More Related Content
Similar to Claustrophobia
Similar to Claustrophobia (20)
Claustrophobia
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5
ปีการศึกษา 2562
ชื่อโครงงาน โรคกลัวที่แคบ (Claustrophobia)
ชื่อผู้ทาโครงงาน
ชื่อ นางสาว ศศิดารัตน์ เจริญพรวัฒนากุล เลขที่ 30
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 10
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม 1 คน
1. นางสาว ศศิดารัตน์ เจริญพรวัฒนากุล เลขที่ 30
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
โรคกลัวที่แคบ
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Claustrophobia
ประเภทโครงงาน โครงงานประเภทสารวจ
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาว ศศิดารัตน์ เจริญพรวัฒนากุล เลขที่ 30
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
โรคกลัวที่แคบ มีชื่อทางการว่า Claustrophobia (ครอสโตรโฟเบีย) เป็นอาการวิตกกังวลผิดปกติเมื่อต้องอยู่
ในที่แคบๆ เหมือนถูกปิดล้อมหรือถูกกักขัง จนก่อให้เกิดอาการอึดอัด ใจสั่น เหงื่อซึม หรือบางรายอาจมีความกลัว
หนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเลยก็มี มีประชากรประมาณ 5-7 เปอร์เซ็น บนโลกที่เป็นโรคนี้และมีเพียงส่วนเดียว
เท่านั้นที่เข้ารับการรักษา การกลัวที่แคบที่กล่าวถึงมี 2 ลักษณะ 1.ชนิดแรกคือกลัวการกาหนดขอบเขต (เช่น ที่แคบ
ที่ลงกลอน ในรถ บนเครื่องบิน ในท่อหรือถ้า) ซึ่งส่วนมากไม่ได้กลัวการเจ็บปวดแต่เป็นการกลัวการถูกบังคับและ
ถูกจากัดพื้นที่ 2.อีกลักษณะคือกลัวการหายใจไม่ออกเพราะอากาศไม่พอ ผู้ที่มีอาการของโรคมักจะถอดเสื้อผ้าที่ใส่
ออกเพราะเชื่อว่าเป็นการผ่อนคลาย Phobia เป็นโรคทางจิตเวชที่จัดอยู่ในกลุ่มโรควิตกกังวล ผู้ป่วยจะมีความกลัวที่
รุนแรงเกินกว่าเหตุและเป็นความกลัวที่ไม่สมเหตุสมผลเมื่อได้เผชิญกับสิ่งของหรือสถานการณ์ซึ่งทาให้รู้สึกกลัว
Phobia มีหลากหลายชนิดที่น่าสนใจ เช่น โรคกลัวรู (Trypophobia) โรคกลัวการไว้ใจผู้อื่น (Pistanthrophobia) โรค
กลัวการตกหลุมรัก (Philophobia) เป็นต้น จากการศึกษา Phobia เบื้องต้นทาให้รู้ว่าเป็นโรคที่ผู้ป่วยจะเกิดความกลัว
- 3. 3
กับสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล จึงทาให้คณะผู้จัดทาสนใจและคิดที่จะศึกษาอาการต่างๆของ Phobia ดังนั้นคณะผู้จัดทาจึง
คิดที่จะศึกษาในเรื่องของ โรคกลัวที่แคบ (Claustrophobia) เพื่อศึกษาสาเหตุ อาการ และการรักษาต่างๆ
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1.เพื่อศึกษาและทาความเข้าใจเกี่ยวกับโรคกลัวที่แคบ
2.เพื่อศึกษาสาเหตุ ลักษณะอาการ และที่มาของโรคกลัวที่แคบ
3.เพื่อให้ทราบถึงสัญญาณบอกโรคและวิธีการรักษา
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
ขอบเขตด้านเนื้อหา
เว็บไซต์เกี่ยวกับลักษณะอาการและ Phobia ชนิดต่างๆ
https://www.pobpad.com/phobia
https://health.kapook.com/view208259.html
เว็บไซต์เกี่ยวกับ โรคกลัวที่แคบ (Claustrophobia)
https://health.kapook.com/view136488.html
http://www.flagfrog.com/stuck-in-tight-place/
ขอบเขตด้านระยะเวลา
ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
ขอบเขตด้านสถานที่
สถานที่ที่ใช้ในการดาเนินการ ได้แก่ ห้องสมุดโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
หลักการและทฤษฎี(ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
โรคกลัวที่แคบคือกลุ่มอาการวิตกกังวลผิดปกติจนอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่รู้สึกว่าหนี
ไม่ได้ ถูกกักล้อมในที่แคบ ๆ หรือต้องอยู่คนเดียวในช่องเล็กๆ ทุกอย่างดูประชิดตัวเช่น เมื่อต้องอยู่ภายในลิฟต์
โดยสารที่มีคนหนาแน่น ต้องอยู่ในห้องขนาดเล็กที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่าง หรือตกอยู่ในที่นั่งด้านในสุดของ
เครื่องบิน โดยมีผู้โดยสารคนอื่น ๆ ล้อมรอบตัวอยู่ หรือผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการกลัวเกิดขึ้นได้เมื่อต้องสวมชุดที่
รัดแน่นจนเกินไป เป็นต้น
โดยจากสถิติผู้ป่วยโรคกลัวที่แคบของ NYULangone MedicalCenter บันทึกให้เห็นว่าโรคกลัวที่แคบอาจ
ไม่ใช่โรคที่เป็นมาตั้งแต่กาเนิด แต่อาจเริ่มเป็นในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่นเสียส่วนใหญ่
โดยปกติแล้วโรคกลัวที่แคบมักจะมีสาเหตุจากประสบการณ์เลวร้ายอันเกี่ยวกับที่แคบที่เกิดขึ้นตอนยังเป็น
เด็ก ซึ่งฝังใจผู้ป่วยให้รู้สึกกลัวคิดว่าที่แคบนั้นมีอันตรายนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จนกระทั่งกลัวฝังใจมาจนถึงตอนโต
- 4. 4
เช่นเคยเกือบจมน้าในสระว่ายน้า พลัดหลงจากผู้ปกครองในสถานที่ที่มีคนแออัด หรือเล่นซนในท่อ หรือหลุมอะไร
สักอย่าง แล้วติดอยู่ในนั้นเป็นเวลาหนึ่ง เป็นต้น
ทั้งนี้ยังมีการศึกษาทางการแพทย์ที่ถูกตีพิมพ์ใน Psychiatry and Clinical Neurosciences พบว่า อาการโฟเบีย
หรืออาการกลัวต่าง ๆ อ่านมีเบื้องหลังอยู่ที่ความผิดปกติของสมอง อันได้แก่
- อมิกดาลามีขนาดเล็กเกินไป
Fumi Hayano และทีมนักวิจัยพบว่า ภายในสมองของผู้ป่วยโรคกลัวที่แคบและโรคกลัวประเภทอื่น ๆ มักจะ
มีขนาดอมิกดาลาหรือต่อมเล็กๆ ใต้สมองที่มีไว้ควบคุมเหตุผลและอารมณ์รวมถึงการแสดงออกของร่างกายกับ
ความรู้สึกแบบต่าง ๆ ที่เล็กกว่าปกติ ซึ่งปัจจัยนี้อาจทาให้ร่างกายจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกกลัวได้ไม่เต็ม
ประสิทธิภาพมากนัก จนเกิดเป็นโรคโฟเบียต่าง ๆ ได้
- ยีนความพร้อมที่จะกลัว
การศึกษาพบว่าในบางรายมีอาการกลัวอันฝังรากลึกมาจากยีนในร่างกาย โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่ต้องอยู่ใน
สภาพแวดล้อมที่ต้องเอาตัวรอดให้ได้ ถูกฝึกให้มีความระแวดระวังตลอดเวลา หรือเรียกง่าย ๆ ว่ามีสัญชาติญาณใน
การเอาชีวิตรอดค่อนข้างสูง ซึ่งความกลัวของคนเหล่านี้จะเกิดขึ้นเป็นช่วงเวลาหนึ่ง และอาจหายเป็นปกติได้เองเมื่อ
เวลาผ่านไป
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
ศึกษาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
คอมพิวเตอร์
อินเทอร์เน็ต
งบประมาณ
_
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน ✔ ศศิดารัตน์
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล ✔✔ ศศิดารัตน์
3 จัดทาโครงร่างงาน ✔✔ ศศิดารัตน์
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน ✔✔✔ ศศิดารัตน์
- 5. 5
5 ปรับปรุงทดสอบ ✔✔ ศศิดารัตน์
6 การทาเอกสารรายงาน ✔✔ ✔ ศศิดารัตน์
7 ประเมินผลงาน ✔✔ ศศิดารัตน์
8 นาเสนอโครงงาน ✔✔ศศิดารัตน์
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
ผู้คนรู้สาเหตุ อาการ การรักษาโรคกลัวที่แคบ และเข้าใจเกี่ยวกับ Phobia มากขึ้น
สถานที่ดาเนินการ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
1.กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา)
2.กลุ่มสาระสุขศึกษา
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
https://www.pobpad.com/phobia
https://health.kapook.com/view208259.html
https://health.kapook.com/view136488.html
http://www.flagfrog.com/stuck-in-tight-place/