SlideShare a Scribd company logo
1 of 22
Download to read offline
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
2.1 ความหมายและแนวคิดของระบบการศึกษา
ระบบการศึกษาหมายถึง การกาหนดหลักสูตร จุดมุ่งหมาย แนวนโยบาย ระบบการจัด และแนวทาง
ในการจัดการศึกษา เพื่อให้การศึกษาช่วยพัฒนาชีวิตของคนไปในแนวทางที่พึงประสงค์
การศึกษาเป็นกระบวนการสร้างและพัฒนาประชากรของประเทศให้มีพลัง มีความสามารถที่จะ
พัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอย่างมีสันติสุข การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือพัฒนาพัฒนาประชากรและ
ประเทศชาติ และการที่จะดาเนินไปได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพจะต้องอาศัยกระบวนการศึกษาที่
ได้รับการพัฒนามีดีแล้ว
การศึกษามีส่วนสาคัญและจาเป็นในการพัฒนาประเทศให้รุ่งเรืองทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม
การเมือง การปกครอง และวัฒนธรรม เพราะการศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นการ
ถ่ายทอดวัฒนธรรม และสร้างภูมิปัญญาให้แก่สังคม
ระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพต้องมีเนื้อหาสาระ และกระบวนการเรียนการสอนที่สอดคล้อง
กับวัตถุประสงค์ มีหลักการที่ดี และจาเป็นต้องอาศัยการบริหารที่กระจายอานาจให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและ
ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด
ระบบการศึกษาได้รับการพัฒนามาตลอด แต่ยังไม่สามารถบรรลุผลตามที่กาหนดไว้เท่าใดนัก
เพราะยังมีปัญหาด้านคุณภาพของผลผลิต ด้านการกระจายโอกาสทางการศึกษา ด้านการบริหารการศึกษา
และด้านการระดมสรรพกาลังเพื่อจัดการศึกษา
ความจาเป็นในการปรับปรุงระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับเงื่อนไข และการเปลี่ยนแปลงด้าน
เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างเป็นระยะๆ เป็นสิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องตระหนัก ทั้งนี้เพื่อให้สามารถ
พัฒนาประเทศได้อย่างเหมาะสมกับสภาพ และความต้องการของประเทศในอนาคต
ดังนั้น การพัฒนาพลเมืองของประเทศให้เป็นผู้มีปัญญา มีคุณธรรม มีความสามารถพื้นฐานหรือ
ศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองและสังคมต่อไป กอปรทั้งให้ความสามารถประกอบอาชีพหรือเป็นแรงงาน
สาหรับพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจาเป็นต้องอาศัยกระบวนการศึกษาที่ดี
ระบบการศึกษาที่ดีจะต้องมีความยืดหยุ่น ให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสนใจ ความพร้อม ได้อย่าง
ต่อเนื่องตลอดเวลาและตลอดชีวิต มีเครือข่ายการเรียนรู้ที่สามารถถ่ายทอดความรู้ประเภทต่างๆ จากแหล่ง
ต่างๆ ไปยังผู้เรียนได้อย่างต่อเนื่องโดยอาศัยทั้งระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน และถึงระบบโรงเรียน
2.2 การสอบ PISA (Programme for International Student Assessment)
PISA (Programme for International Student Assessment) เป็นโครงการประเมินผลผู้เรียน
นานาชาติ ริเริ่มโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD (Organisation for
Economic Co-operation and Development) ซึ่งมีการดาเนินการมาจั้งแต่ปี 1999 หรือ พ.ศ.2541 โดยมี
ประเทศสมาชิกเข้าร่วมจากทั่วโลก 65 ประเทศ โดยมีประเทศเขตเศรษฐกิจเอเชียที่เข้าร่วมอันได้แก่ ฮ่องกง
ไทเป เซี่ยงไฮ้ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ไทย และในปี 2012 ได้มีการเพิ่มประเทศมาเลเซีย และเวียดนาม
มาเป็นประเทศสมาชิก OECD PISA ประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อเปรียบเทียบศักยภาพในการแข่งขันของ
ผู้เรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สาหรับระดับนานาชาติ ดาเนินการโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและ
พัฒนาทางเศรษฐกิจและมีหน่วยงานต่างๆร่วมดาเนินการ ในประเทศไทยมีสถาบันส่งเสริมการสอน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เป็นผู้ดาเนินงานวิจัยและเป็นศูนย์ประสานงานระดับชาติ PISA จะ
ประเมินให้กับประเทศสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ รวมทั้งประเทศอื่นๆที่
ต้องการเข้าร่วมการประเมิน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ.2543) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ PISA เริ่มการประเมิน
PISA ประเมินคุณภาพการศึกษาของประเทศสมาชิกและประเทศที่เข้าร่วมโครงการ โดยการศึกษา
ว่าระบบการศึกษาของแต่ละประเทศได้เตรียมความพร้อมให้กับประชาชนสาหรับการใช้ชีวิต และการมี
ส่วนร่วมในสังคมในอนาคตเพียงพอหรือไม่ PISA ไม่เน้นการประเมินความรู้ของผู้เรียนที่กาลังเรียนอยู่ใน
ห้องเรียนโดยตรง แต่เน้นการประเมินสมรรถนะของผู้เรียนในการใช้ความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องกับชีวิต
จริงสาหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการใช้ชีวิตในสังคมยุคใหม่ เพื่อการศึกษาต่อในระดับสูง การงาน
อาชีพ และการดาเนินชีวิต ซึ่ง PISA เรียกว่า การรู้เรื่อง (Literacy) โดยมีการประเมินการรู้เรื่องใน 3 ด้าน คือ
1. การรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy)
2. การรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (Mathematics Literacy)
3. การรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy)
PISA จะประเมินผู้เรียนทุกๆ 3 ปี โดยหนึ่งรอบของการประเมินจะใช้เวลารวม 9 ปี การประเมินแต่
ละครั้งจะครอบคลุมการเรียนรู้ใน 3 ด้านข้างต้น ซึ่งเน้นการให้น้าหนักการประเมินแต่ละด้านแตกต่างกัน
การประเมินของ PISA ปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) และปี ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) เน้นการรู้เรื่องการอ่าน
ปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) และปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) เน้นการรู้เรื่องคณิตศาสตร์ ส่วนปี ค.ศ. 2006
(พ.ศ. 2549) และ ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) เน้นการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ในด้านที่เน้นจะมีน้าหนักการ
ประเมินร้อยละ 60 และส่วนที่เหลือจะมีน้าหนักการประเมินแต่ละด้านประมาณร้อยละ 20
2.3 การศึกษาของประเทศไทย
ระบบการศึกษาไทย ปัจจุบันตามที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไข
เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) 2545 มีการจัดระบบการศึกษาขั้นประถมศึกษา 6 ปี (6 ระดับชั้น) การศึกษาขั้น
มัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี (3 ระดับชั้น) และการศึกษาขั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี (3 ระดับชั้น)
หรือระบบ 6-3-3
นอกจากนั้นระบบการศึกษาไทยยังจัดเป็นระบบการศึกษาในระบบโรงเรียน การศึกษานอกระบบ
โรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย ในการจัดระบบการศึกษาตามแนวพระราชบัญญัติฉบับนี้ จะไม่
พิจารณาแบ่งแยกการศึกษาในระบบโรงเรียนออกจากการศึกษานอกระบบโรงเรียน แต่จะถือว่าการศึกษาใน
ระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยเป็นเพียงวิธีการเรียนการสอน หรือรูปแบบของการ
เรียนการสอนที่ภาษาอังกฤษใช้คาว่า "Modes of learning" ฉะนั้น แนวทางใหม่คือสถานศึกษาสามารถจัดได้
ทั้ง 3 รูปแบบ และให้มีระบบเทียบโอนการเรียนรู้ทั้ง 3 รูปแบบ โดยพระราชบัญญัติการศึกษาฯ มาตรา 15
กล่าวว่าการจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตาม
อัธยาศัย คือ
(1) การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาที่กาหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของ
การศึกษา การวัดและการประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสาเร็จการศึกษาที่แน่นอน
(2) การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกาหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบวิธีการ
จัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขสาคัญของการสาเร็จ
การศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการ
ของบุคคล แต่ละกลุ่ม
(3) การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจศักยภาพ
ความพร้อมและโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม หรือแหล่งความรู้อื่นๆ
สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาในรูปใดรูปแบบหนึ่งหรือทั้งสามรูปแบบก็ได้ให้มีการเทียบโอนผลการเรียนที่
ผู้เรียนสะสมไว้ในระหว่างรูปแบบเดียวกันหรือต่างรูปแบบได้ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษา
เดียวกันหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งจากการเรียนรู้นอกระบบตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพ หรือจากประสบการณ์การ
ทางานการสอน และจะส่งเสริมให้สถานศึกษาจัดได้ทั้ง 3 รูปแบบ
การศึกษาในระบบมีสองระดับคือ การศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาระดับอุดมศึกษา
1. การศึกษาขั้นพื้นฐานประกอบด้วย การศึกษาซึ่งจัดไม่น้อยกว่าสิบสองปีก่อนระดับอุดมศึกษา การ
แบ่งระดับและประเภทของการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎกระทรวง การแบ่งระดับหรือ
การเทียบระดับการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัยให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎกระทรวง
การศึกษาในระบบที่เป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานแบ่งเป็นสามระดับ
1.1 การศึกษาก่อนระดับประถมศึกษา เป็นการจัดการศึกษาให้แก่เด็กที่มีอายุ 3 – 6 ปี
1.2 การศึกษาระดับประถมศึกษา โดยปกติใช้เวลาเรียน 6 ปี
1.3 การศึกษาระดับมัธยมศึกษา แบ่งเป็นสองระดับ ดังนี้
- การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยปกติใช้เวลาเรียน 3 ปี
- การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยปกติใช้เวลาเรียน 3 ปี แบ่งเป็นสองประเภท ดังนี้
1) ประเภทสามัญศึกษา เป็นการจัดการศึกษาเพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
2) ประเภทอาชีวศึกษา เป็นการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ หรือ
ศึกษาต่อในระดับอาชีพชั้นสูงต่อไป
2. การศึกษาระดับอุดมศึกษาแบ่งเป็นสองระดับ คือ ระดับต่ากว่าปริญญาและระดับปริญญา การใช้คา
ว่า "อุดมศึกษา" แทนคาว่า "การศึกษาระดับมหาวิทยาลัย" ก็เพื่อจะให้ครอบคลุมการศึกษาในระดับ
ประกาศนียบัตรหรืออนุปริญญา ที่เรียนภายหลังที่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว
ทั้งนี้การศึกษาภาคบังคับจานวนเก้าปีโดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดเข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจน
อายุย่างเข้าปีที่สิบหก เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับหลักเกณฑ์และวิธีการนับอายุให้
เป็นไปตามที่กาหนดในกฎกระทรวง
การศึกษาภาคบังคับนั้นต่างจากการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่บังคับให้ประชาชนต้องเข้า
เรียนแต่เป็นสิทธิ์ของคนไทย ส่วนการศึกษาภาคบังคับเป็นการบังคับให้เข้าเรียนถือเป็นหน้าที่ของพลเมือง
ตามมาตรา 69 ของรัฐธรรมนูญ
วิธีการศึกษาของเด็กไทย
เรียนตั้งแต่ 8 โมงครึ่ง ถึง 4 โมงเย็น ไหนจะมีกิจกรรม และเรียนพิเศษ กว่าจะกลับบ้านก็ทุ่มสองทุ่ม
พ่อแม่ไม่ทันได้เห็นหน้าลูก ก็ต้องเข้าห้องไปนอนแล้ว...ว่ากันว่า เรียนหนักที่สุด ก็คือ อายุ 11 ปี หรือ
ประมาณ ป.5 นั่นเอง โดยมีชั่วโมงเรียนถึง 1,200 ชั่วโมงต่อปี ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เรียนกันประมาณ
1,000 ชั่วโมง และในบางประเทศก็ไม่ถึง 1,000 ชั่วโมงด้วยซ้า ลองไปดูกราฟข้อมูลนี้กันค่ะ
ผลของการเรียนหนัก ในแง่หนึ่งมันก็มีข้อดี ที่ช่วยเคี่ยวเข็ญให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้แต่ลึกๆ
แล้วคงเครียดกันน่าดู เรียนอาทิตย์ละ 5 วัน วันละ 8 ชั่วโมง กลับไปยังเจอการบ้าน และสอบกันรายเดือน
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่มีคุณหมอสาขากุมารแพทย์ได้ให้ความเห็นว่าควรปรับลด เวลาเรียนของเด็กไทยลง
เพราะการสอนที่อัดแน่นเกินไปจะปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์
ดร.ปรีชา เมธาวัสรภาคย์ผอ.สานักวิจัยเอแบคโพล สถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยว่า
เอแบคโพล ร่วมกับ สานักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ทาการสารวจเรื่อง
เด็กและเยาวชนไทยอยากเห็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงจากการศึกษาไทย โดยสารวจเด็กและเยาวชนอายุ 14-18 ปี
ใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ จานวน 4,255 คน ระหว่างวันที่ 1-15เม.ย.2557 ผลปรากฏว่า ร้อยละ 58.9 เห็นว่า
โอกาสและมาตรฐานทางการศึกษาของไทยไม่เท่าเทียมกัน ร้อยละ 58.7 เห็นว่าเด็กไทยเรียนหนักมากที่สุด
ในโลก แต่ไม่สามารถนาความรู้ในห้องเรียนไปประยุกต์ใช้ได้ร้อยละ 54.8 เด็กไทยไม่ได้เรียนในสิ่งที่อยาก
เรียน ร้อยละ 53.1 เห็นว่าการเรียนการสอนเริ่มต้นจากความรู้ในหนังสือและจบลงที่ข้อสอบ ร้อยละ 30.7
ระบุว่าความรู้ที่ใช้สอบได้จากการเรียนกวดวิชา ร้อยละ 25.0 อยากถามครูเกี่ยวกับวิธีการสอนของครู เช่น
ทาไมครูไม่หาวิธีการสอนที่สนุก และไม่น่าเบื่อ, ทาไมสอนต้องอ่านตามหนังสือ ทาไมสอนในห้องเรียนไม่
รู้เรื่อง แต่สอนพิเศษรู้เรื่อง เป็นต้น
2.4 การศึกษาของประเทศญี่ปุ่ น
ระบบศึกษาของญี่ปุ่ น สังคมญี่ปุ่นให้ความสาคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก เด็กๆจะได้รับ
การศึกษาใน 3 ทาง ได้แก่ เรียนโรงเรียนรัฐบาลสาหรับการศึกษาภาคบังคับ เรียนโรงเรียนเอกชนสาหรับ
การศึกษาภาคบังคับ หรือ เรียนโรงเรียนเอกชนที่ไม่ได้ยึดมาตรฐานของกระทรวงการศึกษา วัฒนธรรม กีฬา
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (MEXT) แม้ว่าการเรียนในชั้นมัธยมปลาย จะไม่เป็นการศึกษาภาคบังคับ
ประชาชนมากกว่า 90% ก็เข้าเรียนในชั้นมัธยมปลาย นักเรียนมากกว่า 2.5 ล้านคนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
และวิทยาลัย ในอดีต กระบวนการคัดเลือกเพื่อเรียนในชั้นสูงขึ้น ถูกมองว่า "โหด" หรือ "ราวกับสงคราม"
แต่ด้วยจานวนของเด็กญี่ปุ่นที่มีอัตราการเกิดน้อยลง กระแสนี้ก็เปลี่ยนไปในทางอื่น ปัจจุบันโรงเรียนต่าง
แข่งขันกันเองเพื่อรับนักเรียน เด็กๆจานวนมากถูกส่งไปยัง จุกุ (โรงเรียนกวดวิชา) นอกเหนือจากการเรียน
ในโรงเรียน
การศึกษาในสังคมญี่ปุ่ น วัฒนธรรมญี่ปุ่นสอนให้เคารพต่อสังคมและมีการสร้างแรงจูงใจให้อยู่
รวมเป็นกลุ่มโดยให้รางวัลเป็นกลุ่มมากกว่าจะให้รางวัลเป็นบุคคล การศึกษาของญี่ปุ่นเน้นหนักในเรื่อง
ความขยัน การตาหนิตนเอง และอุปนิสัยการเรียนรู้ที่ดี ชาวญี่ปุ่นถูกปลูกฝังว่าการทางานหนักและความ
ขยันหมั่นเพียรจะทาให้ประสบความสาเร็จในชีวิต โรงเรียนจึงอุทิศให้กับการสอนทัศนคติ คุณธรรม
จริยธรรมให้กับนักเรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อที่จะพัฒนาอุปนิสัยและมีเป้ าหมายในการสร้าง
ประชากรที่สามารถอ่านออกเขียนได้และปรับตัวให้เข้ากับค่านิยมและวัฒนธรรมของสังคมได้
ความสาเร็จทางการศึกษาของญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล ในการสอบวัด
ความรู้ด้านคณิตศาสตร์นานาชาติ เด็กญี่ปุ่นถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆมาโดยตลอด ระบบนี้เป็นผลมาจาก
การสมัครเข้าเรียนสูง ตลอดจนอัตราการรับ ระบบการสอบเข้า (การสอบเอนทรานซ์) โดยเฉพาะในระดับ
มหาวิทยาลัยมีอิทธิพลต่อการศึกษาทั้งระบบเป็นอย่างมาก รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนทางการศึกษาแต่
เพียงผู้เดียว โรงเรียนเอกชนก็มีบทบาทสาคัญในด้านการศึกษา รวมถึงโรงเรียนที่อยู่นอกระบบเช่นวิทยาลัย
ของเอกชน ก็มีบทบาทสาคัญในการศึกษาและเป็นส่วนมากในการศึกษา
เด็กๆส่วนใหญ่จะเข้าโรงเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล แม้ว่าจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาก็ตาม
ระบบการศึกษาเป็นภาคบังคับ เลือกโรงเรียนได้อิสระและให้การศึกษาที่พอเหมาะแก่เด็กๆทุกคนตั้งแต่
เกรด 1 (เทียบเท่า ป.1) จนถึง เกรด 9 (เทียบเท่า ม.3) ส่วนเกรด 10 ถึงเกรด 12 (ม.4 - 6) นั้นไม่บังคับ แต่
94% ของนักเรียนที่จบชั้นมัธยมต้น เข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมปลาย ประมาณ 1 ใน 3 ของนักเรียนที่จบชั้นมัธยม
ปลายเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย 4 ปี junior colleges 2 ปี หรือเรียนต่อที่สถาบันอื่นๆ
ญี่ปุ่นเป็นสังคมที่ให้ความสาคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก และเป็นสังคมที่มีระเบียบวินัย
การศึกษาเป็นสิ่งที่น่าเคารพยกย่อง และความสาเร็จเป็นเงื่อนไขสาคัญสาหรับการประสบความสาเร็จในงาน
และในสังคม ทุกวันนี้ มุมมองแตกต่างออกไป โรงเรียนต่างแข่งขันกันเพื่อรับนักเรียน การสอบเอนทรานซ์
กลายเป็นสิ่งที่ stolid in an attempt to maintain operations ทุกวันนี้ โรงเรียนรับนักเรียนในอัตราต่ากว่าที่รับ
ได้มาก ถือเป็นปัญหาด้านงบประมาณขั้นรุนแรง โรงเรียนถูกสร้างเพื่อรับนักเรียน 1,000 คน แต่กลับรับ
นักเรียนเพียง 1 ใน 3 ของจานวนที่รับได้แต่นี้ไม่ได้ทาให้จานวนนักเรียนในแต่ละห้องน้อยลง ห้องเรียน
ส่วนใหญ่มีนักเรียนอยู่ระหว่าง 35 - 45 คน
การศึกษาชั้นประถมและชั้นมัธยม
- ชั้นประถม (小学校 โชกักโก): 6 ปี, อายุ 6–12 ปี
- ชั้นประถม (小学校 โชกักโก): 6 ปี, อายุ 6–12 ปี
- ชั้นประถม (小学校 โชกักโก): 6 ปี, อายุ 6–12 ปี
ปีการศึกษาจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน และสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป การเรียนจะแบ่งเป็น
3 เทอม โดยมีช่วงปิดเทอม ในสมัยก่อน เด็กญี่ปุ่นจะต้องเรียนที่โรงเรียนตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์เต็มวัน และ
เรียนวันเสาร์อีกครึ่งวัน สิ่งเหล่านี้หมดไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 อย่างไรก็ตาม ครูหลายคนยังสอนในช่วงสุด
สัปดาห์รวมถึงวันหยุดภาคฤดูร้อนซึ่งมักจะเป็นเดือนสิงหาคม กฎหมายกาหนดให้หนึ่งปีการศึกษามีการ
เรียนอย่างน้อย 210 วัน แต่โรงเรียนส่วนมากมักจะเพิ่มอีก 30 วันสาหรับเทศกาลของโรงเรียน การแข่งขัน
กีฬา และพิธีที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ร่วมมือกันทางานเป็นกลุ่มและสปิริตของ
โรงเรียน จานวนวันที่มีการเรียนการสอนจึงเหลืออยู่ประมาณ 195 วัน
ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อในเรื่องของการศึกษาว่า เด็กๆทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ ความ
พยายาม ความพากเพียร และการมีระเบียบวินัยต่อตนเองต่างหาก ที่เป็นตัวกาหนดความสาเร็จทางการศึกษา
ไม่ใช่ความสามารถทางการเรียน การศึกษาและพฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถฝึกอบรมได้ดังนั้น นักเรียนใน
ชั้นประถมและชั้นมัธยมต้นจึงไม่ได้ถูกแบ่งกลุ่มหรือสอนตามความสามารถของแต่ละคน การสอนจะไม่ถูก
ปรับให้เหมาะสมกับความแตกต่างของบุคคล
หลักสูตรการศึกษาแห่งชาติกาหนดให้นักเรียนได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่พอเหมาะ และการเรียน
ภาคบังคับถือเป็นการปฏิบัติต่อนักเรียนด้วยความเสมอภาค มีการกระจายงบประมาณไปตามโรงเรียนต่างๆ
อย่างเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม การที่หลักสูตรกาหนดเช่นนี้ส่งผลให้ขาดความยืดหยุ่น รวมถึงความ
สอดคล้องกันของพฤติกรรม ความพยายามเพียงน้อยนิดที่จะกระตุ้นนักเรียนให้มีความสนใจพิเศษ การ
ปฏิรูปการศึกษาในปลายทศวรรษที่ 198 มีเป้ าหมายเพื่อเน้นในเรื่องความยืดหยุ่น ความคิดสร้างสรรค์ และ
การเพิ่มโอกาสให้นักเรียนได้แสดงออกในสิ่งที่ตนเองชอบ แต่กระนั้นความพยายามก็บังเกิดผลเพียงน้อยนิด
การคิดเชิงวิพากษ์ไม่ถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในระบบการศึกษาญี่ปุ่น นักเรียนจะถูกสอนให้จาเนื้อหาที่พวกเขา
ต้องใช้สอบ ผลการเรียนที่สูงจึงไม่ได้ชี้วัดหรือสะท้อนความสามารถที่แท้จริงของนักเรียน
ปัญหาที่มีมาโดยตลอดคือ ความคิดเกี่ยวกับการ"กด"นักเรียนที่ทาตัวโดดเด่นในห้องเรียน เนื่องจาก
นักเรียนจะถูกจากัดให้ทาเกรดในแต่ละวิชา จึงไม่มีความต้องการรับนักเรียนที่มีความสามารถเป็นเลิศหรือ
นักเรียนที่ขาดความสามารถในการเรียน เช่น นักเรียนที่เกิดในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก ก็ยังต้อง
เรียนวิชาภาษาอังกฤษในระดับชั้นที่เขาเรียน เช่นเดียวกับนักเรียนชั้นมัธยม 3 ที่ยังไม่ได้เรียนวิชา
คณิตศาสตร์ปีแรก เขาจะต้องเข้าเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับที่เกินกว่าความสามารถของเขา นักเรียนที่
ขาดความสามารถในการเรียนจะถูกจัดให้เรียนในชั้นเรียนปกติ ซึ่งครูไม่ได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษสาหรับ
การสอนพวกเขา ไม่มีวิธีแก้ไขหรือมีชั้นเรียนพิเศษสาหรับความต้องการของนักเรียนแต่ละคน
เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัญหาเหล่านี้ทาให้ผู้ปกครองบางคนปฏิเสธที่จะยอมรับว่าบุตรหลานของตนมี
ความต้องการพิเศษ เทียบกับในสหรัฐอเมริกา หลายเขตในญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีการเรียนการสอนพิเศษสาหรับ
นักเรียนที่ขาดความสามารถในการเรียนรู้ขั้นรุนแรง ในกรณีนี้ นักเรียนแต่ละคนจะมีครูหรือผู้ดูแลคอย
ช่วยเหลือพวกเขา ขณะที่โรงเรียนเหล่านี้มีบริการพิเศษสาหรับคนกลุ่มน้อย adult service กาลังจะหายไป
อย่างช้าๆเพราะการตัดงบประมาณ
มีข้อยกเว้นสาหรับการศึกษาภาคบังคับ นักเรียนที่พ่อแม่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น เช่น ลูกของผู้ใช้แรงงานที่
อพยพเข้ามา ก็สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนได้แม้จะไม่ได้บังคับก็ตาม ซึ่งในกรณีนี้ ความรับผิดชอบสาหรับ
การสอนภาษาให้กับนักเรียนกลุ่มนี้จะตกอยู่กับโรงเรียนซึ่งมักจะไม่สามารถจัดการเรียนการสอนตามภาษา
ของนักเรียนได้ยิ่งกว่านั้น การสอนจะไม่ถูกปรับให้เหมาะสมกับความแตกต่างของแต่ละคน ลูกของผู้ใช้
แรงงานที่ไม่สามารถใช้ภาษาได้ดีแทบจะไม่ประสบความสาเร็จในโรงเรียนของญี่ปุ่น แม้แต่ผู้ที่ใช้
ภาษาญี่ปุ่นได้พวกเขาก็ต้องเจอกับการแบ่งแยก ด้วยเหตุนี้ นักเรียนที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นมักจะมีชื่อภาษาญี่ปุ่น
และบางครั้งก็ถูกบีบบังคับให้ซ่อนความเป็นตัวของตัวเองไม่ให้ผู้อื่นเห็นแม้แต่เพื่อนสนิทของเขาเอง
อย่างไรก็ตาม มีความเข้าใจผิดว่านักเรียนที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นจะไม่สามารถเข้าร่วมการประกวดสุนทรพจน์
หรือโปรแกรมแลกเปลี่ยนต่างประเทศได้แม้ว่านักเรียนที่เติบโตในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก
มักจะถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมประกวดสุนทรพจน์ แต่เชื้อชาติก็ไม่ได้เป็นปัจจัย ตัวอย่างเช่น ในโตเกียว
นักเรียนชาวจีนและชาวเกาหลีก็เข้าร่วมการประกวดสุนทรพจน์ และโปรแกรมแลกเปลี่ยนต่างประเทศ
นักเรียนที่เรียนในการศึกษาภาคบังคับจะได้รับตาราเรียนฟรี คณะบริหารของโรงเรียนเป็นผู้เลือก
ตาราเรียนทุกๆสามปี โดยเลือกจากรายชื่อหนังสือที่กระทรวงการศึกษาได้รับรองแล้วหรือหนังสือที่
กระทรวงจัดทาขึ้นเอง กระทรวงจะเป็นผู้รับภาระค่าตาราทั้งในโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชน ตารา
เรียนมีขนาดเล็ก ใช้ปกอ่อนหุ้ม สามารถพกพาได้โดยง่าย และถือเป็นสมบัติของนักเรียน
โรงเรียนส่วนใหญ่จะมีระบบดูแลด้านสุขภาพ มีสิ่งของด้านการศึกษาและกีฬาอยู่พอประมาณ
โรงเรียนประถมส่วนใหญ่มีสนามเด็กเล่นกลางแจ้ง ประมาณร้อยละ 90 มีโรงยิม และ 75% มีสระว่ายน้า
กลางแจ้ง ห้องเรียนส่วนมากยังขาดแคลนคอมพิวเตอร์และเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ การเรียนการสอนและ
โครงงานของนักเรียนมักไม่ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย อินเทอร์เน็ตยังไม่ถูกนามาใช้ประโยชน์ทางด้านการศึกษา
มากนัก
ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม นักเรียนจะต้องอยู่ในกลุ่มโฮมรูมของตน หมายความว่า พวกเขาจะต้อง
ทางานกับนักเรียนที่อยู่ในโฮมรูมเดียวกันตลอดทั้งปี โฮมรูมและหลักสูตรการศึกษาญี่ปุ่นปลูกฝังเรื่องการ
ทางานเป็นกลุ่มและความภาคภูมิใจในโรงเรียนของตน โรงเรียนที่ญี่ปุ่นมีนักการภารโรงที่ทางานด้านความ
สะอาดอยู่น้อยมาก
วิธีการเรียนของเด็กญี่ปุ่ น
- ทาการจดโน้ต และสรุปงานอย่างเป็นระบบ
1. แบ่งหัวข้อ
เวลาฟังเลคเชอร์ ไม่ใช่ว่าสักแต่จะจดทุกคา ต้องจับประเด็น และใจความสาคัญให้ได้แล้วเรียบเรียง
ลงในสมุด ซึ่งการแบ่งหัวข้อเวลาจดโน้ตจะทาให้เราเรียบเรียงความสัมพันธ์ของเนื้อหาได้เป็นลาดับมากขึ้น
การแบ่งเป็นหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย
2. เว้นที่ว่างไว้บ้าง
การจดแบบอัดแน่นไปด้วยตัวอักษรนอกจากจะอ่านยากแล้ว ทาให้หมดอารมณ์ในการอ่านอีกด้วย
การเว้นบรรทัดระหว่างหัวข้อ หรือเว้นที่ไว้สาหรับประเด็นที่ยังไม่เคลียร์ ทาให้เราสามารถจดเพิ่มเติมตอน
อ่านทบทวนได้และนอกจากนี้ยังสบายตาเวลาจะหาประเด็นสาคัญๆ ในหน้านั้นๆ
3. ซีรอกซ์
เอาภาพแผนที่มาแปะในสมุด
ข้อมูลบางอย่างที่ยากต่อการเขียน อย่างเช่น ในวิชาภูมิศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์ ที่มีพวกแผนที่
หรือ บุคคลสาคัญๆ ก็ไม่ต้องพยายามจดหรอกค่ะ เข้าห้องสมุดถ่ายเอกสารตรงส่วนนั้น หรือปริ้นจากเน็ต
แล้วนามาแปะลงสมุดโน้ต
4. ทาสารบัญ
ถึงจะเป็นสมุดโน้ต แต่การทาสารบัญก็มีความสาคัญไม่น้อยค่ะ โดยเว้นหน้าแรกของสมุดไว้เขียน
หัวเรื่อง และเลขหน้าไว้(เหมือนหนังสือ) แต่จะเพิ่มรายละเอียดลงไปนิดนึงว่า หัวเรื่องนี้มีรายละเอียด หรือ
ประเด็นย่อยๆ อะไรบ้างภายในหนึ่งบรรทัด เพื่อที่ว่าเวลาทบทวน จะได้หาง่ายขึ้น แล้วก็อย่าลืมหาโพสต์อิท
มาแปะตรงมุมขวาให้โผล่ออกมานอกสมุดนิดนึงนะคะ จะได้หาง่ายๆ แถมยังมีสีสันอีกด้วย
5. การตัดจบก็สาคัญนะ
จดไม่พอ ก็เอามาแปะ
เวลาสรุปเรื่องๆ หนึ่ง พยายามให้จบภายในหนึ่งหน้า ถ้าทาไม่ได้ก็เอาส่วนที่เกินมาแปะไว้ตรงมุม
กระดาษ (เวลาปิดสมุดจะได้พับเก็บเข้าไปได้) วิธีนี้ก็เพื่อจัดระเบียบข้อมูล ไม่ให้เวลาอ่านแล้วทาให้จา
สับสนค่ะ เลือกใช้คีย์เวิร์ด ตัวย่อ เพื่อที่จะไม่ทาให้หนึ่งหน้ากระดาษดูอัดแน่นจนเกินไป และยังดีเวลาอ่าน
แบบกวาดสายตาด้วย
6. สร้างสไตล์การจดของตัวเอง
(ตัวอย่าง) วิชาไหนจะจดแบบไหน กาหนดเองให้ง่ายต่อการอ่าน และจดจาเนื้อหา
7. จดให้สวยงาม
ลายมือก็สาคัญนะจ้ะ ไม่ได้หมายความว่าต้องคัดลายมือค่ะ แต่แค่ทาให้ตัวอักษรเป็นระเบียบ เขียน
อ่านให้ออก ชัดเจนก็พอ
- ญี่ปุ่ นเริ่มฝึกวินัยกันตั้งแต่ที่โรงเรียน
โรงเรียนในประเทศญี่ปุ่น เด็กชั้นประถม 1 – 6 ส่วนใหญ่มักจะเดินไปโรงเรียน โดยจะมีการรวมตัว
กันตามจุดต่างๆ เดินแถวไปโรงเรียน โดยจะมี “ซิลเวอร์ซัง” ซึ่งเป็นผู้สูงอายุในชุมชนที่เกษียณอายุแล้ว จะ
มาคอยทาหน้าที่ดูแลและรักษาความปลอดภัยให้เด็กนักเรียน ทั้งขาไปและขากลับ
เด็กจะใส่หมวกสีเหลือง เพราะเป็นสีที่เห็นได้ชัดเจน เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง โดยผู้ใหญ่จะ
สังเกตได้ง่าย และสามารถให้ความช่วยเหลือได้
เด็กนักเรียนโรงเรียนรัฐบาล จะไม่ใส่ชุดนักเรียน เพื่อให้เด็กรู้จักสร้างสรรค์ แสดงออกในการแต่ง
กายที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจาวัน และเป็นการบ่งชี้เอกลักษณ์ของเด็กคนนั้นๆ แต่ก็มีการแต่ชุด
เครื่องแบบในโรงเรียนเอกชน
ตอนเช้าก่อนเข้าห้องเรียน เด็กจะเปลี่ยนรองเท้าเป็นแบบเดียวกันและเก็บให้เป็นระเบียบ เพื่อความ
สะอาดของห้องเรียน และไม่ต้องการให้มีความแตกต่างของรองเท้าที่อาจจะมีทั้งราคาถูกและราคาแพงเด็ก
นักเรียน จะไม่มีการพกเงินไปโรงเรียน เพราะที่โรงเรียนจะไม่มีร้านขายของ ไม่ตู้ขายอัตโนมัติ ทุกเช้าก่อน
เริ่มเรียน จะมีการตรวจเช็คว่า นักเรียนพกผ้าเช็ดหน้าและกระดาษทิชชูมาหรือไม่ เพื่อการรักษาความสะอาด
และสุขอนามัย ถ้าลืมจะถูกหักคะแนน และมีผ้าเช็ดหน้าสารองให้ยืม และจะมีการซักถามว่า มีใครไม่สบาย
หรือไม่ ถ้ามีก็ต้องใช้ผ้าปิดปาก ดูแลตัวเอง ไม่ให้แพร่ไปยังเพื่อน และทุกคนก็จะมีการติดป้ ายชื่อนักเรียนที่
หลังห้องเรียน จะมีกระดาษเขียนเป้ าหมายของเด็กๆ ปิดไว้เพื่อเตือนให้ปฏิบัติตนตามเป้ าหมายที่ให้ไว้เช่น
ผมจะไม่มีสายอีก หนูจะยกมือตอบคาถามให้บ่อยขึ้น
เด็กนักเรียนจะมีการเปลี่ยนที่นั่งกันทุก 1 เดือน หรือ ทุก 3เดือน โดยให้เด็กผู้ชายอกไปยืนรอนอก
ห้อง แล้วให้เด็กผู้หญิงจัดโต๊ะและเลือกที่นั่งก่อน แล้วจึงให้เด็กผู้ชายเขามาเลือกที่นั่ง โดยไม่รู้ว่าจะได้นั่งคู่
กับใคร เป็นการทาความรู้จักกัน เรียนรู้ ปรับตัว สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความสามัคคีกับเพื่อนนักเรียน
การเรียนการสอน
@ มักจะเน้นการเรียนนอกห้องเรียน เพื่อเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง
@ ในการเรียนภาษาญี่ปุ่น เด็กจะลุกขึ้นมาอ่านคนละประโยคเอง ไม่มีการชี้หรือบังคับ
@ การเรียนมักจะปล่อยให้เด็กได้ทาอะไรได้อย่างอิสระ เรียนด้วยความสุข สนุก
@ ครูจะไม่มีการดุ หรือต่อว่านักเรียนที่คุยกันในห้องเรียน เด็กนักเรียนจะมีความตั้งใจในการเรียน
แย่งกันตอบ แข่งขันกันอย่างเต็มที่ เด็กที่ตอบจะได้ติดป้ ายชื่อขึ้นบนกระดาน
@ วิชาดนตรีทาให้เด็กๆ มีจิตใจที่อ่อนโยน โรงเรียนก็จะจัดให้มีการเรียนการสอนวิชาดนตรี
@ ครูจะให้เด็กเป็นคนคิดเอง ว่าจะต้องทาอะไร ตัดสินใจเองว่า เรื่องนี้ควรทา เรื่องนั้นต้องทา
อย่างไร
เรื่องอาหารการกิน
@ ห้องครัวจะมีการรักษาสะอาดอย่างมาก ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไป
@ เด็กจะถูกฝึกให้สัมผัสรสชาติอาหารต่างๆ ให้มากๆ เด็กจะถูกเปลี่ยนจากอาหารที่ไม่ชอบ ให้ชอบ
มากขึ้น โดยจะมีการทาเป็นชิ้นเล็กๆ หรือบด หรือโดยการผสมกับอาหารที่ชอบ
@ แม่ครัวจะนาตัวอย่างอาหารมาให้ชม ซึ่งอาหารจะผ่านการจัดจากทีมโภชนาการ เด็กๆ จะได้
สารอาหารครบถ้วนทั้ง ข้าว ผัก เนื้อ ปลา และนม
@ เด็กจะเป็นคนตักอาหารด้วยตนอง หลังจากที่ทาความเคารพขอบคุณอาหารแล้ว ถ้าอาหารที่รับมา
มากเกินไป สามารถนากลับไปคืน ไม่มีการกินเหลือ เป็นการสร้างนิสัยการรู้จักความพอดี
@ หลังจากทานอาหารเสร็จ ทุกคนจะช่วยกันเก็บภาชนะให้เรียบร้อย เก็บพับกล่องนมเพื่อนาไปรี
ไซเคิล (Recycle) ช่วยกันทาความสะอาด เก็บกวาดห้องเรียน แยกขยะเปียกแห้ง รีไซเคิลดังนั้น นิสัยการ
รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบ จะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก
@ หลังอาหาร ก็จะเป็นเวลาเล่น เด็กๆ จะเรียน 2 ชั่วโมง และจะได้พัก 15 นาที เด็กเล็กๆ จะใส่
หมวกสีแดง เพื่อให้เด็กโตระมัดระวังความปลอดภัย
@ ในวิชาพละ เด็กๆ จะต้องนาอุปกรณ์ออกมาเอง เมื่อเรียนเสร็จก็จะต้องเก็บอุปกรณ์ เพื่อสร้างนิสัย
การเสียสละเพื่อส่วนรวม การเล่นก็จะให้เด็กได้มีการวางแผน เพื่อที่จะกาหนดว่า จะชนะอย่างไร
ก่อนจะเลิกเรียน
@ จะมีการประชุมกัน มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ผ่านมา 1วัน สิ่งที่ดี ที่เพื่อนทาให้ ก็จะมีการ
ชมเชย สิ่งใดที่ผิดพลาด ก็จะนากลับไปแก้ไข คุณครูก็จะช่วยสรุปว่า ให้เด็กทุกคน ทาดีทุกวัน
@ ก่อนกลับบ้านก็จะมีเสียงตามสาย จากนักเรียนรุ่นพี่ จะกล่าวคาลาลา และย้าเตือนว่าเรื่องของ
พรุ่งนี้ อย่าลืมทาตามเป้ าหมายที่ตั้งใจไว้อย่าลืมของ และดูแลรักษาสุขภาพตนเอง
ความเห็นเพิ่มเติม สิ่งที่เราเห็นว่า เป็นสิ่งที่ดี น่านาไปประยุกต์ใช้ก็ คือ...
@ คนญี่ปุ่นจะเน้นเรื่องอนามัยส่วนบุคคล ในการใช้ผ้าปิดปาก เมื่อรู้ว่า ตนเองไม่สบาย ก็ต้องไม่
แพร่เชื้อโรค โดยการใช้ผ้าปิดปาก
@ การย้าเป้ าหมายความตั้งใจที่จะทาให้สาเร็จ พูดถึงข้อผิดพลาดที่ต้องได้รับการแก้ไข
@ การฝึกการพูด เท่าที่ผมรู้จักคนญี่ปุ่น ทุกคนจะวิธีการมีการพูดที่ดี มีสไตล์การพูดเป็นของตนเอง
@ ความสะอาดและความเป็นระเบียบ ที่ถูกฝึกกันมาตั้งแต่เด็ก ทาให้มองไปทางไหนในประเทศ
ญี่ปุ่นก็จะมีแต่ความสะอาดตา และทุกคนจะให้ความร่วมมือในการรักษาความสะอาด
@ คนญี่ปุ่นจะมีความรับผิดชอบอาหารของตนเอง ไม่กินเหลือทิ้ง โดยอาหารแต่ละมื้อจะเน้นคุณค่า
สารอาหาร แคลอรี่ และแม่ครัวจะต้องมีใบอนุญาต โดยหลายๆ อาชีพของคนญี่ปุ่นมักจะต้องมีการออก
ใบอนุญาต
2.5 การศึกษาของประเทศเกาหลี
ระบบการศึกษาของเกาหลีใต้ จัดตามข้อกาหนดของกฎหมายการศึกษาซึ่งประกาศใช้เมื่อปี
ค.ศ. 1949 กาหนดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิได้รับการศึกษาตามความสามารถ โดยเด็กทุกคนต้องได้รับ
การศึกษาในระดับประถมศึกษาเป็นอย่างน้อย ซึ่งรัฐจัดให้ฟรี ระบบการศึกษาของเกาหลีใต้เป็นระบบ
6 – 3 – 3 – 4 คือ ชั้นประถมศึกษา 6 ปี มัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี มัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี และวิทยาลัย
หรือมหาวิทยาลัย 4 ปี กฎหมายการศึกษาได้กาหนดวันเวลาการเรียนใน 1 รอบปีการศึกษาของระดับ
ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลายเท่ากับ 220 วัน ระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย
เท่ากับ 32 สัปดาห์ ภาคเรียนมี 2 ภาค ภาคต้นเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 31 สิงหาคม ภาคเรียนที่ 2 เริ่ม
ตั้งแต่ วันที่ 1 กันยายน ถึง สิ้นเดือนกุมภาพันธ์
ระบบการศึกษาของเกาหลีจัดแยกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. การศึกษาขั้นพื้นฐาน
การศึกษาขั้นพื้นฐานมี 3 ระดับคือ อนุบาลศึกษาหรือก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา
2. การศึกษาระดับอุดมศึกษา
ระบบการศึกษาของเกาหลีระดับอุดมศึกษา แบ่งสถาบันการศึกษาออกเป็น 5 ประเภท คือ วิทยาลัย หรือ
มหาวิทยาลัยหลักสูตร 4 ปี (ซึ่งรวมทั้งมหาวิทยาลัยเปิด) วิทยาลัยครู วิทยาลัยอาชีวศึกษา โพลีเทคนิคและ
โรงเรียนพิเศษ (miscellaneous schools) โดยสถาบันทั้งหมดสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ แต่ละประเภทมี
ลักษณะดังนี้คือ
2.1 วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย
หลักสูตรปริญญาตรีจะมีหน่วยกิตไม่น้อยกว่า 140 หน่วยกิต ในมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งอาจจะมี
บัณฑิตวิทยาลัยที่เปิดสอนถึงปริญญาโทและเอกได้ปัจจุบันมหาวิทยาลัยพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการ
บริหารวิชาการ โดยพยายามรวมภาควิชาที่มีลักษณะใกล้เคียงกันให้อยู่เป็นภาควิชาเดียวกัน เพื่อให้เกิดความ
ร่วมมือกันผลิตบัณฑิตและเป็นการลดพรมแดนการแบ่งแยกภาควิชาไปในตัว
ในส่วนของมหาวิทยาลัยเปิด (Korea National Open University) มีต้นกาเนิดมาจากมหาวิทยาลัย
ทางอากาศเกาหลี ที่มีฐานะเป็นสถาบันสมทบกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ในปี 1972 มุ่งเน้นการสอนใน
ด้านอาชีวศึกษา และปรับมาเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งชาติเกาหลีในปี 1994
รัฐจะกาหนดเกณฑ์มาตรฐานเป็นบรรทัดฐานเพื่อการรับรองคุณภาพมหาวิทยาลัย ซึ่งมาตรฐานจะ
แตกต่างไปตามรูปแบบของมหาวิทยาลัย ปัจจุบันรัฐอนุญาตให้ตั้งมหาวิทยาลัยในระดับจังหวัดได้ เพื่อให้
เกิดมหาวิทยาลัยขนาดเล็กที่สามารถตอบสนองชุมชนหรือความต้องการของ สาขาวิชาชีพซึ่งเป็นแนวคิด
ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของระบบการศึกษาของเกาหลี แต่มหาวิทยาลัยก็ต้องมีการประเมินตนเองเป็นประจา
ทุกปี ในแง่ของการประเมินจากองค์กรภายนอกจะดูที่คุณภาพของงานวิจัยและจานวนผู้จบการศึกษา
ปัจจุบันมีองค์กรอิสระที่ไม่ขึ้นต่อรัฐทาหน้าที่ประเมินเพื่อการรับรองคุณภาพของมหาวิทยาลัยในเกาหลี
องค์กรนี้เรียกว่า สภาการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเกาหลี (Korea Council for University Education –
KCUE) เป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับจากกระทรวงศึกษาธิการ วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยโดยทั่วไป
2.2 สถาบันผลิตครู
มี 2 รูปแบบ คือ วิทยาลัยครูและวิทยาลัยวิชาการศึกษา 
วิทยาลัยครู ผลิตครูเพื่อไปสอนระดับ
ประถมศึกษา ผู้ที่เรียนจบจะได้รับปริญญาบัตรและประกาศนียบัตรการสอนประถมศึกษา นักเรียนที่เข้า
เรียนจะเป็นนักเรียนทุนได้รับการยกเว้นค่าลงทะเบียนและค่าสอน แต่เมื่อจบแล้วต้องไปเป็นครูในโรงเรียน
ประถมศึกษาอย่างน้อย 4 ปี ส่วนวิทยาลัยวิชาการศึกษา ใช้หลักสูตร 4 ปี เช่นกันเพื่อผลิตครูระดับ
มัธยมศึกษา นอกจากนั้นยังมีมหาวิทยาลัยทางการศึกษาชื่อว่า Korea National University of Education
ตั้งขึ้นในปี 1985 เพื่อผลิตครูชั้นนาที่สามารถสอนและวิจัย เกี่ยวกับการศึกษาในระดับอนุบาล ประถมและ
มัธยมได้รวมทั้งสร้างบุคลากรที่จะเป็นหัวหอกของการปฏิรูปการศึกษา ตลอดจนการเน้นบทบาทด้านการ
ฝึกอบรมครูและวิจัยทางการศึกษา
2.3 วิทยาลัยอาชีวศึกษา 

เป็นสถาบันที่สอน 2-3 ปี หลังระดับมัธยมศึกษา สาขาวิชาที่ยอดนิยมคือ วิศวกรรม เทคโนโลยี
และพยาบาล
2.4 โพลีเทคนิคหรือมหาวิทยาลัยเปิดทางอุตสาหกรรม (Open Industrial University)

สถาบันนี้มุ่งให้การศึกษาทางอาชีวะแก่ผู้ใหญ่ที่กาลังทางานและประสงค์จะเรียนในระดับอุดมศึกษา
2.5 โรงเรียนเสริมพิเศษ (Miscellaneous school)
เป็นสถาบันที่ตั้งขึ้นเพื่อเปิดสอนสาขาวิชาที่ไม่ได้เปิดสอนในวิทยาลัยโดยปกติทั่วไป สถาบันจึงมี
ขนาดเล็กกว่าวิทยาลัยแต่ก็เปิดสอนหลักสูตร 4 ปีเช่นกันในบางแห่ง เมื่อจบแล้วผู้เรียนจะได้รับวุฒิบัตรและ
ประกาศนียบัตร มีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากับวิทยาลัยอื่น ถ้าสถาบันที่จบได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ
3. ระบบการศึกษาของเกาหลี ยุคใหม่
ระบบการศึกษาของเกาหลียุคใหม่เป็นการจัดการศึกษาโดยสร้างระบบการศึกษาใหม่
(New Education System) เพื่อมุ่งสู่ ยุคสารสนเทศและโลกาภิวัตน์โดยเป้าหมายสูงสุดของระบบการศึกษา
ของเกาหลียุคใหม่ คือความเป็นรัฐสวัสดิการทางการศึกษา สร้างสังคมการศึกษาแบบเปิดและตลอดชีวิต
ทาให้ชาวเกาหลีทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากการศึกษาได้ทุกเวลาและทุกสถานที่รัฐปรับโครงสร้าง
ระบบการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและเทคนิค นาเยาวชนเข้าสู่ชีวิตยุคสารสนเทศมีเสรีภาพที่จะถ่ายโอนการ
เรียน สามารถถ่ายโอนหน่วยกิตข้ามโรงเรียนหรือข้ามสถาบันการศึกษาตลอดจนข้ามสาขาวิชาได้ณ วันนี้
ระบบการศึกษาของเกาหลียุคใหม่ ได้ให้ความสาคัญแก่ผู้เรียน จัดให้มีโรงเรียนและการศึกษาเฉพาะทาง
หลายรูปแบบ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถหาความรู้พัฒนาตนเองตามความสนใจ โรงเรียนมีอานาจใน
การบริหารจัดการโดยการมีส่วนร่วมกับชุมชนและผู้ปกครองมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่และ
อุปกรณ์ในระบบมัลติมีเดียช่วยให้บุคคลศึกษาหาความรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา รวมทั้งจัดตั้งบัณฑิตวิทยาลัยทาง
วิชาชีพ เพื่อพัฒนาวิชาชีพในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ
กล่าวโดยสรุป เกาหลีได้สร้างระบบการศึกษาสมัยใหม่ ที่มุ่งพัฒนาเครือข่ายสารสนเทศเพื่อการเป็น
สังคมแห่งความรู้ (Knowledge-based Society) สร้างสภาวะแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้เพื่อให้คนเกาหลีมีความรู้ ความสามารถ มีความทันสมัย และที่สาคัญคือมีจริยธรรม แต่ยังคงความเป็น
เลิศด้านการศึกษาและดารงมาตรฐานของระบบการศึกษาของเกาหลีได้อีกด้วย
สาหรับการสอบเอ็นทรานซ์นั้น วิชาที่นักเรียนต้องสอบมีดังนี้
ซึ่งวิชาเลือกที่จะเลือกสอบนั้น ก็ต้องดูว่าคณะและสถาบันที่ต้องการเข้าต้องใช้วิชาอะไรบ้าง ซึ่งตรง
นี้จะเป็นจุดที่ต่างจากการแอดมิชชั่นของไทยเพราะที่ไทยนั้นถ้าจะเข้าคณะในกลุ่มวิศวะฯก็ต้องใช้ GAT
15% , PAT 2 15% , PAT 3 20% , ONET 30% หรือถ้าจะเข้าคณะในกลุ่มสถาปัตย์ฯ ก็ต้องใช้ GAT 10 % ,
PAT 4 40 % จะแบ่งเป็นหมวดหมู่น้าหนักคะแนนอย่างชัดเจน ใช้เหมือนกันทุกมหาวิทยาลัย
วิธีการเรียนของเด็กเกาหลี
- เด็ก (วัยรุ่น) นักเรียนเกาหลีแทบทุกคนต้องเรียนพิเศษ การเรียนพิเศษเลิก 4 ทุ่มทุกวัน ถือเป็นเรื่อง
ธรรมดา ช่วงสอบ ปลายภาคอาจมีคอร์สพิเศษเปิดสอนถึงตี 2 โดยเฉพาะวิชาเลขเป็นวิชาที่ วัยรุ่น เกาหลี
ทุ่มเทมาก
- นักเรียนเกาหลีเวลาเรียนเสร็จมักจะจดโน้ตย่อเอาไว้อ่านเวลาสอบ
- ตารางเรียนของนักเรียนเกาหลี เช่นดังตารางต่อไปนี้
2.6 การศึกษาของประเทศสิงคโปร์
ระบบการศึกษาของสิงคโปร์ สิงคโปร์มีระบบการศึกษาที่เป็นเลิศประเทศหนึ่งของโลก ทุกโรงเรียน
ควบคุมโดยกระทรวงศึกษาธิการโดยตรง ระบบการศึกษาของสิงคโปร์แบ่งเป็นชั้นประถมศึกษาใช้
ระยะเวลา 6 ปี และมัธยมศึกษาใช้ระยะเวลา 4 ปี จากนั้น ต่อด้วยการเรียนในระดับสูงขึ้น เช่น โปลีเทคนิค
จูเนียร์คอลเลจ และมหาวิทยาลัย และการที่จะได้คัดเลือกเข้าเรียนที่โรงเรียนสิงคโปร์นั้น นักเรียนจาเป็น
จะต้องทาการสอบเพื่อประเมินผลโดยการสอบเข้าโรงเรียนนั้น นักเรียนจาเป็นต้องสอบภาษาอังกฤษ
คณิตศาสตร์ เป็นวิชาหลัก และอาจมีการทดสอบภาษาจีน ขึ้นอยู่กับโรงเรียนที่นักเรียนต้องการสอบเข้า และ
สาหรับนักเรียนต่างชาติที่มีความประสงค์จะเข้าศึกษาต่อในประเทศสิงคโปร์จาเป็นต้องเสียค่าบารุง
การศึกษา (Donations) ให้กับ กระทรวงศึกษาธิการของสิงคโปร์เป็นจานวนเงิน $ 1,000 ทุก ๆ 2 ปีสาหรับ
เงินบริจาคนี้ไม่สามารถขอคืนได้
ประเทศสิงคโปร์มีค่าใช้จ่ายถูกกว่าประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย อเมริกา อังกฤษทั้งด้านการเรียน
และ ค่าที่อยู่อาศัย ค่าตั๋วเครื่องบิน และยังสะดวกในการเดินทาง เนื่องจาก ประเทศสิงคโปร์อยู่ใกล้กับ
ประเทศไทย โดยใช้ระยะเวลาการบินเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น และนอกจากนี้ การที่ได้ไปศึกษาที่ประเทศ
สิงคโปร์ นักเรียนยังได้เรียนรู้ถึง 2 ภาษา ซึ้งมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก และสามารถเลือก ภาษาจีน,ภาษา
มาเลย์และทมิฬภาษาใดภาษานึ่งเป็นภาษารอง
การศึกษาในระดับประถมศึกษา (Primary Schools)
ระบบการศึกษาในระดับประถมศึกษาที่สิงคโปร์นั้นจะแบ่งการสอนออกเป็น 2 ช่วง คือ เช้า และ
บ่าย การรับสมัครนักเรียนใหม่จะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโรงเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 4
(fouryear foundation stage) จะเน้นการเรียนในวิชาภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน (แมนดาริน) หรือภาษาทมิฬ,
คณิตศาสตร์ และวิชาอื่น ๆ เช่น ศิลปะ ดนตรี พลศึกษา ในการเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 -6 (Two-year
orientation stage) นักเรียนจะถูกแบ่งออกเป็น 3ระดับ จากผลการสอบของ ประถมศึกษาปีที่ 4 คือ EM1
EM2 EM3 โดยลักษณะการเรียนของวิชาภาษาอังกฤษ และภาษาแม่นั้นจะต่างกันนักเรียนจะต้องสอบวัด
ระดับเมื่อจบ ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียกกันว่า Primary School Leaving Examination (PSLE).เพื่อวัดระดับว่า
นักเรียนจะต้องเรียนในชั้นมัธยมเป็นระยะเวลา 4 ปี หรือ 5 ปี
การศึกษาในระดับมัธยมศึกษา (Secondary School)
โรงเรียนมัธยมศึกษาในสิงคโปร์จะแบ่งออกเป็น 2 ระบบและจะมีหลักสูตรแตกต่างกันไปทั้งนี้
นักเรียนจะถูกเลือกให้อยู่ระบบใดระบบหนึ่งนั้นขึ้นอยู่กับผลการสอบ PSLE ของนักเรียนแต่ละคน ระบบที่
ใช้ระยะเวลา 4 ปี จะเรียกว่า Special and Express Courses ซึ้งการเรียนการสอนนั้นจะเน้นการเตรียมตัวให้
นักเรียนสอบ The Singapore-Cambridge General Certificate of Education “Ordinary” (GCE ‘O’) ตอนจบ
มัธยมศึกษาปีที่ 4 และ ระบบที่ใช้ระยะเวลา 5 ปี คือ Normal Course แบ่งการเรียนการสอนเป็น Academic
และ Technical และเมื่อนักเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 4 นักเรียนจะต้องสอบ Singapore-Cambridge General
Certificate of Education “Normal”(GCE ‘N’)
สาหรับนักเรียนที่สอบได้คะแนนดี สามารถเรียนต่อ มัธยมศึกษาปีที่ 5 เพื่อสอบ GCE ‘O’ ต่อไป แต่
สาหรับนักเรียนที่สอบได้คะแนน GCE ‘N’ ไม่ดี ก็สามารถเรียนต่อในทางด้านเทคนิค ITE. หลังจากนักเรียน
จบการศึกษาในระดับมัธยมนักเรียนสามารถที่จะเลือกเรียนในขั้นอุดมศึกษาต่อไป
เตรียมเข้ามหาวิทยาลัย (Junior College หรือ Pre University)สาหรับนักเรียนที่ได้ผ่านการทดสอบ
GCE ‘O’ Level เรียบร้อยแล้วและมีความประสงค์ที่จะเลือกเรียนต่อที่ Junior College ใช้ระยะเวลา 2 ปี หรือ
หลักสูตรเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย (Pre-university) ใช้ระยะเวลา 3 ปี เพื่อการเตรียมพร้อมสอบ GCE ‘A’
Level เมื่อสอบผ่านนักเรียนถึงจะสามารถเข้าเรียนต่อในระดับชั้นมหาวิทยาลัย หรือสามารถสมัครเรียนที่
มหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ทั่วโลก สาหรับนักเรียนที่สอบไม่ผ่าน GCE ‘A’ Level ก็สามารถที่จะเลือกเรียนต่อโป
ลีเทคนิค
โปลีเทคนิค (Polytechnics) เป็นโรงเรียนเปิดสอนหลักสูตรวิชาชีพโดยมีสาขาให้เลือกมากมาย
อาทิเช่น วิศวกรรม, ธุรกิจ, สื่อสารมวลชน ฯลฯ สาหรับนักเรียนที่สาเร็จการศึกษาแล้วสามารถจบออกมา
ทางานได้เลย โดยหลักสูตรนี้จะใช้เวลาเรียน 3 ปี
การศึกษาสาหรับสาขาวิชาช่าง Institutes of Technical Education (ITE) เป็นโรงเรียนเปิดสอน
หลักสูตรสาขาวิชาช่าง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการเพิ่มทักษะทางด้านการปฏิบัติและวิชาการ และสาหรับนักเรียน
ที่มีเกณฑ์คะแนนดี สามารถเลือกที่จะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนโปลีเทคนิค หรือมหาวิทยาลัยแล้วแต่ความ
ประสงค์
ปีการศึกษาของสิงคโปร์จะแบ่งออกเป็น 4 ภาคเรียน ภาคเรียนละ 10 สัปดาห์ เริ่มเปิดการศึกษา
ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคมของทุกปี ช่วงระหว่างภาคเรียนที่ 1 กับที่ 2 และที่ 3 กับที่ 4 จะมีการหยุด 1 สัปดาห์
ระหว่างภาคเรียนที่ 2 กับที่ 3 หยุด 4 สัปดาห์ และมีช่วงหยุด 6 สัปดาห์ เมื่อสิ้นสุดปีการศึกษา
วิธีการเรียนของเด็กสิงคโปร์
- จดบันทึกข้อมูลที่เรียนอย่างเป็นระบบ อย่างเป็นขั้นตอน
- เด็กแต่ละคนมีการจัดตารางในการเรียนในแต่ละวันของตนเอง
- มีการแบ่งเวลาในการเรียนอย่างถูกต้อง
- ในการเรียนใช้ความเข้าใจมากกว่าการท่องจา
- อ่านหนังสือทุกวันวันละ 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
- มีความรับผิดชอบในตนเองในเรื่องการเรียน
- การเรียนไม่แต่เรียนในห้องเรียนเท่านั้น แต่มักออกไปเรียนรู้สิ่งต่างๆนอกห้องเรียนมากกว่า
ตัวอย่างผลคะแนนสอบ PISA ของประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ 4 ครั้งที่ผ่านมา

More Related Content

What's hot

ตอนที่ 2 การพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา 3
ตอนที่ 2 การพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา 3ตอนที่ 2 การพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา 3
ตอนที่ 2 การพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา 3warijung2012
 
นโยบายการปฎิรูปการศึกษายุคใหม่
นโยบายการปฎิรูปการศึกษายุคใหม่นโยบายการปฎิรูปการศึกษายุคใหม่
นโยบายการปฎิรูปการศึกษายุคใหม่Focus On
 
หลักสูตรส่วนที่ ๑
หลักสูตรส่วนที่ ๑หลักสูตรส่วนที่ ๑
หลักสูตรส่วนที่ ๑rampasri
 
สาระสำคัญปรับโครงสร้าง ระบบและกลไกของหน่วยงานทุกระดับ ตามแผนขั้นตอนการดำเนินง...
สาระสำคัญปรับโครงสร้าง ระบบและกลไกของหน่วยงานทุกระดับ ตามแผนขั้นตอนการดำเนินง...สาระสำคัญปรับโครงสร้าง ระบบและกลไกของหน่วยงานทุกระดับ ตามแผนขั้นตอนการดำเนินง...
สาระสำคัญปรับโครงสร้าง ระบบและกลไกของหน่วยงานทุกระดับ ตามแผนขั้นตอนการดำเนินง...สอบครูดอทคอม เว็บเตรียมสอบ
 
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรFh Fatihah
 
สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับ พรบ
สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับ พรบสรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับ พรบ
สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับ พรบtunyapisit
 
หลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางหลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางsawitreesantawee
 
การบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
การบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานการบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
การบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานKatekyo Sama
 
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตรความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตรmaturos1984
 
หลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางหลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางkamonnet
 
หลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางหลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางTooNz Chatpilai
 
หลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางหลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางTooNz Chatpilai
 
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน๒๕๕๑
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน๒๕๕๑หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน๒๕๕๑
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน๒๕๕๑TooNz Chatpilai
 
สรุปประเด็นสำคัญการปฏิรูปการศึกษารอบสอง
สรุปประเด็นสำคัญการปฏิรูปการศึกษารอบสองสรุปประเด็นสำคัญการปฏิรูปการศึกษารอบสอง
สรุปประเด็นสำคัญการปฏิรูปการศึกษารอบสองMiss.Yupawan Triratwitcha
 
การกินอย่างมีคุณค่า
การกินอย่างมีคุณค่าการกินอย่างมีคุณค่า
การกินอย่างมีคุณค่าaon04937
 

What's hot (18)

ตอนที่ 2 การพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา 3
ตอนที่ 2 การพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา 3ตอนที่ 2 การพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา 3
ตอนที่ 2 การพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา 3
 
นโยบายการปฎิรูปการศึกษายุคใหม่
นโยบายการปฎิรูปการศึกษายุคใหม่นโยบายการปฎิรูปการศึกษายุคใหม่
นโยบายการปฎิรูปการศึกษายุคใหม่
 
หลักสูตรส่วนที่ ๑
หลักสูตรส่วนที่ ๑หลักสูตรส่วนที่ ๑
หลักสูตรส่วนที่ ๑
 
กฏหมาย
กฏหมายกฏหมาย
กฏหมาย
 
สาระสำคัญปรับโครงสร้าง ระบบและกลไกของหน่วยงานทุกระดับ ตามแผนขั้นตอนการดำเนินง...
สาระสำคัญปรับโครงสร้าง ระบบและกลไกของหน่วยงานทุกระดับ ตามแผนขั้นตอนการดำเนินง...สาระสำคัญปรับโครงสร้าง ระบบและกลไกของหน่วยงานทุกระดับ ตามแผนขั้นตอนการดำเนินง...
สาระสำคัญปรับโครงสร้าง ระบบและกลไกของหน่วยงานทุกระดับ ตามแผนขั้นตอนการดำเนินง...
 
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
 
สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับ พรบ
สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับ พรบสรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับ พรบ
สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับ พรบ
 
หลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางหลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลาง
 
การบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
การบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานการบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
การบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
 
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตรความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
ความหมาย ความสำคัญของหลักสูตร
 
หลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางหลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลาง
 
หลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางหลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลาง
 
หลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางหลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลาง
 
แผนพัฒนา 61 ส่วนที่ 1บทนำ
แผนพัฒนา 61 ส่วนที่ 1บทนำแผนพัฒนา 61 ส่วนที่ 1บทนำ
แผนพัฒนา 61 ส่วนที่ 1บทนำ
 
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน๒๕๕๑
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน๒๕๕๑หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน๒๕๕๑
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน๒๕๕๑
 
สรุปประเด็นสำคัญการปฏิรูปการศึกษารอบสอง
สรุปประเด็นสำคัญการปฏิรูปการศึกษารอบสองสรุปประเด็นสำคัญการปฏิรูปการศึกษารอบสอง
สรุปประเด็นสำคัญการปฏิรูปการศึกษารอบสอง
 
การกินอย่างมีคุณค่า
การกินอย่างมีคุณค่าการกินอย่างมีคุณค่า
การกินอย่างมีคุณค่า
 
หลักสูตรแกนกลาง 51
หลักสูตรแกนกลาง 51หลักสูตรแกนกลาง 51
หลักสูตรแกนกลาง 51
 

Similar to บทที่ 2

เค้าโครงวิทยานิพนธ์ Pol
เค้าโครงวิทยานิพนธ์ Polเค้าโครงวิทยานิพนธ์ Pol
เค้าโครงวิทยานิพนธ์ PolSamapol Klongkhoi
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1kanwan0429
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1kanwan0429
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nattawad147
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nattawad147
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012gam030
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1wanneemayss
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nattawad147
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nattawad147
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1benty2443
 
งานนำเสนอ1การสอนและทหารจีน
งานนำเสนอ1การสอนและทหารจีนงานนำเสนอ1การสอนและทหารจีน
งานนำเสนอ1การสอนและทหารจีนmymeanmeak
 

Similar to บทที่ 2 (20)

เค้าโครงวิทยานิพนธ์ Pol
เค้าโครงวิทยานิพนธ์ Polเค้าโครงวิทยานิพนธ์ Pol
เค้าโครงวิทยานิพนธ์ Pol
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
งานนำเสนอ1การสอนและทหารจีน
งานนำเสนอ1การสอนและทหารจีนงานนำเสนอ1การสอนและทหารจีน
งานนำเสนอ1การสอนและทหารจีน
 

More from Saranporn Rungrueang

พื้นฐานภาษาจาวา
พื้นฐานภาษาจาวาพื้นฐานภาษาจาวา
พื้นฐานภาษาจาวาSaranporn Rungrueang
 
โครงการซ่อมแซมป้าย เพื่อวัดที่ขาดแคลน
โครงการซ่อมแซมป้าย   เพื่อวัดที่ขาดแคลนโครงการซ่อมแซมป้าย   เพื่อวัดที่ขาดแคลน
โครงการซ่อมแซมป้าย เพื่อวัดที่ขาดแคลนSaranporn Rungrueang
 
การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศการนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศSaranporn Rungrueang
 
การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ Saranporn Rungrueang
 

More from Saranporn Rungrueang (13)

พื้นฐานภาษาจาวา
พื้นฐานภาษาจาวาพื้นฐานภาษาจาวา
พื้นฐานภาษาจาวา
 
โครงการซ่อมแซมป้าย เพื่อวัดที่ขาดแคลน
โครงการซ่อมแซมป้าย   เพื่อวัดที่ขาดแคลนโครงการซ่อมแซมป้าย   เพื่อวัดที่ขาดแคลน
โครงการซ่อมแซมป้าย เพื่อวัดที่ขาดแคลน
 
บทที่ 1
บทที่  1บทที่  1
บทที่ 1
 
Education inter บทที่ 2
Education inter บทที่ 2Education inter บทที่ 2
Education inter บทที่ 2
 
บทที่ 2
บทที่ 2 บทที่ 2
บทที่ 2
 
Education inter
Education interEducation inter
Education inter
 
บทที่ 1 Education Inter
บทที่  1  Education Interบทที่  1  Education Inter
บทที่ 1 Education Inter
 
Education inter
Education interEducation inter
Education inter
 
การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศการนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
 
การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
การนำเสนองานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
 
ข่าวไอที
ข่าวไอทีข่าวไอที
ข่าวไอที
 
วราภรณ์ 27
วราภรณ์  27วราภรณ์  27
วราภรณ์ 27
 
ข่าวไอที
ข่าวไอทีข่าวไอที
ข่าวไอที
 

บทที่ 2

  • 1. บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2.1 ความหมายและแนวคิดของระบบการศึกษา ระบบการศึกษาหมายถึง การกาหนดหลักสูตร จุดมุ่งหมาย แนวนโยบาย ระบบการจัด และแนวทาง ในการจัดการศึกษา เพื่อให้การศึกษาช่วยพัฒนาชีวิตของคนไปในแนวทางที่พึงประสงค์ การศึกษาเป็นกระบวนการสร้างและพัฒนาประชากรของประเทศให้มีพลัง มีความสามารถที่จะ พัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอย่างมีสันติสุข การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือพัฒนาพัฒนาประชากรและ ประเทศชาติ และการที่จะดาเนินไปได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพจะต้องอาศัยกระบวนการศึกษาที่ ได้รับการพัฒนามีดีแล้ว การศึกษามีส่วนสาคัญและจาเป็นในการพัฒนาประเทศให้รุ่งเรืองทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และวัฒนธรรม เพราะการศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นการ ถ่ายทอดวัฒนธรรม และสร้างภูมิปัญญาให้แก่สังคม ระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพต้องมีเนื้อหาสาระ และกระบวนการเรียนการสอนที่สอดคล้อง กับวัตถุประสงค์ มีหลักการที่ดี และจาเป็นต้องอาศัยการบริหารที่กระจายอานาจให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและ ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด ระบบการศึกษาได้รับการพัฒนามาตลอด แต่ยังไม่สามารถบรรลุผลตามที่กาหนดไว้เท่าใดนัก เพราะยังมีปัญหาด้านคุณภาพของผลผลิต ด้านการกระจายโอกาสทางการศึกษา ด้านการบริหารการศึกษา และด้านการระดมสรรพกาลังเพื่อจัดการศึกษา ความจาเป็นในการปรับปรุงระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับเงื่อนไข และการเปลี่ยนแปลงด้าน เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างเป็นระยะๆ เป็นสิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องตระหนัก ทั้งนี้เพื่อให้สามารถ พัฒนาประเทศได้อย่างเหมาะสมกับสภาพ และความต้องการของประเทศในอนาคต ดังนั้น การพัฒนาพลเมืองของประเทศให้เป็นผู้มีปัญญา มีคุณธรรม มีความสามารถพื้นฐานหรือ ศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองและสังคมต่อไป กอปรทั้งให้ความสามารถประกอบอาชีพหรือเป็นแรงงาน สาหรับพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจาเป็นต้องอาศัยกระบวนการศึกษาที่ดี ระบบการศึกษาที่ดีจะต้องมีความยืดหยุ่น ให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสนใจ ความพร้อม ได้อย่าง ต่อเนื่องตลอดเวลาและตลอดชีวิต มีเครือข่ายการเรียนรู้ที่สามารถถ่ายทอดความรู้ประเภทต่างๆ จากแหล่ง ต่างๆ ไปยังผู้เรียนได้อย่างต่อเนื่องโดยอาศัยทั้งระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน และถึงระบบโรงเรียน
  • 2. 2.2 การสอบ PISA (Programme for International Student Assessment) PISA (Programme for International Student Assessment) เป็นโครงการประเมินผลผู้เรียน นานาชาติ ริเริ่มโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) ซึ่งมีการดาเนินการมาจั้งแต่ปี 1999 หรือ พ.ศ.2541 โดยมี ประเทศสมาชิกเข้าร่วมจากทั่วโลก 65 ประเทศ โดยมีประเทศเขตเศรษฐกิจเอเชียที่เข้าร่วมอันได้แก่ ฮ่องกง ไทเป เซี่ยงไฮ้ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ไทย และในปี 2012 ได้มีการเพิ่มประเทศมาเลเซีย และเวียดนาม มาเป็นประเทศสมาชิก OECD PISA ประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อเปรียบเทียบศักยภาพในการแข่งขันของ ผู้เรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สาหรับระดับนานาชาติ ดาเนินการโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและ พัฒนาทางเศรษฐกิจและมีหน่วยงานต่างๆร่วมดาเนินการ ในประเทศไทยมีสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เป็นผู้ดาเนินงานวิจัยและเป็นศูนย์ประสานงานระดับชาติ PISA จะ ประเมินให้กับประเทศสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ รวมทั้งประเทศอื่นๆที่ ต้องการเข้าร่วมการประเมิน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ.2543) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ PISA เริ่มการประเมิน PISA ประเมินคุณภาพการศึกษาของประเทศสมาชิกและประเทศที่เข้าร่วมโครงการ โดยการศึกษา ว่าระบบการศึกษาของแต่ละประเทศได้เตรียมความพร้อมให้กับประชาชนสาหรับการใช้ชีวิต และการมี ส่วนร่วมในสังคมในอนาคตเพียงพอหรือไม่ PISA ไม่เน้นการประเมินความรู้ของผู้เรียนที่กาลังเรียนอยู่ใน ห้องเรียนโดยตรง แต่เน้นการประเมินสมรรถนะของผู้เรียนในการใช้ความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องกับชีวิต จริงสาหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการใช้ชีวิตในสังคมยุคใหม่ เพื่อการศึกษาต่อในระดับสูง การงาน อาชีพ และการดาเนินชีวิต ซึ่ง PISA เรียกว่า การรู้เรื่อง (Literacy) โดยมีการประเมินการรู้เรื่องใน 3 ด้าน คือ 1. การรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy) 2. การรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (Mathematics Literacy) 3. การรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) PISA จะประเมินผู้เรียนทุกๆ 3 ปี โดยหนึ่งรอบของการประเมินจะใช้เวลารวม 9 ปี การประเมินแต่ ละครั้งจะครอบคลุมการเรียนรู้ใน 3 ด้านข้างต้น ซึ่งเน้นการให้น้าหนักการประเมินแต่ละด้านแตกต่างกัน การประเมินของ PISA ปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) และปี ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) เน้นการรู้เรื่องการอ่าน ปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) และปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) เน้นการรู้เรื่องคณิตศาสตร์ ส่วนปี ค.ศ. 2006
  • 3. (พ.ศ. 2549) และ ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) เน้นการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ในด้านที่เน้นจะมีน้าหนักการ ประเมินร้อยละ 60 และส่วนที่เหลือจะมีน้าหนักการประเมินแต่ละด้านประมาณร้อยละ 20 2.3 การศึกษาของประเทศไทย ระบบการศึกษาไทย ปัจจุบันตามที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) 2545 มีการจัดระบบการศึกษาขั้นประถมศึกษา 6 ปี (6 ระดับชั้น) การศึกษาขั้น มัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี (3 ระดับชั้น) และการศึกษาขั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี (3 ระดับชั้น) หรือระบบ 6-3-3 นอกจากนั้นระบบการศึกษาไทยยังจัดเป็นระบบการศึกษาในระบบโรงเรียน การศึกษานอกระบบ โรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย ในการจัดระบบการศึกษาตามแนวพระราชบัญญัติฉบับนี้ จะไม่ พิจารณาแบ่งแยกการศึกษาในระบบโรงเรียนออกจากการศึกษานอกระบบโรงเรียน แต่จะถือว่าการศึกษาใน ระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยเป็นเพียงวิธีการเรียนการสอน หรือรูปแบบของการ เรียนการสอนที่ภาษาอังกฤษใช้คาว่า "Modes of learning" ฉะนั้น แนวทางใหม่คือสถานศึกษาสามารถจัดได้ ทั้ง 3 รูปแบบ และให้มีระบบเทียบโอนการเรียนรู้ทั้ง 3 รูปแบบ โดยพระราชบัญญัติการศึกษาฯ มาตรา 15 กล่าวว่าการจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตาม อัธยาศัย คือ (1) การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาที่กาหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของ การศึกษา การวัดและการประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสาเร็จการศึกษาที่แน่นอน (2) การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกาหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบวิธีการ จัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขสาคัญของการสาเร็จ การศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการ ของบุคคล แต่ละกลุ่ม (3) การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจศักยภาพ ความพร้อมและโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม หรือแหล่งความรู้อื่นๆ
  • 4. สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาในรูปใดรูปแบบหนึ่งหรือทั้งสามรูปแบบก็ได้ให้มีการเทียบโอนผลการเรียนที่ ผู้เรียนสะสมไว้ในระหว่างรูปแบบเดียวกันหรือต่างรูปแบบได้ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษา เดียวกันหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งจากการเรียนรู้นอกระบบตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพ หรือจากประสบการณ์การ ทางานการสอน และจะส่งเสริมให้สถานศึกษาจัดได้ทั้ง 3 รูปแบบ การศึกษาในระบบมีสองระดับคือ การศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาระดับอุดมศึกษา 1. การศึกษาขั้นพื้นฐานประกอบด้วย การศึกษาซึ่งจัดไม่น้อยกว่าสิบสองปีก่อนระดับอุดมศึกษา การ แบ่งระดับและประเภทของการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎกระทรวง การแบ่งระดับหรือ การเทียบระดับการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัยให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎกระทรวง การศึกษาในระบบที่เป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานแบ่งเป็นสามระดับ 1.1 การศึกษาก่อนระดับประถมศึกษา เป็นการจัดการศึกษาให้แก่เด็กที่มีอายุ 3 – 6 ปี 1.2 การศึกษาระดับประถมศึกษา โดยปกติใช้เวลาเรียน 6 ปี 1.3 การศึกษาระดับมัธยมศึกษา แบ่งเป็นสองระดับ ดังนี้ - การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยปกติใช้เวลาเรียน 3 ปี - การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยปกติใช้เวลาเรียน 3 ปี แบ่งเป็นสองประเภท ดังนี้ 1) ประเภทสามัญศึกษา เป็นการจัดการศึกษาเพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา 2) ประเภทอาชีวศึกษา เป็นการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ หรือ ศึกษาต่อในระดับอาชีพชั้นสูงต่อไป 2. การศึกษาระดับอุดมศึกษาแบ่งเป็นสองระดับ คือ ระดับต่ากว่าปริญญาและระดับปริญญา การใช้คา ว่า "อุดมศึกษา" แทนคาว่า "การศึกษาระดับมหาวิทยาลัย" ก็เพื่อจะให้ครอบคลุมการศึกษาในระดับ ประกาศนียบัตรหรืออนุปริญญา ที่เรียนภายหลังที่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว ทั้งนี้การศึกษาภาคบังคับจานวนเก้าปีโดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดเข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจน อายุย่างเข้าปีที่สิบหก เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับหลักเกณฑ์และวิธีการนับอายุให้ เป็นไปตามที่กาหนดในกฎกระทรวง
  • 5. การศึกษาภาคบังคับนั้นต่างจากการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่บังคับให้ประชาชนต้องเข้า เรียนแต่เป็นสิทธิ์ของคนไทย ส่วนการศึกษาภาคบังคับเป็นการบังคับให้เข้าเรียนถือเป็นหน้าที่ของพลเมือง ตามมาตรา 69 ของรัฐธรรมนูญ วิธีการศึกษาของเด็กไทย เรียนตั้งแต่ 8 โมงครึ่ง ถึง 4 โมงเย็น ไหนจะมีกิจกรรม และเรียนพิเศษ กว่าจะกลับบ้านก็ทุ่มสองทุ่ม พ่อแม่ไม่ทันได้เห็นหน้าลูก ก็ต้องเข้าห้องไปนอนแล้ว...ว่ากันว่า เรียนหนักที่สุด ก็คือ อายุ 11 ปี หรือ ประมาณ ป.5 นั่นเอง โดยมีชั่วโมงเรียนถึง 1,200 ชั่วโมงต่อปี ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เรียนกันประมาณ 1,000 ชั่วโมง และในบางประเทศก็ไม่ถึง 1,000 ชั่วโมงด้วยซ้า ลองไปดูกราฟข้อมูลนี้กันค่ะ ผลของการเรียนหนัก ในแง่หนึ่งมันก็มีข้อดี ที่ช่วยเคี่ยวเข็ญให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้แต่ลึกๆ แล้วคงเครียดกันน่าดู เรียนอาทิตย์ละ 5 วัน วันละ 8 ชั่วโมง กลับไปยังเจอการบ้าน และสอบกันรายเดือน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่มีคุณหมอสาขากุมารแพทย์ได้ให้ความเห็นว่าควรปรับลด เวลาเรียนของเด็กไทยลง เพราะการสอนที่อัดแน่นเกินไปจะปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ดร.ปรีชา เมธาวัสรภาคย์ผอ.สานักวิจัยเอแบคโพล สถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยว่า เอแบคโพล ร่วมกับ สานักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ทาการสารวจเรื่อง เด็กและเยาวชนไทยอยากเห็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงจากการศึกษาไทย โดยสารวจเด็กและเยาวชนอายุ 14-18 ปี
  • 6. ใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ จานวน 4,255 คน ระหว่างวันที่ 1-15เม.ย.2557 ผลปรากฏว่า ร้อยละ 58.9 เห็นว่า โอกาสและมาตรฐานทางการศึกษาของไทยไม่เท่าเทียมกัน ร้อยละ 58.7 เห็นว่าเด็กไทยเรียนหนักมากที่สุด ในโลก แต่ไม่สามารถนาความรู้ในห้องเรียนไปประยุกต์ใช้ได้ร้อยละ 54.8 เด็กไทยไม่ได้เรียนในสิ่งที่อยาก เรียน ร้อยละ 53.1 เห็นว่าการเรียนการสอนเริ่มต้นจากความรู้ในหนังสือและจบลงที่ข้อสอบ ร้อยละ 30.7 ระบุว่าความรู้ที่ใช้สอบได้จากการเรียนกวดวิชา ร้อยละ 25.0 อยากถามครูเกี่ยวกับวิธีการสอนของครู เช่น ทาไมครูไม่หาวิธีการสอนที่สนุก และไม่น่าเบื่อ, ทาไมสอนต้องอ่านตามหนังสือ ทาไมสอนในห้องเรียนไม่ รู้เรื่อง แต่สอนพิเศษรู้เรื่อง เป็นต้น 2.4 การศึกษาของประเทศญี่ปุ่ น ระบบศึกษาของญี่ปุ่ น สังคมญี่ปุ่นให้ความสาคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก เด็กๆจะได้รับ การศึกษาใน 3 ทาง ได้แก่ เรียนโรงเรียนรัฐบาลสาหรับการศึกษาภาคบังคับ เรียนโรงเรียนเอกชนสาหรับ การศึกษาภาคบังคับ หรือ เรียนโรงเรียนเอกชนที่ไม่ได้ยึดมาตรฐานของกระทรวงการศึกษา วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (MEXT) แม้ว่าการเรียนในชั้นมัธยมปลาย จะไม่เป็นการศึกษาภาคบังคับ ประชาชนมากกว่า 90% ก็เข้าเรียนในชั้นมัธยมปลาย นักเรียนมากกว่า 2.5 ล้านคนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และวิทยาลัย ในอดีต กระบวนการคัดเลือกเพื่อเรียนในชั้นสูงขึ้น ถูกมองว่า "โหด" หรือ "ราวกับสงคราม" แต่ด้วยจานวนของเด็กญี่ปุ่นที่มีอัตราการเกิดน้อยลง กระแสนี้ก็เปลี่ยนไปในทางอื่น ปัจจุบันโรงเรียนต่าง แข่งขันกันเองเพื่อรับนักเรียน เด็กๆจานวนมากถูกส่งไปยัง จุกุ (โรงเรียนกวดวิชา) นอกเหนือจากการเรียน ในโรงเรียน การศึกษาในสังคมญี่ปุ่ น วัฒนธรรมญี่ปุ่นสอนให้เคารพต่อสังคมและมีการสร้างแรงจูงใจให้อยู่ รวมเป็นกลุ่มโดยให้รางวัลเป็นกลุ่มมากกว่าจะให้รางวัลเป็นบุคคล การศึกษาของญี่ปุ่นเน้นหนักในเรื่อง ความขยัน การตาหนิตนเอง และอุปนิสัยการเรียนรู้ที่ดี ชาวญี่ปุ่นถูกปลูกฝังว่าการทางานหนักและความ ขยันหมั่นเพียรจะทาให้ประสบความสาเร็จในชีวิต โรงเรียนจึงอุทิศให้กับการสอนทัศนคติ คุณธรรม จริยธรรมให้กับนักเรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อที่จะพัฒนาอุปนิสัยและมีเป้ าหมายในการสร้าง ประชากรที่สามารถอ่านออกเขียนได้และปรับตัวให้เข้ากับค่านิยมและวัฒนธรรมของสังคมได้ ความสาเร็จทางการศึกษาของญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล ในการสอบวัด ความรู้ด้านคณิตศาสตร์นานาชาติ เด็กญี่ปุ่นถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆมาโดยตลอด ระบบนี้เป็นผลมาจาก
  • 7. การสมัครเข้าเรียนสูง ตลอดจนอัตราการรับ ระบบการสอบเข้า (การสอบเอนทรานซ์) โดยเฉพาะในระดับ มหาวิทยาลัยมีอิทธิพลต่อการศึกษาทั้งระบบเป็นอย่างมาก รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนทางการศึกษาแต่ เพียงผู้เดียว โรงเรียนเอกชนก็มีบทบาทสาคัญในด้านการศึกษา รวมถึงโรงเรียนที่อยู่นอกระบบเช่นวิทยาลัย ของเอกชน ก็มีบทบาทสาคัญในการศึกษาและเป็นส่วนมากในการศึกษา เด็กๆส่วนใหญ่จะเข้าโรงเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล แม้ว่าจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาก็ตาม ระบบการศึกษาเป็นภาคบังคับ เลือกโรงเรียนได้อิสระและให้การศึกษาที่พอเหมาะแก่เด็กๆทุกคนตั้งแต่ เกรด 1 (เทียบเท่า ป.1) จนถึง เกรด 9 (เทียบเท่า ม.3) ส่วนเกรด 10 ถึงเกรด 12 (ม.4 - 6) นั้นไม่บังคับ แต่ 94% ของนักเรียนที่จบชั้นมัธยมต้น เข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมปลาย ประมาณ 1 ใน 3 ของนักเรียนที่จบชั้นมัธยม ปลายเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย 4 ปี junior colleges 2 ปี หรือเรียนต่อที่สถาบันอื่นๆ ญี่ปุ่นเป็นสังคมที่ให้ความสาคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก และเป็นสังคมที่มีระเบียบวินัย การศึกษาเป็นสิ่งที่น่าเคารพยกย่อง และความสาเร็จเป็นเงื่อนไขสาคัญสาหรับการประสบความสาเร็จในงาน และในสังคม ทุกวันนี้ มุมมองแตกต่างออกไป โรงเรียนต่างแข่งขันกันเพื่อรับนักเรียน การสอบเอนทรานซ์ กลายเป็นสิ่งที่ stolid in an attempt to maintain operations ทุกวันนี้ โรงเรียนรับนักเรียนในอัตราต่ากว่าที่รับ ได้มาก ถือเป็นปัญหาด้านงบประมาณขั้นรุนแรง โรงเรียนถูกสร้างเพื่อรับนักเรียน 1,000 คน แต่กลับรับ นักเรียนเพียง 1 ใน 3 ของจานวนที่รับได้แต่นี้ไม่ได้ทาให้จานวนนักเรียนในแต่ละห้องน้อยลง ห้องเรียน ส่วนใหญ่มีนักเรียนอยู่ระหว่าง 35 - 45 คน การศึกษาชั้นประถมและชั้นมัธยม - ชั้นประถม (小学校 โชกักโก): 6 ปี, อายุ 6–12 ปี - ชั้นประถม (小学校 โชกักโก): 6 ปี, อายุ 6–12 ปี - ชั้นประถม (小学校 โชกักโก): 6 ปี, อายุ 6–12 ปี ปีการศึกษาจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน และสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป การเรียนจะแบ่งเป็น 3 เทอม โดยมีช่วงปิดเทอม ในสมัยก่อน เด็กญี่ปุ่นจะต้องเรียนที่โรงเรียนตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์เต็มวัน และ เรียนวันเสาร์อีกครึ่งวัน สิ่งเหล่านี้หมดไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 อย่างไรก็ตาม ครูหลายคนยังสอนในช่วงสุด สัปดาห์รวมถึงวันหยุดภาคฤดูร้อนซึ่งมักจะเป็นเดือนสิงหาคม กฎหมายกาหนดให้หนึ่งปีการศึกษามีการ เรียนอย่างน้อย 210 วัน แต่โรงเรียนส่วนมากมักจะเพิ่มอีก 30 วันสาหรับเทศกาลของโรงเรียน การแข่งขัน
  • 8. กีฬา และพิธีที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ร่วมมือกันทางานเป็นกลุ่มและสปิริตของ โรงเรียน จานวนวันที่มีการเรียนการสอนจึงเหลืออยู่ประมาณ 195 วัน ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อในเรื่องของการศึกษาว่า เด็กๆทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ ความ พยายาม ความพากเพียร และการมีระเบียบวินัยต่อตนเองต่างหาก ที่เป็นตัวกาหนดความสาเร็จทางการศึกษา ไม่ใช่ความสามารถทางการเรียน การศึกษาและพฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถฝึกอบรมได้ดังนั้น นักเรียนใน ชั้นประถมและชั้นมัธยมต้นจึงไม่ได้ถูกแบ่งกลุ่มหรือสอนตามความสามารถของแต่ละคน การสอนจะไม่ถูก ปรับให้เหมาะสมกับความแตกต่างของบุคคล หลักสูตรการศึกษาแห่งชาติกาหนดให้นักเรียนได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่พอเหมาะ และการเรียน ภาคบังคับถือเป็นการปฏิบัติต่อนักเรียนด้วยความเสมอภาค มีการกระจายงบประมาณไปตามโรงเรียนต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม การที่หลักสูตรกาหนดเช่นนี้ส่งผลให้ขาดความยืดหยุ่น รวมถึงความ สอดคล้องกันของพฤติกรรม ความพยายามเพียงน้อยนิดที่จะกระตุ้นนักเรียนให้มีความสนใจพิเศษ การ ปฏิรูปการศึกษาในปลายทศวรรษที่ 198 มีเป้ าหมายเพื่อเน้นในเรื่องความยืดหยุ่น ความคิดสร้างสรรค์ และ การเพิ่มโอกาสให้นักเรียนได้แสดงออกในสิ่งที่ตนเองชอบ แต่กระนั้นความพยายามก็บังเกิดผลเพียงน้อยนิด การคิดเชิงวิพากษ์ไม่ถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในระบบการศึกษาญี่ปุ่น นักเรียนจะถูกสอนให้จาเนื้อหาที่พวกเขา ต้องใช้สอบ ผลการเรียนที่สูงจึงไม่ได้ชี้วัดหรือสะท้อนความสามารถที่แท้จริงของนักเรียน ปัญหาที่มีมาโดยตลอดคือ ความคิดเกี่ยวกับการ"กด"นักเรียนที่ทาตัวโดดเด่นในห้องเรียน เนื่องจาก นักเรียนจะถูกจากัดให้ทาเกรดในแต่ละวิชา จึงไม่มีความต้องการรับนักเรียนที่มีความสามารถเป็นเลิศหรือ นักเรียนที่ขาดความสามารถในการเรียน เช่น นักเรียนที่เกิดในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก ก็ยังต้อง เรียนวิชาภาษาอังกฤษในระดับชั้นที่เขาเรียน เช่นเดียวกับนักเรียนชั้นมัธยม 3 ที่ยังไม่ได้เรียนวิชา คณิตศาสตร์ปีแรก เขาจะต้องเข้าเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับที่เกินกว่าความสามารถของเขา นักเรียนที่ ขาดความสามารถในการเรียนจะถูกจัดให้เรียนในชั้นเรียนปกติ ซึ่งครูไม่ได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษสาหรับ การสอนพวกเขา ไม่มีวิธีแก้ไขหรือมีชั้นเรียนพิเศษสาหรับความต้องการของนักเรียนแต่ละคน เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัญหาเหล่านี้ทาให้ผู้ปกครองบางคนปฏิเสธที่จะยอมรับว่าบุตรหลานของตนมี ความต้องการพิเศษ เทียบกับในสหรัฐอเมริกา หลายเขตในญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีการเรียนการสอนพิเศษสาหรับ นักเรียนที่ขาดความสามารถในการเรียนรู้ขั้นรุนแรง ในกรณีนี้ นักเรียนแต่ละคนจะมีครูหรือผู้ดูแลคอย
  • 9. ช่วยเหลือพวกเขา ขณะที่โรงเรียนเหล่านี้มีบริการพิเศษสาหรับคนกลุ่มน้อย adult service กาลังจะหายไป อย่างช้าๆเพราะการตัดงบประมาณ มีข้อยกเว้นสาหรับการศึกษาภาคบังคับ นักเรียนที่พ่อแม่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น เช่น ลูกของผู้ใช้แรงงานที่ อพยพเข้ามา ก็สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนได้แม้จะไม่ได้บังคับก็ตาม ซึ่งในกรณีนี้ ความรับผิดชอบสาหรับ การสอนภาษาให้กับนักเรียนกลุ่มนี้จะตกอยู่กับโรงเรียนซึ่งมักจะไม่สามารถจัดการเรียนการสอนตามภาษา ของนักเรียนได้ยิ่งกว่านั้น การสอนจะไม่ถูกปรับให้เหมาะสมกับความแตกต่างของแต่ละคน ลูกของผู้ใช้ แรงงานที่ไม่สามารถใช้ภาษาได้ดีแทบจะไม่ประสบความสาเร็จในโรงเรียนของญี่ปุ่น แม้แต่ผู้ที่ใช้ ภาษาญี่ปุ่นได้พวกเขาก็ต้องเจอกับการแบ่งแยก ด้วยเหตุนี้ นักเรียนที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นมักจะมีชื่อภาษาญี่ปุ่น และบางครั้งก็ถูกบีบบังคับให้ซ่อนความเป็นตัวของตัวเองไม่ให้ผู้อื่นเห็นแม้แต่เพื่อนสนิทของเขาเอง อย่างไรก็ตาม มีความเข้าใจผิดว่านักเรียนที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นจะไม่สามารถเข้าร่วมการประกวดสุนทรพจน์ หรือโปรแกรมแลกเปลี่ยนต่างประเทศได้แม้ว่านักเรียนที่เติบโตในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก มักจะถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมประกวดสุนทรพจน์ แต่เชื้อชาติก็ไม่ได้เป็นปัจจัย ตัวอย่างเช่น ในโตเกียว นักเรียนชาวจีนและชาวเกาหลีก็เข้าร่วมการประกวดสุนทรพจน์ และโปรแกรมแลกเปลี่ยนต่างประเทศ นักเรียนที่เรียนในการศึกษาภาคบังคับจะได้รับตาราเรียนฟรี คณะบริหารของโรงเรียนเป็นผู้เลือก ตาราเรียนทุกๆสามปี โดยเลือกจากรายชื่อหนังสือที่กระทรวงการศึกษาได้รับรองแล้วหรือหนังสือที่ กระทรวงจัดทาขึ้นเอง กระทรวงจะเป็นผู้รับภาระค่าตาราทั้งในโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชน ตารา เรียนมีขนาดเล็ก ใช้ปกอ่อนหุ้ม สามารถพกพาได้โดยง่าย และถือเป็นสมบัติของนักเรียน โรงเรียนส่วนใหญ่จะมีระบบดูแลด้านสุขภาพ มีสิ่งของด้านการศึกษาและกีฬาอยู่พอประมาณ โรงเรียนประถมส่วนใหญ่มีสนามเด็กเล่นกลางแจ้ง ประมาณร้อยละ 90 มีโรงยิม และ 75% มีสระว่ายน้า กลางแจ้ง ห้องเรียนส่วนมากยังขาดแคลนคอมพิวเตอร์และเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ การเรียนการสอนและ โครงงานของนักเรียนมักไม่ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย อินเทอร์เน็ตยังไม่ถูกนามาใช้ประโยชน์ทางด้านการศึกษา มากนัก ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม นักเรียนจะต้องอยู่ในกลุ่มโฮมรูมของตน หมายความว่า พวกเขาจะต้อง ทางานกับนักเรียนที่อยู่ในโฮมรูมเดียวกันตลอดทั้งปี โฮมรูมและหลักสูตรการศึกษาญี่ปุ่นปลูกฝังเรื่องการ ทางานเป็นกลุ่มและความภาคภูมิใจในโรงเรียนของตน โรงเรียนที่ญี่ปุ่นมีนักการภารโรงที่ทางานด้านความ สะอาดอยู่น้อยมาก
  • 10. วิธีการเรียนของเด็กญี่ปุ่ น - ทาการจดโน้ต และสรุปงานอย่างเป็นระบบ 1. แบ่งหัวข้อ เวลาฟังเลคเชอร์ ไม่ใช่ว่าสักแต่จะจดทุกคา ต้องจับประเด็น และใจความสาคัญให้ได้แล้วเรียบเรียง ลงในสมุด ซึ่งการแบ่งหัวข้อเวลาจดโน้ตจะทาให้เราเรียบเรียงความสัมพันธ์ของเนื้อหาได้เป็นลาดับมากขึ้น การแบ่งเป็นหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย 2. เว้นที่ว่างไว้บ้าง การจดแบบอัดแน่นไปด้วยตัวอักษรนอกจากจะอ่านยากแล้ว ทาให้หมดอารมณ์ในการอ่านอีกด้วย การเว้นบรรทัดระหว่างหัวข้อ หรือเว้นที่ไว้สาหรับประเด็นที่ยังไม่เคลียร์ ทาให้เราสามารถจดเพิ่มเติมตอน อ่านทบทวนได้และนอกจากนี้ยังสบายตาเวลาจะหาประเด็นสาคัญๆ ในหน้านั้นๆ
  • 11. 3. ซีรอกซ์ เอาภาพแผนที่มาแปะในสมุด ข้อมูลบางอย่างที่ยากต่อการเขียน อย่างเช่น ในวิชาภูมิศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์ ที่มีพวกแผนที่ หรือ บุคคลสาคัญๆ ก็ไม่ต้องพยายามจดหรอกค่ะ เข้าห้องสมุดถ่ายเอกสารตรงส่วนนั้น หรือปริ้นจากเน็ต แล้วนามาแปะลงสมุดโน้ต 4. ทาสารบัญ ถึงจะเป็นสมุดโน้ต แต่การทาสารบัญก็มีความสาคัญไม่น้อยค่ะ โดยเว้นหน้าแรกของสมุดไว้เขียน หัวเรื่อง และเลขหน้าไว้(เหมือนหนังสือ) แต่จะเพิ่มรายละเอียดลงไปนิดนึงว่า หัวเรื่องนี้มีรายละเอียด หรือ ประเด็นย่อยๆ อะไรบ้างภายในหนึ่งบรรทัด เพื่อที่ว่าเวลาทบทวน จะได้หาง่ายขึ้น แล้วก็อย่าลืมหาโพสต์อิท มาแปะตรงมุมขวาให้โผล่ออกมานอกสมุดนิดนึงนะคะ จะได้หาง่ายๆ แถมยังมีสีสันอีกด้วย
  • 12. 5. การตัดจบก็สาคัญนะ จดไม่พอ ก็เอามาแปะ เวลาสรุปเรื่องๆ หนึ่ง พยายามให้จบภายในหนึ่งหน้า ถ้าทาไม่ได้ก็เอาส่วนที่เกินมาแปะไว้ตรงมุม กระดาษ (เวลาปิดสมุดจะได้พับเก็บเข้าไปได้) วิธีนี้ก็เพื่อจัดระเบียบข้อมูล ไม่ให้เวลาอ่านแล้วทาให้จา สับสนค่ะ เลือกใช้คีย์เวิร์ด ตัวย่อ เพื่อที่จะไม่ทาให้หนึ่งหน้ากระดาษดูอัดแน่นจนเกินไป และยังดีเวลาอ่าน แบบกวาดสายตาด้วย 6. สร้างสไตล์การจดของตัวเอง (ตัวอย่าง) วิชาไหนจะจดแบบไหน กาหนดเองให้ง่ายต่อการอ่าน และจดจาเนื้อหา
  • 13. 7. จดให้สวยงาม ลายมือก็สาคัญนะจ้ะ ไม่ได้หมายความว่าต้องคัดลายมือค่ะ แต่แค่ทาให้ตัวอักษรเป็นระเบียบ เขียน อ่านให้ออก ชัดเจนก็พอ - ญี่ปุ่ นเริ่มฝึกวินัยกันตั้งแต่ที่โรงเรียน โรงเรียนในประเทศญี่ปุ่น เด็กชั้นประถม 1 – 6 ส่วนใหญ่มักจะเดินไปโรงเรียน โดยจะมีการรวมตัว กันตามจุดต่างๆ เดินแถวไปโรงเรียน โดยจะมี “ซิลเวอร์ซัง” ซึ่งเป็นผู้สูงอายุในชุมชนที่เกษียณอายุแล้ว จะ มาคอยทาหน้าที่ดูแลและรักษาความปลอดภัยให้เด็กนักเรียน ทั้งขาไปและขากลับ เด็กจะใส่หมวกสีเหลือง เพราะเป็นสีที่เห็นได้ชัดเจน เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง โดยผู้ใหญ่จะ สังเกตได้ง่าย และสามารถให้ความช่วยเหลือได้ เด็กนักเรียนโรงเรียนรัฐบาล จะไม่ใส่ชุดนักเรียน เพื่อให้เด็กรู้จักสร้างสรรค์ แสดงออกในการแต่ง กายที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจาวัน และเป็นการบ่งชี้เอกลักษณ์ของเด็กคนนั้นๆ แต่ก็มีการแต่ชุด เครื่องแบบในโรงเรียนเอกชน ตอนเช้าก่อนเข้าห้องเรียน เด็กจะเปลี่ยนรองเท้าเป็นแบบเดียวกันและเก็บให้เป็นระเบียบ เพื่อความ สะอาดของห้องเรียน และไม่ต้องการให้มีความแตกต่างของรองเท้าที่อาจจะมีทั้งราคาถูกและราคาแพงเด็ก นักเรียน จะไม่มีการพกเงินไปโรงเรียน เพราะที่โรงเรียนจะไม่มีร้านขายของ ไม่ตู้ขายอัตโนมัติ ทุกเช้าก่อน เริ่มเรียน จะมีการตรวจเช็คว่า นักเรียนพกผ้าเช็ดหน้าและกระดาษทิชชูมาหรือไม่ เพื่อการรักษาความสะอาด และสุขอนามัย ถ้าลืมจะถูกหักคะแนน และมีผ้าเช็ดหน้าสารองให้ยืม และจะมีการซักถามว่า มีใครไม่สบาย หรือไม่ ถ้ามีก็ต้องใช้ผ้าปิดปาก ดูแลตัวเอง ไม่ให้แพร่ไปยังเพื่อน และทุกคนก็จะมีการติดป้ ายชื่อนักเรียนที่ หลังห้องเรียน จะมีกระดาษเขียนเป้ าหมายของเด็กๆ ปิดไว้เพื่อเตือนให้ปฏิบัติตนตามเป้ าหมายที่ให้ไว้เช่น ผมจะไม่มีสายอีก หนูจะยกมือตอบคาถามให้บ่อยขึ้น
  • 14. เด็กนักเรียนจะมีการเปลี่ยนที่นั่งกันทุก 1 เดือน หรือ ทุก 3เดือน โดยให้เด็กผู้ชายอกไปยืนรอนอก ห้อง แล้วให้เด็กผู้หญิงจัดโต๊ะและเลือกที่นั่งก่อน แล้วจึงให้เด็กผู้ชายเขามาเลือกที่นั่ง โดยไม่รู้ว่าจะได้นั่งคู่ กับใคร เป็นการทาความรู้จักกัน เรียนรู้ ปรับตัว สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความสามัคคีกับเพื่อนนักเรียน การเรียนการสอน @ มักจะเน้นการเรียนนอกห้องเรียน เพื่อเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง @ ในการเรียนภาษาญี่ปุ่น เด็กจะลุกขึ้นมาอ่านคนละประโยคเอง ไม่มีการชี้หรือบังคับ @ การเรียนมักจะปล่อยให้เด็กได้ทาอะไรได้อย่างอิสระ เรียนด้วยความสุข สนุก @ ครูจะไม่มีการดุ หรือต่อว่านักเรียนที่คุยกันในห้องเรียน เด็กนักเรียนจะมีความตั้งใจในการเรียน แย่งกันตอบ แข่งขันกันอย่างเต็มที่ เด็กที่ตอบจะได้ติดป้ ายชื่อขึ้นบนกระดาน @ วิชาดนตรีทาให้เด็กๆ มีจิตใจที่อ่อนโยน โรงเรียนก็จะจัดให้มีการเรียนการสอนวิชาดนตรี @ ครูจะให้เด็กเป็นคนคิดเอง ว่าจะต้องทาอะไร ตัดสินใจเองว่า เรื่องนี้ควรทา เรื่องนั้นต้องทา อย่างไร เรื่องอาหารการกิน @ ห้องครัวจะมีการรักษาสะอาดอย่างมาก ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไป @ เด็กจะถูกฝึกให้สัมผัสรสชาติอาหารต่างๆ ให้มากๆ เด็กจะถูกเปลี่ยนจากอาหารที่ไม่ชอบ ให้ชอบ มากขึ้น โดยจะมีการทาเป็นชิ้นเล็กๆ หรือบด หรือโดยการผสมกับอาหารที่ชอบ @ แม่ครัวจะนาตัวอย่างอาหารมาให้ชม ซึ่งอาหารจะผ่านการจัดจากทีมโภชนาการ เด็กๆ จะได้ สารอาหารครบถ้วนทั้ง ข้าว ผัก เนื้อ ปลา และนม @ เด็กจะเป็นคนตักอาหารด้วยตนอง หลังจากที่ทาความเคารพขอบคุณอาหารแล้ว ถ้าอาหารที่รับมา มากเกินไป สามารถนากลับไปคืน ไม่มีการกินเหลือ เป็นการสร้างนิสัยการรู้จักความพอดี
  • 15. @ หลังจากทานอาหารเสร็จ ทุกคนจะช่วยกันเก็บภาชนะให้เรียบร้อย เก็บพับกล่องนมเพื่อนาไปรี ไซเคิล (Recycle) ช่วยกันทาความสะอาด เก็บกวาดห้องเรียน แยกขยะเปียกแห้ง รีไซเคิลดังนั้น นิสัยการ รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบ จะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก @ หลังอาหาร ก็จะเป็นเวลาเล่น เด็กๆ จะเรียน 2 ชั่วโมง และจะได้พัก 15 นาที เด็กเล็กๆ จะใส่ หมวกสีแดง เพื่อให้เด็กโตระมัดระวังความปลอดภัย @ ในวิชาพละ เด็กๆ จะต้องนาอุปกรณ์ออกมาเอง เมื่อเรียนเสร็จก็จะต้องเก็บอุปกรณ์ เพื่อสร้างนิสัย การเสียสละเพื่อส่วนรวม การเล่นก็จะให้เด็กได้มีการวางแผน เพื่อที่จะกาหนดว่า จะชนะอย่างไร ก่อนจะเลิกเรียน @ จะมีการประชุมกัน มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ผ่านมา 1วัน สิ่งที่ดี ที่เพื่อนทาให้ ก็จะมีการ ชมเชย สิ่งใดที่ผิดพลาด ก็จะนากลับไปแก้ไข คุณครูก็จะช่วยสรุปว่า ให้เด็กทุกคน ทาดีทุกวัน @ ก่อนกลับบ้านก็จะมีเสียงตามสาย จากนักเรียนรุ่นพี่ จะกล่าวคาลาลา และย้าเตือนว่าเรื่องของ พรุ่งนี้ อย่าลืมทาตามเป้ าหมายที่ตั้งใจไว้อย่าลืมของ และดูแลรักษาสุขภาพตนเอง ความเห็นเพิ่มเติม สิ่งที่เราเห็นว่า เป็นสิ่งที่ดี น่านาไปประยุกต์ใช้ก็ คือ... @ คนญี่ปุ่นจะเน้นเรื่องอนามัยส่วนบุคคล ในการใช้ผ้าปิดปาก เมื่อรู้ว่า ตนเองไม่สบาย ก็ต้องไม่ แพร่เชื้อโรค โดยการใช้ผ้าปิดปาก @ การย้าเป้ าหมายความตั้งใจที่จะทาให้สาเร็จ พูดถึงข้อผิดพลาดที่ต้องได้รับการแก้ไข @ การฝึกการพูด เท่าที่ผมรู้จักคนญี่ปุ่น ทุกคนจะวิธีการมีการพูดที่ดี มีสไตล์การพูดเป็นของตนเอง @ ความสะอาดและความเป็นระเบียบ ที่ถูกฝึกกันมาตั้งแต่เด็ก ทาให้มองไปทางไหนในประเทศ ญี่ปุ่นก็จะมีแต่ความสะอาดตา และทุกคนจะให้ความร่วมมือในการรักษาความสะอาด @ คนญี่ปุ่นจะมีความรับผิดชอบอาหารของตนเอง ไม่กินเหลือทิ้ง โดยอาหารแต่ละมื้อจะเน้นคุณค่า สารอาหาร แคลอรี่ และแม่ครัวจะต้องมีใบอนุญาต โดยหลายๆ อาชีพของคนญี่ปุ่นมักจะต้องมีการออก ใบอนุญาต
  • 16. 2.5 การศึกษาของประเทศเกาหลี ระบบการศึกษาของเกาหลีใต้ จัดตามข้อกาหนดของกฎหมายการศึกษาซึ่งประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 1949 กาหนดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิได้รับการศึกษาตามความสามารถ โดยเด็กทุกคนต้องได้รับ การศึกษาในระดับประถมศึกษาเป็นอย่างน้อย ซึ่งรัฐจัดให้ฟรี ระบบการศึกษาของเกาหลีใต้เป็นระบบ 6 – 3 – 3 – 4 คือ ชั้นประถมศึกษา 6 ปี มัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี มัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี และวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย 4 ปี กฎหมายการศึกษาได้กาหนดวันเวลาการเรียนใน 1 รอบปีการศึกษาของระดับ ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลายเท่ากับ 220 วัน ระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย เท่ากับ 32 สัปดาห์ ภาคเรียนมี 2 ภาค ภาคต้นเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 31 สิงหาคม ภาคเรียนที่ 2 เริ่ม ตั้งแต่ วันที่ 1 กันยายน ถึง สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ระบบการศึกษาของเกาหลีจัดแยกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. การศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาขั้นพื้นฐานมี 3 ระดับคือ อนุบาลศึกษาหรือก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา 2. การศึกษาระดับอุดมศึกษา ระบบการศึกษาของเกาหลีระดับอุดมศึกษา แบ่งสถาบันการศึกษาออกเป็น 5 ประเภท คือ วิทยาลัย หรือ มหาวิทยาลัยหลักสูตร 4 ปี (ซึ่งรวมทั้งมหาวิทยาลัยเปิด) วิทยาลัยครู วิทยาลัยอาชีวศึกษา โพลีเทคนิคและ โรงเรียนพิเศษ (miscellaneous schools) โดยสถาบันทั้งหมดสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ แต่ละประเภทมี ลักษณะดังนี้คือ 2.1 วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย หลักสูตรปริญญาตรีจะมีหน่วยกิตไม่น้อยกว่า 140 หน่วยกิต ในมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งอาจจะมี บัณฑิตวิทยาลัยที่เปิดสอนถึงปริญญาโทและเอกได้ปัจจุบันมหาวิทยาลัยพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการ บริหารวิชาการ โดยพยายามรวมภาควิชาที่มีลักษณะใกล้เคียงกันให้อยู่เป็นภาควิชาเดียวกัน เพื่อให้เกิดความ ร่วมมือกันผลิตบัณฑิตและเป็นการลดพรมแดนการแบ่งแยกภาควิชาไปในตัว ในส่วนของมหาวิทยาลัยเปิด (Korea National Open University) มีต้นกาเนิดมาจากมหาวิทยาลัย ทางอากาศเกาหลี ที่มีฐานะเป็นสถาบันสมทบกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ในปี 1972 มุ่งเน้นการสอนใน ด้านอาชีวศึกษา และปรับมาเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งชาติเกาหลีในปี 1994 รัฐจะกาหนดเกณฑ์มาตรฐานเป็นบรรทัดฐานเพื่อการรับรองคุณภาพมหาวิทยาลัย ซึ่งมาตรฐานจะ แตกต่างไปตามรูปแบบของมหาวิทยาลัย ปัจจุบันรัฐอนุญาตให้ตั้งมหาวิทยาลัยในระดับจังหวัดได้ เพื่อให้ เกิดมหาวิทยาลัยขนาดเล็กที่สามารถตอบสนองชุมชนหรือความต้องการของ สาขาวิชาชีพซึ่งเป็นแนวคิด
  • 17. ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของระบบการศึกษาของเกาหลี แต่มหาวิทยาลัยก็ต้องมีการประเมินตนเองเป็นประจา ทุกปี ในแง่ของการประเมินจากองค์กรภายนอกจะดูที่คุณภาพของงานวิจัยและจานวนผู้จบการศึกษา ปัจจุบันมีองค์กรอิสระที่ไม่ขึ้นต่อรัฐทาหน้าที่ประเมินเพื่อการรับรองคุณภาพของมหาวิทยาลัยในเกาหลี องค์กรนี้เรียกว่า สภาการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเกาหลี (Korea Council for University Education – KCUE) เป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับจากกระทรวงศึกษาธิการ วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยโดยทั่วไป 2.2 สถาบันผลิตครู มี 2 รูปแบบ คือ วิทยาลัยครูและวิทยาลัยวิชาการศึกษา 
วิทยาลัยครู ผลิตครูเพื่อไปสอนระดับ ประถมศึกษา ผู้ที่เรียนจบจะได้รับปริญญาบัตรและประกาศนียบัตรการสอนประถมศึกษา นักเรียนที่เข้า เรียนจะเป็นนักเรียนทุนได้รับการยกเว้นค่าลงทะเบียนและค่าสอน แต่เมื่อจบแล้วต้องไปเป็นครูในโรงเรียน ประถมศึกษาอย่างน้อย 4 ปี ส่วนวิทยาลัยวิชาการศึกษา ใช้หลักสูตร 4 ปี เช่นกันเพื่อผลิตครูระดับ มัธยมศึกษา นอกจากนั้นยังมีมหาวิทยาลัยทางการศึกษาชื่อว่า Korea National University of Education ตั้งขึ้นในปี 1985 เพื่อผลิตครูชั้นนาที่สามารถสอนและวิจัย เกี่ยวกับการศึกษาในระดับอนุบาล ประถมและ มัธยมได้รวมทั้งสร้างบุคลากรที่จะเป็นหัวหอกของการปฏิรูปการศึกษา ตลอดจนการเน้นบทบาทด้านการ ฝึกอบรมครูและวิจัยทางการศึกษา 2.3 วิทยาลัยอาชีวศึกษา 
 เป็นสถาบันที่สอน 2-3 ปี หลังระดับมัธยมศึกษา สาขาวิชาที่ยอดนิยมคือ วิศวกรรม เทคโนโลยี และพยาบาล 2.4 โพลีเทคนิคหรือมหาวิทยาลัยเปิดทางอุตสาหกรรม (Open Industrial University)
 สถาบันนี้มุ่งให้การศึกษาทางอาชีวะแก่ผู้ใหญ่ที่กาลังทางานและประสงค์จะเรียนในระดับอุดมศึกษา 2.5 โรงเรียนเสริมพิเศษ (Miscellaneous school) เป็นสถาบันที่ตั้งขึ้นเพื่อเปิดสอนสาขาวิชาที่ไม่ได้เปิดสอนในวิทยาลัยโดยปกติทั่วไป สถาบันจึงมี ขนาดเล็กกว่าวิทยาลัยแต่ก็เปิดสอนหลักสูตร 4 ปีเช่นกันในบางแห่ง เมื่อจบแล้วผู้เรียนจะได้รับวุฒิบัตรและ ประกาศนียบัตร มีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากับวิทยาลัยอื่น ถ้าสถาบันที่จบได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ 3. ระบบการศึกษาของเกาหลี ยุคใหม่ ระบบการศึกษาของเกาหลียุคใหม่เป็นการจัดการศึกษาโดยสร้างระบบการศึกษาใหม่ (New Education System) เพื่อมุ่งสู่ ยุคสารสนเทศและโลกาภิวัตน์โดยเป้าหมายสูงสุดของระบบการศึกษา ของเกาหลียุคใหม่ คือความเป็นรัฐสวัสดิการทางการศึกษา สร้างสังคมการศึกษาแบบเปิดและตลอดชีวิต ทาให้ชาวเกาหลีทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากการศึกษาได้ทุกเวลาและทุกสถานที่รัฐปรับโครงสร้าง ระบบการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและเทคนิค นาเยาวชนเข้าสู่ชีวิตยุคสารสนเทศมีเสรีภาพที่จะถ่ายโอนการ เรียน สามารถถ่ายโอนหน่วยกิตข้ามโรงเรียนหรือข้ามสถาบันการศึกษาตลอดจนข้ามสาขาวิชาได้ณ วันนี้
  • 18. ระบบการศึกษาของเกาหลียุคใหม่ ได้ให้ความสาคัญแก่ผู้เรียน จัดให้มีโรงเรียนและการศึกษาเฉพาะทาง หลายรูปแบบ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถหาความรู้พัฒนาตนเองตามความสนใจ โรงเรียนมีอานาจใน การบริหารจัดการโดยการมีส่วนร่วมกับชุมชนและผู้ปกครองมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่และ อุปกรณ์ในระบบมัลติมีเดียช่วยให้บุคคลศึกษาหาความรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา รวมทั้งจัดตั้งบัณฑิตวิทยาลัยทาง วิชาชีพ เพื่อพัฒนาวิชาชีพในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวโดยสรุป เกาหลีได้สร้างระบบการศึกษาสมัยใหม่ ที่มุ่งพัฒนาเครือข่ายสารสนเทศเพื่อการเป็น สังคมแห่งความรู้ (Knowledge-based Society) สร้างสภาวะแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อให้คนเกาหลีมีความรู้ ความสามารถ มีความทันสมัย และที่สาคัญคือมีจริยธรรม แต่ยังคงความเป็น เลิศด้านการศึกษาและดารงมาตรฐานของระบบการศึกษาของเกาหลีได้อีกด้วย สาหรับการสอบเอ็นทรานซ์นั้น วิชาที่นักเรียนต้องสอบมีดังนี้ ซึ่งวิชาเลือกที่จะเลือกสอบนั้น ก็ต้องดูว่าคณะและสถาบันที่ต้องการเข้าต้องใช้วิชาอะไรบ้าง ซึ่งตรง นี้จะเป็นจุดที่ต่างจากการแอดมิชชั่นของไทยเพราะที่ไทยนั้นถ้าจะเข้าคณะในกลุ่มวิศวะฯก็ต้องใช้ GAT 15% , PAT 2 15% , PAT 3 20% , ONET 30% หรือถ้าจะเข้าคณะในกลุ่มสถาปัตย์ฯ ก็ต้องใช้ GAT 10 % , PAT 4 40 % จะแบ่งเป็นหมวดหมู่น้าหนักคะแนนอย่างชัดเจน ใช้เหมือนกันทุกมหาวิทยาลัย
  • 19. วิธีการเรียนของเด็กเกาหลี - เด็ก (วัยรุ่น) นักเรียนเกาหลีแทบทุกคนต้องเรียนพิเศษ การเรียนพิเศษเลิก 4 ทุ่มทุกวัน ถือเป็นเรื่อง ธรรมดา ช่วงสอบ ปลายภาคอาจมีคอร์สพิเศษเปิดสอนถึงตี 2 โดยเฉพาะวิชาเลขเป็นวิชาที่ วัยรุ่น เกาหลี ทุ่มเทมาก - นักเรียนเกาหลีเวลาเรียนเสร็จมักจะจดโน้ตย่อเอาไว้อ่านเวลาสอบ - ตารางเรียนของนักเรียนเกาหลี เช่นดังตารางต่อไปนี้
  • 20. 2.6 การศึกษาของประเทศสิงคโปร์ ระบบการศึกษาของสิงคโปร์ สิงคโปร์มีระบบการศึกษาที่เป็นเลิศประเทศหนึ่งของโลก ทุกโรงเรียน ควบคุมโดยกระทรวงศึกษาธิการโดยตรง ระบบการศึกษาของสิงคโปร์แบ่งเป็นชั้นประถมศึกษาใช้ ระยะเวลา 6 ปี และมัธยมศึกษาใช้ระยะเวลา 4 ปี จากนั้น ต่อด้วยการเรียนในระดับสูงขึ้น เช่น โปลีเทคนิค จูเนียร์คอลเลจ และมหาวิทยาลัย และการที่จะได้คัดเลือกเข้าเรียนที่โรงเรียนสิงคโปร์นั้น นักเรียนจาเป็น จะต้องทาการสอบเพื่อประเมินผลโดยการสอบเข้าโรงเรียนนั้น นักเรียนจาเป็นต้องสอบภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ เป็นวิชาหลัก และอาจมีการทดสอบภาษาจีน ขึ้นอยู่กับโรงเรียนที่นักเรียนต้องการสอบเข้า และ สาหรับนักเรียนต่างชาติที่มีความประสงค์จะเข้าศึกษาต่อในประเทศสิงคโปร์จาเป็นต้องเสียค่าบารุง การศึกษา (Donations) ให้กับ กระทรวงศึกษาธิการของสิงคโปร์เป็นจานวนเงิน $ 1,000 ทุก ๆ 2 ปีสาหรับ เงินบริจาคนี้ไม่สามารถขอคืนได้ ประเทศสิงคโปร์มีค่าใช้จ่ายถูกกว่าประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย อเมริกา อังกฤษทั้งด้านการเรียน และ ค่าที่อยู่อาศัย ค่าตั๋วเครื่องบิน และยังสะดวกในการเดินทาง เนื่องจาก ประเทศสิงคโปร์อยู่ใกล้กับ ประเทศไทย โดยใช้ระยะเวลาการบินเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น และนอกจากนี้ การที่ได้ไปศึกษาที่ประเทศ สิงคโปร์ นักเรียนยังได้เรียนรู้ถึง 2 ภาษา ซึ้งมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก และสามารถเลือก ภาษาจีน,ภาษา มาเลย์และทมิฬภาษาใดภาษานึ่งเป็นภาษารอง การศึกษาในระดับประถมศึกษา (Primary Schools) ระบบการศึกษาในระดับประถมศึกษาที่สิงคโปร์นั้นจะแบ่งการสอนออกเป็น 2 ช่วง คือ เช้า และ บ่าย การรับสมัครนักเรียนใหม่จะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโรงเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 4 (fouryear foundation stage) จะเน้นการเรียนในวิชาภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน (แมนดาริน) หรือภาษาทมิฬ, คณิตศาสตร์ และวิชาอื่น ๆ เช่น ศิลปะ ดนตรี พลศึกษา ในการเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 -6 (Two-year orientation stage) นักเรียนจะถูกแบ่งออกเป็น 3ระดับ จากผลการสอบของ ประถมศึกษาปีที่ 4 คือ EM1 EM2 EM3 โดยลักษณะการเรียนของวิชาภาษาอังกฤษ และภาษาแม่นั้นจะต่างกันนักเรียนจะต้องสอบวัด ระดับเมื่อจบ ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียกกันว่า Primary School Leaving Examination (PSLE).เพื่อวัดระดับว่า นักเรียนจะต้องเรียนในชั้นมัธยมเป็นระยะเวลา 4 ปี หรือ 5 ปี
  • 21. การศึกษาในระดับมัธยมศึกษา (Secondary School) โรงเรียนมัธยมศึกษาในสิงคโปร์จะแบ่งออกเป็น 2 ระบบและจะมีหลักสูตรแตกต่างกันไปทั้งนี้ นักเรียนจะถูกเลือกให้อยู่ระบบใดระบบหนึ่งนั้นขึ้นอยู่กับผลการสอบ PSLE ของนักเรียนแต่ละคน ระบบที่ ใช้ระยะเวลา 4 ปี จะเรียกว่า Special and Express Courses ซึ้งการเรียนการสอนนั้นจะเน้นการเตรียมตัวให้ นักเรียนสอบ The Singapore-Cambridge General Certificate of Education “Ordinary” (GCE ‘O’) ตอนจบ มัธยมศึกษาปีที่ 4 และ ระบบที่ใช้ระยะเวลา 5 ปี คือ Normal Course แบ่งการเรียนการสอนเป็น Academic และ Technical และเมื่อนักเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 4 นักเรียนจะต้องสอบ Singapore-Cambridge General Certificate of Education “Normal”(GCE ‘N’) สาหรับนักเรียนที่สอบได้คะแนนดี สามารถเรียนต่อ มัธยมศึกษาปีที่ 5 เพื่อสอบ GCE ‘O’ ต่อไป แต่ สาหรับนักเรียนที่สอบได้คะแนน GCE ‘N’ ไม่ดี ก็สามารถเรียนต่อในทางด้านเทคนิค ITE. หลังจากนักเรียน จบการศึกษาในระดับมัธยมนักเรียนสามารถที่จะเลือกเรียนในขั้นอุดมศึกษาต่อไป เตรียมเข้ามหาวิทยาลัย (Junior College หรือ Pre University)สาหรับนักเรียนที่ได้ผ่านการทดสอบ GCE ‘O’ Level เรียบร้อยแล้วและมีความประสงค์ที่จะเลือกเรียนต่อที่ Junior College ใช้ระยะเวลา 2 ปี หรือ หลักสูตรเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย (Pre-university) ใช้ระยะเวลา 3 ปี เพื่อการเตรียมพร้อมสอบ GCE ‘A’ Level เมื่อสอบผ่านนักเรียนถึงจะสามารถเข้าเรียนต่อในระดับชั้นมหาวิทยาลัย หรือสามารถสมัครเรียนที่ มหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ทั่วโลก สาหรับนักเรียนที่สอบไม่ผ่าน GCE ‘A’ Level ก็สามารถที่จะเลือกเรียนต่อโป ลีเทคนิค โปลีเทคนิค (Polytechnics) เป็นโรงเรียนเปิดสอนหลักสูตรวิชาชีพโดยมีสาขาให้เลือกมากมาย อาทิเช่น วิศวกรรม, ธุรกิจ, สื่อสารมวลชน ฯลฯ สาหรับนักเรียนที่สาเร็จการศึกษาแล้วสามารถจบออกมา ทางานได้เลย โดยหลักสูตรนี้จะใช้เวลาเรียน 3 ปี การศึกษาสาหรับสาขาวิชาช่าง Institutes of Technical Education (ITE) เป็นโรงเรียนเปิดสอน หลักสูตรสาขาวิชาช่าง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการเพิ่มทักษะทางด้านการปฏิบัติและวิชาการ และสาหรับนักเรียน ที่มีเกณฑ์คะแนนดี สามารถเลือกที่จะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนโปลีเทคนิค หรือมหาวิทยาลัยแล้วแต่ความ ประสงค์
  • 22. ปีการศึกษาของสิงคโปร์จะแบ่งออกเป็น 4 ภาคเรียน ภาคเรียนละ 10 สัปดาห์ เริ่มเปิดการศึกษา ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคมของทุกปี ช่วงระหว่างภาคเรียนที่ 1 กับที่ 2 และที่ 3 กับที่ 4 จะมีการหยุด 1 สัปดาห์ ระหว่างภาคเรียนที่ 2 กับที่ 3 หยุด 4 สัปดาห์ และมีช่วงหยุด 6 สัปดาห์ เมื่อสิ้นสุดปีการศึกษา วิธีการเรียนของเด็กสิงคโปร์ - จดบันทึกข้อมูลที่เรียนอย่างเป็นระบบ อย่างเป็นขั้นตอน - เด็กแต่ละคนมีการจัดตารางในการเรียนในแต่ละวันของตนเอง - มีการแบ่งเวลาในการเรียนอย่างถูกต้อง - ในการเรียนใช้ความเข้าใจมากกว่าการท่องจา - อ่านหนังสือทุกวันวันละ 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน - มีความรับผิดชอบในตนเองในเรื่องการเรียน - การเรียนไม่แต่เรียนในห้องเรียนเท่านั้น แต่มักออกไปเรียนรู้สิ่งต่างๆนอกห้องเรียนมากกว่า ตัวอย่างผลคะแนนสอบ PISA ของประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ 4 ครั้งที่ผ่านมา