ความเชื่อ และ วิทยาศาสตร์ ในสังคมไทย
Part 1 โครงงานวิทยาศาสตร์2
ความเชื่อเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ และถือว่าเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์
อย่างหนึ่ง การดารงชีวิตของมนุษย์ในสมัยโบราณที่มีความเจริญทางด้านวิชาการน้อย
ความเชื่อจึงเกิดจากการเกิดขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่มนุษย์เชื่อว่าเป็น
การบันดาลให้เกิดขึ้นจาก อานาจของเทวดา พระเจ้า หรือภูตผีปีศาจ
อ.วิริยะ โกษิต
ความหมายของความเชื่อ
คาว่า “ความเชื่อ” มีความหมายอยู่หลายความหมาย นักวิชาการ
นักวิชาการและผู้รู้ได้ให้ความหมายต่างๆ ดังนี้
ความเชื่อ คือ การยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นความจริงหรือเป็นสิ่งที่เรา
ไว้ใจ ความจริงหรือความไว้วางใจที่เป็นรูปของความเชื่อนั้น ไม่จาเป็นว่า
ว่าจะต้องเป็นความจริงที่ตรงตามหลักเหตุผลหรือหลักวิทยาศาสตร์ใดๆ
ใดๆ
ธวัช ปุณโณทก ได้กล่าวถึงความเชื่อไว้ว่า ความเชื่อ คือ การยอมรับอัน
เกิดอยู่ในจิตสานึกของมนุษย์ต่อพลังอานาจเหนือธรรมชาติ ที่เป็นผลดีหรือ
หรือผลร้ายต่อมนุษย์นั้นๆ หรือสังคมมนุษย์นั้นๆ แม้ว่าพลังอานาจเหนือ
เหนือธรรมชาติเหล่านั้น ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ ได้ว่าเป็นความจริง แต่
มนุษย์ในสังคมหนึ่งยอมรับและให้ความเคารพเกรงกลัวสิ่งเหล่านี้ เรียกว่า
เรียกว่าความเชื่อ
สรุป ความเชื่อ หมายถึง เห็นตามด้วย มั่นใจ ไว้ใจ นับถือ เห็น
จริงด้วย วางใจ ไว้ใจ มั่นใจ และนับถือ
แนวคิดและความเป็นมาของความเชื่อ
ความเชื่อของมนุษย์ได้มีวิวัฒนาการ
ตามลาดับขั้นตอนดังต่อไปนี้......
ไสยศาสตร์ นี่เรียกว่าเป็นเรื่องเกิดมาจากอินเดีย จะเรียกว่า ศาสนาฮินดูเป็น
แม่ ศาสนาพุทธเป็นพ่อ ก็ได้ ออกมาจากอินเดียทั้งนั้นแหละ ที่เรียกว่าไสยศาสตร์
นั้นก็ไม่ใช่เล่น เราถือไสยศาสตร์กันไปเกือบจะหมด ของสาหรับคนปัญญาอ่อน
ของสาหรับเด็กๆเด็กๆไม่อาจจะรู้สูงได้ก็ถือไสยศาสตร์ไปก่อน ฉะนั้นเด็กๆจึงได้รับ
คาสั่งสอนให้เชื่อถืออย่างไสยศาสตร์ นับถือผีสางเทวดา ภูตผีปีศาจกันไปก่อนแล้ว
จึงค่อยมาถืออย่างสูงขึ้นมาเป็นพุทธะล้วนๆ ไสยศาสตร์จึงฝังอยู่ในจิตใจมาตั้งแต่
เล็ก เรื่องของไสยศาสตร์มันทาให้หายกลัวได้
ถ้าไม่มีความรู้อย่างพุทธศาสนาแล้ว ไสยศาสตร์ก็ไม่มี คนนั้นมันก็ว้าเหว่ มัน
จะเป็นบ้าเอาก็ได้ ไม่มีอะไรจะช่วยระงับความกลัว ไสยศาสตร์แม้เป็นเรื่องงมงาย
อะไรก็เป็นที่พึ่งแก่คนปัญญาอ่อน หรือเป็นที่พึ่งแก่เด็กๆ ที่ในบ้านในเมืองไหนก็
ตาม ประเทศไหนก็ตามเถอะ คนปัญญาอ่อนต้องมีมากมาย ดังนั้นไสยศาสตร์ต้อง
เก็บไว้ เลิกไม่ได้นะ เอาไว้ให้คนปัญญาอ่อน เขาจะได้อุ่นอกอุ่นใจ แล้วก็ไม่เป็นโรค
ประสาท ไม่เป็นบ้า ไสยศาสตร์มันช่วยคุ้มคนปัญญาอ่อน พุทธศาสตร์ก็จูงคน
ปัญญาแก่กล้าไป ฉะนั้นยังต้องเก็บไสยศาสตร์ไว้ให้คนปัญญาอ่อน มันจึงเลิกไม่ได้
เลิกไม่ได้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้แม้ในกรุงเทพฯ ก็ต้องเก็บไสยศาสตร์ไว้เยอะแยะสาหรับ
คนปัญญาอ่อน จะได้ใช้เป็นที่พึ่ง
คัดลอกบางส่วน ท่านพระพุทธทาส ภิกขุ หนังสือ "ลิขิต พุทธทาส
..ดังนั้นไสยศาสตร์
ต้องเก็บไว้
เลิกไม่ได้นะ
เอาไว้ให้คนปัญญา
อ่อน เขาจะได้อุ่นอก
อุ่นใจ....
วิทยาศาสตร์ และการนามาซึ่งคาตอบ
เจตคติทางวิทยาศาสตร์หรือจิตวิทยาศาสตร์
1. ความเป็ นผู้สนใจใฝ่รู้ อยากหาคาตอบในสิ่ง
ที่สงสัย
2. ความซื่อสัตย์ รวบรวม บันทึก โดยไม่
บิดเบือนข้อมูล
3. ความอดทน มุ่งมั่น แม้จะใช้เวลานานใน
การหาข้อยุติปัญหา
4. การมีใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของ
ผู้อื่น
5. ความคิดสร้างสรรค์
6. มีความสงสัยและกระตือลือร้นที่จะหา
คาตอบ
7. ยอมรับเมื่อมีประจักษ์พยานหรือเหตุผลที่
เพียงพอ
การแสวงหาความรู้ด้วยวิธีการทา
วิทยาศาสตร์ (scientific Method)
1. การกาหนดปัญหา (Problem)
2. การตั้งสมมติฐาน
(Formulation of Hypothesis)
3. การตรวจสอบสมมติฐาน
(Testing the Hypothesis)
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล และการ
วิเคราะห์ข้อมูล (Analysis)
5. การสรุปผล (Conclusion)
ภูมิปัญญาท้องถิ่น
(Local Wisdom)
ภูมิปัญญาชาวบ้าน
(Popular Wisdom)
ภูมิปัญญาไทย
(Thai Wisdom)
ความหมายภูมิปัญญา
ภูมิ
ปัญญา
พื้น แผ่นดิน
ความรู้ รอบรู้
ความรอบรู้ของคนในแผ่นดิน
ความหมายของภูมิปัญญาท้องถิ่น
หมายถึง ความรู้ ความสามารถและทักษะของคนในชุมชนหรือ
ท้องถิ่นนั้น ๆ ที่มีการสั่งสมขึ้นมาจากประสบการณ์ การเรียนรู้
การเลือกสรร การปรุงแต่ง และถ่ายทอดสืบต่อกันมา เป็ น
ระยะเวลายาวนาน เพื่อใช้เป็ นแนวทางในการแก้ปัญหา และ
พัฒนาวิถีชีวิตผสมผสานให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและ
เหมาะสมกับยุคสมัย
ภูมิปัญญาท้องถิ่น
(Local Wisdom)
ภูมิปัญญา : จากนามธรรมสู่รูปธรรม
ภูมิปัญญา : จากนามธรรมสู่รูปธรรม
วิธีแก้ปัญหา
เป็ นกระบวนการคิด จับต้องไม่ได้
เครื่องมือ
เป็ นสิ่งประดิษฐ์ จับต้องได้
ปัญหา
อากาศร้อน
ฝนตกมาก
วิธีแก้
หลังคาบ้านลาดเอียง
วัสดุมุงหลังคาไม่เก็บ
ความร้อน
มุงให้ไม่ซ้อนทับกัน
สนิทแน่น
ภูมิปัญญา : จากนามธรรมสู่รูปธรรม
ครกตาข้าว
ตาข้าวเปลือกให้เป็ นข้าวกล้อง
เครื่องสีข้าว
ขัดข้าวเปลือกให้เป็ นข้าวกล้อง
และข้าวขาว
การสีข้าว
ลักษณะสาคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น
๑. เป็นความรู้แบบองค์รวมที่เกิดจากการเชื่อมโยงความรู้หรือกิจกรรมทุก
อย่างที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต
๒. เป็นวิถีความสัมพันธ์ที่สมดุลระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคน
กับสิ่งเหนือธรรมชาติ
๓. มีลักษณะเป็นพลวัต (Dynamics) คือ เปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัย
และมีพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา
๔. มีวัฒนธรรมเป็นพื้นฐาน
๕. มีลักษณะเฉพาะหรือเอกลักษณ์ในตนเอง
ประเภทของภูมิปัญญาท้องถิ่น
ประเภทของภูมิปัญญาท้องถิ่น
ลักษณะที่ ๑
ภูมิปัญญาที่เป็นนามธรรม
ได้แก่ ความตระหนักรู้ วิธีคิด
ความเชื่อ วิถีการดาเนินชีวิต
ภูมิปัญญาที่เป็นรูปธรรม
ได้แก่ เทคโนโลยีการทามาหา
กิน แพทย์พื้นบ้าน ศิลปะ
หัตถกรรม สถาปัตยกรรม
เครื่องมือเครื่องใช้ ฯลฯ
ลักษณะที่ ๒
ภูมิปัญญาที่เกี่ยวกับความอยู่
รอด
ได้แก่ ปัจจัยสี่
ภูมิปัญญาที่เกี่ยวกับ
เทคโนโลยีการทามาหากิน
ได้แก่ เทคโนโลยีการทามาหากิน
แพทย์พื้นบ้าน ศิลปะ หัตถกรรม
สถาปัตยกรรม เครื่องมือเครื่องใช้
ฯลฯ
ภูมิปัญญาที่เกี่ยวกับ
วัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรม
ได้แก่ ประเพณี พิธีกรรม ตานาน
ความเชื่อ การละเล่น ฯลฯ
ลักษณะที่ ๓
ภูมิปัญญาของบุคคล
ได้แก่ ความรู้ความสามารถ
ความคิด วิธีการของบุคคล เช่น
ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม อาจารย์
เฉลิมชัย ฯลฯ
ภูมิปัญญาของชุมชน
ได้แก่ ภูมิปัญญาที่สั่งสมอยู่ใน
ท้องถิ่น ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ เช่น
จักสานพนัสนิคม ไข่เค็มจังหวัด...
ภูมิปัญญาของประเทศ
ได้แก่ ความสามารถภาพรวมของ
ประเทศ เช่น อาหารไทย สมุนไพร
ไทย ฯลฯ
เครื่องมือเครื่องใช้
แห่นางแมว
ทาขวัญแม่โพสพ
ประเพณี พิธีกรรม
แพทย์แผนไทย
ผู้ใหญ่ทัศน์ กระยอม นายวิวัฒน์ ศัลยกาธร
ถวัลย์ ดัชนีเฉลิมชัย โฆสิษพิพัฒน์ เอื้อ สุนทราภรณ์
ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม
ชุมชนเกาะเกร็ดพนัสนิคม
สันกาแพง
ผ้าแพรวา กาฬสินธุ์
ไชยา ด่านเกวียน
ด้วยความรู้นั้นเลิศประเสริฐสุด
เปรียบประดุจดังแควกระแสสินธุ์
จะวิดวักตักมาเป็นอาจินต์
ไม่รู้สิ้นแห้งขอดตลอดกาล
หญิงสาวโดนป่าวร้อง เสียหาย
ชายเสน่หากลับกลาย เล่นลิ้น
แฉความเรื่องอับอาย ทาร่วม กันนา
เผยแผ่ออกมาสิ้น สิ่งนี้บ่ควร
คาสั่ง : จากข้อมูลที่กาหนด ให้นักเรียนเลือกความเชื่อ 2 ความเชื่อ
ที่คิดว่ามีความน่าจะเป็นกุศโลบาย การสอนหรือเพื่อป้ องกันปัญหา
บางอย่างของคนในสมัยอดีต พร้อมนาเสนอเหตุผลที่ซ่อนอยู่ใน
ความเชื่อนั้นๆ ตามความคิดของนักเรียนเอง พร้อมอธิบาย ใน
ลักษณะของแผนผังความคิด..... ( งานรายบุคคล )
ความเชื่อของไทย
ความเชื่อเรื่อง “อย่าเงือดเงื้อของอันตรายเพื่อหยอกล้อ”
ความเชื่อนี้คนส่วนมากก็เชื่อข้อนี้กันมาก เพราะท่านว่าเวลาเรา
หยอกล้อแบบนี้เช่น จะเอาพร้า เอามีด ฟันคนอื่น หรือเล็งปืนไป
หาใคร โดยหมายหยอกเล่นนั้น เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง
เนื่องจากเราอาจจะพลาดพลั้งไปได้ ทาให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
อีกนัยหนึ่งคือ เปิดโอกาสให้สิ่งลี้ลับผลักไม้ผลักมือเอาได้ เหมือนที่
เค้าว่า “ผีผลัก” นั่นเอง ดังนั้นอย่าทาแบบนี้เด็ดขาดโดยเฉพาะกับ
คนที่คุณรัก
ผีผลัก อันนี้น่าจะเป็นความปลอดภัยพื้นฐาน เล่นกับของมีคม หรืออาวุธ
ขนาดระวังยังพลาดพลั้งกันได้ แล้วถ้าไม่ระวังไปเล่นกับคนอื่น อาจทาให้เกิด
อันตรายขึ้นได้
การใช้ของมีคม วิธีการใช้งาน
ใช้ระวัง
ขาดความระวัง เกิดอุบัติเหตุ
ไม่เกิดอุบัติเหตุ งานสาเร็จ
งานไม่สาเร็จ
ความเชื่อเรื่องผีพลัก
- ห้ามผิวปากตอนกลางคืน ระวังผีจะมาบิดปาก
- อย่านอนขวางทางเดินหรือหน้าประตู เดี๋ยวผีจะอา
- เวลาจิ้งจกทักห้ามออกจากบ้านได้รับเคราะห์
- ห้ามตัดผมวันพุธ หัวจะกุด ท้ายจะเน่า
- อย่าวิ่งขึ้นบันได ผีจะมาดึงขา
- อย่าตากผ้าตอนกลางคืนเดี๋ยวกระสือจะมาเอาผ้าเช็ดปาก
- กินข้าวห้ามเคาะจาน เป็นการเรียกสัมผเวสีให้มากินด้วย
- ห้ามเล่นดนตรีตอนกลางคืน ผีจะได้ยิน แล้วจะมาหา
- ถ้านกขี้รดหัว จะโชคร้าย
- ห้ามใช้ปากกาแดงเขียนชื่อ เพราะหมายถึงชื่อคนตาย
- กลับมาถึงบ้านต้องล้างเท้าทุกครั้ง ไม่งั้นผีจะตามรอยมา
- ห้ามตัดเล็บกลางคืน
- ห้ามเล่นซ่อนแอบตอนกลางคืน เดี๋ยวผีจะมาลักพาตัว
- ห้ามร้องเพลงในครัว ระหว่างทากับข้าวจะได้ผัวแก่
- ห้ามลับมีดกลางคืน เมียจะมีชู้
Part1 ความเชื่อ และ วิทยาศาสตร์ ในสังคมไทย

Part1 ความเชื่อ และ วิทยาศาสตร์ ในสังคมไทย