More Related Content
Similar to บทที่ 1 เทคโนโลยีสมัยใหม่เอาลงบล๊อก
Similar to บทที่ 1 เทคโนโลยีสมัยใหม่เอาลงบล๊อก (20)
More from รัสนา สิงหปรีชา
More from รัสนา สิงหปรีชา (20)
บทที่ 1 เทคโนโลยีสมัยใหม่เอาลงบล๊อก
- 3. 1. ระบบบอกตาแหน่ง
จีพีเอส (Global Positioning System : GPS) เป็นอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่งที่ใช้บอกตาแหน่งบนพื้นโลกได้ ซึ่งจะทางาน
ร่วมกับดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบโลก ในระดับความสูงประมาณ 20,200
กิโลเมตร ทาให้สามารถบอกตาแหน่งได้ทุกแห่งบนโลก โดยความ
แม่นยาขึ้นอยู่กับจานวนดาวเทียมที่จีพีเอสทางานร่วมและสภาพอากาศ ใน
ปัจจุบันได้นาระบบนี้มาใช้งานด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น การหา
ตาแหน่งบนพื้นโลก การนามาสร้างเป็นระบบนาทาง (navigator
system) การใช้ติดตามบุคคลหรือติดตามยานพาหนะ นอกจากนี้ยัง
สามารถนามาใช้อ้างอิงเพื่อปรับตั้งเวลาให้ถูกต้อง โดยใช้เวลาจาก
ดาวเทียมทุกดวงซึ่งมีเวลาที่ตรงกัน
- 6. 2. อาร์เอฟไอดี
อาร์เอฟไอดี (Radio Frequency Identification : RFID)
เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุในการอ่านข้อมูล อาร์เอฟไอดีถูก
นาไปใช้ในงานต่าง ๆ เช่น ระบบป้องกันการขโมยสินค้าในร้าน
ระบบอ่านบัตรประจาตัวพนักงาน ระบบเก็บค่าผ่านทางต่าง ๆ
โครงสร้างของระบบประกอบด้วยส่วนย่อย 2 ส่วน คือ
- ทรานสปอนเดอร์ (transponder)
- เครื่องอ่าน (reader)
- 9. ถ้าแบ่งทรานสปอนเดอร์ตามแหล่งจ่ายพลังงานจะแบ่งได้เป็น
2 กลุ่ม คือ แบบที่มีแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าภายใน และแบบที่
ไม่มีแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าแต่จะรับคลื่นวิทยุจากเครื่องอ่าน แล้ว
เหนี่ยวนาให้เกิดพลังงานไฟฟ้าขึ้นมาใช้งานเอง
ในปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้อาร์เอฟไอดีในหลายด้าน มีการ
ออกแบบทรานสปอนเดอร์ลักษณะต่าง ๆ ให้เหมาะกับการใช้งาน
- 12. 3. เทคโนโลยีบรอดแบนด์ไร้สาย
ระบบสื่อสารมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องปัจจุบันมีเทคโนโลยีแบบไร้
สายที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้ระบบจีเอสเอ็ม
(Global System for Mobile Communication : GSM ) การพัฒนา
โทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นพัฒนามาหลายรุ่น เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีตั้งแต่
ยุคที่2 (2G) จนถึงยุคที่3 (3G) โดยโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุค 2G เริ่มมีการ
บีบอัดสัญญาณเสียงในรูปแบบดิจิทัล แต่การรับส่งข้อมูลนั้นยังไม่มี
ประสิทธิภาพมากนัก ต่อมาผู้ให้บริการมีการตอบสนองความต้องการด้านการ
รับส่งข้อมูลให้กับลูกค้า โดยพัฒนามาเป็นยุคของ2.5G มีการนาระบบจีพีอาร์
เอส (General Packet Radio service: GPRS) มาใช้ร่วมกับระบบจีเอส
เอ็ม ทาให้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้ในระบบนี้สามารถรับส่งข้อมูลและเชื่อมต่อ
อินเทอร์เน็ตได้
- 14. เทคโนโลยี 3G
แม้ว่ามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 2.5G หรือ 2.75G จะ
สามารถตอบสนองการใช้งานมากกว่าการสื่อสารด้วยเสียงเพียงอย่าง
เดียว แต่มีข้อจากัดหลายประการเนื่องจากเป็นการนาเทคโนโลยีเก่ามา
ต่อยอดการทางานในระบบเดิม ทาให้ไม่มีผู้ให้บริการรายใดสามารถ
ให้บริการจีพีอาร์เอสที่อัตราเร็ว 171.2 กิโลบิตต่อวินาที หรือเอจที่
อัตราเร็ว 384 กิโลบิตต่อวินาที ต่อมาได้มีการพัฒนามาถึงยุคที่3 ซึ่ง
เป็นเทคโนโลยีที่ทาให้โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถสื่อสารข้อมูลมัลติมีเดีย
ด้วยความเร็วสูง
- 15. สาหรับในระบบ 3G จะทางานในระบบ ซีดีเอ็มเอ (Code
Division Multiple Access: CDMA) อัตราเร็วในการรับส่งข้อมูล
(transmission rate) ไม่ต่ากว่า 2 เมกะบิตต่อวินาที ผู้ใช้สามารถใช้
งานมัลติมีเดียความเร็วสูงได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การรับชมวิดิทัศน์จาก
อินเทอร์เน็ต การสนทนาแบบเห็นภาพคู่สนทนา
เมื่อเทคโนโลยี 3G ทาให้การสื่อสารทางโทรศัพท์เคลื่อนที่เร็ว
ขึ้นจึงมีการพัฒนาบริการต่าง ๆ ขึ้นอีกมากมาย เช่น มีการให้บริการ
แบบมัลติมีเดียที่สามารถรับส่งข้อมูลขนาดใหญ่ มีการประชุมทางไกล
ผ่านหน้าจอของโทรศัพท์เคลื่อนที่
- 16. เทคโนโลยี 4G
ในอนาคตเทคโนโลยี 3G อาจมีความเร็วและคุณภาพของการ
ส่งข้อมูลไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของโปรแกรมประยุกต์ที่
ต้องทางานด้วยความเร็วสูง จึงมีการพัฒนาระบบ 4G ที่ทาให้ส่งข้อมูล
ผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วที่สูงกว่า 3G มีการให้บริการที่มี
ประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยกาหนดอัตราในการส่ง
ข้อมูลไม่ต่ากว่า 100 เมกะบิตต่อวินาที
- 17. คอมพิวเตอร์สามารถทางานเกี่ยวข้องกับภาพ (image)
หรือรูปภาพ (picture) ได้หลากหลายลักษณะ คอมพิวเตอร์
กราฟิกเป็นการสั่งให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลข้อมูลแล้วสร้างเป็น
ภาพขึ้นมา ส่วนการประมวลผลภาพ (image processing)
เป็นการนาภาพมาเปลี่ยนเป็นข้อมูลดิจิทัล แล้วใช้กรรมวิธีใด ๆ
มากระทากับข้อมูลภาพเพื่อให้ได้ภาพที่มีคุณสมบัติตามต้องการ
4. การประมวลผลภาพ
- 22. 5 การแสดงภาพ 3 มิติ
ภาพ 3 มิติ เป็นวิธีแสดงภาพให้ผู้ชมมองเห็นภาพมีมิติในแนว
กว้าง แนวยาว และแนวลึก ปัจจุบันมีการนาเอาเทคนิคการแสดง
ภาพ 3 มิติไปใช้ในการผลิตภาพยนตร์ต่าง ๆ เพื่อให้มีมิติมากขึ้น จะ
เห็นตัวอย่างภาพยนตร์ที่ฉายในโรงภาพยนตร์หรืออยู่ในรูปแบบวีซีดี
เทคนิคการแสดงภาพ 3 มิติ เป็นการนาภาพ 2 มิติ มา
แสดงผล โดยมีเทคนิคการแสดงภาพที่ทาให้ตาข้างซ้ายและข้างขวา
มองเห็นภาพของวัตถุเดียวกันในมุมมองที่แตกต่างกันส่งผลให้สมอง
ตีความเป็นภาพที่มีความลึก
- 24. 1. การแสดงภาพแบบแอนากลิฟ
การแสดงภาพแอนากลิฟ (anaglyph) เป็นการฉายภาพ
สาหรับตาซ้ายและตาขวาที่มีโทนสีแตกต่างกันลงบนฉากรับ
ภาพเดียวกัน โทนสีที่ใช้มักจะใช้เป็นสีแดงและน้าเงิน การ
มองด้วยตาเปล่าจะทาให้เห็นเป็นภาพซ้อนและเหลื่อมกันเล็กน้อย การมองภาพ
ให้เป็นภาพ3มิติ จึงต้องใช้แว่นที่มีแผ่นกรองแสงด้านหน้ามีข้างหนึ่งเป็นสีแดง
และอีกข้างหนึ่งเป็นสีน้าเงิน แว่นนี้ทาหน้าที่ตัดสีที่ตรงกับสีของแว่นออกไป
โดยที่แว่นตาข้างที่มีสีแดงจะตัดภาพสีแดงออกไป ทาให้เห็นแต่ภาพที่มีแต่สีน้า
เงินส่วนแว่นตาข้างที่เป็นสีน้าเงินจะตัดภาพส่วนที่เป็นสีน้าเงินออกไปทาให้เห็น
แต่ภาพที่เป็นสีแดงซึ่งจะทาให้ตาทั้งสองข้างมองเห็นภาพในมุมมองที่แตกต่างกัน
ออกไป และสมองจะตีความให้เสมือนว่ามองเห็นภาพเห็นภาพเป็น 3 มิติ
- 26. 2. การแสดงภาพแบบโพลาไรซ์ 3 มิติ
การแสดงภาพแบบโพลาไรซ์ 3 มิติ (polarized 3-D) มี
การทางานที่คล้ายกับแอนากลิฟ โดยการฉายภาพลงที่ฉากรับภาพ
เดียวกัน และมีมุมมองของภาพที่แตกต่างกัน แต่เปลี่ยนจากการใช้
สีเป็นตัวตัดภาพไปใช้วิธีการวางตัวของช่องมองภาพแต่ละภาพที่ฉาย
ซ้อนกันแทน เช่น แว่นตาข้างซ้ายจะมองเห็นภาพผ่านช่องใน
แนวตั้ง ส่วนแว่นข้างขวาจะมองเห็นภาพผ่านช่องในแนวนอน ทาให้
ตาแต่ละข้างมองเห็นภาพไม่เหมือนกัน เมื่อสมองรวมภาพจากตาซ้าย
และตาขวาจะมองเห็นภาพเป็น 3 มิติ แว่นตาที่ใช้เป็นแว่นตา
โพลาไรซ์สาหรับมองภาพโพลาไรซ์โดยเฉพาะ ซึ่งจะทาให้ภาพมี
สีสันสมจริงมากกว่าแบบแอนะกลิฟเทคนิคนี้นิยมใช้ในภาพยนตร์
3 มิติ
- 28. 3. การแสดงภาพแบบแอ็กทิฟชัตเตอร์
การแสดงภาพแบบแอ็กทิฟชัตเตอร์ (active shutter) จะต้องอาศัย
การฉายภาพที่มีความถี่ในการแสดงภาพอย่างน้อย 120 เฮิรตซ์ เนื่องจาก
จะต้องแสดงภาพสาหรับตาซ้ายและตาขวาสลับกัน ดังนั้นการแสดงภาพจะเป็น
ลาดับซ้าย-ขวา สลับไปจนครบ 120 ภาพ ใน 1 วินาที ตาข้างซ้ายและข้าง
ขวาจึงเห็นข้างละ 60 ภาพ ใน 1 วินาทีซึ่งเป็นความถี่ขั้นต่าที่ทาให้ไม่รู้สึกว่า
ภาพสั่น
การฉายภาพลักษณะนี้จะต้องใช้แว่นตาแอ็กทิฟชัตเตอร์ มาช่วยในการ
มองภาพโดยแว่นตาจะสื่อสารกับเครื่องฉายว่าจะบังตาข้างไหนในขณะฉายภาพ
เช่น ภาพสาหรับตาซ้าย เครื่องฉายจะส่งสัญญาณให้แว่นบังตาข้างขวา หรือ
ถ้าเครื่องฉายแสดงภาพที่ต้องใช้ตาขวาดู เครื่องฉายก็จะส่งสัญญาณให้แว่น
บังตาข้างซ้าย
- 30. 4. การแสดงภาพแบบพาราแลกซ์บาร์เรีย
การแสดงภาพ 3 มิติก่อนหน้านี้จาเป็นจะต้องใช้แว่นตาใน
การมองเห็นเป็นภาพ 3 มิติ แต่การแสดงภาพแบบพาราแลกซ์บาร์
เรีย (parallax barrier) จะไม่ใช้แว่นตา ซึ่งโดยวิธีนี้จะแบ่งภาพที่มี
มุมกล้องต่างกัน ออกเป็นแท่งแล้วนาไปวางสลับกันโดยมีชั้นกรอง
พิเศษที่เรียกว่า พาราแลกซ์บาร์เรีย ในการแบ่งภาพให้ตาแต่ละข้าง
ที่มองผ่านชั้นกรองนี้เห็นภาพที่แตกต่างกัน แล้วสมองจะรวมภาพ
จากตาซ้ายและตาขวาที่มีมุมมองต่างกันนี้ให้เป็นภาพเดียว ทาให้เรา
มองเห็นเป็นภาพ 3 มิติ ได้ด้วยตาเปล่า
- 32. 6. มัลติทัช
ในการติดต่อสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปจะใช้คีย์บอร์ด
เมาส์ และแป้นสัมผัสเป็นอุปกรณ์รับข้อมูล นอกจากนั้นยังมีอุปกรณ์ที่
ออกแบบพิเศษที่ติดเข้ากับจอภาพหรือจอภาพชนิดพิเศษที่สามารถรับ
ข้อมูลโดยใช้นิ้วสัมผัสที่จอภาพโดยตรงเรียกว่า จอสัมผัส (touch
screen) ทาให้การใช้งานมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้โดยตรง ตัวอย่างเช่น จอ
สัมผัสตู้เอทีเอ็ม จอสัมผัสแสดงข้อมูลร้านค้าในห้างสรรพสินค้า จอ
สัมผัสเครื่องจีพีเอส จอสัมผัสเครื่องพีดีเอ จอสัมผัสสมาร์ทโฟน จอ
สัมผัสเหล่านี้สั่งการโดยใช้สไตลัส (stylus) หรือ นิ้วสัมผัสบนจอ การ
สั่งการที่สัมผัสจอภาพทีละจุด เรียกว่า ซิงเกิลทัช (single tonch)
- 33. ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่สามารถรองรับคาสั่งผ่าน
หน้าจอสัมผัสได้หลายจุดพร้อมกัน เรียกว่า มัลติทัช (multi
touch)เทคโนโลยีนี้ทาให้การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้กับเครื่อง
คอมพิวเตอร์ พีดีเอ และสมาร์ทโฟนแตกต่างกันออกไปแทนที่
จะให้อุปกรณ์นั้นรับรู้การเลือกเพียงจุดเดียวในเวลาหนึ่ง ก็ทา
ให้อุปกรณ์รับรู้สิ่งที่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการเลือกหลายจุดพร้อมกัน
ในเวลาเดียวกัน การรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจาก
รูปแบบการเคลื่อนไหวของนิ้วมือลายนิ้วของผู้ใช้สัมผัสไปที่
จอภาพโดยตรงหรือในเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ผู้ใช้สามารถ
สัมผัสที่แผงแป้นสัมผัสหรือที่เรียกว่าทัชแพด (touchpad) เพื่อ
เลือกเลื่อนหรือขยายวัตที่แสดงผลอยู่
- 35. ตัวอย่างอุปกรณ์ที่มีการนาเทคโนโลยีมัลติทัชมาใช้ เช่น
โทรศัพท์เคลื่อนที่ อุปกรณ์แสดงภาพกล้องดิจิทัล แท็บเล็ต จอภาพ
คอมพิวเตอร์ การใช้งานเทคโนโลยีมัลติทัชจาเป็นต้องอาศัยการออกแบบ
โปรแกรมให้เหมาะสมกับรูปแบบของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย อาจแยกได้
เป็นสองลักษณะ คือ จุดที่เกิดเหตุการณ์และทิศทางการเคลื่อนไหวของ
จุดที่เกิดเหตุการณ์ เช่น จุดที่วางนิ้ว การเลื่อนนิ้วไปทางทิศเดียวกัน
จากซ้ายไปขวาการเลื่อนนิ้วไปคนละทิศห่างออกจากกันหรือเข้าหากัน
รูปแบบเหตุการณ์อาจจะมีตั้งแต่1จุด ที่ใช้นิ้วเดียวในการทางานจนกระทั่ง
หลายจุดที่ใช้หลายนิ้วในการทางาน