More Related Content
Similar to R บทที่ 1 (20)
R บทที่ 1
- 1. 1
บทที่ 1
บทนา
ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
การศึกษานับว่าเป็นรากฐานที่สาคัญที่สุดประการหนึ่งในการสร้างสรรค์ความเจริญ
ก้าวหน้าและแก้ปัญหาต่าง ๆ ในสังคมได้ เนื่องจากการศึกษาเป็นกระบวนการที่ช่วยให้คนได้
พัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ ตลอดช่วงชีวิต ตั้งแต่การวางรากฐานพัฒนาการของชีวิตตั้งแต่แรกเกิด
การพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่จะดารงชีพและประกอบอาชีพได้อย่าง
มีความสุข รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงรวมทั้งพลังสร้างสรรค์ประเทศอย่างยั่งยืนได้ เพื่อให้การจัด
การศึกษาขั้นพื้นฐานสอดคล้องกับสภาพความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม และความเจริญ
ทางด้านวิทยาการเป็นการสร้างกลยุทธ์ใหม่ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ให้สามารถตอบสนอง
ความต้องการของบุคคล สังคมไทย ผู้เรียนมีศักยภาพในการแข่งขันและร่วมมือกันอย่าง
สร้างสรรค์ในสังคมโลก เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (กรมวิชาการ. 2544 ก : 3)
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นคนดี
มีปัญญา มีความสุข และมีความเป็นไทย มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ
จึงกาหนดจุดมุ่งหมาย ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะอันพึงประสงค์
คือ เห็นคุณค่าของตนเองมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มีความรู้อันเป็นสากลรู้เท่าทัน
การเปลี่ยนแปลงและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ มีทักษะและศักยภาพในการจัดการ มีทักษะ
กระบวนการ มีจิตสานึกในการอนุรักษ์ไทย ภูมิปัญญาไทย ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
รักประเทศชาติและท้องถิ่น เป็นต้น (กรมวิชาการ. 2544 ก : 4 ) โดยเฉพาะในมาตรา 24
การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังต่อไปนี้
(1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึง
ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล (2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์
และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา (3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
จากประสบการณ์จริง ฝึกปฏิบัติให้ทาได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
(5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียนและอานวย
ความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่ง
- 2. 2
ของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและ
แหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ (6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสาน
ความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียน
ตามศักยภาพ (สานักงานปฏิรูปการศึกษา. 2542 : 13)
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2544 เป็นสาระการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานอาชีพ
และเทคโนโลยี มีทักษะการทางาน ทักษะการจัดการ สามารถนาเทคโนโลยีสารสนเทศและ
เทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในการทางานอย่างถูกต้อง เหมาะสม คุ้มค่า และมีคุณธรรมจริยธรรม
และค่านิยมพื้นฐาน ได้แก่ ความขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด และอดทน อันจะนาไปสู่การให้ผู้เรียน
ช่วยเหลือตนเองและพึ่งตนเองได้ ตามพระราชดาริเศรษฐกิจพอเพียง สามารถดารงชีวิตอยู่ใน
สังคมได้อย่างมีความสุข ร่วมมือและแข่งขันในระดับสากลในบริบทของสังคมไทย ซึ่งมี 5 สาระ
ได้แก่ สาระที่ 1 การดารงชีวิตและครอบครัว สาระที่ 2 การอาชีพ สาระที่ 3 การออกแบบและ
เทคโนโลยี สาระที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศ และสาระที่ 5 เทคโนโลยีเพื่อการทางานและอาชีพ
งานประดิษฐ์เป็นส่วนหนึ่งของสาระที่ 1 การดารงชีวิตและครอบครัว ซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวกับ
การทางานด้วยการประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ที่เน้นความคิดสร้างสรรค์ โดยเน้นความประณีต
สวยงาม ตามกระบวนการทางานประดิษฐ์เทคโนโลยี และเน้นการอนุรักษ์และสืบสาน
ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยตามภูมิปัญญาท้องถิ่นและสากล (กรมวิชาการ.
2545 ข : 1-7)
ดังนั้นจึงถือได้ว่า กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีเป็นกลุ่มสาระหนึ่ง
ที่มีความสาคัญและจาเป็นต่อผู้เรียนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ ในหลักสูตร
และจากประสบการณ์การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ
เทคโนโลยีที่ผ่านมา พบว่า ครูผู้สอนมีปัญหาด้านการวางแผนการเรียนรู้ และการจัดเตรียมสื่อ
การเรียนการสอน รวมทั้งไม่ค่อยมีเวลา เนื่องจากมีภาระงานนอกเหนือจากงานที่สอนมาก และ
เวลาในการเรียนมีน้อย ทาให้งานไม่เสร็จตามความคาดหมาย และนักเรียนขาดคุณลักษณะที่
พึงประสงค์หลายด้าน ได้แก่ ความรับผิดชอบ คิดไม่เป็น จัดการไม่เป็น ไม่ชอบทางานกลุ่ม
ไม่ปรับปรุงงานและทางานไม่เสร็จตามเวลาที่กาหนด (ลาดวน นิรัติศยวานิช. 2546 : 44)
นอกจากนี้แล้ว ปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มการงานและพื้นฐานอาชีพตาม
หลักสูตรเดิม พบว่า นักเรียนขาดวัสดุในการฝึกปฏิบัติ สื่อการสอนไม่เพียงพอ ผู้ปกครอง
ไม่สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนกลุ่มการงานและพื้นฐานอาชีพ ครูไม่มีความรู้เฉพาะทาง
- 3. 3
ทาให้ไม่มั่นใจในการสอน การนิเทศติดตามยังมีน้อยและผู้บริหารไม่สนับสนุนและไม่เห็น
ความสาคัญเท่าที่ควร (ศิริวิทย์ อ้นคา. 2541 : บทคัดย่อ)
การที่จะทาให้การเรียนรู้บรรลุเป้าหมายตามหลักสูตรที่กาหนดให้และมีประสิทธิภาพ
จาเป็นต้องมีสื่อหรือนวัตกรรมที่จะเป็นส่วนเพิ่มเติมหรือเสริมสาหรับนักเรียนฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิด
ความรู้ ความเข้าใจและมีทักษะเพิ่มขึ้น ซึ่งบางครั้งครูผู้สอนไม่สามารถถ่ายทอดด้วยการบรรยาย
ให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น และช่วย เร้าความสนใจของผู้เรียนต่อสิ่งที่กาลังศึกษา การเปิดโอกาส
ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ การฝึกการแสดงออก การแสดงความคิดเห็น
การตัดสินใจ และการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ช่วยให้ผู้เรียนเป็นอิสระจากอารมณ์ของผู้สอน
เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและช่วยยกระดับความสนใจของผู้เรียนได้ตลอดเวลา ช่วยให้
ผู้เรียนรู้จุดมุ่งหมายของการเรียนอย่างชัดเจน ทาให้ครูทราบความเข้าใจของผู้เรียนที่มีต่อการเรียน
เพิ่มแรงจูงใจในการเรียนของผู้เรียน การใช้หนังสืออ่านประกอบเป็นเทคนิคการจัดการเรียนรู้หนึ่ง
ที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ได้ฝึกการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ได้ด้วยตนเอง การใช้หนังสืออ่าน
ประกอบจึงเปิดโอกาสให้ผู้เรียนนาความรู้ที่เรียนมาฝึกให้เกิดความเข้าใจและมีทักษะมากขึ้นตาม
ความสามารถของตนเอง ฝึกให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่น ฝึกให้มีความรับผิดชอบต่องาน ที่ได้รับ
มอบหมาย โดยไม่ต้องคานึงถึงเวลาหรือความกดดันอื่น ๆ และสามารถประเมินผลงานของตนเอง
สิ่งที่นามาฝึกทักษะต้องมีในเนื้อหาจากบทเรียนที่เหมาะสมกับวัย ระดับชั้นและความแตกต่าง
ระหว่างบุคคล (กรมวิชาการ. 2534 : 9)
สื่อการเรียนการสอนที่น่าสนใจที่มีความเหมาะสมจะนามาพัฒนาเพื่อให้นักเรียนเกิด
การเรียนรู้ประเภทหนึ่งก็คือ หนังสืออ่านประกอบ หรือหนังสืออ่านเพิ่มเติม เป็นหนังสือที่มีสาระ
อิงหลักสูตร นักเรียนสามารถอ่านได้ทั้งในและนอกเวลาเรียน เป็นการเสริมเนื้อหาความรู้ที่มีอยู่ใน
หนังสือเรียน อ่านแล้วได้รับความรู้ เรื่องใดเรื่องหนึ่งลึกซึ้งและกว้างขวางยิ่งขึ้น ดังเจตนารมณ์
ของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ที่กาหนดแนวทางพัฒนาสื่อการเรียนรู้ที่มุ่งเน้น
ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเอง การที่นักเรียนได้อ่านหนังสืออ่านเพิ่มเติม
จะทาให้มีความรู้กว้างขวางมากกว่าการอ่านหนังสือเรียนแต่เพียงอย่างเดียว จะเห็นได้ว่า
สื่อการเรียนการสอนโดยเฉพาะหนังสืออ่านประกอบ หรือหนังสืออ่านเพิ่มเติม มีบทบาทสาคัญ
มากในกระบวนการจัดการเรียนการสอน ซึ่งครูผู้สอนสามารถพิจารณาเลือกและสร้างสรรค์เพื่อ
นาไปประกอบการเรียนการสอนอันจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถบรรลุเป้าหมายในการเรียนได้อย่างมี
ประสิทธิภาพซึ่งสอดคล้องกับ(บุญเลิศ บุษเนตร. 2540 : บทคัดย่อ) ที่ได้ทาการศึกษา การพัฒนา
ครูด้านการผลิตสื่อการเรียนรู้พบว่า “การพัฒนาความรู้ด้านการผลิตสื่อการเรียนรู้และการใช้
สื่อการเรียนรู้ทาให้ครูเกิดความมั่นใจในการผลิตและใช้สอการเรียน ได้อย่างมีคุณภาพ สามารถ
ื่
- 4. 4
นาไปใช้ในการพัฒนาครู ด้านการผลิตสื่อการเรียนรู้ในกลุ่มสาระอื่นๆได้อันจะส่งผลให้คุณภาพ
ของการศึกษาได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น”
จากหลักการและเหตุผลดังกล่าว ผู้รายงานในฐานะที่รับผิดชอบสอนกลุ่มสาระ
การเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ่อแก้วญาณเวทีพัฒนา
อาเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ จึงมีความสนใจที่จะพัฒนาหนังสืออ่านประกอบ เรื่อง การประดิษฐ์
ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และการประดิษฐ์ของใช้จากกล้วย กลุ่มสาระ การเรียนรู้การงานอาชีพและ
เทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับ
นโยบายปฏิรูปการเรียนรู้ ตามความต้องการและความเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น และสามารถนา
ความรู้และทักษะไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ และตระหนักถึงความสาคัญ ประโยชน์
คุณค่า ตลอดจนอนุรักษ์สืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่ต่อไป
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
1. เพื่อพัฒนาหนังสืออ่านประกอบ เรื่อง การประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และ
การประดิษฐ์ของใช้จากกล้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2. เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของหนังสืออ่านประกอบ เรื่อง การประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จาก
กาบไผ่ และการประดิษฐ์ของใช้จากกล้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนด้วย
หนังสืออ่านประกอบ เรื่องการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และการประดิษฐ์ของใช้จากกล้วย
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ความสาคัญของการศึกษา
1. ได้หนังสืออ่านประกอบ เรื่อง การประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และการประดิษฐ์
ของใช้จากกล้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน
2. เพื่อเป็นข้อมูลสารสนเทศสาหรับครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ
เทคโนโลยี ในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนในเนื้อหาและระดับชั้นอื่น ๆ
- 5. 5
ขอบเขตของการศึกษา
การศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ผศึกษาค้นคว้าได้กาหนดขอบเขตในการดาเนินการศึกษา
ู้
ค้นคว้า ดังนี้
1. ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ่อแก้วญาณเวทีพัฒนา”
อาเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 ภาคเรียนที่ 1
ปีการศึกษา 2550 จานวน 45 คน
2. กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 1 โรงเรียนบ่อแก้วญาณเวที
พัฒนา อาเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 ภาคเรียนที่
1 ปีการศึกษา 2550 จานวน 20 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
3. ระยะเวลาในการศึกษา ผู้รายงานได้ดาเนินการศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา
2550 ตั้งแต่วันที่ 5 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 ถึงวันที่ 4 เดือนกันยายน 2550 จานวน 28 ชั่วโมง
ไม่รวมเวลาที่ใช้ในการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
4. เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา คือ เนื้อหาหนังสืออ่านประกอบ เรื่องการประดิษฐ์
ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และการประดิษฐ์ของใช้จากกล้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ
เทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น
5. ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ ได้แก่
5.1 ตัวแปรต้น คือ การสอนโดยใช้หนังสืออ่านประกอบ เรื่องการประดิษฐ์
ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และการประดิษฐ์ของใช้จากกล้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ
เทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
5.2 ตัวแปรตาม คือ ประสิทธิภาพของหนังสืออ่านประกอบ เรื่องการประดิษฐ์
ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และการประดิษฐ์ของใช้จากกล้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ
เทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อ
การเรียนด้วย หนังสืออ่านประกอบ เรื่องการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และการประดิษฐ์ของ
ใช้จากกล้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
- 6. 6
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. หนังสืออ่านประกอบ หมายถึง เอกสารที่ผู้รายงานสร้างขึ้น และใช้เป็นสื่อในการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง
การประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และการประดิษฐ์ของใช้จากกล้วย จานวน 2 เล่ม ดังนี้
1.1 การประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่
1.2 การประดิษฐ์ของใช้จากกล้วย
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึง แบบทดสอบที่ผู้รายงานสร้างขึ้น
เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และการประดิษฐ์ของใช้
จากกล้วย เป็นแบบทดสอบชนิดปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน 30 ข้อ
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนสอบของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
จากการเรียนรู้ โดยใช้หนังสืออ่านประกอบ เรื่องการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และ
การประดิษฐ์ของใช้จากกล้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 3 ที่วัดได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
4. ประสิทธิภาพของหนังสืออ่านประกอบ หมายถึง เกณฑ์การยอมรับประสิทธิภาพ
ของหนังสืออ่านประกอบ เรื่องการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และการประดิษฐ์ของใช้จาก
กล้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ซึ่งเป็นอัตราส่วน
ระหว่างประสิทธิภาพของกระบวนการต่อประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E1/E2) โดยถือเกณฑ์ 80/80
4.1 เกณฑ์ 80 ตัวแรก หมายถึง ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยรวมของนักเรียนทุกคน
ที่ได้จากการทดสอบย่อยจากหนังสืออ่านประกอบและคะแนนชิ้นงาน ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ร้อย
ละ 80 ขึ้นไป
4.2 เกณฑ์ 80 ตัวหลัง หมายถึง ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยรวมของนักเรียนทุกคน
ที่ได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยหนังสืออ่านประกอบ เรื่อง
การประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และการประดิษฐ์ของใช้จากกล้วย ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยตั้งแต่
ร้อยละ 80 ขึ้นไป
5. ค่าดัชนีประสิทธิผลของหนังสืออ่านประกอบ หมายถึง ค่าที่คานวณได้จากการ
เปรียบเทียบอัตราความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียน ซึ่งหาได้จากสูตร
ดัชนีประสิทธิผล = (ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียน – ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน)
(จานวนนักเรียน × คะแนนเต็ม) - ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน
- 7. 7
6. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่ดีของนักเรียนที่มีต่อการด้วย หนังสืออ่านประกอบ
เรื่องการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากกาบไผ่ และการประดิษฐ์ของใช้จากกล้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้
การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งวัดได้จากการใช้แบบประเมินความพึงพอใจที่
ผู้รายงานสร้างขึ้น