More Related Content
Similar to วรรณคดีและวรรณกรรม
Similar to วรรณคดีและวรรณกรรม (20)
More from Aor's Sometime (6)
วรรณคดีและวรรณกรรม
- 2. ความหมายของวรรณคดีและวรรณกรรม
“วรรณคดี” หมายถึง หนังสือที่ได้รับยกย่องว่าเป็นหนังสือที่แต่งขึ้นอย่างมีศิลปะของการ
ประพันธ์ เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาและรูปแบบเหมาะสมกัน ก่อให้เกิดความประทับใจแก่
ผู้อ่าน ทาให้ผู้อ่านเกิดความเพลิดเพลิน เกิดมโนภาพไปตามจินตนาการของผู้แต่ง
ควรรักษาไว้เพื่อประโยชน์ในการเข้าใจมนุษย์สังคม และ วัฒนธรรม
- 10. วิวัฒนาการวรรณกรรมแบ่งเป็น ๗ ยุคสมัย
ยุคเริ่มแรก – ที่มาของวรรณกรรมแปลและแปลง (พ.ศ. ๒๔๔๓ – ๒๔๖๙)
ยุครุ่ งอรุณ – ที่มาของวรรณกรรมไทยแนวจินตนิยม (พ.ศ. ๒๔๗๐ – ๒๔๗๕)
ยุครัฐนิยม – ที่มาของวรรณกรรมแนวก้าวหน้า (พ.ศ. ๒๔๗๖ – ๒๔๘๘)
ยุคกบฏสันติภาพ – ที่มาของวรรณกรรมแนวเพื่อชีวิต (พ.ศ. ๒๔๘๙ – ๒๕๐๐)
ยุคสมัยแห่ งความเงียบ – ที่มาของวรรณกรรมน้าเน่า (พ.ศ. ๒๕๐๑ – ๒๕๐๖)
ยุคฉันจึงมาหาความหมาย-ที่มาของวรรณกรรมหนุ่มสาว(พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๑๕)
ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน-ที่มาของวรรณกรรมเพื่อประชาชน(พ.ศ.๒๕๑๖-ปัจจุบัน)
- 11. ๑.ยุคเริ่มแรก-ที่มาของวรรณกรรมแปลและแปลง
(พ.ศ. ๒๔๔๓ – ๒๔๖๙)
ช่วงปลายรัชกาลที่ 5 ต่อเนื่องกับรัชกาลที่ 6
เป็นช่วงที่เปลี่ยนจากการเขียนแนวร้อยกรองมาเป็นร้อยแก้วตามแนวอิทธิพลตะวันตก
วรรณกรรมในยุคนี้เป็นวรรณกรรมแปลและแปลงเป็นส่วนใหญ่
และเกิดนักเขียนแนวใหม่ขึ้นมา นั้นคือ แม่วัน เขียวหวาน กาญจนาคพันธ์ หลวงสารานุประพันธ์
นอกจากนั้นช่วงนี้ยังเป็นยุคเริ่มของแนวการเขียนนวนิยาย
และเรื่องสั้นอีกด้วย
- 12. ๒.ยุครุ่งอรุณ – ที่มาของวรรณกรรมไทยแนวจินตนิยม
(พ.ศ. ๒๔๗๐ – ๒๔๗๕)
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่ งบ้านเมืองเราได้รับผลกระทบทางด้าน
เศรษฐกิจ นักข่าว นักหนังพิมพ์ จึงนาเสนอการแก้ปัญหาโดยการเก็บภาษี มีบทบาทในการให้
การศึกษาด้วยการนาเสนอบทความวิพากษ์วิจารณ์สภาพบ้านเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย
ยุคนี้ จึงเริ่ มเป็ นของคนไทยมากขึ้ น วรรณกรรมแปลและแปลงน้อยลง หนุ่มสาวหันมาสนใจ
งานเขียนมากขึ้ น กล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้ น นวนิยายและเรื่ องสั้ นที่คนไทยเขียนเองมากขึ้ น
เกิดนักเขียนใหม่ๆ เช่น
ดอกไม้สด หม่อมเจ้า
- 13. ๓.ยุครั ฐนิยม – ที่มาของวรรณกรรมแนวก้ าวหน้ า
(พ.ศ. ๒๔๗๖ – ๒๔๘๘)
หลังการเปลี่ยนการปกครองจากระบบการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราช
สู่ประชาธิปไตย มีผลทาให้สังคมเปลี่ยนไปจากเดิม
ยุคนี้ จึงเป็ นถือเป็ นยุคเริ่ มต้นของการแสดงความสานึกทางมนุษยธรรม
การเขียนถึงการเมืองในเชิงอุดมคติ
ใ น ข ณ ะ เ ดี ย ว กั น ก็ เ กิ ด น ว นิ ย า ย ที มี ลั ก ษ ณ ะ ยั่ ว ล้ อ ท า ง ก า ร เ มื อ ง ส มั ย รั ฐ นิ ย ม ขึ้ น
ซึ่ ง ข ณ ะ เ ดี ย ว กั น เ ป็ น ยุ ค ข อ ง ส ง ค ร า ม โ ล ก ค รั้ ง ที่ ส อ ง จึ ง เ ผ ชิ ญ กั บ ปั ญ ห า ค ว า ม อ ด อ ย า ก
ก ร ะ ด า ษ ร า ค า แ พ ง ห นั ง สื อ ขึ้ น ร า ค า ห นั ง สื อ พิ ม พ์ บ า ง เ ล่ ม จึ ง ต้ อ ง ปิ ด ตั ว ล ง แ ต่
ว ร ร ณ ค ดี ส า ร ยั ง อ อ ก ม า อ ย่ า ง ส ม่า เ ส ม อ ด้ ว ย เ ห ตุ นี้ บ ท ร้ อ ย ก ร อ ง ส่ ว น ใ ห ญ่ ใ น ส มั ย นี้
จึ ง เ ป็ น ไ ป เ พื่ อ ส่ ง เ ส ริ ม ค ว า ม มั่ น ค ง ข อ ง น โ ย บ า ย รั ฐ เ ท่ า นั้ น
- 14. ๔.ยุคกบฏสันติภาพ – ที่มาของวรรณกรรมแนวเพื่อชีวิต
(พ.ศ. ๒๔๘๙ – ๒๕๐๐)
หลังการทารัฐประหารของจอมพลป. พิบูลสงครามปี 2490 รัฐธรรมนูญฉบับนี้จากัดเสรีภาพ
ให้แคบลงกว่าเดิมโดยเฉพาะเสรีภาพด้านการพูด การเขียน และการพิมพ์ นอกจากนี้
ขณะเดียวกันเมื่อปี 2495 เป็นช่วงเวลาที่นักเขียนนักหนังสือพิมพ์ ปัญญาชน
และชาวบ้านได้ร่วมใจกันนาเสื้อผ้า ยา และข้าวของที่ประชาชนร่วมกันบริจาคไปมอบ
ให้แก่ชาวอีสานที่ประสบภัยพิบัติ และเกิดการรวมกลุ่มนักหนังสือพิมพ์เพื่อเรียกร้อง
ให้รัฐบาลยกเลิกระบบเซ็นเซอร์และพระราชบัญญัติการพิมพ์ ปี พ.ศ.2548 ของกลุ่มนักเขียนต่างๆ
ทาให้นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์หลายคนถูกจับกุมเข้าคุก กุหลาบ สายประดิษฐ์เป็นหนึ่งในนั้น
แต่ในขณะที่เข้าคุกเขาได้เขียนนวนิยายที่สะท้อนปัญหาสังคมได้อย่างชัดเจนมีลักษณะเพื่อชีวิต
ขณะเดียวกันวรรณกรรมในยุคนี้มีแนวโน้มไปในทางวรรณกรรมเพื่อชีวิต
การเปลี่ยนแปลงทางวรรณกรรมที่เห็นได้ชัดในช่วงนี้คือ แนวคิดเกี่ยวกับ "ศิลปะเพื่อชีวิต" ในปี พ.ศ. 2493
เกิดชมรมนักประพันธ์และวงการวิจารณ์ นอกจากการจัดตั้งชมชมนักประพันธ์จาทาให้นักเขียน
รับผิดชอบต่อผลงานเขียนมากขึ้นแล้วยังทาให้ นกเขียนหลายคนหันมาสร้างวรรณกรรมเพื่อชีวิต
- 15. ๕.ยุคสมัยแห่งความเงียบ – ที่มาของวรรณกรรมน้าเน่า (พ.ศ. ๒๕๐๑ – ๒๕๐๖)
ยุคหลังการปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี 2501 มีผลทารับบาลใช้ มาตรการ
รุนแรงปราบปรามผู้ที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับรัฐบาลได้อย่างเด็ดขาดแล้วยังมีผลต่อ
วรรณกรรมการเมืองอีกด้วย โดยเฉพาะนักเขียนกลุ่มก้าวหน้า หรือกลุ่มศิลปะเพื่อชีวิตที่
เริ่มสร้ างแนวทางใหม่ๆ นอกจากเสรีภาพของนักเขียนถูกคุกคามแล้วเสรีภาพของ
หนังสือพิมพ์ยังถูกบั่นทอนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้นักเขียนนักหนังสือพิมพ์จึงพยายาม
ระมัดระวังมิให้ข้อเขียนกระทบกระเทือนต่อรัฐบาล เพราะเป็ นการเสี่ยงต่อการ ถูกปิ ด
นักเขียนหลายท่านกล่าวว่ายุคนี้เป็ นยุคมืดทางปัญญา หรือเป็ นยุคสมัยความเงียบ ในขณะ
ที่วรรณกรรมเพื่อชีวิตต้องชะงักไป วรรณกรรมแนวเพื่อศิลปะก็กลับรุ่ งเรืองขึ้นอย่าง
รวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทบันเทิงคดีแนวพาฝัน
- 16. ๖.ยุคฉันจึงมาหาความหมาย-ที่มาของวรรณกรรมหนุ่มสาว
(พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๑๕)
ยุคนี้ เป็ นยุคที่ประชาชนนักศึกษาได้รับความกดดันจากระบบเผด็จของชนชั้น
ปกครองที่สืบเนื่องมาเป็ นเวลานาน แม้เสรีภาพจะมีไม่มาก ขณะเดียวกันนักศึกษากลุ่ม
หนึ่ งเกิดความขัดแย้งทางความคิด พร้อมกันนั้นก็เกิดความกล้าที่จะขจัดความเลวร้าย
ดังกล่าวให้หมดสิ้นไป ด้วยเหตุนี้ วิธีหนึ่ งที่นิสิตนักศึกษาสามารถใช้งานได้คือวรรณกรรม
แต่งานเขียนของนักศึกษาไม่ถูกสนใจจึงรวมกลุ่มกันทาขายกันในมหาวิทยาลัย ปี
พ.ศ.2506 มหาวิทยาลัยต่างๆรวมกลุ่มกันทาหนังสือ เจ็ดสถาบัน ตีพิมพ์เรื่องสั้ นที่มีเนื้อหา
วิจารณ์สังคม จากนั้นเกิดนักเขียนหน้าใหม่ขึ้น ยุคนี้ จึงเป็ นยุคของคนรุ่นใหม่ที่เป็ นคนหนุ่ม
สาวอย่างแท้จริง ต่อมามีอิทธิพลและบทบาทสาคัญในการปลุกสานึกและรวมพลังทางการ
เมืองให้แก่ขบวนการ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516
- 20. ศิลาจารึกหลักที่ ๑ พ่อขุนรามคาแหง
รูปแบบการแต่งเป็ นร้อยแก้ว เขียนลงบนแท่งหินสี่เหลี่ยมทั้งสี่ด้าน ใช้ตัว
อักษรไทยและภาษาไทย ตามแบบอย่างการใช้ภาษา สมัยสุโขทัย เนื้อเรื่อง
แบ่งเป็ น ๓ ตอน
ตอนที่ ๑ ตั้งแต่บรรทัดที่ ๑ - ๑๘ เป็ นอัตชีวประวัติของพ่อขุนรามคาแหงมหาราชกษัตริ ย์สุโขทัย
ราชวงศ์พระร่ วง
ตอนที่ ๒ เล่าเรื่ อง เหตุการณ์ และธรรมเนียมนิยมของคนสุโขทัย การดาเนินชีวิต
การนับถือพุทธศาสนา การนับถือผี และการประดิษฐ์ตัวอักษรไทย
ตอนที่ ๓ เป็ นคาสรรเสริ ญ และยอพระเกียรติ พ่อขุนรามคาแหง
และกล่าวถึงอาณาเขตของเมืองสุโขทัย
- 21. สมัยกรุงศรีอยุธยา(พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๓๒๕)
ช่ วงเวลาที่บ้านเมืองรุ่ งเรื องในด้านต่าง ๆพอที่จะเป็ นปัจจัยให้ เกิดวรรณคดี
อยู่เฉพาะในสมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒
ทางวรรณคดีปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า แต่งมหาชาติคาหลวง เมื่อ พ .ศ.๒๐๒๕ ตรงกับ
รัชกาลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ส่ วนลิลิตยวนพ่าย ก็แต่งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์พระองค์ นี้
จึงอาจแต่งในรัชกาลของพระองค์หรือภายหลังเพียงเล็กน้ อย คือ รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒
- 22. นอกจากนี้วรรณคดีสาคัญเรื่องอื่น ๆ เช่น ลิลิตพระลอ โคลงกาสรวล
โคลงทวาทศมาศและโคลงหริภุญชัย เมื่อพิจารณาถึงลักษณะคาประพันธ์
และถ้อยคาที่ใช้ก็น่าเกิดสมัยร่วมหรือระยะเวลาใกล้เคียงกับมหาชาติคาหลวง
และลิลิตยวนพ่ายหลังจากรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒
บ้านเมืองไม่สงบสุขเนื่องจากการทาสงครามกับข้าศึกภายนอกและแตกสามัคคีภายในเป็นเหตุ
ให้วรรณคดีว่างเว้นไปเป็นเวลาประมาณหนึ่งศตวรรษ
วรรณคดีเรื่องแรกที่ปรากฏหลักฐานหลังรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ คือ กาพย์มหาชาติ
ซึ่งสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๑๗๐ ต่อจากนั้นประมาณ ๓๐ ปี
บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองสามารถเป็นรากฐานให้เกิดวรรณคดีได้อีกระยะเวลาหนึ่ง
ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
- 24. สมัยธนบุรี (พ.ศ. ๒๓๑๐ - ๒๓๒๕)
แม้พระเจ้ากรุงธนบุรี หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงอุปถัมภ์กวีและวรรณคดี
นอกจากนี้ทรงพระราชนิพนธ์ บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ๔ ตอน โดยใช้เวลาเพียง ๒ เดือนเท่านั้น
วรรณกรรมในสมัยธนบุรีหลายเรื่อง ได้สืบต่อมาจากสมัยอยุธยาและส่งต่อมายังสมัยรัตนโกสินทร์
ทั้งวรรณกรรมประเภทนิทานนิยาย วรรณกรรมยอพระเกียรติ วรรณกรรมคาสอน และวรรณกรรมการแสดง
กวีในสมัยธนบุรีที่มีผลงานสืบต่อมายัง สมัยรัตนโกสินทร์ที่สาคัญคือ หลวงสรวิชิต
หรือเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ผลงานของท่านมีหลายเรื่อง เช่น ลิลิตเพชรมงกุฎ
ซึ่งแต่งในสมัยธนบุรี ได้เค้าเรื่องจากนิทานนิยาย
- 25. สมัยรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ปัจจุบัน)
เมื่อบ้านเมืองรุ่งเรืองและสงบสุขอีกครั้ง กิจการด้านศิลปวัฒนธรรมก็ย่อยเจริญรุ่งเรืองตามด้วย
วรรณกรรมและวรรณคดีจานวนมากได้รีบการฟื้นฟูซึ่งที่จริงก็ได้มีการฟื้นฟูมาบ้างแล้วในสมัยกรุงธนบุรี
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๑ ก็ได้รับการฟื้นฟูต่อไปอีกเพราะทรงเห็นว่าพระนครที่สร้างขึ้นใหม่จะขาดสิ่งสาคัญคือ
วรรณกรรมและวรรณคดีไม่ได้จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิต ทั้งพระสงฆ์
และฆราวาสช่วยกันสร้างสรรค์งานวรรณกรรมอย่างรีบด่วน ใครถนัดด้านใดก็ให้ขวนขวายทาทางนั้น
- 26. ก วีไ ท ยผู้ ที่ไ ด้ รั บก า รยก ย่ อ ง
เป็ น กวีเอก เป็ นต้ นแบบของกวีของไทย
- 27. นางนพมาศ
เป็ นกวีหญิงไทยคนแรก สมัย สุ โ ขทัย
ผู้ แ ต่ ง " คาสอ นขอ งนางนพมาศ "
แ ต่ ง ถ้ า เ ป็ น น า ง น พ ม า ศ ส มั ย สุ โ ข ทั ย ก ล่ า ว กั น
ว่ า เ ป็ น ธิ ด า พ ร ะ ศ รี ม โ ห ส ถ กั บ น า ง เ ร ว ดี บิ ด า เ ป็ น
พ ร า ห ม ณ์ ปุ โ ร หิ ต ใ น รั ช ก า ล พ ร ะ ร่ ว ง เ จ้ า ซึ่ ง
สั น นิ ษ ฐ า น ว่ า เ ป็ น พ ร ะ ม ห า ธ ร ร ม ร า ช า ลิ ไ ท ย แ ล ะ
น า ง ไ ด้ ถ ว า ย ตั ว เ ข้ า รั บ ร า ช ก า ร มี ค ว า ม ดี ค ว า ม ช อ บ
ไ ด้ รั บ ตา แ ห น่ ง เ ป็ น พ ร ะ ส น ม เ อ ก บ ร ร ด า ศั ก ดิ์ เ ป็ น ท้ า ว
ศ รี จุ ฬ า ลั ก ษ ณ์ ลั ก ษ ณ ะ ก า ร แ ต่ ง เ ป็ น ร้ อ ย แ ก้ ว บ า ง
ต อ น เ ป็ น บ ท ด อ ก ส ร้ อ ย
- 28. เนื้อความ
ก ล่ า ว ถึ ง ม นุ ษ ย ช า ติ แ ล ะ ภ า ษ า ต่ า ง ๆ กา เ นิ ด น า ง น พ ม า ศ ก า ร ถ ว า ย
ตั ว เ ข้ า รั บ ร า ช ก า ร ฝ่ า ย ใ น ก า ร ป ร ะ พ ฤ ติ ป ฏิ บั ติ ต น ใ ห้ เ ห ม า ะ ส ม เ ว ล า เ ข้ า รั บ
ร า ช ก า ร บ ร ร ย า ย คุ ณ ธ ร ร ม ค ว า ม ดี ข อ ง น า ง ส น ม พ ร้ อ ม เ ล่ า นิ ท า น สุ ภ า ษิ ต
ต่ า ง ๆ เ ป็ น อุ ท า ห ร ณ์ เ ช่ น นิ ท า น เ รื่ อ ง น า ง น ก ต้ อ ย ตี วิ ด ชี้ ใ ห้ เ ห็ น โ ท ษ ข อ ง
ก า ร โ ล เ ล นิ ท า น น า ง ช้ า ง แ ส น ง อ น ชี้ โ ท ษ ข อ ง ก า ร อิ จ ฉ า ริ ษ ย า นิ ท า น น า ง
น ก ก ร ะ เ รี ย น ค บ น า ง น ก ไ ส้ ช่ า ง ยุ ชี้ โ ท ษ ข อ ง ก า ร ค บ ค น ชั่ ว เ ป็ น มิ ต ร แ ล ะ
เ ล่ า ถึ ง พ ร ะ ร า ช พิ ธี ต่ า ง ๆ ที่ ก ร ะ ทา ใ น แ ต่ ล ะ เ ดื อ น
- 30. ประวัติ หนังสื อเรื่องนี้มีชื่อเรียกเป็ น 3 ชื่อคือ นางนพมาศ เรวดี
นพมาศ และตารับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็ นหนังสื อที่มีปัญหาเกี่ยวกับผู้แต่ง
และสมัยที่แต่ง มีนักวรรณคดีบางท่าน เช่ น พระวรเวทย์พิสิฐ กรมพระยา
ดารงราชานุภาพ ลงความเห็นว่า เรื่องนางนพมาศมีสานวนใหม่มาก น่าจะ
เขียนขึ้นภายหลังสมัยสุ โขทัย อาจใหม่แค่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ เช่ น
กล่าวถึงฝรั่งชาติต่างๆ โดยเฉพาะฝรั่งเศส อเมริกัน ซึ่งในสมัยสุ โขทัยเรายัง
ไม่รู้ จัก และชาติอเมริกันก็เพิ่งเป็ นอิสระเมื่อ 200 ปี กว่ามานี้เอง
- 32. ว ร ร ณ ก ร ร ม ใ น ส มั ย ก รุ ง สุ โ ข ทั ย มี อ ยู่ ห ล า ย ป ร ะ เ ภ ท ส่ ว น ใ ห ญ่
อ อ ก ม า ใ น รู ป ข อ ง ก า ร ส ดุ ดี วี ร ก ร ร ม ศ า ส น า ป รั ช ญ า โ ด ย มี ว ร ร ณ ก ร ร ม
ที่ สา คั ญ ไ ด้ แ ก่
“ ไ ต ร ภู มิ พ ร ะ ร่ ว ง ”
พ ร ะ ม ห า ธ ร ร ม ร า ช า ที่ 1 ( พ ญ า ลิ ไ ท ) เ ป็ น ผู้ พ ร ะ ร า ช นิ พ น ธ์
เ มื่ อ พ . ศ . ๑ ๘ ๘ ๘ โ ด ย พ ร ะ อ ง ค์ มี พ ร ะ ร า ช ป ร ะ ส ง ค์ ใ ช้ เ ท ศ น า โ ป ร ด
พ ร ะ ร า ช ม า ร ด า แ ล ะ สั่ ง ส อ น ป ร ะ ช า ช น ข อ ง สุ โ ข ทั ย ใ ห้ บ ร ร ลุ ถึ ง นิ พ พ า น
ว ร ร ณ ก ร ร ม ไ ต ร ภู มิ พ ร ะ ร่ ว ง จ ะ บ ร ร ย า ย ถึ ง ภ า พ ข อ ง น ร ก ส ว ร ร ค์ ไ ว้
อ ย่ า ง ชั ด เ จ น โ ด ย ส อ น ใ ห้ รู้ จั ก บ า ป บุ ญ คุ ณ โ ท ษ รู้ ชั่ ว เ ก ร ง ก ลั ว ต่ อ โ ท ษ ที่
จ ะ ไ ด้ รั บ จ า ก ก า ร ทา ค ว า ม ชั่ ว