities of social media". Business Horizons 53 (1). p. 61.
  • 6.
    6 Some CommonSocial Media Today Use of brands, logos, trademarks, or tradenames do not imply endorsement or affiliation
  • 7.
    7 The Ageof User-Generated Content Time’s Person of the Year 2006: You
  • 8.
    8 Thailand InternetUser Profile (2014) • สำนักงานพัฒนาธุรกรรม ทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ. หรือ ETDA) http://www.etda.or.th/internetuserprofile2013/TH_InternetUserProfile2013.pdf
  • 9.
  • 10.
  • 11.
  • 12.
    12 Maslow's Hierarchyof Needs Image Source: http://en.wikipedia.org/wiki/Maslow's_hierarchy_of_needs
  • 13.
    13 Why PeopleUse Social Media? • To seek & to share information/knowledge • To seek & to share valued opinion • To seek & to give friendship/relationship • To seek & to give mental support, respect, love, acceptance • In simplest terms: To “socialize”
  • 14.
    Some Social Mediain Healthcare: PatientsLikeMe 14 PatientsLikeMe.com
  • 15.
    15 Some SocialMedia in Healthcare: CaringBridge CaringBridge.org
  • 16.
    16 Some SocialMedia in Healthcare: KevinMD KevinMD.com
  • 17.
    17 Why PeopleUse Social Media in Healthcare? • To seek & to share health information/knowledge – Information asymmetry in healthcare – Information could be general or personalized • To seek & to share health-related valued opinion • To seek & to give friendship/relationship • To seek & to give mental support, respect, love, acceptance during medical journeys
  • 18.
    18 Meet E-PatientDave • Richard Davies deBronkart Jr. • Cancer survivor & blogger • Found proper cancer treatment through online social network after diagnosis • Activist for participatory medicine & patient engagement through information technology http://www.epatientdave.com/
  • 19.
    19 Dave’s E-PatientDefinition • Not “Electronic” Patient • Engaged • Equipped • Empowered • Educated • Enlightened • Etc. From Dr. Danny Sands’ tutorial presentation at AMIA2013
  • 20.
    20 But thenagain...There are Risks of Social Media • Blurring lines between personal & professional lives • Work-life balance • Inappropriate & unprofessional conduct • Privacy risks • False/misleading information
  • 21.
    21 Privacy Risks ข้อความจริง บน • "อาจารย์ครับ เมื่อวาน ผมออก OPD เจอ คุณ... คนไข้... ที่อาจารย์ผ่าไป แล้ว มา ฉายรังสีต่อที่... ตอนนี้ Happy ดี ไม่ค่อยปวด เดินได้สบาย คนไข้ ฝากขอบคุณอาจารย์อีกครั้ง -- อีกอย่างคนไข้ช่วงนี้ไม่ค่อยสะดวกเลยไม่ได้ ไป กทม. บอกว่าถ้าพร้อมจะไป Follow-up กับอาจารย์ครับ"
  • 22.
    22 Social MediaCase Study #1: ไม่ตรวจสอบข้อมูล Disclaimer (นพ.นวนรรน): นำเสนอเป็น กรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มีเจตนาดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด เสียหาย ชื่อ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายของบุคคล หรือองค์กรใด เป็นเพียงการให้ข้อมูลแวดล้อม เพื่อการทำความเข้าใจกรณีศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่ การใส่ความว่าผู้นั้นกระทำการใด อันจะทำให้ ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา
  • 23.
    23 Social MediaCase Study #2: ไม่ตรวจสอบข้อมูล Source: Facebook Page โหดสัส V2 อ้างอิงภาพจากหน้า 7 นสพ.ไทยรัฐ วันที่ 6 พ.ค. 2557 และ http://www.reuters.com/article/2013/10/16/us-philippines-quake-idUSBRE99E01R20131016
  • 24.
    24 Social MediaCase Study #3: ละเมิดผู้รับบริการ Disclaimer (นพ.นวนรรน): นำเสนอเป็น กรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มีเจตนาดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด เสียหาย และไม่มีเจตนาสร้างประเด็นทาง การเมือง ชื่อ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายของบุคคล หรือองค์กรใด เป็นเพียงการให้ข้อมูลแวดล้อม เพื่อการทำความเข้าใจกรณีศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่ การใส่ความว่าผู้นั้นกระทำการใด อันจะทำให้ ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา
  • 25.
    25 บทเรียนจากกรณีศึกษา (LessonsLearned) • องค์กรไม่มีทางห้ามพนักงานไม่ให้โพสต์ข้อมูลได้ – ช่องทางการโพสต์มีมากมาย ไม่มีทางห้ามได้ 100% – นโยบายที่เหมาะสม คือการกำหนดกรอบไว้ให้พนักงานโพสต์ได้ตามความ เหมาะสม ภายในกรอบที่กำหนด • พนักงานย่อมสวมหมวกขององค์กรอยู่เสมอ (แม้จะโพสต์เป็นการส่วนตัว แต่องค์กรก็เสียหายได้) – คิดก่อนโพสต์, สร้างวัฒนธรรมภายในองค์กร • การรักษาความลับขององค์กรและข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า • มีนโยบายให้ระบุตัวตนและตำแหน่งให้ชัดเจน • องค์กรควรยอมรับปัญหาอย่างตรงไปตรงมาและทันท่วงที http://www.siamintelligence.com/social-media-policy-cathay-pacific-case/
  • 26.
    Social Media CaseStudy #4: ดูหมิ่นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 26 Source: Drama-addict.com Disclaimer (นพ.นวนรรน): นำเสนอเป็นกรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้ เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มี เจตนาลบหลู่ ดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด เสียหาย โปรดใช้วิจารณญาณในการ อ่านเนื้อหา
  • 27.
    27 Social MediaCase Study #5: มือแชร์แพร่โพสต์ลับ http://sport.sanook.com/84101/น้องก้อย-โค้ชเช-จบยาก-อ.พิทักษ์-ขุดไลน์ปริศนาให้นักข่าวเผยแพร่/
  • 28.
    28 Social MediaCase Study #6: ไม่แยก Account
  • 29.
    29 Social MediaCase Study #7: พฤติกรรมไม่เหมาะสม Disclaimer (นพ.นวนรรน): นำเสนอเป็นกรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้ เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มี เจตนาลบหลู่ ดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด องค์กรใด หรือวิชาชีพใดเสียหาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา
  • 30.
    30 Social MediaCase Study #7: พฤติกรรมไม่เหมาะสม Disclaimer (นพ.นวนรรน): นำเสนอเป็นกรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้ เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มี เจตนาลบหลู่ ดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด องค์กรใด หรือวิชาชีพใดเสียหาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา
  • 31.
    Social Media CaseStudy #8: พฤติกรรมไม่เหมาะสม เหตุการณ์ระเบิด ภาคใต้ จนท. เสียชีวิต หมายเหตุ: กรณีนี้ผู้ปรากฏในภาพชี้แจงว่า ต้องการให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ใน 31 สถานการณ์ความรุนแรง แต่ไม่ระวังว่าอาจถูกมองในแง่ลบ ผู้อื่นอาจ เข้าใจเจตนาผิด Disclaimer (นพ.นวนรรน): นำเสนอเป็นกรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้ เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มี เจตนาลบหลู่ ดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด องค์กรใด หรือวิชาชีพใดเสียหาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา
  • 32.
    32 Social MediaCase Study #9: ละเมิดข้อมูลผู้ป่วย • ปรากฏภาพถ่ายเอกซเรย์สมองของนักการเมือง ชื่อดังที่มารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใน Line ของบุคลากรทางการแพทย์บางกลุ่ม ที่ไม่ได้มี หน้าที่ในการรักษาผู้ป่วยโดยตรง
  • 33.
    Disclaimer (นพ.นวนรรน): นำเสนอเป็นกรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้ เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มี เจตนาลบหลู่ ดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด องค์กรใด หรือวิชาชีพใดเสียหาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา 33 Social Media Case Study #10: ละเมิดข้อมูลผู้ป่วย http://www.prasong.com/สื่อสารมวลชน/แพยสภาสอบจริยธรรมหมอต/
  • 34.
    34 Social MediaCase Study #11 Disclaimer (นพ.นวนรรน): นำเสนอเป็นกรณีศึกษาเพื่อการเรียนรู้ เรื่อง Social Media เท่านั้น ไม่มี เจตนาลบหลู่ ดูหมิ่น หรือทำให้ผู้ใด องค์กรใด หรือวิชาชีพใดเสียหาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื้อหา http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd056SXlNelEzTVE9PQ==
  • 35.
    35 A U.S.Case Study: Patient Privacy http://usatoday30.usatoday.com/life/people/2007-10-10-clooney_N.htm
  • 36.
    36 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสุขภาพ •พรบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 • มาตรา 7 ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล เป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะนำไปเปิดเผยในประการที่น่าจะทำให้บุคคลนั้นเสียหาย ไม่ได้ เว้นแต่การเปิดเผยนั้นเป็นไปตามความประสงค์ของ บุคคลนั้นโดยตรง หรือมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผย แต่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ผู้ใดจะอาศัยอำนาจหรือสิทธิตามกฎหมายว่า ด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการหรือกฎหมายอื่นเพื่อขอเอกสาร เกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลที่ไม่ใช่ของตนไม่ได้
  • 37.
    37 ประมวลกฎหมายอาญา •มาตรา 323 ผู้ใดล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของผู้อื่นโดยเหตุที่เป็นเจ้า พนักงานผู้มีหน้าที่ โดยเหตุที่ประกอบอาชีพเป็นแพทย์ เภสัชกร คน จำหน่ายยา นางผดุงครรภ์ ผู้พยาบาล นักบวช หมอความ ทนายความ หรือผู้สอบบัญชีหรือโดยเหตุที่เป็นผู้ช่วยในการประกอบอาชีพนั้น แล้ว เปิดเผยความลับนั้นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้ง ปรับ • ผู้รับการศึกษาอบรมในอาชีพดังกล่าวในวรรคแรก เปิดเผยความลับของ ผู้อื่น อันตนได้ล่วงรู้หรือได้มาในการศึกษาอบรมนั้น ในประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
  • 38.
    38 คำประกาศสิทธิผู้ป่วย •เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพกับผู้ป่วย ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจอันดีและเป็นที่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน แพทยสภา สภาการ พยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา คณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ จึงได้ร่วมกันออกประกาศรับรองสิทธิของผู้ป่วยไว้ดังต่อไปนี้ 1. ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับบริการด้านสุขภาพ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับบริการจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากความแตกต่างด้านฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา สังคม ลัทธิ การเมือง เพศ อายุ และ ลักษณะของความเจ็บป่วย 3. ผู้ป่วยที่ขอรับบริการด้านสุขภาพมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอ และเข้าใจชัดเจน จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจ ในการยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือรีบด่วนหรือ จำเป็น 4. ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต มีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือรีบด่วนจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยทันทีตามความจำเป็นแก่กรณี โดยไม่คำนึงว่า ผู้ป่วยจะร้อง ขอความช่วยเหลือหรือไม่ 5. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบชื่อ สกุล และประเภทของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่เป็น ผู้ให้บริการแก่ตน 6. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอความเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอื่น ที่มิได้เป็นผู้ให้บริ การแก่ตน และมีสิทธิในการขอเปลี่ยนผู้ให้บริการ และสถานบริการได้ 7. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือการปฏิบัติหน้าที่ ตามกฎหมาย 8. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วน ในการตัดสินใจเข้าร่วมหรือถอนตัวจากการเป็นผู้ถูกทดลองในการทำวิจัยของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ 9. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะของตนที่ปรากฏใน เวชระเบียนเมื่อร้องขอ ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิ ส่วนตัวของบุคคลอื่น 10.บิดา มารดา หรือผู้แทนโดยชอบธรรม อาจใช้สิทธิแทนผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุยังไม่เกิน สิบแปดปีบริบูรณ์ ผู้บกพร่องทางกายหรือจิต ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิด้วยตนเอง ได้
  • 39.
    39 คำประกาศสิทธิผู้ป่วย •เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพกับผู้ป่วย ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจอันดีและเป็นที่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน แพทยสภา สภาการ พยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา คณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ จึงได้ร่วมกันออกประกาศรับรองสิทธิของผู้ป่วยไว้ดังต่อไปนี้ 1. ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับบริการด้านสุขภาพ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับบริการจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากความแตกต่างด้านฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา สังคม ลัทธิ การเมือง เพศ อายุ และ ลักษณะของความเจ็บป่วย 3. ผู้ป่วยที่ขอรับบริการด้านสุขภาพมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอ และเข้าใจชัดเจน จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจ ในการยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือรีบด่วนหรือ จำเป็น 4. ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต มีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือรีบด่วนจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยทันทีตามความจำเป็นแก่กรณี โดยไม่คำนึงว่า ผู้ป่วยจะร้อง ขอความช่วยเหลือหรือไม่ 5. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบชื่อ สกุล และประเภทของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่เป็น ผู้ให้บริการแก่ตน 6. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอความเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอื่น ที่มิได้เป็นผู้ให้บริ การแก่ตน และมีสิทธิในการขอเปลี่ยนผู้ให้บริการ และสถานบริการได้ 7. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือการปฏิบัติหน้าที่ ตามกฎหมาย 8. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วน ในการตัดสินใจเข้าร่วมหรือถอนตัวจากการเป็นผู้ถูกทดลองในการทำวิจัยของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ 9. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะของตนที่ปรากฏใน เวชระเบียนเมื่อร้องขอ ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิ ส่วนตัวของบุคคลอื่น 10.บิดา มารดา หรือผู้แทนโดยชอบธรรม อาจใช้สิทธิแทนผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุยังไม่เกิน สิบแปดปีบริบูรณ์ ผู้บกพร่องทางกายหรือจิต ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิด้วยตนเอง ได้ 7. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด เว้นแต่ จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือการปฏิบัติหน้าที่ ตามกฎหมาย
  • 40.
    การละเมิด Privacy ข้อมูลผู้ป่วยเป็นการละเมิดจริยธรรม 40 • Autonomy (หลักเอกสิทธิ์/ความเป็นอิสระของผู้ป่วย) • Beneficence (หลักการรักษาประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย) • Non-maleficence (หลักการไม่ทำอันตรายต่อผู้ป่วย) – “First, Do No Harm.”
  • 41.
    ตัวอย่างนโยบายด้าน Social Mediaขององค์กร/มหาวิทยาลัย 41 http://intranet.mahidol/op/orla/law/index.php/anno uncement/146-2556/770-social-network
  • 42.
    42 MU SocialNetwork Policy
  • 43.
    43 MU SocialNetwork Policy
  • 44.
    44 MU SocialNetwork Policy
  • 45.
    45 MU SocialNetwork Policy
  • 46.
    46 MU SocialNetwork Policy
  • 47.
    47 MU SocialNetwork Policy
  • 48.
    48 MU SocialNetwork Policy • ข้อความบน Social Network สามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะ ผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบ ทั้งทางสังคมและกฎหมาย และอาจ ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง การทำงาน และวิชาชีพของตน • ระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการเผยแพร่ประเด็นที่ Controversial เช่น การเมือง ศาสนา • ไม่ได้ห้าม แต่ให้ระวัง เพราะอาจส่งผลลบต่อตนหรือองค์กรได้
  • 49.
    49 MU SocialNetwork Policy • ความรับผิดชอบทางกฎหมาย – ประมวลกฎหมายอาญา ความผิดฐานหมิ่นประมาท – พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ – ข้อบังคับสภาวิชาชีพ เกี่ยวกับจริยธรรมแห่งวิชาชีพ – ข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหิดล ว่าด้วยจรรยาบรรณของบุคลากรและ นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล – ข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหิดล ว่าด้วยวินัยนักศึกษา
  • 50.
    50 MU SocialNetwork Policy • ไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น อ้างถึงแหล่งที่มาเสมอ (Plagiarism = การนำผลงานของคนอื่นมานำเสนอเสมือนหนึ่ง เป็นผลงานของตนเอง) • แบ่งแยกเรื่องส่วนตัวกับหน้าที่การงาน/การเรียน – แยก Account ของหน่วยงาน/องค์กร ออกจาก Account บุคคล – Facebook Profile (ส่วนตัว) vs. Facebook Page (องค์กร/หน่วยงาน) • ในการโพสต์ที่อาจเข้าใจผิดได้ว่าเป็นความเห็นจากมหาวิทยาลัย/หน่วยงาน ให้ ระบุ Disclaimer เสมอว่าเป็นความเห็นส่วนตัว
  • 51.
    51 MU SocialNetwork Policy • ห้ามเผยแพร่ข้อมูล sensitive ที่ใช้ภายในมหาวิทยาลัยก่อนได้รับอนุญาต • บุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ให้บริการสุขภาพ – ระวังการใช้ Social Network ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วย (ความลับผู้ป่วย และการ แยกแยะเรื่องส่วนตัวจากหน้าที่การงาน) – ปฏิบัติตามจริยธรรมของวิชาชีพ – ระวังเรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy) และความลับของข้อมูลผู้ป่วย – การเผยแพร่ข้อมูล/ภาพผู้ป่วย เพื่อการศึกษา ต้องขออนุญาตผู้ป่วยก่อนเสมอ และลบ ข้อมูลที่เป็น identifiers ทั้งหมด (เช่น ชื่อ, HN, ภาพใบหน้า หรือ ID อื่นๆ) ยกเว้น ผู้ป่วยอนุญาต (รวมถึงกรณีการโพสต์ใน closed groups ด้วย) • ตั้งค่า Privacy Settings ให้เหมาะสม
  • 52.
    52 ตัวอย่างนโยบายด้าน SocialMedia ของ รพ. เนื้อหาอะไรไม่ควรเผยแพร่สู่สาธารณะ ในเว็บและ Social Media หน่วยงาน: ข้อเสนอต่อคณะทำงานพัฒนาเว็บไซต์คณะฯ ของ รพ.รามาธิบดี และศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ นพ.นวนรรน ธีระอัมพรพันธุ์ อาจารย์ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน รองผู้อำนวยการบริหารสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ฝ่ายสารสนเทศ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี 3 มิถุนายน 2557
  • 53.
    53 กลุ่มเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิผู้อื่น มีข้อมูลผู้ป่วยที่ปรากฏ Identifiers (ชื่อ, HN, 13 หลัก, ใบหน้า, คำใบ้, e-mail address, ทะเบียนรถ ฯลฯ) โดยไม่ได้ขออนุญาต  การให้ข้อมูลผู้บาดเจ็บกับสื่อมวลชน ไม่ควรระบุชื่อ ยกเว้นผู้ป่วย หรือญาติอนุญาต, เป็นข้อมูลสาธารณะอยู่ก่อนแล้ว, ให้ข้อมูลกับ พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วย (เช่น ประกาศตามหาญาติ)  ภาพหรือเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ นำมาลงโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่ให้ credit เจ้าของ
  • 54.
    54 กลุ่มเนื้อหาที่สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์องค์กร ผิดกฎหมาย, ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี, ดูหมิ่น ให้ร้ายผู้อื่น  ชวนทะเลาะ, สร้างความแตกแยก, ประเด็น sensitive  วิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมผู้รับบริการ (แม้ไม่ระบุชื่อ)  ความลับ/เรื่องภายในคณะฯ ที่ไม่มีประโยชน์กับบุคคลภายนอก  เนื้อหา/ภาพ ที่สื่อถึงองค์กรในทางลบ หรืออาจถูกมองในแง่ลบ  โฆษณาสินค้า หรือหาประโยชน์ส่วนตัว
  • 55.
    55 กลุ่มเนื้อหาที่เกิดจากความไม่ระมัดระวังของ Admin  เรื่องส่วนตัว แต่โพสต์ในเว็บ/Page หน่วยงาน  หน่วยงานควรใช้ Facebook Page ไม่ใช่ Facebook Account บุคคล  ควรแยก Page หน่วยงาน และ Account ส่วนตัว ออกจากกัน  การแชร์/กด Like ไม่คิด ใน account หน่วยงาน (เนื้อหาไม่เกี่ยวกับหน่วยงาน แต่ตัวเองชอบ )  ข่าว/ความรู้ทางการแพทย์ ที่ไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้อง/เป็นเท็จ  ใช้ชื่อหรือ Logo คณะฯ แต่เป็นความเห็นส่วนตัว  Spam/ภาพลามก ที่มีผู้โพสต์ผ่าน Webboard/Social Media แล้วไม่monitor เป็นประจำ
  • 56.
  • 57.
    57 Example ProfessionalCode of Conduct
  • 58.
    58 Example ProfessionalCode of Conduct
  • 59.
    59 สรุป •Social media เป็น trend ของสังคมในปัจจุบันที่ปฏิเสธไม่ได้ • Social media สำคัญในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นโอกาสใน การเข้าถึงข้อมูล และการเข้าสังคม • Social media สำคัญในทางสุขภาพ เพราะเป็นโอกาสในการ empower, engage และ educate ผู้ป่วย (“e-patient”) • Social media สำคัญ เพราะเป็นความเสี่ยงที่หากไม่ ตระหนักและระมัดระวัง ก็ส่งผลร้ายต่อผู้ใช้และผู้ป่วยได้
  • 60.
    60 สรุป •องค์กรควรมีนโยบายด้าน Social media และ Security & privacy รวมทั้งมีการอบรม สร้างความตระหนัก และบังคับใช้ • วิชาชีพต่างๆ โดยเฉพาะวิชาชีพทางสุขภาพ ควรมีนโยบาย และสร้างความตระหนักเรื่องการใช้ Social media อย่าง เหมาะสมแก่ผู้ประกอบวิชาชีพนั้นๆ • บุคคลควรตระหนักถึงความเสี่ยงในการใช้ Social media อยู่ เสมอ และใช้อย่างระมัดระวัง รับผิดชอบ และมีจริยธรรม
  • 61.
    61 More Information • ข้อแนะนำในการใช้งาน Social Media – http://www.etda.or.th/etda_website/app/webroot/files/1 /files/Guidelines.pdf • แนวปฏิบัติในการใช้บริการสื่อสังคมออนไลน์ – http://www.etda.or.th/etda_website/content/1191.html • Thailand Internet User Profile 2014 – https://www.etda.or.th/etda_website/mains/download_fi le/27