Submit Search
Upload
สังคีตวิทยา.docx
•
Download as DOCX, PDF
•
0 likes
•
16 views
P
pinglada1
Follow
สังคีตวิทยา.docx
Read less
Read more
Education
Report
Share
Report
Share
1 of 9
Download now
Recommended
วิวัฒนาการของดนตรีสากล
วิวัฒนาการของดนตรีสากล
อำนาจ ศรีทิม
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
PingladaPingladaz
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
sangkeetwittaya stourajini
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
leemeanxun
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
leemeanshun minzstar
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
เวียงพิงค์ พิงค์ลดา
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
pinglada
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
leemeanshun minzstar
Recommended
วิวัฒนาการของดนตรีสากล
วิวัฒนาการของดนตรีสากล
อำนาจ ศรีทิม
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
PingladaPingladaz
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
sangkeetwittaya stourajini
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
leemeanxun
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
leemeanshun minzstar
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
เวียงพิงค์ พิงค์ลดา
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
pinglada
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
leemeanshun minzstar
ประวัติความเป็นมาของกีตาร์
ประวัติความเป็นมาของกีตาร์
kruood
บทที่ 2 ดนตรี
บทที่ 2 ดนตรี
peter dontoom
บทที่ 1 บทนำ
บทที่ 1 บทนำ
September WhiteThunder
เอกสารสังคีตนิยม
เอกสารสังคีตนิยม
Ruz' Glaow
ลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรม
ลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรม
อำนาจ ศรีทิม
ดนตรี ม.3
ดนตรี ม.3
Kruanchalee
ยุคสมัยของดนตรีไทย
ยุคสมัยของดนตรีไทย
อัญชลี เมฆวิบูลย์
เพลงคลาสสิค (Classical music)
เพลงคลาสสิค (Classical music)
Float Jo
บทที่ 2 ดนตรีกศน
บทที่ 2 ดนตรีกศน
peter dontoom
เครืองดนตรีพื้นเมือง ใบความรู้ ม.3 ปี 55
เครืองดนตรีพื้นเมือง ใบความรู้ ม.3 ปี 55
อำนาจ ศรีทิม
พระเจนดุริยางค์
พระเจนดุริยางค์
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
ใบงานท 2
ใบงานท 2
bmbeam
Generation
Generation
อัญชลี เมฆวิบูลย์
หน่วยที่ 1 ความรู้พื้นฐานทางดนตรี.doc
หน่วยที่ 1 ความรู้พื้นฐานทางดนตรี.doc
pinglada1
นายเอื้อ สุนทรสนาน
นายเอื้อ สุนทรสนาน
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
คอม
คอม
Chayapon Wangsoonthorn
ลีลาศ
ลีลาศ
Benzjung2537
ลีลาศ
ลีลาศ
Benzjung2537
มารยาทในการลีลาศ
มารยาทในการลีลาศ
Tepasoon Songnaa
มารยาทในการลีลาศ
มารยาทในการลีลาศ
Tepasoon Songnaa
Avicii_Heaven_WIP.pdf
Avicii_Heaven_WIP.pdf
pinglada1
Avicii_-_You_be_love_feat._billy_raffoul.pdf
Avicii_-_You_be_love_feat._billy_raffoul.pdf
pinglada1
More Related Content
Similar to สังคีตวิทยา.docx
ประวัติความเป็นมาของกีตาร์
ประวัติความเป็นมาของกีตาร์
kruood
บทที่ 2 ดนตรี
บทที่ 2 ดนตรี
peter dontoom
บทที่ 1 บทนำ
บทที่ 1 บทนำ
September WhiteThunder
เอกสารสังคีตนิยม
เอกสารสังคีตนิยม
Ruz' Glaow
ลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรม
ลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรม
อำนาจ ศรีทิม
ดนตรี ม.3
ดนตรี ม.3
Kruanchalee
ยุคสมัยของดนตรีไทย
ยุคสมัยของดนตรีไทย
อัญชลี เมฆวิบูลย์
เพลงคลาสสิค (Classical music)
เพลงคลาสสิค (Classical music)
Float Jo
บทที่ 2 ดนตรีกศน
บทที่ 2 ดนตรีกศน
peter dontoom
เครืองดนตรีพื้นเมือง ใบความรู้ ม.3 ปี 55
เครืองดนตรีพื้นเมือง ใบความรู้ ม.3 ปี 55
อำนาจ ศรีทิม
พระเจนดุริยางค์
พระเจนดุริยางค์
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
ใบงานท 2
ใบงานท 2
bmbeam
Generation
Generation
อัญชลี เมฆวิบูลย์
หน่วยที่ 1 ความรู้พื้นฐานทางดนตรี.doc
หน่วยที่ 1 ความรู้พื้นฐานทางดนตรี.doc
pinglada1
นายเอื้อ สุนทรสนาน
นายเอื้อ สุนทรสนาน
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
คอม
คอม
Chayapon Wangsoonthorn
ลีลาศ
ลีลาศ
Benzjung2537
ลีลาศ
ลีลาศ
Benzjung2537
มารยาทในการลีลาศ
มารยาทในการลีลาศ
Tepasoon Songnaa
มารยาทในการลีลาศ
มารยาทในการลีลาศ
Tepasoon Songnaa
Similar to สังคีตวิทยา.docx
(20)
ประวัติความเป็นมาของกีตาร์
ประวัติความเป็นมาของกีตาร์
บทที่ 2 ดนตรี
บทที่ 2 ดนตรี
บทที่ 1 บทนำ
บทที่ 1 บทนำ
เอกสารสังคีตนิยม
เอกสารสังคีตนิยม
ลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรม
ลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรม
ดนตรี ม.3
ดนตรี ม.3
ยุคสมัยของดนตรีไทย
ยุคสมัยของดนตรีไทย
เพลงคลาสสิค (Classical music)
เพลงคลาสสิค (Classical music)
บทที่ 2 ดนตรีกศน
บทที่ 2 ดนตรีกศน
เครืองดนตรีพื้นเมือง ใบความรู้ ม.3 ปี 55
เครืองดนตรีพื้นเมือง ใบความรู้ ม.3 ปี 55
พระเจนดุริยางค์
พระเจนดุริยางค์
ใบงานท 2
ใบงานท 2
Generation
Generation
หน่วยที่ 1 ความรู้พื้นฐานทางดนตรี.doc
หน่วยที่ 1 ความรู้พื้นฐานทางดนตรี.doc
นายเอื้อ สุนทรสนาน
นายเอื้อ สุนทรสนาน
คอม
คอม
ลีลาศ
ลีลาศ
ลีลาศ
ลีลาศ
มารยาทในการลีลาศ
มารยาทในการลีลาศ
มารยาทในการลีลาศ
มารยาทในการลีลาศ
More from pinglada1
Avicii_Heaven_WIP.pdf
Avicii_Heaven_WIP.pdf
pinglada1
Avicii_-_You_be_love_feat._billy_raffoul.pdf
Avicii_-_You_be_love_feat._billy_raffoul.pdf
pinglada1
Avicii_Medley.pdf
Avicii_Medley.pdf
pinglada1
avicii_levels.pdf
avicii_levels.pdf
pinglada1
Avicii_-_X_You_D_Major_Piano_Duet.pdf
Avicii_-_X_You_D_Major_Piano_Duet.pdf
pinglada1
08CHAPTER_4.pdf
08CHAPTER_4.pdf
pinglada1
หนังสือ การจัดโต๊ะหมู่บูชา.docx
หนังสือ การจัดโต๊ะหมู่บูชา.docx
pinglada1
เหนือ -เที่ยว ต.ค..docx
เหนือ -เที่ยว ต.ค..docx
pinglada1
ละครพันทาง.doc
ละครพันทาง.doc
pinglada1
เหนือ-เที่ยว1.docx
เหนือ-เที่ยว1.docx
pinglada1
สารานุกรมเยาวชนไทย ตอนดนตรีไทย.pdf
สารานุกรมเยาวชนไทย ตอนดนตรีไทย.pdf
pinglada1
ลิเก.doc
ลิเก.doc
pinglada1
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
pinglada1
สังคีตที่ยิ่งใหญ่.docx
สังคีตที่ยิ่งใหญ่.docx
pinglada1
โลกของดนตรีไทย พื้นที่เล็กๆที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทยเพื่ออนุรักษ์เผย...
โลกของดนตรีไทย พื้นที่เล็กๆที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทยเพื่ออนุรักษ์เผย...
pinglada1
ศาสนาพุทธ.docx
ศาสนาพุทธ.docx
pinglada1
หอเกียรติยศ.doc
หอเกียรติยศ.doc
pinglada1
ละครรำ.docx
ละครรำ.docx
pinglada1
เรียนรู้เกี่ยวกับแผนภูมิ.docx
เรียนรู้เกี่ยวกับแผนภูมิ.docx
pinglada1
หุ่นกระบอก.doc
หุ่นกระบอก.doc
pinglada1
More from pinglada1
(20)
Avicii_Heaven_WIP.pdf
Avicii_Heaven_WIP.pdf
Avicii_-_You_be_love_feat._billy_raffoul.pdf
Avicii_-_You_be_love_feat._billy_raffoul.pdf
Avicii_Medley.pdf
Avicii_Medley.pdf
avicii_levels.pdf
avicii_levels.pdf
Avicii_-_X_You_D_Major_Piano_Duet.pdf
Avicii_-_X_You_D_Major_Piano_Duet.pdf
08CHAPTER_4.pdf
08CHAPTER_4.pdf
หนังสือ การจัดโต๊ะหมู่บูชา.docx
หนังสือ การจัดโต๊ะหมู่บูชา.docx
เหนือ -เที่ยว ต.ค..docx
เหนือ -เที่ยว ต.ค..docx
ละครพันทาง.doc
ละครพันทาง.doc
เหนือ-เที่ยว1.docx
เหนือ-เที่ยว1.docx
สารานุกรมเยาวชนไทย ตอนดนตรีไทย.pdf
สารานุกรมเยาวชนไทย ตอนดนตรีไทย.pdf
ลิเก.doc
ลิเก.doc
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
สังคีตที่ยิ่งใหญ่.docx
สังคีตที่ยิ่งใหญ่.docx
โลกของดนตรีไทย พื้นที่เล็กๆที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทยเพื่ออนุรักษ์เผย...
โลกของดนตรีไทย พื้นที่เล็กๆที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทยเพื่ออนุรักษ์เผย...
ศาสนาพุทธ.docx
ศาสนาพุทธ.docx
หอเกียรติยศ.doc
หอเกียรติยศ.doc
ละครรำ.docx
ละครรำ.docx
เรียนรู้เกี่ยวกับแผนภูมิ.docx
เรียนรู้เกี่ยวกับแผนภูมิ.docx
หุ่นกระบอก.doc
หุ่นกระบอก.doc
สังคีตวิทยา.docx
1.
๑ สังคีตวิทยา บทที่ 1 ประวัติของดนตรีสากล การสืบสาวเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของดนตรีตั้งแต่สมัยโบราณมา นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้ได้เรื่องราว สมัยของการรู้จักใช้อักษรหรือสัญลักษณ์อื่น
ๆ พึ่งจะมีปรากฏและเริ่มนิยมใช้กันในสมัยเริ่มต้นของยุค Middle age คือระหว่างศตวรรษที่ 5-6 และการบันทึกมีเพียงเครื่องหมายแสดงเพียงระดับของเสียง และจังหวะ (Pitch and Time) ดนตรีเกิดขึ้นมาในโลกพร้อม ๆ กับมนุษย์เรานั่นเอง ในยุคแรก ๆ มนุษย์อาศัยอยู่ในป่าดง ในถ้า ในโพรงไม้ แต่ก็รู้จักการร้องราทาเพลงตามธรรมชาติ เช่นรู้จักปรบมือ เคาะหิน เคาะไม้ เป่าปาก เป่าเขา และเปล่งเสียงร้องตามเรื่อง การร้องราทาเพลงทาไปเพื่ออ้อนวอนพระเจ้าเพื่อช่วยให้ตนพ้นภัยบันดาลความสุขความอุดมสมบูรณ์ต่าง ๆ ให้แก่ตนหรือเป็นการบูชาแสดงความขอบคุณพระเจ้าที่บันดาลให้ตนมีความสุขความสบาย โลกได้ผ่านหลายยุคหลายสมัย ดนตรีได้วิวัฒนาการไปตามความเจริญและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เครื่องดนตรีที่เคยใช้ในสมัยเริ่มแรกก็มีการวิวัฒนาการมาเป็นขั้น ๆ กลายเป็นเครื่องดนตรีที่เราเห็นอยู่ทุกวัน เพลงที่ร้องเพื่ออ้อนวอนพระเจ้า ก็กลายมาเป็นเพลงสวดทางศาสนาและเพลงร้อง ในระยะแรกดนตรีมีเพียงเสียงเดียวและแนวเดียวเท่านั้นเรียกว่า Melody ไม่มีการประสานเสียง จนถึงศตวรรษที่ 12 มนุษย์เราเริ่มรู้จักการใช้เสียงต่าง ๆ มาประสานกันอย่างง่าย ๆ เกิดเป็นดนตรีหลายเสียงขึ้นมา ดนตรีสากล มีประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการที่ยาวนาน แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทาง วัฒนธรรมของชาติตะวันตกซึ่งเป็นที่นิยมและยอมรับกันทั่วโลก ในการศึกษาดนตรีสากล เพื่อความรู้ ความเข้าใจ และความซาบซึ้งในดนตรีตะวันตก จึงจาเป็นจะต้องศึกษาวิวัฒนาการของดนตรีสากลในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. ยุคกลาง (Middle Age) ค.ศ.500-1400 บทเพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงร้องที่ใช้ในโบสถ์เพื่อสรรเสริญพระเจ้า เพียงอย่างเดียว โดยบางครั้งอาจเป็นการร้องสอดประสานกันบ้างประมาณ 2-3 แนว ในปลายยุค และยังไม่พบการบรรเลงที่เป็นรูปแบบมาตรฐานอย่างเด่นชัด 2. ยุคเรอเนสซองซ์หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ค.ศ.1400-1600 บทเพลงในยุคนี้เริ่มมีการผสมผสานระหว่างเพลงพื้นฐานกับเพลงที่ใช้ในโบสถ์ โดยการนาเอาเทคนิคการประพันธ์เพลงพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้กับเพลงสวด ทาให้เกิดการนาเอาเครื่องดนตรีบางชนิดเข้ามาประกอบในเพลงสวดที่ใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น ออร์แกน ฮาร์ฟซิคอร์ด เป็นต้น 3. ยุคบาโรก (Baroque) ค.ศ.1600-1750
2.
๒ เครื่องดนตรีได้รับการพัฒนาจึงทาให้นักดนตรีมีความสามารถในการบรรเลงอย่างมาก จึงทาให้ยุคนี้มีประเภทการบรรเลงดนตรีที่หลากหลายมากขึ้น เช่น โซนาตาคอนแชร์โต
โอเปรา เป็นต้น เริ่มมีการผสมวงออร์เคสตรา เพื่อใช้ประกอบการแสดงละครเพลงหรือโอเปรา (Opera) แต่ลักษณะการผสมวงของเครื่องดนตรียังไม่มี การกาหนดที่แน่นอน นอกจากนี้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายยังได้รับการพัฒนาอย่างมาก 4. ยุคคลาสสิก (The ClassicalEra) ค.ศ. 1750-1820 เครื่องดนตรีมีวิวัฒนาการมาจนสมบูรณ์ที่สุด เริ่มมีการผสมวงที่กาหนดแน่นอนว่าเป็นวงเล็กหรือใหญ่ คือ วงแชมเบอร์มิวสิก และวงออร์เคสตราในการจัดวงออร์เคสตราใช้เครื่องดนตรีครบทุกประเภท คือ เครื่องสาย เครื่องเป่าลมไม้ เครื่องเป่าลมทองเหลือง และเครื่องตี วงออร์เคสตรา ในยุคนี้ถือได้ว่ามีรูปแบบที่ใช้เป็นแบบแผนมาจนถึงปัจจุบัน 5. ยุคโรแมนติก (The Romantic Era) ค.ศ. 1820-1900 ในยุคนี้เปียโนเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับการพัฒนารูปร่างจนสามารถบรรเลงด้วยวิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี ในส่วนของการผสมวงออร์เคสตรา ยังคงใช้ หลักการผสมวงออร์เคสตราตามยุคคลาสสิก และเพิ่มขนาดโดยการเพิ่มจานวนเครื่องดนตรีให้มี ความยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อให้อารมณ์ของบทเพลง มีความหลากหลายและสามารถสื่อถึงผู้ฟังได้อย่างเด่นชัด 6. ยุคศตวรรษที่ 20 ค.ศ.1900-ปัจจุบัน รูปแบบดนตรีมีการผสมผสานรูปแบบใหม่ขึ้น ซึ่งมีการนาเสียงจากเครื่องอิเล็กทรอนิกส์มาใช้เป็นเครื่องดนตรีด้วย ส่วนดนตรีในรูปแบบดนตรีคลาสสิกก็ยังคงใช้รูปแบบการผสมวงตามยุคคลาสสิก ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่จะเน้นที่รูปแบบ การประพันธ์เพลงมากกว่า และในยุคนี้เริ่มมีวงดนตรีผสมผสานรูปแบบใหม่ซึ่งเป็น รูปแบบวงดนตรีที่ผสมผสานระหว่าง แอฟริกาตะวันตก อเมริกาและยุโรป ที่เรียกว่าวงดนตรีแจ๊ส (Jazz) เครื่องดนตรีที่ใช้ในวงมักประกอบด้วย ทรัมเป็ต คลาริเน็ต ทรอมโบน ทูบา และกลองประเภทต่าง ๆ เป็นต้น บทเพลงสากลในยุคต่าง ๆ 1. ยุคกลาง (Middle Age) ค.ศ. 500-1400 บทเพลงที่ปรากฏในยุคนี้ คือ เพลงสวด (Chant) ซึ่งเป็นบทเพลงที่ใช้ในพิธีกรรม เป็นบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ใช้เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้า เนื้อหาของเพลงจะเป็นการสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ภาษาที่ใช้ในบทเพลงร้องส่วนใหญ่ คือ ภาษาละติน ในระยะแรก เพลงสวดเป็นการร้องแนวเดียวไม่มีดนตรีประกอบไม่มีอัตราจังหวะและจะใช้เสียงเอื้อนในการทาทานองไ ปไม่มีกาหนดกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ต่อมา ในระยะหลัง ๆ เริ่มพัฒนาการร้องให้มีแนวการร้องสองประสาน
3.
๓ เป็นเพลงร้องสองแนว และเริ่มที่จะมีอัตราจังหวะที่แน่นอน จนกลายเป็นรูปแบบการร้องประสานเสียง ที่มากกว่า
2 แนวขึ้นไป 2. ยุคเรอเนสซองซ์หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ค.ศ. 1400 -1600 ดนตรียังคงเป็นลักษณะสอดประสานทานองโดยมีการล้อกันของแนวทานองที่เหมือนกันรูปแบบการประพั นธ์เพลงมีมากขึ้น ในยุคนี้ยังเน้นการร้องเป็นพิเศษสาหรับดนตรีคฤหัสถ์ (ดนตรีประชาชนทั่วไป) เริ่มมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งมักเป็นเพลงร้องประกอบดนตรี 3. ยุคบาโรก (Baroque) ค.ศ. 1600-1750 บทเพลงบรรเลงมีความสาคัญเทียบเท่ากับบทเพลงร้อง เนื่องจากเครื่องดนตรีมีการพัฒนาทั้งรูปแบบและเสียง รูปแบบการประพันธ์เพลงในยุคนี้มีการพัฒนาและ ปรับปรุงจนมีลักษณะเด่นชัด โดยเฉพาะ คอนแชร์โต (Concerto) ตัวบทเพลงประชันระหว่างเครื่องดนตรีประเภทเดี่ยวกับวงดนตรี ซึ่งแสดงความสามารถของผู้บรรเลงได้เป็นอย่างดี บทเพลง Concerto ที่ได้รับความนิยมคือ The Four Season ของ วิวัลดี และยุคนี้เป็นจุดเริ่มต้นของบทเพลงบรรเลงประเภทต่าง ๆ 4. ยุคคลาสสิก (The Classic Era) ค.ศ. 1750-1820 เป็นยุคที่สาคัญมากของดนตรีตะวันตก เนื่องจากรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการประพันธ์เพลง การผสมวง หรือบทเพลงบรรเลงมีความเป็นแบบแผนอย่างมาก รูปแบบการประพันธ์บทเพลงในยุคนี้ได้แก่ โซนาตา คอนแชร์โต ซิมโฟนี และการ ผสมวงได้แก่ วงแชมเบอร์มิวสิกและออเคสต้า ทุกอย่างล้วนจัดให้มีมาตรฐานทั้งสิ้น นอกจากนี้ละครร้องหรือโอเปรา (Opera) ก็ได้รับการพัฒนาจนได้รับความนิยมทั่วไป 5. ยุคโรแมนติก (The Romantic Era) ค.ศ. 1820-1900 ยุคนี้เป็นยุคที่นาหลักการของยุคคลาสสิกมาใช้ผสมผสานกับการใส่อารมณ์ความรู้สึกเข้าไปในบทเพลงทา ให้บทเพลงมีความไพเราะ สง่างาม อ่อนหวานในขณะหนึ่งก็สะเทือนอารมณ์ของผู้ฟังได้เช่นกันสาหรับวงออเคสต้ามีการเพิ่มขนาดของวงให้ให ญ่ขึ้น เพื่อความสมบูรณ์แบบของเสียงในวงดนตรี ยุคนี้ทานองของบทเพลงเน้นแนวทานองหลักและใช้การประสานเสียงเพื่อให้มีความไพเราะ บทเพลงที่นิยมในยุคนี้คือ ดนตรีบรรยายเรื่องราว คีตกวีที่สาคัญในยุคนี้คือ เบโธเฟน 6. ยุคศตวรรษที่ 20 ค.ศ. 1900-ปัจจุบัน ยุคนี้เป็นยุคเปลี่ยนแปลงดนตรีชาติตะวันตก มีการเน้นรูปแบบจังหวะมากขึ้น และบันไดเสียงเริ่มมีการใช้บันไดเสียง 12 เสียง หลักการในการประพันธ์บทเพลง มีความแตกต่างจากยุคก่อนนี้ เริ่มมีการประสานเสียงทาให้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายหู เริ่มมีการทดลองทฤษฎีแปลก ๆ ใหม่ ๆ ซึ่งทาให้กฎเกณฑ์ทางดนตรีมีความหลากหลาย
4.
๔ ถือได้ว่ายุคนี้เป็นยุคการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง มากมายตามที่ได้พบเห็นในปัจจุบัน ขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละชาติ ศาสนา
โดยเฉพาะดนตรีตะวันตก นับว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศาสนามาก บทเพลงที่เกี่ยวกับศาสนาหรือเรียกว่าเพลงวัดนั้นได้แต่งขึ้นอย่างถูกหลักเกณฑ์ ตามหลักวิชาการดนตรี ผู้แต่งเพลงวัดต้องมีความรู้ความสามารถสูง เพราะต้องแต่งขึ้นให้สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังให้นิยมเลื่อมใสใน ศาสนามากขึ้น ดังนั้นบทเพลงสวดในศาสนาคริสต์จึงมีเสียงดนตรีประโคมประกอบการสวดมนต์ เมื่อมีบทเพลงเกี่ยวกับศาสนามากขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันการลืมจึงได้มีผู้ประดิษฐ์สัญลักษณ์ต่าง ๆ แทนทานอง เมื่อประมาณ ค.ศ. 1000 สัญลักษณ์ดังกล่าว คือ ตัวโน้ต (Note) นั่นเอง โน้ตเพลงที่ใช้ในหลักวิชาดนตรีเบื้องต้นเป็นเสียงโด เร มี นั้น เป็นคาสวดในภาษาละติน จึงกล่าวได้ว่าวิชาดนตรีมีจุดกาเนิดมาจากวัดหรือศาสนา ซึ่งในยุโรปนั้นถือว่าเพลงเกี่ยวกับศาสนานั้นเป็นเพลงชั้นสูงสุด บทที่ 2 ธรรมชาติและองค์ประกอบของดนตรีสากล ธรรมชาติของดนตรี ดนตรี คืองานทางศิลปะที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยอาศัยเสียงเป็นสื่อถ่ายทอด ความรู้สึกของศิลปิน เสียงดนตรีเป็นเสียงที่มีความงามที่ถูกนามาเรียบเรียงขึ้น เป็นบทเพลงอย่างมีศิลปะหรืออาจกล่าวได้ว่าดนตรีคือเสียงที่นามาเรียบเรียงให้ผสม กลมกลืนกันโดยมีทานอง จังหวะ และเสียงประสานประกอบเข้าด้วยกันตามหลักวิชาดนตรี มีจุดประสงค์เพื่อให้มีความไพเราะน่าฟัง ความแตกต่างระหว่างเสียงดนตรีกับเสียงอื่น ๆ คือ เสียงดนตรีเป็นเสียง ที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยอาศัยความงดงามของเสียง ศิลปินผู้ประดิษฐ์เสียงได้สอดใส่อารมณ์ลงไปในทานอง (Melody) ส่วนเสียงอื่น ๆ (Noise) ที่ไม่ใช่เสียงดนตรีนั้นเป็นเสียงที่ ขาดคุณสมบัติทางศิลปะ เช่น เสียงแตรรถยนต์ เสียงจ้อกแจ้กจอแจในตลาด เป็นต้น ผู้รู้ทางดนตรีหลายท่านได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของดนตรีไว้ หลายลักษณะแต่จะขอกล่าวโดยสังเขป ดังนี้ 1.ดนตรีเกิดจากการแสดงออกทางอารมณ์ของมนุษย์ เช่น เมื่อเกิดความพอใจสนุกสนานก็จะเปล่งเสียงออกมา ปรบมือ กระทืบเท้า ใช้ไม้เคาะ นานเข้าก็จะหาวิธีทา ให้เกิดเสียงแปลก ๆโดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เข้าช่วย ด้วยเหตุนี้เครื่องดนตรีในชุดแรก ๆ จึงมีไม่กี่เสียง จังหวะก็ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน
5.
๕ 2. ดนตรีเป็นเรื่องของศิลปะที่เกี่ยวกับเสียงที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยมนุษย์ อาจเลียนเสียงมาจากธรรมชาติ แล้วนาเสียงนั้นมาเรียบเรียงให้เป็นระเบียบและที่สาคัญดนตรีต้องมีอารมณ์ในการที่จะสื่อไปยังผู้ฟัง 3.
ดนตรีมีธรรมชาติที่แตกต่างไปจากศิลปะแขนงอื่น ๆ เช่น ดนตรีเป็นสื่อ ทางอารมณ์ที่สัมผัสได้ด้วยหู ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ดนตรีเป็นเรื่องของสุนทรียศาสตร์ว่าด้วยความไพเราะและดนตรีเป็นเรื่องของการแสดงออกทางอารมณ์ เป็นต้น องค์ประกอบของดนตรีสากล ดนตรีไม่ว่าจะเป็นของชาติใด ภาษาใด ล้วนมีพื้นฐานมาจากส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งสิ้นความแตกต่างในรายละเอียดของแต่ละส่วนแต่ละวัฒนธรรมนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่การที่จะแตกต่างกันอย่างไรนั้น กรอบวัฒนธรรมของแต่ละสังคมจะเป็นปัจจัย ที่กาหนดให้ตรงตามรสนิยมของแต่ละวัฒนธรรมจนเป็นผลให้สามารถแยกแยะดนตรีของชาติหนึ่งแตกต่างจากดน ตรีของอีกชาติหนึ่งอย่างไร องค์ประกอบของดนตรีสากล ประกอบด้วย 1. เสียง (Tone) คีตกวีผู้สร้างสรรค์ดนตรี เป็นผู้ใช้เสียงในการสร้างสรรค์ผลิตงานศิลปะ เพื่อรับใช้สังคม ผู้สร้างสรรค์ดนตรีสามารถสร้างเสียงที่หลากหลายโดยอาศัยวิธีการผลิตเสียงเป็นปัจจัยกาหนด เช่น การดีด การสี การตี การเป่า เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศที่เป็นไปอย่างสม่าเสมอ ส่วนเสียงอึกทึกหรือเสียงรบกวน (Noise) เกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศที่ไม่สม่าเสมอ ลักษณะความแตกต่างของเสียงขึ้นอยู่กับ คุณสมบัติสาคัญ 4 ประการ คือ ระดับเสียง ความยาวของเสียง ความเข้มของเสียง และคุณภาพของเสียง 1.1 ระดับเสียง (Pitch) หมายถึง ระดับความสูง-ต่าของเสียง ซึ่งเกิดจากจานวนความถี่ของการสั่นสะเทือน กล่าวคือ ถ้าเสียงที่มีความถี่สูง ลักษณะการสั่นสะเทือนเร็ว จะส่งผลให้มีระดับเสียงสูง แต่ถ้าหากเสียงมีความถี่ต่า ลักษณะการสั่นสะเทือนช้าจะส่งผลให้มีระดับเสียงต่า 1.2 ความสั้น-ยาวของเสียง (Duration) หมายถึง คุณสมบัติที่เกี่ยวกับ ความยาว-สั้นของเสียง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สาคัญอย่างยิ่งของการกาหนดลีลา จังหวะ ในดนตรีตะวันตก การกาหนดความสั้น- ยาวของเสียง สามารถแสดงให้เห็นได้จากลักษณะของตัวโน้ต เช่น โน้ตตัวกลม ตัวขาว และตัวดา เป็นต้น 1.3 ความเข้มของเสียง (Intensity) ความเข้มของเสียงเกี่ยวข้องกับน้าหนักของความหนักเบาของเสียง ความเข้มของเสียงจะเป็นคุณสมบัติที่ก่อประโยชน์ ในการเกื้อหนุนเสียงให้มีลีลาจังหวะที่สมบูรณ์
6.
๖ 1.4 คุณภาพของเสียง (Quality)
เกิดจากคุณภาพของแหล่งกาเนิดเสียง ที่แตกต่างกัน ปัจจัยที่ทาให้คุณภาพของเสียงเกิดความแตกต่างกันนั้น เกิดจาก หลายสาเหตุ เช่น วิธีการผลิตเสียง รูปทรงของแหล่งกาเนิดเสียงและวัสดุที่ใช้ทาแหล่งกาเนิดเสียง ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดลักษณะคุณภาพของเสียง ซึ่งเป็นหลักสาคัญให้ผู้ฟังสามารถแยกแยะสีสันของเสียง (Tone Color) ระหว่างเครื่องดนตรีเครื่องหนึ่งกับเครื่องหนึ่งได้อย่างชัดเจน 2. พื้นฐานจังหวะ (Element of Time) จังหวะเป็นศิลปะของการจัดระเบียบเสียง ที่เกี่ยวข้องกับความช้าเร็ว ความหนักเบาและความสั้น-ยาว องค์ประกอบเหล่านี้ หากนามาร้อยเรียง ปะติดปะต่อ เข้าด้วยกันตามหลักวิชาการเชิงดนตรีแล้ว สามารถที่จะสร้างสรรค์ให้เกิดลีลาจังหวะ อันหลากหลาย ในเชิงจิตวิทยา อิทธิพลของจังหวะที่มีผลต่อผู้ฟังจะปรากฏพบในลักษณะของการตอบสนองเชิงกายภาพ เช่น ฟังเพลงแล้วแสดงอาการกระดิกนิ้ว ปรบมือร่วมไปด้วย 3. ทานอง (Melody) ทานองเป็นการจัดระเบียบของเสียงที่เกี่ยวข้องกับความสูง-ต่า ความสั้น-ยาว และความดัง-เบา คุณสมบัติเหล่านี้เมื่อนามาปฏิบัติอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานของ ความช้า-เร็ว จะเป็นองค์ประกอบของดนตรีที่ผู้ฟังสามารถทาความเข้าใจได้ง่ายที่สุด ในเชิงจิตวิทยา ทานองจะกระตุ้นผู้ฟังในส่วนของสติปัญญา ทานองจะมีส่วนสาคัญ ในการสร้างความประทับใจ จดจา และแยกแยะความแตกต่างระหว่างเพลงหนึ่ง กับอีกเพลงหนึ่ง 4. พื้นผิวของเสียง (Texture) “พื้นผิว” เป็นคาที่ใช้อยู่ทั่วไปในวิชาการด้านวิจิตรศิลป ์ หมายถึง ลักษณะ พื้นผิวของสิ่งต่าง ๆ เช่น พื้นผิวของวัสดุที่มีลักษณะขรุขระ หรือเกลี้ยงเกลา ซึ่งอาจจะ ทาจากวัสดุที่ต่างกัน ในเชิงดนตรีนั้น “พื้นผิว” หมายถึง ลักษณะหรือรูปแบบของเสียงทั้งที่ประสานสัมพันธ์และไม่ประสานสัมพันธ์ โดยอาจจะเป็นการนาเสียงมาบรรเลงซ้อนกันหรือพร้อมกัน ซึ่งอาจพบทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ตามกระบวนการประพันธ์เพลง ผลรวมของเสียงหรือแนวทั้งหมดเหล่านั้น จัดเป็นพื้นผิวตามนัยของดนตรีทั้งสิ้น ลักษณะรูปแบบพื้นผิวของเสียงมีอยู่หลายรูปแบบ ดังนี้ 4.1 Monophonic Texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียงที่มีแนวทานองเดียว ไม่มีเสียงประสาน พื้นผิวเสียงในลักษณะนี้ถือเป็นรูปแบบการใช้แนวเสียงของดนตรีในยุคแรก ๆของดนตรีในทุกวัฒนธรรม 4.2 Polyphonic Texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียงที่ประกอบด้วย แนวทานองตั้งแต่สองแนวทานองขึ้นไป โดยแต่ละแนวมีความเด่นและเป็นอิสระจากกัน ในขณะที่ทุกแนวสามารถประสานกลมกลืนไปด้วยกัน ลักษณะแนวเสียงประสานในรูปของ Polyphonic Texture มีวิวัฒนาการมาจากเพลงชานท์ (Chant) ซึ่งมีพื้นผิวเสียง ในลักษณะของเพลงทานองเดียว (Monophonic Texture) ภายหลังได้มีการเพิ่มแนว ขับร้องเข้าไปอีกหนึ่งแนว
7.
๗ แนวที่เพิ่มเข้าไปใหม่นี้จะใช้ระยะขั้นคู่ 4 และคู่
5 และดาเนินไปในทางเดียวกับเพลงชานท์เดิม การดาเนินทานองในลักษณะนี้เรียกว่า “ออร์กานุ่ม” (Orgonum) นับได้ว่าเป็นยุคเริ่มต้นของการประสานเสียงแบบ Polyphonic Texture หลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา แนวทานองประเภทนี้ได้มีการพัฒนาก้าวหน้าไปมาก ซึ่งเป็นระยะเวลาที่การสอดทานอง (Counterpoint) ได้เข้าไปมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการตกแต่งพื้นผิวของแนวทานองแบบ Polyphonic Texture 4.3 Homophonic Texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียง ที่ประสานด้วยแนวทานองแนวเดียวโดยมีกลุ่มเสียง (Chords) ทาหน้าที่สนับสนุน ในคีตนิพนธ์ ประเภทนี้แนวทานองมักจะเคลื่อนที่ในระดับเสียงสูงที่สุดในบรรดากลุ่มเสียงด้วยกัน ในบางโอกาสแนวทานองอาจจะเคลื่อนที่ในระดับเสียงต่าได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าคีตนิพนธ์ประเภทนี้จะมีแนวทานองที่เด่นเพียงทานองเดียวก็ตาม แต่กลุ่มเสียง (Chords) ที่ทาหน้าที่สนับสนุนนั้น มีความสาคัญที่ไม่น้อยไปกว่าแนวทานอง การเคลื่อนที่ของแนวทานอง จะเคลื่อนไปในแนวนอน ในขณะที่กลุ่มเสียงสนับสนุนจะเคลื่อนไปในแนวตั้ง 4.4Heterophonic Texture เป็นรูปแบบของแนวเสียงที่มีทานอง หลายทานอง แต่ละแนวมีความสาคัญเท่ากันทุกแนว คาว่า Heteros เป็นภาษากรีก หมายถึงแตกต่างหลากหลาย ลักษณะการผสมผสานของแนวทานองในลักษณะนี้เป็นรูปแบบการประสานเสียง 5. สีสันของเสียง (Tone Color) “สีสันของเสียง” หมายถึง คุณลักษณะของเสียงที่กาเนิดจากแหล่งเสียงที่ แตกต่างกัน แหล่งกาเนิดเสียงดังกล่าว เป็นได้ทั้งที่เป็นเสียงร้องของมนุษย์และ เครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ ความแตกต่างของเสียงร้องมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเพศชายกับเพศหญิงหรือระหว่างเพศเดียวกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานของความแตกต่างทางด้านสรีระ เช่น หลอดเสียงและกล่องเสียง เป็นต้น ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดนตรีนั้น ความหลากหลายด้านสีสันของเสียง ประกอบด้วยปัจจัยที่แตกต่างกันหลายประการ เช่น วิธีการบรรเลง วัสดุที่ใช้ทา เครื่องดนตรี รวมทั้งรูปทรงและขนาด ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลโดยตรงต่อสีสันของเสียงเครื่องดนตรี ทาให้เกิดคุณลักษณะของเสียงที่แตกต่างกันออกไป 5.1 วิธีการบรรเลง อาศัยวิธีดีด สี ตี และเป่า วิธีการผลิตเสียงดังกล่าวล้วนเป็นปัจจัยให้เครื่องดนตรีมีคุณลักษณะของเสียงที่ต่างกัน 5.2 วัสดุที่ใช้ทาเครื่องดนตรี วัสดุที่ใช้ทาเครื่องดนตรีของแต่ละวัฒนธรรมจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของสังคมและยุคสมัย วัสดุที่ใช้ทาเครื่องดนตรีที่แตกต่างกัน นับเป็นปัจจัยที่สาคัญประการหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดความแตกต่างในด้านสีสันของเสียง
8.
๘ 5.3 ขนาดและรูปทรง ลักษณะของเครื่องดนตรีที่มีรูปทรงและขนาดที่ แตกต่างกันจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความแตกต่างกันในด้านสีสันของเสียงในลักษณะที่มีความสัมพัน ธ์กัน 6.
คีตลักษณ์ (Forms) คีตลักษณ์หรือรูปแบบของเพลง เปรียบเสมือนกรอบที่หลอมรวมเอาจังหวะ ทานอง พื้นผิว และสีสันของเสียงให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน เพลงที่มีขนาด สั้น-ยาว วนกลับไปมา ล้วนเป็นสาระสาคัญของคีตลักษณ์ทั้งสิ้น การแบ่งประเภทของดนตรีตามหลักสากล ดนตรีที่ขับร้องและบรรเลงอยู่ในปัจจุบัน อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้ 1. ดนตรีพื้นเมืองหรือดนตรีพื้นบ้าน (FolkMusic) ดนตรีพื้นบ้าน เป็นดนตรีที่มีอยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ เครื่องดนตรีที่ใช้ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี ซึ่งอาจจะเป็นฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง โทน รามะนา กลองยาว และอาจจะมีเครื่องดนตรีชนิดอื่นที่ใช้บรรเลงทานองประกอบด้วย ได้แก่ สะล้อซอ ซึง แคน เป็นต้น มีท่วงทานองสั้น ๆ ซ้า ๆ วนไปวนมา โดยเปลี่ยนแต่เนื้อร้อง ภาษาที่ใช้ในการขับร้องจะเป็นภาษาประจาถิ่น 2. ดนตรีแบบฉบับ (ClassicalMusic) ดนตรีแบบฉบับเป็นดนตรีของชนชาติใดก็ตามที่ได้รับการพัฒนามาจนเป็นดนตรีชั้นสูง เป็นดนตรีที่มีความโดดเด่นถึงขั้นเป็นแบบฉบับของชนชาตินั้นได้ เช่น ดนตรีไทย ซึ่งเดิมเป็นดนตรีพื้นเมืองของภาคกลางที่ได้รับการพัฒนาและนาเข้าไปเล่นในราชสานัก ต่อมาได้รับการปรับปรุงจากครูดนตรีหลายท่านจนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นดนตรีชั้นสูงมีความไพเราะ ดนตรีประเภทนี้นิยมเรียกทับศัพท์ว่า ดนตรีคลาสสิก อาจารย์สุกรี เจริญสุข ได้อธิบายความหมายของดนตรีคลาสสิกไว้ว่า “ดนตรีคลาสสิก หมายถึง ดนตรีที่มีความงาม ความไพเราะในเรื่องของเสียงโดยที่ ผู้ประพันธ์เพลงได้ประพันธ์ขึ้นอย่างวิจิตรพิสดาร มุ่งในเรื่องของความไพเราะ มีคุณค่า ในความงามของศิลปะ บรรเลงโดยนักดนตรีที่มีความสามารถที่ผ่านการฝึกมาโดยเฉพาะ และมีความสามารถสูงพอที่จะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของเพลงออกสู่ผู้ฟังได้ สาหรับผู้ฟังนั้นต้องอาศัยสมาธิหรือความตั้งใจที่จะฟัง” 3. ดนตรีสมัยนิยมหรือดนตรีชนนิยม (Popular Music) ดนตรีสมัยนิยมเป็นดนตรีที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไป เช่น ดนตรีไทยสากลทั้งเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง และวงดนตรีทั้งหลายในปัจจุบัน ดนตรีประเภทนี้จะมีเพลงซึ่งได้รับความนิยมอยู่ระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นเพลงดังกล่าวก็จะเสื่อมความนิยมลง แล้วก็จะมีเพลงใหม่ ๆ ที่ได้รับความนิยมเข้าแทนที่บทเพลงของดนตรีสมัยนิยมถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีที่ต่างกันบางเพลงนาทานองบ
9.
๙ างตอนของเพลงพื้นบ้านหรือเพลงแบบฉบับมาใช้ บางเพลงนาทานองของเพลงต่างชาติมาแล้วแต่งคาร้องเป็นภาษาของชาติตนเองใส่ลงไปเป็นต้น
Download now