เรื่อง กะเพราย้อมสีผ้า
คุณครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ผู้จัดทำ
นางสาวนิศารัตน์ เนตรทอง เลขที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/11
นายศักดิ์สิทธิ์ ประโลหิต เลขที่ 22 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/11
1. เพื่อศึกษาประโยชน์เพิ่มเติมของใบกะเพรา
2. นาการย้อมสีผ้าจากใบกะเพราไปใช้ในชีวิตประจาวันได้
3. เพื่อนาเศษผักใบกะเพราที่เหลือใช้นาไปใช้ประโยชน์
 ลักษณะทั่วไป
 ไม้ล้มลุก มีเนื้อไม้มีอายุหลายปี สูงได้ถึง 1 เมตร ทุกส่วนมีกลิ่นหอม แตกกิ่งก้าน
อ่อนรูปสี่เหลี่ยม มีขนปกคลุม ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก แผ่นใบรูปรีกว้างๆ
ขอบใบหยักแบบจักฟันเลื่อย มีขนสั้นๆ ทั้ง 2 ด้าน ก้านใบยาว ช่อดอกแบบช่อกระจุก
รอบ กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันปลายแยกเป็น 5 กลีบ กลีบดอกยาว 3 มิลลิเมตร เชื่อม
กันเป็นหลอดสั้น ปลายแยกเป็น 2 ปาก สีชมพู ขาว เกสรเพศผู้4 อัน โผล่พ้นหลอด
ดอก ผลเปลือกแข็งขนาดเล็ก สีน้าตาล เมื่อเปียกน้าจะเป็นเมือกหุ้มเมล็ด
 ประโยชน์ทำงสมุนไพร
 ตารายาไทยใช้ใบหรือทั้งต้นเป็นยาขับลมแก้ปวดท้อง ท้องเสีย และคลื่นไส้อาเจียน
นิยมใช้กะเพราแดงมากกว่ากะเพราขาวโดยใช้ยอดสด 1 กามือ ต้มพอเดือด ดื่ม
เฉพาะส่วนน้า พบว่าฤทธิ์ขับลมเกิดจากน้ามันหอมระเหย การทดลองในสัตว์แสดงว่า
น้าสกัดทั้งต้นมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลาไส้สารสกัดแอลกอฮอล์สามารถรักษาแผล
ในกระเพาะอาหาร สาร eugenol ในใบมีฤทธิ์ขับน้าดี ช่วยย่อยไขมันและลด
อาการจุกเสียด
 ใบ ใบสดของมัน มีน้ามันหอมระเหยอยู่ ซึ่ง ประกอบด้วย linaloo และ
methyl chavicol เป็นยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง บารุง
ธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง ให้ใช้ใบสด หรือยอดอ่อน สัก 1 กามือ มา
ต้ม ให้เดือด แล้วกรอง เอาน้าดื่ม แต่ถ้าใช้กับเด็ก ทารกให้นาเอามาตาให้ละเอียดคั้น
เอาน้านามา ผสมกับน้ายามหาหิงคุ์แล้วใช้ทาบริเวณ รอบ ๆ สะดือ และทาที่ฝ่าเท้า แก้
อาการปวดท้องของ เด็กได้และน้าที่เราเอามาคั้นออกจากใบยังใช้ขับเสมหะ ขับเหงื่อ
หรือ ใช้ทาภายนอกแก้โรค ผิวหนัง กลาก เกลื้อนได้
นอกจากนี้ ใบสดยังนามาผัด หรือนามาแกงเป็นอาหาร ได้อีกด้วย สาหรับ ใบแห้ง
ใช้ชงกินกับน้า แก้ท้องขึ้น และน้ามันที่ได้จากใบกะเพรานั้น สามารถยับยั้งการเจริญ
เติมโตของเชื้อโรคบางชนิด ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางอย่าง และมีฤทธิ์ฆ่ายุงได้ซึ่งจะมี
ฤทธิ์ได้นาน 2 ชั่วโมง
 เมล็ด เมื่อนาไปแช่น้าเมล็ดก็จะพองตัวเป็นเมือก ขาว ให้ใช้พอกในบริเวณตา เมื่อ
ตามีผง หรือฝุ่น ละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละออง นั้นก็จะออกมา ซึ่งจะไม่ทาให้ตาเรานั้น
ช้าอีกด้วย
 รำก ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้าร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ
 สรรพคุณสาคัญของใบกะเพรา ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้กันทั้งที่ใช้บริโภคกันอยู่ใน
ชีวิตประจาวัน ก็คือ สรรพคุณขับไขมันเคยสังเกตไหมว่า เหตุใดจึงมีตารับอาหารไทย
จาพวกผัดกะเพราเนื้อ กะเพราหมู กะเพราไก่ เหตุผลไม่เพียงแค่ใช้ใบกะเพราดับกลิ่น
คาวเนื้อสัตว์เท่านั้น ต่ที่สาคัญคือช่วยขับไขมันและน้าตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย มี
งานวิจัยหลายชิ้น หลายสานักที่กล่าวถึงสรรพคุณอันหลากหลายของใบกะเพราในที่นี้
ขอกล่าวเฉพาะสรรพคุณที่เชื่อมโยงกับฤทธิ์ลดไขมันและน้า ตาลของใบกะเพราเท่านั้น
 สีที่เราใช้กันในชีวิตประจาวันทั้งสีที่ผสมอาหารและสีย้อมผ้า ได้มาจากการ
สังเคราะห์สารเคมีและสีจากธรรมชาติ แต่สีสังเคราะห์หลายชนิดหากนามาใช้ผสม
อาหารจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย แตกต่างจากสีที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งใช้ผสมอาหาร
ได้โดยไม่มีอันตราย และใช้เป็นสีย้อมผ้าที่ให้สีสันสวยงาม ได้ด้วย
 สีธรรมชาติได้จากต้นไม้ในป่า โดยได้จากบางส่วนของต้นไม้เช่น ราก แก่น เปลือก
ต้น ผล ดอก เมล็ด ใบ เป็นต้น สีธรรมชาติสีต่าง ๆว่าได้จากต้นไม้ชนิดใดไว้ดังนี้
- สีแดง ได้จาก รากยอ แก่นฝาง ลูกคาแสด เปลือกสมอ ครั่ง
- สีคราม ได้จาก รากและใบของต้นคราม หรือต้นห้อม
- สีเหลือง ได้จาก แก่นแขหรือแก่นแกแล แก่นขนุน ต้นหม่อน ขมิ้น
เปลือกไม้นมแมว แก่นสุพรรณิการ์ ดอกกรรณิการ์ ดอกดาวเรือง
- สีตองอ่อน ได้จาก เปลือกต้นมะพูด เปลือกผลทับทิม แก่นแกแลและต้น
คราม ใบหูกวาง เปลือกและผลสมอพิเภก ใบส้มป่อยและผงขมิ้น ใบแค ใบสับปะรด
อ่อน
 - สีดา ได้จาก ผลมะเกลือ ผลกระจาก ผลและเปลือกสมอ
- สีส้ม ได้จาก เปลือกและรากยอ ดอกกรรณิการ์ (ส่วนที่เป็นหลอดสีส้ม)
เมล็ดคาแสด
- สีเหลืองอมส้ม ได้จาก ดอกคาฝอย
- สีม่วงอ่อน ได้จาก ลูกหว้า
- สีชมพู ได้จาก ต้นฝาง ต้นมหากาฬ
- สีน้าตาล ได้จาก เปลือกไม้โกงกาง เปลือกผลมังคุด
- สีกากีแกมเหลือง ได้จาก หมากสง กับแก่นแกแล
- สีเขียว ได้จาก เปลือกต้นมะริดไม้ใบหูกวาง เปลือกสมอ ครามย้อมทับ
ด้วยแถลง
 ข้อดีของสีธรรมชำติ
1. ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ผลิตและผู้บริโภค
2. น้าทิ้งจากกระบวนการผลิตไม่เป็นอันตรายต่อ สิ่งแวดล้อม
3. วัตถุดิบหาได้ง่ายในชุมชนไม่ต้องใช้สีเคมีที่นาเข้าจากต่างประเทศ
4. การย้อมสีธรรมชาติสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เป็นความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้น
ตามประสบการณ์ สามารถ ถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นหลัง เป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่น
5. สีธรรมชาติมีความหลากหลาย ตามชนิด อายุและส่วนของพืชที่ใช้ตลอดจน
ชนิดของสารกระตุ้นหรือขั้นตอนการย้อม
6. การย้อมสีธรรมชาติทาให้เห็นคุณค่าและรู้จักใช้ประโยชน์ของ
ทรัพยากรธรรมชาติ
7. ความสัมพันธ์ระหว่างคนย้อมสีกับต้นไม้ย่อมก่อให้เกิดความรัก ความหวง
แหน และเรียนรู้ที่จะอนุรักษ์ และปลูกทดแทนเพื่อการผลิตที่ยั่งยืน
 ข้อจำกัดของสีธรรมชำติ
1. ปริมาณสารสีในวัตถุดิบย้อมสีมีน้อย ทาให้ย้อมได้สีไม่เข้มหรือต้องใช้
วัตถุดิบปริมาณมาก
2. ไม่สามารถผลิตได้ในประมาณมากและไม่สามารถผลิตสีตามที่ตลาดต้องการ
3. สีซีดจางและมีความคงทนต่อแสงต่า
4. คุณภาพการย้อมสีธรรมชาติขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการซึ่งควบคุมได้ยาก
การย้อมสีให้เหมือนเดิมจึงทาได้ยาก
5. ในการย้อมสีธรรมชาติถ้าไม่มีวิธีการ และจิตสานึกในการใช้ทรัพยากรอย่าง
ยั่งยืนย่อมจะกลายเป็นการทาลายสิ่งแวดล้อมได้
1. ใบกะเพราประมาณสามมัด
2. หม้อต้ม
3. ภาชนะใส่น้าสกัด
4. ตัวอย่างเศษผ้าหรือเสื้อที่ต้องการย้อมสี
1. หั่นใบกระเพราให้เป็นชิ้นๆเล็กๆ 2. ต้มน้าให้เดือด
3. นาใบกระเพราใส่ลงในหม้อน้าเดือด 4. ต้มนานประมาณ 10 นาที รอให้น้า
เปลี่ยนสีเป็นสีเขียว
5. นาน้าที่ได้จากการต้ม มากรองใบกระเพราออก โดยใช้ภาชนะอีกชิ้นหนึ่ง กับผ้าขาวบาง
ที่เตรียมไว้
6.นาผ้าที่จะย้อมผ้าจุ่มลงไปในภาชนะ ทิ้งไว้สัก 10 นาที
 ผ้าที่ได้จากการย้อมสีผ้าด้วยใบกะเพรา
น้าต้มจากใบกะเพราสามารถเปลี่ยนสีผ้าขาวได้เป็นการนาใบกะเพราที่เหลือใช้มาใช้
ประโยชน์นอกจากนี้สีย้อมผ้าจากใบกะเพรายังเป็นสีย้อมผ้าจากธรรมชาติที่ทดแทนสี
ย้อมผ้าที่เป็นพิษอีกด้วย รวมถึงประหยัดต้นทุนในการย้อมผ้า
ก่อน หลัง
Comproject

Comproject